ตอนที่ 3 : จีบคนเถื่อน : 02
สองอาทิตย์ต่อมา
“วันนี้กรินไม่มาเหรอ?”
“กรินไม่สบาย” ผมที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะประจำใต้ตึกเรียนละสายตาออกจากตัวหนังสือตรงหน้ามาตอบเพื่อนร่วมกลุ่มที่รู้จักกันมานานเกือบสามปี
ไทม์ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากพยักหน้ารับเบาๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมไปเงียบๆ ระหว่างรอเวลาเข้าเรียน เพราะกรินเป็นไข้หวัดเลยทำให้มาเรียนไม่ได้ แล้ววิชาที่เรียนวันนี้ก็เป็นวิชาเลือกเสรีเลยทำให้เพื่อนอีกคนในกลุ่มที่ไม่ได้ลงเรียนเหมือนกันหายไป ทั้งกลุ่มจึงเหลือแค่ผมกับไทม์เท่านั้น ผมที่เผลอนั่งอ่านหนังสือเพลินก็ถูกไทม์สะกิดเรียกให้ขึ้นห้องเรียน บรรยากาศในการเรียนระหว่างผมกับไทม์เป็นไปอย่างเงียบสงบ ผมเองไม่ใช่คนพูดมากและมักจะตั้งใจเรียนอยู่เสมอ ผิดกับไทม์ที่ค่อนข้างพูดเก่ง ไทม์ถึงเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ที่สำคัญเลยคือเขาค่อนข้างจะยิ้มเก่ง
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้ชอบเขา
“ไปกินข้าวข้างนอกกัน กินเสร็จก็กลับเลย” เมื่อถึงเวลาที่อาจารย์ประจำวิชาบอกว่าพอแค่นี้ไทม์ก็รีบปิดสมุดเก็บข้าวของลงกระเป๋าอย่างกระตือรือร้นก่อนจะหันมาแบมือขอสมุดเลคเชอร์ของผม
มันมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ระหว่างเรียนไทม์จะตั้งใจเรียนบ้างเล่นบ้างไปตามประสาของเขา ส่วนผมก็จดๆ ไป บางครั้งก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ต้องพยายามจดเนื้อหาให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเอาไปอ่านในตอนสอบ
“อืม” ผมขานรับแล้วยื่นสมุดของตัวเองให้กับอีกฝ่ายแล้วเดินนำออกไปรอข้างนอกห้อง
เพราะเมื่อเช้าผมตื่นเช้ามากกว่าปกติเลยเลือกที่จะนั่งรถโดยสารมาแทนที่จะขับรถมาเหมือนทุกวัน นานๆ นั่งรถโดยสารธรรมดามันก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้เลยต้องนั่งรถของไทม์ออกไปที่ร้านข้าว ร้านที่ผมกับไทม์เลือกก็ไม่ใช่ร้านหรูหราอะไรที่ไหน เป็นเพียงร้านข้าวธรรมดาๆ ที่อยู่แถวๆ หน้ามหา’ลัยเท่านั้น ระหว่างทางไปร้านข้าวผมก็โทรไปหาเพื่อนอีกคนในกลุ่มที่วันนี้เขาก็มีเรียนเหมือนกัน แค่คนละวิชาเท่านั้น หลังจากที่เอ่ยชวนอีกฝ่ายเสร็จก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถของไทม์เข้าไปจอดยังหน้าร้านอาหารพอดี
ผมกับไทม์หันมองหน้ากันเล็กน้อยเมื่อเดินเข้าไปในร้านแล้วพบว่าร้านนั้นแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก ก็นี่มันเป็นเวลาพักนี่นา ยืนรออยู่ไม่นานก็มีโต๊ะว่างให้เราเดินเข้าไปนั่ง
“คุณรัชช์ๆ”
“หืม?” ระหว่างที่ผมกำลังนั่งไล่ดูเมนูอาหารอยู่ก็ถูกคนที่มาด้วยกันเขย่าแขนเรียกให้หันไปสนใจเขา
“คนนั้น น่ารักมาก” ไทม์พยักพเยิดหน้าไปทางโต๊ะข้างๆ ที่อยู่ถัดไปสองโต๊ะ
“คนไหน?” ผมมองนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายหน้าตาดีนั่งอยู่ด้วยกันประมาณ 5 - 6 คนด้วยความสงสัยและคิดตามว่าคนอย่างไทม์จะสนใจใครในกลุ่มนั้น
“เสื้อกันหนาวสีเทา ตัวเล็กๆ ขาวๆ ตาโตๆ ปากแดงๆ”
“อือ” ผมลอบมองสำรวจใบหน้าและท่าทางของคนที่ไทม์บอกแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับกับตัวเองเบาๆ เด็กคนนั้นดูท่าจะตรงสเปคไทม์อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายไทม์ก็ชอบสไตล์นี้หมด
แน่นอนว่าผมไม่ได้ตรงหรือใกล้เคียงกับในแบบที่ไทม์ชอบเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ได้ตัวเล็กน่ารักดูสดใสแบบนั้น ผมสูงถึงร้อย 180 เซนติเมตร ซึ่งมันเท่ากันกับไทม์พอดีเลย และใครๆ ต่างก็บอกว่าผมหล่อ ก็นะ ถ้าผมไม่หล่อจะเป็นเดือนมหา’ลัยได้ยังไง แล้วที่สำคัญคือผมไม่ใช่คนที่จะมองแล้วให้ความรู้สึกสดใสหรือสบายตาสบายใจได้ คงเป็นเพราะเหตุนี้ ผมถึงไม่เคยได้อยู่ในสายตาของไทม์เลย อย่างมากสุดก็คือเพื่อนที่แสนดี
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเอามาคิดตัดพ้อตัวเองหรอกนะ
“คุณรัชช์ ไปขอเบอร์ให้หน่อย” ไทม์หันมามองผมด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างเช่นทุกครั้งที่เขาเจอใครสักคนที่รู้สึกถูกใจ ผมมักจะเป็นคนที่เดินเข้าไปหาเป้าหมายของเขาและเอ่ยปากขอเบอร์หรือไม่ก็ช่องทางการติดต่ออย่างอื่นให้เขาเสมอ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้นทุกครั้งที่เขาร้องขอ อาจเป็นเพราะผมไม่สามารถปฏิเสธเขาได้หรือไม่ก็ไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธล่ะมั้ง
“ถ้าเขามีแฟนแล้วล่ะ?” หน้าตาแบบนั้นคงหาโสดยาก
“อยากได้”
“ไทม์” ผมกดเสียงต่ำเรียกคนที่นั่งร่วมโต๊ะกันอย่างอ่อนใจ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ตลอดเลย?
“คนนี้จริงจัง น่ารักมาก ตรงสเปคสุดๆ” มือหนายื่นมาเกาะแขนผมเอาไว้แน่น แววตาดื้อรั้นที่บ่งบอกว่าไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่มีทางยอมแพ้ต่อให้ผมหาเหตุผลอีกกี่ร้อยข้อมาอ้างก็ตามที
“ก็เห็นพูดอย่างนี้ตลอด” กี่ครั้งแล้วที่พูดว่าจะจริงจังแล้วสุดท้ายก็ทิ้งเขาไปหน้าตาเฉย
ไทม์ไม่ใช่คนหน้าตาแย่ ทั้งที่เป็นคนเฟรนด์ลี่แท้ๆ แต่เขากลับไม่กล้าที่จะเข้าหาคนที่เขาสนใจ เขาจึงมาขอให้ผมช่วยเหลืออยู่เสมอ และทุกครั้งเขาก็มักจะพูดว่าจริงจัง แต่ไทม์ก็คือไทม์ เขาจริงจังได้ไม่นานก็เบื่อ อย่างน้อยผมก็ดีใจที่ตัวเองไม่ใช่หนึ่งในนั้นที่ถูกเขี่ยทิ้งเพราะคำว่าน่าเบื่อหรือรำคาญ ผมยินดีที่จะยืนอยู่ในสถานะเพื่อนเพราะรู้ดีว่าเรื่องราวระหว่างเรามันคงเป็นไปไม่ได้ และผมเองก็ไม่อยากเป็นเหมือนคนเหล่านั้นด้วย
ผมจึงไม่เคยคิดเรื่องที่จะบอกชอบไทม์ออกไป
“โธ่ คุณรัชช์ ช่วยไทม์หน่อยเถอะนะครับ นะ ไทม์ขอ” เขาแกล้งเอามือมาบีบๆ นวดๆ ที่แขนผมอย่างเอาใจด้วยใบหน้าอ้อนๆ
“ครั้งสุดท้ายแล้วนะ” ผมยื่นคำขาด คิดว่าจะเลิกยุ่งเรื่องแบบนี้อย่างเด็ดขาดแล้ว ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรที่เห็นเขาอยู่กับคนอื่น ผมรู้สึกแย่ทุกครั้งที่เขาชมคนนู้นคนนี้และร้องขอให้ผมเข้าไปช่วยในเรื่องความรักของเขา แต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ สิ่งที่ไทม์เห็นจึงเป็นสีหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกของผมเพียงเท่านั้น
“โห ก็ได้” ไทม์ทำหน้าขัดใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หลุดยิ้มตาหยีออกมาเมื่อผมลุกขึ้นยืนพร้อมคว้าเอาโทรศัพท์มือถือของเขามาถือเอาไว้แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะที่เป็นเป้าหมาย
เพียงแค่ผมลุกขึ้นยืนสายตาหลายคู่ต่างก็จับจ้องมาที่ผม ลูกค้าในร้านนี้ทั้งหมดเป็นนักศึกษาจากมหา’ลัยเดียวกัน มันจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะพอคุ้นหน้าผมหรือบางคนก็อาจจะรู้จักผมดีเลยด้วยซ้ำ หลายสายตายังคงจ้องมองมาที่ผมและยิ่งผมก้าวเข้าไปใกล้กับโต๊ะของเป้าหมาย ผู้คนก็ยิ่งให้ความสนใจกันมากขึ้น
“ขอโทษนะครับ” เมื่อเดินมาถึงที่โต๊ะของกลุ่มที่คาดว่าน่าจะเป็นรุ่นน้องผมก็ส่งเสียงเรียกออกไป
“เอ่อ ครับ? คุณรัชช์!?” ผู้ชายตัวเล็กที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบคลุมทับด้วยเสื้อกันหนาวสีเทาแบรนด์ดังหันมามองหน้าผมด้วยความตกใจ ผมลอบมองสำรวจใบหน้าของคนตรงหน้าอีกครั้งแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อตัวเองรู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายเหลือเกิน
“ขอเบอร์หน่อยได้ไหม?” ผมปัดความสงสัยที่มีอยู่ออกไปแล้วเอ่ยเข้าตรงประเด็น ผมไม่ชอบที่จะคุยกับคนแปลกหน้านานนักหากไม่จำเป็น ยิ่งอยู่ท่ามกลางความสนใจของคนหมู่มากผมยิ่งไม่ชอบ มันน่าอึดอัดจนน่ารำคาญ
“เอ่อ คือ หมายถึงผมเหรอครับ?” ผู้ชายหน้าหวานคนนั้นย้อนถามกลับเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างมึนงง
“ใช่” ผมลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบกลับ ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งอึดอัด เพื่อนๆ ของผู้ชายตัวเล็กคนนั้นก็อ้าปากมองหน้าผมตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“คะ ครับ” มือเล็กที่ออกจะสั่นเทาสักเล็กน้อยคว้าเอาโทรศัพท์ที่ผมยื่นค้างไว้ไปกดเมมเบอร์ของตัวเอง
“ขอบคุณ” เมื่อได้โทรศัพท์คืนผมก็ผงกหัวขอบคุณอีกฝ่ายเบาๆ แล้วเดินกลับโต๊ะของตัวเองด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ ในใจ หงุดหงิดที่ถูกมองเป็นสายตาเดียวแบบนั้น หงุดหงิดที่ถูกซุบซิบนินทาทั้งที่ผมก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นจุดเด่นทั้งที่ผมนั้นรักความสงบและหวงพื้นที่ส่วนตัวมาก
“ขอเบอร์คนอื่นให้ไอ้ไทม์อีกแล้วเหรอคุณรัชช์?” พอกลับมาถึงโต๊ะเสียงร้องทักที่คุ้นหูก็ดังขึ้น ผมหันไปมองหน้าเพื่อนอีกคนในกลุ่มแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทำเพียงแค่วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม
“ไม่ต้องยุ่งน่า” ไทม์หันไปแยกเขี้ยวใส่เชนทันทีที่ถูกพูดถึง
“มึงก็เลือกวุ่นวายกับคุณรัชช์สิ จะจีบใครก็เดือดร้อนคุณรัชช์ตลอด ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ต้องจีบ” เชนสวนกลับทันควัน ผมเหลือบมองทั้งสองคนเล็กน้อยก่อนจะเมินหนีมามองรายการอาหารอีกครั้ง จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้สั่งอาหารเลย
“คุณรัชช์ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำแล้วมึงจะเดือดร้อนแทนทำไม?” ผมชะงักไปนิดกับคำพูดนั้นของไทม์ ก็จริงของเขา ผมไม่เคยว่าอะไรเขาเลยสักครั้ง ทุกครั้งที่เขาขอให้ช่วย ผมก็ตกปากรับคำตลอด ไม่เคยเอ่ยปากบอกเขาเลยว่าผมรู้สึกยังไง ชอบหรือไม่ชอบ เขาไม่มีทางรู้ได้เลย
“ไอ้ไทม์!” เชนขึ้นเสียงดังจนโต๊ะข้างๆ หันมามองอย่างสนอกสนใจ
“เชน สั่งข้าวเถอะ” ผมเอ่ยปรามเชนเบาๆ เพราะไม่อยากให้เพื่อนมาทะเลาะกันกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ถึงแม้เชนกับไทม์จะชอบเถียงกันอยู่บ่อยๆ ก็เถอะ บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนว่าเชนไม่ชอบไทม์ ที่ผมคิดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเชนชอบขัดไทม์ แต่เป็นเพราะสายตาของเชนที่มองไทม์ต่างหาก มันดูแข็งกระด้างจนน่าแปลกใจ ทั้งที่เพื่อนกันไม่ควรจะมองกันด้วยสายตาแบบนั้น
“เราไม่กินกับมันหรอก คุณรัชช์ก็ไม่ต้องไปกินกับมัน ไปกับเราดีกว่า” ว่าจบเชนก็ยื่นมือมาจับเข้าที่ข้อมือของผมแล้วออกแรงดึงให้เดินตามออกไป ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็เสียหลักเซไปหาเชนจนเกือบจะตกเก้าอี้ ยังดีที่มีสติแล้วทรงตัวเอาไว้ได้ แต่เพราะยังงงๆ อยู่เลยถูกเชนลากออกมาจากร้านหน้าตาเฉย ได้ยินเสียงร้องโวยวายของไทม์ดังไล่หลังมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้เชนหันกลับไปสนใจเลยแม้แต่น้อย
“เชน” ผมร้องเรียกคนที่พยายามดันผมเข้าไปในรถของตัวเองอย่างเหนื่อยใจ
ปัง!
หลังจากที่จับผมยัดเข้ารถแล้วเชนก็รีบวิ่งมาขึ้นนั่งฝั่งคนขับอย่างรวดเร็วคล้ายกับว่ากลัวผมจะเดินหนีเขาไป
“คุณรัชช์น่ะใจดีเกินไปแล้ว ต้องให้กรินดุให้เข็ด” พอขึ้นรถมาได้ก็หันมามองผมด้วยสายตาตำหนิ
“เชน” ผมเอ่ยปรามอีกครั้ง
“ขอโทษ หงุดหงิดนิดหน่อย” เมื่อเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของผมเชนก็ชะงักนิ่งไป เขาเอ่ยขอโทษเบาๆ แล้วหันไปตั้งใจขับรถต่อ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะไม่อยากทะเลาะกับเพื่อนตัวเอง ก็เข้าใจว่าเชนคงโมโหไทม์แทนผม แต่ผมก็ไม่ชอบที่เขามาอารมณ์เสียใส่ผมเหมือนกัน มันดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ใช้เวลาไม่นานเชนก็พาผมมาถึงห้างดังใกล้กับมหา’ลัยของเรา เขาตรงไปยังร้านอาหารเกาหลีที่ผมชื่นชอบ เห็นท่าทีที่ดูอยากจะเอาอกเอาใจผมเป็นพิเศษของเชนแล้วก็ทำเอาโกรธอีกฝ่ายไม่ลง ผมเลยปล่อยผ่านเรื่องก่อนหน้านี้ไป
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
วันนี้ผมมีเรียนเช้าอีกตามเคย ผมนัดกับกรินเอาไว้ว่าจะมาถึงที่ห้องเรียนก่อนเวลาเล็กน้อย ข้างๆ ที่นั่งของผมจึงมีกรินกับเชนที่มักจะมาเร็วนั่งอยู่ด้วย
“ขอบคุณสำหรับสมุดเลคเชอร์ของเมื่อวานนะคุณรัชช์” สมุดเลคเชอร์หน้าปกสีขาวที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีถูกยื่นมาตรงหน้าของผม
“อ่านรู้เรื่องใช่ไหม?” ผมรับสมุดมาเก็บลงกระเป๋าเป้สีดำใบเก่งของตัวเอง เมื่อวานเชนขอยืมสมุดของผมกลับไปจดเพราะเจ้าตัวเขาเผลอหลับไปตอนครึ่งคาบหลัง
“ลายมือคุณรัชช์อ่านง่ายแถมยังจดเข้าใจอีก สุดยอดเลย” ผมยกยิ้มบางๆ ออกมาเมื่อเชนยกนิ้วโป้งให้ผมด้วยรอยยิ้มทะเล้น
ปัง!
“แม่งเอ๊ย!”
ผมสะดุ้งตกใจเบาๆ เมื่อจู่ๆ ไทม์ที่เพิ่งมาถึงก็เดินเข้ามาตบโต๊ะแล้วสบถเสียงดังจนเพื่อนๆ ในห้องคนอื่นหันมามองกันเป็นสายตาเดียว ผมกับกรินหันมองหน้ากันอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“หงุดหงิดอะไร?” เป็นเชนที่ดูจะทนกับบรรยากาศอึมครึมแปลกๆ ที่ไทม์สร้างขึ้นไม่ได้จึงเอ่ยปากถามออกไป
“ก็แฟนเก่าไอริสน่ะสิ แม่งตามตื้อไอริสไม่เลิก” ไทม์หันมาตอบด้วยสีหน้าติดจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
“ไอริส?” ผมทวนชื่อของใครอีกคน รู้สึกคุ้นหูกับชื่อนี้อยู่พอสมควร
“คนคุยใหม่เหรอ?” กรินที่นั่งเงียบอยู่นานขยับเข้ามาร่วมในวงสนทนาบ้าง
“อืม”
“แล้วไง? เขาเลิกกับแฟนเพื่อมาคุยกับมึงหรือไง?” เชนที่นั่งฟังอยู่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนและใครอีกคน
“เขาเลิกกับแฟนไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอม แม่งตามตื้อจนน่ารำคาญ”
“แล้วคนคุยมึงเขาว่าไง?”
“เขาก็ปฏิเสธไปหลายรอบแล้ว แต่มันไม่หยุด” ไทม์ว่าอย่างใส่อารมณ์ ผมทำเพียงแค่นั่งฟังไปเงียบๆ ไม่ได้ออกความคิดเห็นหรือเอ่ยถามอะไร มีเพียงเชนที่ดูจะสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษคอยซักถามอยู่ไม่หยุด
“เขาเลือกมึง?”
“เปล่า”
“หืม?” ผมละสายตาจากหนังสือที่กำลังเปิดอ่านอยู่ไปมองหน้าเพื่อนของตัวเองด้วยความสงสัย
“เหมือนเขามีปัญหาอะไรกับแฟนนี่แหละก็เลยเลิกกัน”
ผมปิดหนังสือลงแล้วหันมาให้ความสนใจกับไทม์อีกครั้ง สรุปคือคนที่ชื่อไอริสเคยมีแฟนและเลิกกันไปแล้ว แต่คนที่เป็นแฟนเก่าไม่ยอมเลิกจึงมาคอยตามตื้อตามง้ออยู่ ทำให้ไทม์ที่ตามจีบไอริสอยู่ไม่พอใจ ถ้าให้เดา บางทีคนที่ชื่อไอริสอาจจะยังคงมีเยื่อใยกับแฟนเก่าอยู่ ไม่อย่างนั้นไทม์คงไม่หัวเสียแบบนี้
“ใครวะ?”
“มารุต”
“อื้อหือ ชื่อเสียงดังกระฉ่อน” พอได้ยินอย่างนั้นเชนก็หลุดเสียงผิวปากออกมาเบาๆ นั่นยิ่งเรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี
มารุตงั้นเหรอ? ชื่อเพราะดีนะ
“เออ อยากบวกแม่งอยู่ แต่ก็คิดว่าไม่คุ้ม”
“ขี้ขลาดฉิบหาย”
“มึงว่าอะไรนะ!?”
“เปล่านี่”
ผมไม่ได้สนใจว่าเพื่อนทั้งสองคนจะโต้เถียงอะไรกันอีกเพราะได้แต่นั่งคิดว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาจากไหน ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยรู้จักคนชื่อมารุตหรือเปล่า? หรือบางทีผมอาจจะเคยได้ยินจากที่คนอื่นพูดกัน เพราะจากที่เชนพูดมาอีกฝ่ายคงเป็นที่รู้จักในมหา’ลัยนี้อยู่พอสมควร ผมเลิกคิดเรื่องของคนที่ชื่อมารุตและไอริสหลังจากที่เห็นอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามา ความสนใจทั้งหมดของผมก็ถูกดึงไปยังเนื้อหาที่จะต้องเรียนในวันนี้ทันที
“คุณรัชช์”
“หืม?” ผมชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปเปิดก๊อกน้ำล้างมือแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ
“ช่วยอะไรหน่อยสิ” ไทม์เดินเข้ามาใกล้ผมก่อนจะหันหลังเอาสะโพกพิงกับอ่างล้างหน้าเอาไว้แล้วเงยหน้ามองสบตากับผมด้วยรอยยิ้มบางๆ
“มีอะไร?”
“เรื่องไอริส” ไม่พ้นเรื่องนี้จริงๆ สินะ
“ทำไม?” ผมลอบถอนหายใจโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็นแล้วเดินไปดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดมือ
“ก็แฟนเก่าไอริสน่ะ ตามตื้อไม่เลิกเลย ขนาดไอริสปฏิเสธไปแล้วแต่มันก็ยังตามอยู่ได้”
“แล้วยังไง?”
“อยากให้คุณรัชช์ช่วย”
“พูดมาเลย” ผมไม่ชอบที่ไทม์ยังคงอ้อมค้อมไปมาอยู่ได้ทั้งที่เขาควรจะพูดมันออกมาตรงๆ ว่าแท้จริงแล้วเขานั้นต้องการอะไรกันแน่
“คุณรัชช์ไปจีบมารุตได้ไหม?”
“อะไรนะ?” ผมชะงักค้างด้วยความตกใจก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งถึงสิ่งที่ได้ยินด้วยความไม่แน่ใจ
“ก็แค่แกล้งๆ จีบ กันให้มารุตออกไปห่างๆ ไอริสก็แค่นั้น พอไอริสยอมตกลงเป็นแฟนกับเราเมื่อไหร่ คุณรัชช์ก็ค่อยเลิกจีบมารุต” ไทม์พูดออกมาอย่างสบายๆ ติดจะดูสนุกเสียด้วยซ้ำ
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะรู้สึกไม่พอใจนิดๆ ที่ไทม์พูดอะไรแบบนั้นออกมา นี่มันไม่ต่างจากการเล่นสนุกกับความรู้สึกของคนเลยนะ และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมันก็คือผม
เขากำลังบอกให้ผมไปล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นอยู่นะ
“ได้ไหมคุณรัชช์?” ไทม์ขยับเข้ามาใกล้พร้อมเร่งถามเอาคำตอบ
“มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?” ทำไมผมต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงถึงขนาดนั้น ไม่สิ ทำไมผมต้องเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับชีวิตของคนอื่นด้วย มันจะไม่ยิ่งวุ่นวายไปมากกว่าเดิมเหรอหากผมเข้าไปในชีวิตของพวกเขาน่ะ
“เราเชื่อใจคุณรัชช์นะ เราเชื่อว่าคุณรัชช์ทำได้” นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเกลียดรอยยิ้มของไทม์ รอยยิ้มที่ดูสดใสแต่ก็แฝงไปด้วยความร้ายกาจ มันดูกดดันและบีบบังคับผมเป็นอย่างมาก
“แต่นั่นมันไม่เล่นกับความรู้สึกคนเกินไปเหรอ?” ถึงจะบอกตัวเองว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ แต่พอเผลอสบตากับอีกฝ่ายเข้าใจผมก็เริ่มจะเอนเอียง ผมไม่เคยปฏิเสธไทม์ได้เลยสักครั้งเดียว เพราะคิดมาตลอดว่าอยากเห็นเขามีความสุข ผมก็เลยยอมช่วยเหลือเขาทุกครั้ง ผมไม่ได้หวังอยากได้เขามาเป็นสมบัติส่วนตัว ไม่ได้หวังที่จะครอบครอง อย่างนั้นแล้วผมถึงได้อยากให้เขาสมหวังและมีความสุขมากที่สุด
“โธ่ คุณรัชช์ มันไม่ชอบคุณรัชช์หรอก คุณรัชช์เองก็คงไม่ตาถั่วตาต่ำไปชอบมันเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ได้เล่นกับความรู้สึกหรืออะไรนะ แค่อยากให้คุณรัชช์กันมันออกห่างจากไอริสก็เท่านั้นเอง”
“...” ยิ่งไทม์พูด ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่
คำพูดของเขาทำให้ทัศนคติของผมที่มีต่อเขาเริ่มเปลี่ยนไป จริงๆ ก็รู้มานานแล้วว่าไทม์สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นได้มากถึงขนาดนี้ เขาบอกว่ามารุตจะไม่ชอบผม และผมจะไม่มีทางชอบมารุต เขาจะรู้ได้ยังไงกับเรื่องของอนาคตและเรื่องของความรู้สึก ถ้าระหว่างผมกับมารุต หนึ่งในพวกเรามีใครสักคนเกิดมีความรู้สึกแปลกปลอมขึ้นมา ก็ต้องมีใครสักคนที่เจ็บสินะ
“ทำเป็นไปจีบ ชวนไปนู่นไปนี่ให้มันไม่มีเวลามายุ่งกับไอริสก็พอนะคุณรัชช์”
“...”
“นะคุณรัชช์ นะครับ นะ”
“ก็ได้ แต่จะไม่มีอะไรแบบนี้อีกแล้วนะ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ” ครั้งสุดท้ายที่ผมจะช่วยเหลือเขากับเรื่องแบบนี้ และครั้งสุดท้ายสำหรับความรู้สึกที่ผมมีต่อเขา ผมคงทนชอบคนแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เขาเห็นแก่ตัวเกินไปจนผมรับไม่ได้ เขาคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองจนไม่ได้มองเห็นความรู้สึกของใครเลย แม้กระทั่งผมที่เป็นเพื่อนของเขา
“ขอบคุณนะคุณรัชช์ คุณรัชช์นี่คนดีที่หนึ่งเลย” ไทม์ยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ เขาเดินเข้ามากอดผมเอาไว้แน่นอย่างดีใจ ผิดกับผมที่รู้สึกสะอิดสะเอียนกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำลงไป
ใครๆ ก็บอกว่าผมน่ะเป็นคนดี แต่พวกเขาจะรู้บ้างไหมว่าแท้จริงแล้วผมก็ไม่ได้ดีอะไรเลย ไม่เลยจริงๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ลำใย ไทม์
หงุดหงิด
ไทม์คือเกินไปอะ เกรงใจเพื่อนบ้างไรบ้สงก็ได้ มันใช่เรื่องมั้ยอะจริงๆ คุณรัชช์อะะะ ครั้งสุดท้ายสมใจแล้วนะ(?) เลิกชอบมันไปเลยเนอะไอคนแบบนี้ รุตรอรัชช์อยู่นะ5555
แอบเดาได้ปะว่าคนที่จะจัดการไทม์อะคือเชน..ชั้นว่าเชนนังต้องรู้อะไรบ้างอย่างอะ เดาๆเด้อออ
รู้สึกไม่ชอบความใจอ่อนของคุณรัชช์เลย รู้ทั้งรู้ว่าไม่ดีก็ยังยอมทำ ไทม์น่ารังเกียจมาก