ตอนที่ 4 : จีบคนเถื่อน : 03
ปัจจุบัน
Marut Part :
“ไอ้หน้าอ่อนนั่นมันเป็นใครวะ!? แม่งกวนตีนฉิบหายเลย!” ผมสบถอย่างหัวเสียหลักจากสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติ ผมหันมองเพื่อนทั้งสองของตัวเองด้วยความไม่สบอารมณ์ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินบะหมี่แห้งที่เหลืออยู่ในชามเพื่อเป็นการระบายอารมณ์
แปดสิบเปอร์เซ็นของความหงุดหงิดคือความหิว อีกยี่สิบเปอร์เซ็นคือหงุดหงิดไอ้หน้าอ่อนที่เข้ามากวนตีน ถ้าไม่ติดว่าหิวนี่จะเดินตามออกไปกระทืบมันละ คนอะไรกวนตีนหน้าตายฉิบหาย
“คุณรัชช์ นิติศาสตร์ปีสาม อดีตเดือนมหา’ลัยเมื่อสองปีก่อน” น็อตเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมของผมหันมาตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูจะเพ้อๆ อยู่ไม่น้อย
“คุณรัชช์?” ผมทวนคำพูดของเพื่อนด้วยความสงสัย
“คุณรัชช์ ชื่อจริงคือรัชช์ อัศวบุญโชค เกิดวันที่ 19 กุมภาพันธ์ กรุ๊ปเลือด AB สูง 180 เซนติเมตร หนัก 58 กิโลกรัม เป็นลูกครึ่งไทย-เกาหลี มีพ่อเป็นคนไทยเชื้อสายจีน และมีแม่เป็นคนเกาหลีแท้ๆ เห็นว่าต้นตระกูลของทางฝั่งแม่นี่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อเจ้าเชื้อกษัตริย์ของทางเกาหลี พวกคนทั่วไปรู้เรื่องนี้เลยเรียกแบบให้เกียรติ ถึงแม้ว่าทางเกาหลีจะไม่มีราชวงศ์อย่างประเทศอื่นแล้วก็ตาม แต่หลักๆ ที่คนส่วนใหญ่เรียกว่าคุณรัชช์ก็คงเป็นเพราะลักษณะท่าทางนิสัยคำพูดคำจาอะไรแบบนี้มากกว่า ก็เหมาะสมกับการเป็นเชื้อเจ้าดีนะ สุภาพสง่างามมีชาติตระกูล ขนาดจะโดนต่อยยังใจเย็นเลย” ไอซ์ยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่มีรูปของคนที่เป็นหัวข้อบทสนทนามาให้ผมดู แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมมันรู้ดีนัก
ผมรับโทรศัพท์มาดูแล้วก็ต้องเบะปากคว่ำจนแทบจะถึงพื้น เลื่อนๆ ดูคอมเม้นใต้รูปภาพในเพจของมหา’ลัยแล้วก็ได้แต่แอบหมั่นไส้อีกฝ่ายในใจ พวกแฟนคลับก็อวยกันโอเวอร์เหลือเกิน หน้าตาก็อย่างนั้นๆ แหละ ผมยังหล่อกว่าตั้งเยอะ ตัวนี่บางเป็นกระดาษเอสี่แถมยังขาวอย่างกับแดกหลอดไฟนีออนเข้าไป หน้าตาเหมือนพวกลูกคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็นแบบนั้นผู้หญิงก็ยังจะกรี๊ดอีกเนอะ ต้องหล่อคมเข้มสูงยาวเข่าดีมีซิกแพคแบบผมนี่สิถึงจะน่ากรี๊ด
“กวนตีนล่ะสิไม่ว่า!” พูดถึงแล้วผมก็หัวร้อนขึ้นมาอีก อย่างนั้นไม่ได้เรียกว่าใจเย็นหรอก เขาเรียกกวนตีนหน้าตาย ทำเป็นนิ่งๆ แต่จริงๆ คือวอนตีน
“พูดก็พูดเถอะ เพิ่งรู้ว่าคุณรัชช์ชอบผู้ชายนะเนี่ย” ไอ้น็อตแย่งโทรศัพท์ของไอ้ไอซ์ในมือผมไปแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวไม่ต่างจากคนบ้า แถมยังพูดพึมพำอะไรอีกก็ไม่รู้ เห็นอย่างนั้นแล้วผมก็ได้แต่ถามตัวเองว่าเพื่อนกูมันปกติดีหรือเปล่า?
“นี่กูเข้าใจมาตลอดว่าคุณรัชช์คบกับพี่กริน” ตัวละครใหม่โผล่ขึ้นมาในบทสนทนาอีก ผมหันมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนสลับไปมาอย่างสนใจ ไม่ได้อยากรู้เรื่องไอ้คุณรัชช์อะไรนั่นหรอก แต่ผมจำเป็นต้องรู้ ไม่อย่างนั้นผมจะตามไปกระทืบมันได้จากที่ไหนล่ะ?
“คิดเหมือนกันเลย ว่าแต่อะไรดลใจให้คุณเขามาจีบไอ้มารุตได้วะ?”
“เออ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอย่างคุณรัชช์นี่นะจะมาจีบคนอย่างนี้” ไอ้น็อตว่าออกมาอย่างเซ็งๆ ก่อนจะปรายหางตามามองผมเหยียดๆ จนผมรู้สึกเริ่มจะรังเกียจตัวเองกันเลยทีเดียว
“เดี๋ยว! เผื่อพวกมึงลืม นี่เพื่อนไง” ผมยกมือขึ้นห้ามเพื่อนทั้งสองเอาไว้ก่อนที่จะมีใครพูดจาร้ายๆ ออกมาอีก ลำพังแค่สายตาที่พวกมันมองมาผมก็รู้สึกสงสารปนสมเพชตัวเองแล้ว ได้โปรดอย่าทำให้กูดูเลวร้ายไปมากกว่านี้เลย
“คุณรัชช์เขาเมายาหรือเปล่าวะ?”
“อย่างที่คนเขาพูดกันว่าผู้หญิงชอบคนเลว”
“แต่คุณรัชช์เป็นผู้ชาย”
“เออว่ะ จริงๆ คุณรัชช์แมนมากนะ หล่อรวยเรียนเก่ง สุภาพบุรุษ นิสัยดี พอพูดถึงคุณรัชช์ ในหัวกูนี่มีแต่คำว่าดี ดี และดีเต็มไปหมด แต่พอมอง เหอะ!” ท้ายประโยคไอ้น็อตยังคงจิกตามองผมราวกับผมเป็นสิ่งต่ำต้อยที่สุดบนโลกใบนี้
ฮัลโหล! สรุปกูนี่อยู่ชนชั้นวรรณะไหนเหรอ?
“มึงเกลียดอะไรกูเหรอเพื่อน?” ถ้าขนาดนี้แล้วก็ตัดเพื่อนกับกูเลยก็ได้
“ใครเพื่อนมึง!?”
“อ้าว!” ผมได้แต่ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ เพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่หัวเกรียนอย่างน็อตหันมาร้องแหวเสียงดังใส่
เพิ่งเข้าใจคำว่าเพื่อนมันสั้นก็วันนี้แหละ!
“ใจเย็นหนุ่ม อย่าเพิ่งตีกัน มึงมาช่วยกันคิดดีกว่าว่าคุณรัชช์ทำแบบนี้ทำไม? อย่างคุณรัชช์นี่ไม่น่าจะมาชอบหรือสนใจนักเลงอย่างมารุตได้ แล้วทำไมเขาถึงมาบอกว่าจะจีบมันวะ?” ไอซ์ดึงเรากลับมาที่ประเด็นสำคัญอีกครั้ง
“หรือคุณรัชช์ชอบของแปลก?” ไอ้น็อตยังคงคอนเซ็ปกัดเพื่อนไม่เลิกอยู่
“ไอ้เหี้ยนี่!” ผมเลยยกขาขึ้นถีบมันไปหนึ่งทีแรงๆ ด้วยความรักและเกลียดชัง กวนตีนไม่เลิกก็เอาตีนไปแดกซะ!
“ใจเย็น~”
“มันจะทำไปทำไมกูไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้ามันเข้ามายุ่งวุ่นวายกับกูเมื่อไหร่ล่ะก็ กูกระทืบไส้แตกแน่!” จะเป็นใครมาจากไหนผมไม่สนหรอก แต่ถ้ามันคิดจะหาเรื่องใส่ตัวผมก็ยินดีที่จะช่วยสงเคราะห์ให้ ช่วงนี้ยิ่งอารมณ์เสียง่ายอยู่ด้วย มีคนมาเป็นที่ระบายอารมณ์ก็ดีสิ สัญญาว่าจะตอบแทนความกวนตีนของมันให้สาสมเลย
“ถ้ามึงทำอะไรคุณรัชช์มึงเจอกูแน่มารุต!” แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดไปไกล ไอ้เพื่อนตัวดีก็ร้องห้ามเสียงดังขึ้นมา
“มึงจะอะไรนักหนาวะ!?” กับเพื่อนตัวเองนี่มึงเคยเข้าข้างบ้างไหม!?
“กูเป็น FC คุณรัชช์ เขาเป็นคนดีมาก เพราะฉะนั้นมึงห้ามเอาสีดำของมึงไปติดเขา เด็ดขาด!”
“มึงพูดถึงความเลวหรือสีผิว?” ชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันกำลังด่าผมเรื่องไหนอยู่
“ทั้งสองอย่าง”
“อะ ปากวอนตีนแล้วไง” ถ้ากระทืบเพื่อนตัวเองนี่มันจะดูเลวมากไหมครับ?
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าคุณรัชช์เป็นอะไรไปมึงโดนคนทั้งมหา’ลัยฆ่าแน่!”
“มันจะอะไรนักหนาวะกับแค่คนๆ เดียว” ทำอย่างกับเป็นเทวดาลงมาจุติ คนเหี้ยไรจะประเสริฐขนาดนั้น ดีแสนดีเหลือเกิน แตะต้องไม่ได้เลย จะเป็นจะตายแทนเป็นเดือดเป็นร้อนกันหมด ไอ้ฉิบหาย!
“เดี๋ยวมึงก็รู้”
“อะไร?” ผมขมวดคิ้วมองไอซ์อย่างไม่เข้าใจ
“คุณรัชช์น่ะ ไม่ได้มีดีแค่ที่หน้าตาหรอกนะ ถึงจะไม่ใช่คนยิ้มง่าย เอาจริงๆ ก็ยังไม่เคยมีใครเห็นเขายิ้มแบบที่เป็นยิ้มจริงๆ เลย ส่วนมากก็ยิ้มไปตามมารยาทแต่เพราะนิสัยที่ดีแสนดีเลยทำให้ใครๆ ต่างก็หลงรัก มีแต่คนโอ๋มีแต่คนอวย แต่ก็อย่างว่า คุณรัชช์เขาก็ดีจริงแหละ” ไม่วายยังอวยตบท้ายให้ผมรู้สึกหมั่นไส้คนถูกอวยอีก โดนซื้อกันไปคนละเท่าไหร่วะ?
“พวกมึงจะอวยอะไรมันนักหนาวะ? กูดูก็งั้นๆ แหละ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” กับอีแค่ทำตัวเป็นคนดีใครๆ ก็สร้างภาพได้ทั้งนั้น จะดีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้? อวยเหมือนแม่งเป็นฮีโร่ผู้สร้างโลกไปได้
“เชื่อเถอะ ไม่เกินหนึ่งเดือนมึงจะตกหลุมรักคุณรัชช์อย่างแน่นอน” ไอ้น็อตยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมจนหน้าแทบจะชนกันก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากอย่างท้าทาย ทำเอาผมผงะถอยหนีแทบไม่ทัน
ถ้าผีผลักขึ้นมาทำไงล่ะเพื่อนเหี้ย! สยอง!
“ไร้สาระ กูเพิ่งเลิกกับไอริส และกูก็ยังรักไอริสอยู่ กูไม่มีทางสนใจคนอื่นนอกจากไอริส!”
ผมพูดเสียงดังอย่างมั่นใจ ผมมีแฟนที่รักมาก แต่ผมเพิ่งเลิกกับเขาไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ผมรักไอริสแต่เพราะเรามีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันเราเลยเลิกกัน แต่ตอนนี้ผมพยายามตามง้อเขาอยู่ ไอริสเป็นผู้ชายตัวเล็ก หน้าออกหวานๆ หน่อย ตาโตๆ ปากเล็กๆ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็น่ารักน่าเอ็นดูไปหมด ผิดกับไอ้คนที่เดินเข้ามาประกาศว่าจะจีบผมอย่างสิ้นเชิง ผมไม่มีทางหลงผิดไปชอบไอ้คุณรัชช์อะไรนั่นได้หรอก โคตรไม่ใช่สเปคเลย ผมชอบคนตัวเล็กๆ ขี้อ้อน น่ารักๆ สดใส ไม่ใช่ผู้ชายตัวสูงไล่เลี่ยกันแถมหน้าตายังจืดชืดดูไร้อารมณ์แบบนั้น
ขอเถอะ แค่เห็นไกลๆ ร้อยเมตรก็หมดอารมณ์แล้ว
“เออ กูจะคอยดู” ไอ้ไอซ์กรีดยิ้มร้ายคล้ายกับว่ากำลังรอดูเรื่องสนุกอยู่ แอบขนลุกเบาๆ เพราะนานๆ ทีไอซ์มันจะแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา
“เบื่อพวกมึงว่ะ กูไปหาไอริสดีกว่า” ผมเบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าเป้ของตัวเองมาสะพายแล้วลุกเดินหนีเพื่อนของตัวเองทันที ใครจะอยู่ให้พวกมันหาเรื่องมาด่าอีกล่ะ
ก็รู้ไงว่าเลวแต่ก็ไม่ต้องตอกย้ำกูบ่อยก็ได้ เหมือนกูเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยด้อยค่าที่สุดบนโลกใบนี้เลยว่ะ
Rach Part :
เมื่อเดินเข้ามาถึงคณะของตัวเองผมก็ได้รับสายตาหลากหลายความรู้สึกที่มองมา ผมลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินเลี่ยงเข้าห้องเรียนของตัวเองไป ดูเหมือนว่าคาบนี้ไทม์จะโดด ส่วนเชน ผมไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าจะไปทำธุระแล้วจะรีบกลับมา แต่จนถึงตอนนี้ที่จะเข้าเรียนคาบบ่ายแล้วแต่เขาก็ยังไม่มาเลย กรินหันมามองผมเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ต้องกลืนคำเหล่านั้นลงไปเพราะอาจารย์ประจำวิชาดันเดินเข้ามาเสียก่อน เพื่อนในห้องต่างทยอยเข้ามากันมากขึ้น และส่วนใหญ่ก็หันมามองผมสลับกับโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของพวกเขาอย่างสนอกสนใจ ท่าทางแบบนั้นไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“บอกสิว่ามันไม่จริง” หลังจากที่หมดคาบเรียนสามชั่วโมงรวดผมก็ถูกกรินลากมาที่ทางบันไดหนีไฟ คนสวยของผมมีสีหน้ายุ่งเหยิงไปหมดจนคิ้วเรียวสวยแทบจะรวมร่างกันอยู่แล้ว
“อะไรครับกริน?” ผมยื่นปลายนิ้วไปคลึงที่หัวคิ้วของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบางเบา
“คุณรัชช์ทำแบบนี้ทำไม?” กรินเบี่ยงตัวหลบแล้วยกมือขึ้นกอดอกมองผมอย่างคาดคั้น
“เห็นแล้วเหรอ?” ก็ถ้าคนทั้งมหา’ลัยรู้เรื่องนี้ได้แล้วทำไมกรินจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้
“ตอบมาสิคุณรัชช์”
“...” ที่ไม่ตอบไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบแต่ผมไม่รู้จะตอบอะไรมากกว่า
“เพราะไทม์ใช่ไหม? ทำไมล่ะคุณรัชช์? ไหนบอกกับกรินว่าจะไม่ช่วยอะไรไทม์อีกแล้วไง? แล้วทำทำไม?” พอเห็นผมเงียบกรินก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่
“ครั้งสุดท้ายจริงๆ แล้วครับกริน มันจะไม่มีอีกแล้ว” ผมเคยบอกกับกรินเอาไว้ว่าจะไม่ช่วยไทม์แล้วแต่ผมก็ผิดคำพูด แต่มันจะไม่ใช่กับครั้งนี้ ถ้าจบเรื่องระหว่างไอริสกับไทม์เมื่อไหร่มันจะไม่มีอีกแล้ว ผมจะเริ่มตีตัวออกห่างจากไทม์ จะไม่ปล่อยความรู้สึกของตัวเองให้ไปไกลและจะไม่ให้ไทม์เข้ามามีอิทธิพลกับผมได้อีก
“เหนื่อยไหมคุณรัชช์?” มือเล็กยื่นมาแตะที่ต้นแขนของผมด้วยสีหน้าเป็นห่วงจนผมรู้สึกผิด ผมทำให้กรินต้องคอยเป็นห่วงอยู่ตลอดเลย
“ไม่ครับ ไม่รู้สึกอะไรแล้ว” บางครั้งมันก็เจ็บจนชิน บางทีความรู้สึกของผมมันอาจด้านชาไปแล้วก็ได้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องช่วยให้ไทม์สมหวังกับใครสักคน มันหลายครั้งจนผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเคยรู้สึกยังไง
“โอ๋ๆ นะคุณรัชช์ ยังมีกรินอยู่นะ เดี๋ยวให้กริชพาไปกินซูชิ” คนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามากอดผมเอาไว้หลวมๆ ก่อนจะผละออกแล้วยกยิ้มทะเล้นมาให้
“กริน” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ
“กรินเชื่อว่าซูชิจะเยียวยาจิตใจคุณรัชช์ได้”
“เห็นเราเป็นคนยังไงเนี่ย?” ถึงซูชิจะเป็นเมนูโปรดของผมแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาของกินมาล่อผมได้นะ
“เป็นคนดีที่ไม่ควรเสียใจกับคนนิสัยไม่ดี” กรินว่าออกมาอย่างจริงจัง
“ใครๆ ก็ต้องเคยเสียใจกันทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่องความรัก” ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอแล้วยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มลื่นมือของอีกฝ่ายอย่างหยอกล้อ ผมรู้ว่ากรินเป็นห่วงผมมากขนาดไหน เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ผมจะไม่ทำตัวให้กรินต้องเป็นห่วงอีกแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องไหนหรือเรื่องของใคร
“แต่คุณรัชช์ควรเจอคนที่ดีกว่าไทม์”
“กริน” ผมเอ่ยปรามเสียงดุ ไม่อยากให้กรินมองไทม์ไม่ดี กรินเริ่มมีอคติกับไทม์มาสักพักแล้ว จริงๆ ก็ตั้งแต่ที่รู้ว่าผมชอบไทม์นั่นแหละ ผมพยายามบอกกรินหลายครั้งแล้วว่าไทม์ไม่เกี่ยว เขาไม่ได้รู้ว่าผมคิดหรือรู้สึกยังไงกับเขา เพราะฉะนั้นกรินจะไปโกรธไทม์ไม่ได้ แต่เพื่อนตัวเล็กของผมกลับไม่ฟังเอาเสียเลย
“อ๊ะ กริชโทรมา บอกให้กริชพาคุณรัชช์ไปเลี้ยงซูชิดีกว่า” โทรศัพท์เครื่องหรูถูกยกขึ้นมาจ่อตรงหน้าของผม เบอร์ของใครบางคนที่ผมรู้จักดีปรากฏอยู่บนหน้าจอ ผมได้แต่ยิ้มรับแทนคำตอบ กรินกดรับโทรศัพท์แล้วยืนพูดคุยกับคนปลายสายอยู่เกือบสองนาทีก่อนหันมายิ้มกว้างจนตาหยีให้แล้วยื่นมือมาลากผมให้เดินลงไปที่หน้าตึกคณะ
17.31 นาฬิกา
“จากที่ฟังดูแล้ว เราว่าคุณรัชช์ลองจีบนายมารงมารุตอะไรนั่นจริงๆ ก็ดีนะ เผื่อเคมีมันเข้ากัน” กริชว่าออกมาอย่างสบายๆ หลังจากที่กรินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฝาแฝดของตัวเองฟังจนหมด กริชเป็นน้องชายฝาแฝดของกริน ผมสนิทกับเขาพอๆ กับที่สนิทกับกริน เพราะเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว พูดง่ายๆ คือเราโตมาด้วยกัน
“ตลกเหรอกริช? มารุตน่ะป่าเถื่อนและหยาบคายมาก เขาไม่เหมาะกับคุณรัชช์เลยแม้แต่นิดเดียว” กรินเอาตะเกียบตีแปะเข้าที่หลังมือของแฝดน้องหนึ่งทีแล้วว่าออกมาด้วยท่าทางจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นกรินก็คงหาคนที่คู่ควรกับคุณรัชช์ไม่ได้แล้วล่ะ เพราะในโลกนี้คงไม่มีคนดีแบบนั้นอยู่จริงหรอก” ผมเผลอกลอกตาไปมากับคำพูดของกริช ไม่มีใครดีราวกับเทพบุตรลงมาจุติขนาดนั้นหรอก แม้แต่ผมก็ไม่ได้ขาวบริสุทธิ์ถึงขั้นจะต้องมาอวดมายอเป็นเทวดาแบบนั้น
“ไม่ได้ช่วยอะไรเลย” คนสวยบ่นอุบแล้วคีบซูชิเข้าปากอย่างเซ็งๆ
“ขอโทษที่กริชมันมีประโยชน์แค่รูดการ์ดนะครับ” แฝดคนน้องเบ้ปากประชดออกมา
“อย่าทะเลาะกัน” ผมรีบเอ่ยห้ามทัพของสองแฝด ถึงจะเป็นฝาแฝดกันก็เถอะ แต่ก็ชอบโต้เถียงกันอยู่บ่อยๆ จนผมอดจะปวดหัวไม่ได้
“เอาจริงๆ นะ กรินไม่ควรตัดสินคนแค่ภายนอกหรือแค่ฟังคนเขาเล่ามา บางทีเรื่องความเหมาะสมอะไรแบบนั้นมันไม่มีอยู่จริงหรอก จะมาตัดสินกันเพียงเพราะใช้สมองมากไปมันก็คงไม่ดี เรื่องของหัวใจก็ต้องใช้ความรู้สึก ลองดูก็ไม่เสียหายนะคุณรัชช์” กริชที่นานๆ ทีจะดูมีสาระพูดขึ้นด้วยสีหน้าและท่าทางที่จริงจังดึงความสนใจของผมไปที่เขาจนหมด
กริชเป็นผู้ชายที่หล่อมาก หล่อจนผมที่เป็นผู้ชายเหมือนกันยังอิจฉา ใบหน้าเรียวได้รูปและสันกรามที่คมชัด ดวงตาเรียวคมสีดำสนิท จมูกโด่งได้เป็นสัน ปากเรียวบางเป็นรูปกระจับ บวกกับช่วงขาที่เรียวยาวยิ่งทำให้กริชเป็นผู้ชายที่น่ามองมากยิ่งขึ้น ทั้งหน้าตาและรูปร่าง ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูดีไปหมด
“เป็นเรื่องที่ยากนะ” ผมว่าออกมาตามความรู้สึก
“จริงๆ เราอยากให้คุณรัชช์ลองมองคนอื่นดู ไทม์ไม่ใช่สำหรับคุณรัชช์หรอก เราว่ามีคนอื่นที่ใช่กว่า”
“ทำไมกริชดูเหมือนอยากจะยัดเยียดมารุตให้คุณรัชช์นัก”
“ไม่ได้ยัดเยียด แต่นั่นคือโอกาส ต้องลองถึงจะรู้ ถ้าพูดถึงเรื่องความเหมาะสม ทั้งหน้าตา ฐานะ การศึกษา อะไรหลายๆ อย่างนายมารุตนั่นก็สูสีกับคุณรัชช์เลยนะ” ผมอดจะแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้กริชดูจะจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ทั้งที่เขามักจะติดเล่นอยู่เสมอ เป็นคนที่นานๆ จะหาสาระได้สักครั้งหนึ่ง แต่พอได้มีสาระก็นับว่าพึ่งพาได้จริงๆ
“อย่ามาพูดถึงปัจจัยภายนอกสิ มารุตนิสัยเสียจะตาย ใครๆ ก็พูดกันว่าเป็นนักเลง ขนาดอยู่ปีสองแล้วยังมีเรื่องชกต่อยให้ได้ยิน โตขนาดนั้นแต่ไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์ขั้นสุด วันนี้ก็เกือบต่อยคุณรัชช์ด้วยนะ” กรินว่าออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ ยกเหตุยกผลขึ้นมาโต้แย้งทันที
“ถ้ามันกล้าคุณรัชช์ก็ก้านคอมันกลับเลย”
“ตลกเหรอกริช?”
“จริงๆ ลองเปลี่ยนแนวก็ดีนะคุณรัชช์”
“จีบเองเลยไหมล่ะ?” ไม่รู้ทำไมกริชถึงดูจะเชียร์มารุตนัก ทั้งที่ก็ไม่เคยเจอกันแต่ดูจะถูกใจเขาเหลือเกิน
“ถ้าเราไม่มีคนในใจเราจะจีบคุณรัชช์” เจ้าแฝดคนน้องว่าออกมาพร้อมร้อยยิ้มทะเล้นน่าหมั่นไส้
“เราหมายถึงให้ไปจีบมารุตต่างหาก พี่บรินกลับมาเมื่อไหร่เราจะฟ้องพี่บรินว่ากริชนอกใจพี่บริน” ผมแสร้งตีหน้าดุแล้วหันไปแท็กมือกับกรินที่หัวเราะชอบอกชอบใจอยู่ข้างๆ
“ฟ้องไปเถอะ อาบรินเขาไม่สนใจหรอก มีแต่เราคนเดียวนั่นแหละที่วิ่งตามเขา จนถึงตอนนี้เขายังไม่ตอบข้อความเราเลย ตั้งกี่ปีแล้วที่เขาไป ไม่ว่าจะอยู่หรือไปเขาก็ไม่เคยสนใจเราเลยด้วยซ้ำ” กูรูด้านความรักเมื่อกี้เริ่มเป็นฝ่ายตัดพ้อในเรื่องความรักของตัวเองแล้วครับ
แหม ตัดพ้อเก่งเชียว
“อ้าว ดราม่าเรื่องอาบรินเฉย” กรินหัวเราะจนตาหยีพลางยื่นมือไปลูบหัวปลอบน้องชายฝาแฝดตัวเองอย่างเอ็นดู
“กริชต้องให้เวลาพี่บรินหน่อยนะ ถ้าพี่บรินพร้อมเดี๋ยวพี่เขาก็กลับมาเองแหละ” กลายเป็นผมต้องขยับไปกอดปลอบเพื่อนตัวสูงแทนเสียอย่างนั้น
“แต่ไม่กลับมาก็ดีนะ อาบรินจะได้ไม่ต้องเจอพ่อ” คนที่ทำหน้าเศร้าอยู่เมื่อกี้ปรับเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นดุดันทันทีในเพียงชั่วพริบตาเมื่อเอ่ยถึงผู้ให้กำเนิดของตัวเอง ผมกับกรินหันมองสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย
“พอเถอะกริช ยิ่งพูดกริชก็ยิ่งเจ็บ” ผมลูบแขนปลอบกริชอีกครั้งก่อนจะขยับกลับมานั่งคีบซูชิกินต่อ บางเรื่องก็อย่าไปพูดถึงมันเลย ยิ่งพูดก็ยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดเสียเปล่าๆ
“อืม สรุปแล้วคุณรัชช์ก็ลองเอาเก็บไปคิดดูก็แล้วกันนะ” กริชดึงเราทั้งสามคนกลับมาที่หัวข้อเดิมอีกครั้ง
“ก็คงจะมองคนใหม่ แต่คนๆ นั้นจะเป็นใครนั่นก็อีกเรื่องหนึ่งนะ” ผมไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง ไม่ว่าผมจะเคยคบใครมาหรือเคยมีความรู้สึกให้ใคร ถ้ามันจบก็คือจบ ถ้าไม่มีหวังก็ตัดทิ้ง ผมจะไม่มานั่งอาลัยอาวรณ์ปิดกั้นตัวเอง ปิดโอกาสหรือกันคนอื่นออกจากชีวิต ผมเองก็เปิดรับใครเข้ามาตลอด
แต่บางครั้งพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกกับพวกเขาได้เท่าที่ควรจะเป็น
“แบบนั้นก็ดี กรินอยากเห็นคุณรัชช์มีความสุข”
“ครับ”
ถ้าการคบใครสักคนจะทำให้ผมมีความสุข ผมเองก็หวังว่าจะได้สัมผัสมันอีกสักครั้งหนึ่ง
“กลับมาแล้วเหรอคุณเล็ก?” ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในบ้านเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้น
“อ้าว คุณใหญ่ กลับมาจากฮ่องกงเมื่อไหร่ครับ?” ผมหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็ต้องหลุดยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนที่ผมกำลังคิดถึงยืนหล่ออยู่ไม่ไกล
“เมื่อเย็นครับ ไปไหนมาทำไมกลับเสียค่ำเชียว?” พี่ชายคนดีอ้าแขนออกกว้างรอให้ผมเดินเข้าไปหา แน่นอนว่าผมไม่รอช้าที่จะเดินไปสวมกอดอีกฝ่าย
“ไปกินซูชิกับแฝดมาครับ” ผมตอบไปตามความจริง ระหว่างผมกับคุณใหญ่ อ่า หมายถึงพี่ริค พี่ชายคนโตของผมน่ะครับ ผมไม่เคยมีความลับกับเขา แต่คงต้องยกเว้นเรื่องมารุตเอาไว้สักหน่อย เพราะมันค่อนข้างจะไร้สาระเกินไป
อ้อ ที่บอกว่าไม่เคยมีความลับน่ะ ก็เพราะคุณใหญ่มักจะรู้เองก่อนเสมอเลย
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปอาบน้ำนอนนะครับ พรุ่งนี้มีเรียนเช้านี่” คุณใหญ่ว่าเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้า
“คุณใหญ่จำตารางเรียนของเล็กได้ด้วยเหรอครับ?” ผมว่าอย่างแปลกใจ เพราะผมเคยเอาตารางเรียนของตัวเองให้คุณใหญ่ดูแค่ครั้งเดียวเอง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำได้ ก็แค่ตารางงานของตัวเองก็น่าปวดหัวแล้วนี่นา
“อะไรที่เกี่ยวกับคุณเล็ก ใหญ่ก็จำได้หมดล่ะครับ”
“น่ารักจริงๆ เลยพี่คนนี้” ผมว่าพร้อมยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มอีกฝ่าย มันออกจะดูแปลกๆ ไปสักเล็กน้อยที่พี่น้องผู้ชายอย่างเรามากอดหอมกันแบบนี้ แต่มันเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเราครับ บ้านเราติดสกินชิพกันทั้งบ้าน โดยเฉพาะผม
“คุณเล็กต้องรักใหญ่มากๆ นะครับ ห้ามรักคนอื่นมากกว่า”
“เล็กจะรักใครได้มากกว่าคุณใหญ่ล่ะครับ?” ผมตาโตมองพี่ชายตัวเองอย่างตกใจ ชาตินี้จะมีใครที่แสนดีได้เท่าคุณใหญ่อีก อ่า ยกเว้นคุณกลางกับออมม่าและอาปาเอาไว้ด้วยก็แล้วกัน
“ก็พูดเผื่อไว้ ถ้าคุณเล็กมีแฟนก็คงลืมใหญ่” ประเด็นนี้อีกแล้ว
“โธ่ ใจน้อยจังครับ” ยื่นมือไปประกบสองข้างแก้มของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วกดจูบเบาๆ ที่ปลายคางเรียวอย่างเอาใจ
“ไปอาบน้ำเลยครับ อย่ามาแซว”
“ครับๆ อ่า จริงสิ คุณใหญ่ได้ติดต่อกับพี่บรินบ้างไหมครับ?” ผมที่โดนไล่ไปอาบน้ำก็กำลังจะเดินขึ้นบันไดไปแล้วแต่ก็มานึกอะไรขึ้นได้จึงเดินย้อนกลับไปหาคุณใหญ่อีกรอบ
“ทำไมเหรอ?” อาจเพราะเราไม่ได้พูดถึงลูกพี่ลูกน้องคนสนิทนานแล้วคุณใหญ่เลยอดจะสงสัยไม่ได้ที่ผมถามออกไปอย่างนั้น
“พี่บรินเขาจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ?” พี่บรินที่ผมถามถึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผม พ่อของพี่บรินเป็นลุงแท้ๆ ของผม ลุงกับป้าสะใภ้เสียไปตั้งแต่ที่พี่บรินเด็กๆ แต่คนที่รับพี่บรินไปเลี้ยงก็คือปู่กับย่าของกรินกริช พวกท่านเป็นเพื่อนรักกัน พี่บรินถูกเลี้ยงเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านหลังนั้น และมีศักดิ์เป็นอาของกรินและกริช
“ใหญ่ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ บรินไม่ยอมบอกเลย แฝดให้มาถามเหรอ?” พอพูดถึงพี่บริน คุณใหญ่ก็มีสีหน้าที่เป็นกังวลทันที จากหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่บรินทำให้คุณใหญ่ต้องคอยตามดูแลอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ถ้าไม่ติดว่าพี่บรินหนีไปเรียนต่อที่อังกฤษเราก็คงได้เห็นสองเพื่อนรักตัวติดกันเหมือนเมื่อหลายปีก่อนแน่ๆ
“เปล่าครับ เล็กอยากรู้เอง สงสารกริช” ถึงกริชจะดูกะล่อนและไหลไปเรื่อย แต่ผมรู้ดีว่าใจเขายังคงรอพี่บรินอยู่ ต่อให้ตอนนี้เขาจะทำตัวเหลวไหลเจ้าชู้จนน่าหมั่นไส้แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเจ็บปวดกับความรักมากแค่ไหน
“ไม่ต้องห่วงหรอก บรินโตแล้ว ใหญ่ว่าอีกไม่นานบรินก็คงกลับมาแล้วล่ะ”
“จริงเหรอครับ?”
“ครับ” ก็ขอให้เป็นอย่างที่คุณใหญ่พูดนะครับ หวังว่าพี่บรินจะรีบกลับมาในเร็ววัน
รีบกลับมาก่อนที่คนรอจะท้อแล้วถอยห่างออกมานะครับพี่บริน
“ถ้าอย่างนั้นเล็กไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับ ฝันดีครับคุณใหญ่”
“ฝันดีคุณเล็ก”
ผมกดริมฝีปากที่ข้างแก้มสากเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินขึ้นห้องนอนของตัวเองไป เดินเข้ามาในห้องได้ผมก็หลุดเสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ว่าใครก็เจ็บปวดกับความรักกันได้ทั้งนั้น ทุกคนก็คงต้องเคยผ่านเรื่องราวที่เจ็บปวดมากันหมด ไม่ว่าจะผม กริช พี่บริน หรือใครก็ตาม
ถ้าใครเคยอ่าน Look at me มองฉันสิ ก็น่าจะพอคุ้นกับชื่อของกริชมาบ้างนะคะ
น้องจะไปโผล่เรื่องของคนอื่นจนกว่าจะมีเรื่องเป็นของตัวเองค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นการสกินชิพพี่น้องที่น่าร๊ากกเว้ยย. ชอบบบย
ฮูยยน้องขี้ชกินชิพด้วย ถ้าอยู่กะแฟน(ในอนาคต)จะเป็นยังงายยยยยย>< ตัวละครเยอะมากๆฮือออออ ความจำสั้นแต่รักฉันยาว สนุกมากกกค่าาา