ตอนที่ 2 : จีบคนเถื่อน : 01
หนึ่งเดือนก่อน
“ดีใจที่คุณรัชช์มานะคะ”
“เรียกคุณอีกแล้ว” ผมขมวดคิ้วมองเพื่อนร่วมสาขาดุๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่นัก
“ก็มันติด ยังไงก็เต็มที่เลยนะคุณรัชช์ ครั้งนี้คุณรัชช์ช่วยพวกเราไว้เยอะมาก” เธอพูดด้วยรอยยิ้มเขินๆ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในร้านที่เรานัดเจอกัน
“ทำไมถึงมาผับล่ะ? อันตรายนะ” อดถามออกมาไม่ได้เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่จองเอาไว้
“ก็พวกเราอยากควงคุณรัชช์บ้างนี่นา” เธอว่าอย่างติดตลก
“เข้าร้านข้าวก็ควงได้” ผมว่าทีเล่นทีจริง ถึงจะไม่ได้สนิทกันมากแต่ผมก็พยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับพวกเธอให้ได้ โชคดีตอนที่ไปช่วยพวกเธอทำงานเราได้พูดคุยกันบ่อย เวลาเจอกันก็มีพูดเล่นบ้างหยอกล้อกันบ้างเลยทำให้ไม่เกร็งเวลาที่ต้องอยู่ด้วยกัน อีกอย่างพวกเธอก็น่ารักเป็นกันเองด้วย
“คุณรัชช์~ ทำไมน่ารักแบบนี้ ตอนเด็กๆ คุณแม่เลี้ยงด้วยอะไรคะเนี่ย?”
“แซวเก่ง” ผมหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับคำพูดเหล่านั้น จริงๆ ก็เจอคำถามประมาณนี้มาเยอะแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี เคยถามออมม่า ท่านก็บอกว่าเลี้ยงด้วยความรักและความใส่ใจ ผมทำได้แค่หัวเราะตอนได้ยิน หลังจากนั้นเวลาใครถามผมเลยแสร้งไม่สนใจ เพราะคิดว่าไม่พูดออกไปจะดีกว่า
“แหม สนใจแต่คุณรัชช์กันนะครับ สนใจไทม์บ้างสิ” เสียงทุ้มต่ำจากคนข้างตัวผมดังขึ้นเรียกความสนใจจากพวกเราทุกคนให้หันไปมอง ไทม์นั่งกอดอกทำหน้างอแงเหมือนเด็กๆ เป็นการบอกกลายๆ ว่าเขาเริ่มจะงอนแล้วนะ
“พวกเราคุยกับไทม์บ่อยแล้ว นานๆ ถึงจะได้คุยกับคุณรัชช์สักที ขอสักวันเถอะ”
“ขอบคุณที่มาช่วยงานกลุ่มเรานะคะ ถ้าไม่ได้คุณรัชช์นี่พวกเราแย่เลย” สาวๆ หันมายิ้มหวานให้ผมอย่างน่ารัก ผมเองก็ยิ้มรับบางๆ ตามมารยาท
“ใช่ค่ะ ไทม์ไร้ประโยชน์มากๆ”
“แหม อย่างน้อยก็พาคุณรัชช์มาช่วยพวกคุณได้ก็แล้วกันนะครับ” ไทม์กลอกตามองไปมาแล้วเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ผมมองหน้าเพื่อนสนิทกับสามสาวแล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
ไทม์เป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ง่ายมากๆ เจอใครได้ไม่นานก็สามารถพูดจาหยอกล้อกับเขาได้หมด อย่างสามสาวนี้พวกเธอก็เป็นเพื่อนร่วมเซคที่เราไม่ค่อยจะได้พูดคุยกันบ่อยนัก แต่พออาจารย์จับกลุ่มทำงานให้ ไทม์ที่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกเธอก็ดูจะสนิทกันเร็วมาก ผมได้รู้จักกับพวกเธอก็เพราะไทม์มาขอร้องให้ช่วยทำงานกลุ่ม เหมือนว่าหัวข้อที่กลุ่มนี้ได้จะเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่ถนัด หลังจากที่ปิดงานนี้เสร็จสาวๆ ก็ดีใจกันยกใหญ่จนมาขอเลี้ยงผมเป็นการตอบแทน ตอนแรกผมก็ปฏิเสธไปเพราะไม่ได้หวังเรื่องผลตอบแทนอะไร ก็มองว่าเป็นเพื่อนกันทั้งนั้นแหละ แต่พวกเธอก็ไม่ยอมเช่นกัน ตื้อจนผมใจอ่อนเลยต้องมาด้วยนี่แหละ
“บุญคุณเหลือเกินจ้า~”
“เลิกเถียงๆ เดี๋ยวคุณรัชช์เบื่อ สั่งอาหารมากินกันเถอะ” แก้วแอลกอฮอล์ถูกยื่นมาตรงหน้าผม
“ดื่มหนักไม่ได้นะ วันนี้ขับรถมา” ผมปฏิเสธกลับไป ไทม์เลยดึงแก้วนั้นไปดื่มเอง
“ถ้าอย่างนั้นคุณรัชช์สั่งอาหารให้เต็มที่เลยนะ ร้านนี้เขาบอกว่าอาหารอร่อยด้วย” เธอว่าพร้อมส่งเมนูอาหารมาให้ ผมผงกหัวเบาๆ แทนคำขอบคุณก่อนจะยื่นมือไปรับ
“ถ้าสั่งแล้วจะมาร้องโวยใส่ไม่ได้นะ” ผมแกล้งแหย่พวกเธอกลับไป
“ถ้าเป็นคุณรัชช์นี่พวกเราพร้อมเปย์”
“แอนด์พร้อมเพย์ค่ะ”
“ส่งเลขบัญชีมาเลยค่ะคุณรัชช์ขา~”
“ใจเย็นนะสาวๆ”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับการแท็กทีมของสามสาวโดยมีไทม์เป็นตัวตบมุข หลังจากสั่งอาหารไปมากพอสำหรับผู้หญิงสามคนและผู้ชายตัวใหญ่ๆ อีกสองคนเราก็นั่งคุยนู่นคุยนี่กันฆ่าเวลา ผมถูกสาวๆ ขอถ่ายรูปอัพลงโลกโซเชี่ยลด้วย ถึงจะไม่ค่อยอยากเป็นที่สนใจไม่ว่าจะในโลกโซเชี่ยลหรือโลกความเป็นจริง แต่ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธพวกเธอได้ รอกันอยู่พักใหญ่อาหารก็มาเสิร์ฟ พอมีอาหารมาอยู่ตรงหน้าพวกเราก็เหมือนไม่ได้มาด้วยกัน อาจเป็นเพราะหิวกันมากเลยมัวแต่กินจนไม่สนใจคนที่มาด้วยกัน เกิดสนามรบขนาดย่อมขึ้นบนโต๊ะเลยล่ะครับ
“ขอบคุณที่เลี้ยงนะ” หลังจบมื้อเย็นที่ค่อนไปทางดึกพวกเราก็พากันเดินมายังลานจอดรถเพื่อที่จะแยกย้ายกันกลับ ซึ่งตอนขากลับนี้มันค่อนข้างจะทุลักทุเลสักเล็กน้อย
“ขอบคุณที่มาช่วยงานพวกเราเหมือนกันค่ะ” เป็นคำขอบคุณรอบที่เท่าไหร่แล้วผมก็จำไม่ได้
“ขับรถกลับดีๆ นะคะคุณรัชช์” มันออกจะดูแปลกๆ สักหน่อยที่พวกเธอเป็นฝ่ายเดินมาส่งผมที่รถ ทั้งที่ผมควรจะเป็นฝ่ายเดินไปส่งพวกเธอแท้ๆ
“ให้ไปส่งไหม?” จำได้ว่าพวกเธอนั่งรถแท็กซี่มากัน ผู้หญิงสามคนนั่งรถแท็กซี่กลับกันตอนดึกๆ ไม่ดีเลย ถึงจะมีหลายคนแต่ก็อันตรายอยู่ดี
“อย่าลำบากเลยค่ะ แค่ไทม์คนเดียวคุณรัชช์ก็แย่แล้ว พวกเราไม่รบกวนดีกว่า” เธอว่าพลางมองเข้าไปในรถของผมที่สตาร์ทเครื่องเอาไว้หลังจากแบกคนเมาไม่ได้สติขึ้นไปนอนที่เบาะหลัง
“ไม่ได้รบกวนเลย” แค่ขับรถไปส่งแค่นี้ไม่ได้ลำบาก อย่างน้อยมันก็ดูง่ายกว่าการแบกผู้ชายที่ขนาดตัวไล่เลี่ยกันไปนู่นไปนี่ล่ะนะ
“คุณรัชช์คะ ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ?”
“อะไรเหรอ?”
“อย่ามีแฟนได้ไหม? อยู่ให้พวกเราชื่นชมแบบนี้ไปนานๆ ได้ไหมคะ?” พวกเธอว่าออกมาแล้วจ้องหน้าผมอย่างคาดหวังในคำตอบ
“แฟนนะไม่ใช่ปั้มน้ำมัน จะได้หากันได้ง่ายๆ” ผมกะพริบตาสองสามทีก่อนจะตอบกลับติดตลก พวกเธอทำเหมือนผมจะมีแฟนในเดือนหรือสองเดือนนี้อย่างนั้นแหละ แฟนมันไม่ได้หาได้ง่ายๆ สักหน่อย
“เปรียบเทียบซะน่าเอ็นดูเชียว รีบกลับเถอะค่ะ ก่อนรถคุณรัชช์จะไม่ปลอดภัย” ได้ยินอย่างนั้นผมก็ชักจะกลัวขึ้นมาเสียแล้ว หันมองเข้าไปในตัวรถแล้วก็แอบถอนหายใจเบาๆ หวังว่าเบาะรถผมจะยังสะอาดดีอยู่นะ
“กลับกันดีๆ นะ ถ้าถึงบ้านถึงหอกันแล้วทักมาบอกด้วยนะ” สุดท้ายผมก็ต้องตัดสินใจแยกกับพวกเธอเพราะถ้ามัวแต่รีๆ รอๆ กันอยู่คืนนี้ก็คงไม่ได้ไปไหน แถมผมอาจมีเกณฑ์ต้องส่งรถไปล้างอีกด้วย
“ได้ค่ะ เดี๋ยวจะทักไปเต๊าะเช้าเต๊าะเย็นเลยค่ะ” พวกเธอว่าทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินจากไป
ผมมองตามหลังสามสาวไปอย่างอ่อนใจก่อนจะเดินขึ้นรถและขับตรงไปที่บ้านของไทม์ ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นักในเวลาที่ค่อนข้างดึกอย่างนี้ ถนนในกรุงเทพค่อนข้างที่จะโล่งพอสมควร ผมขับไปตามเส้นทางที่คุ้นชินซึ่งตอนที่ใกล้จะถึงบ้านของไทม์ ผมก็โทรเข้าเบอร์บ้านของอีกฝ่าย บอกให้แม่บ้านมารอรับคุณหนูของบ้านด้วย กว่าจะได้ออกจากบ้านของไทม์ก็กินเวลาไปพักใหญ่ ก็คุณหนูของบ้านเขาเมาจนไม่ได้สติเลยน่ะสิ ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆ กว่าผมจะพาเขาขึ้นไปนอนบนห้องได้ก็เล่นเอาเหนื่อย หมดแรงข้าวมื้อดึกที่กินไปเลย
Rrrrr
หลังจากที่ขับออกมาจากบ้านหลังใหญ่ของเพื่อนสนิทได้ไม่นานโทรศัพท์ของผมก็แผดเสียงดังลั่น เหลือบมองดูก็พบว่าเป็นสายสำคัญเลยเอื้อมมือไปกดรับแล้วเปิดสปีกเกอร์โฟน
“ว่าไงครับกริน?”
(“คุณรัชช์อยู่ไหน?”) ปลายสายรีบร้องทักกลับมาทันทีที่ผมกดรับ ผมได้แต่ยกยิ้มเอ็นดูให้กับอีกฝ่าย พอรู้ว่าวันนี้ผมจะไปผับก็คอยโทรตามตลอด
ไปกี่โมง? ไปที่ไหน? ไปกับใคร?
ผมไม่ได้มองว่าคำถามเหล่านี้มันเป็นเรื่องน่ารำคาญ ผมมองว่านั่นคือความใส่ใจและความห่วงใยของคนถาม ผมว่ามันดีนะที่มีใครสักคนคอยถามไถ่ความเป็นไปของเราน่ะ
“กำลังกลับบ้านครับ เพิ่งแวะไปส่งไทม์มา” ผมตอบไปตามความจริง ถ้าให้พูดตามตรงแล้วผมไม่เคยโกหกคนปลายสายเลยสักครั้ง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะถามมาแบบจริงจังหรือหยอกล้อผมก็มักจะพูดความจริงกับเธอเสมอ
(“ถึงบ้านแล้วทักมาบอกด้วยนะ”)
“โอเคครับ แต่ถ้ากรินง่วงก็นอนก่อนได้เลยนะ ไม่ต้องรอ” เพราะจากบ้านไทม์ไปบ้านผมมันใช้เวลาพอสมควร ถ้าจะให้กรินมาอดนอนรอผมถึงบ้านมันก็คงไม่ดี
(“ก็ได้ เอ่อ แค่นี้ก่อนนะคุณรัชช์ กริชมาเคาะห้องน่ะ”)
“ครับ” แล้วสายก็ตัดไป
ผมเหลือบมองที่หน้าจอเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาสนใจที่ถนนตรงหน้าต่อ ขับไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกง่วง กวาดสายตามองทางข้างหน้าแล้วแวะจอดที่ร้านสะดวกซื้อชื่อดังข้างทาง เพื่อที่จะเข้าไปซื้อน้ำเย็นๆ มาดื่มให้ตื่นสักหน่อย ผมไม่ค่อยกล้าเสี่ยงขับรถตอนง่วงๆ สักเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ไม่อยากให้มีหน้าตัวเองแปะหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์หรือตามเว็บไซต์ข่าวต่างๆ จอดรถแล้วก็รีบเดินเข้าไปเลือกซื้อของมา 2 – 3 อย่าง เอามาจ่ายเงินเสร็จก็เดินกลับมาที่รถของตัวเอง เหลือบมองรอบข้างด้วยความรู้สึกที่ไม่ชอบใจนัก บริเวณตรงนี้ค่อนข้างมืด ไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่นานสักเท่าไหร่
ตึก! ตึก! ตึก!
หมับ!
“คุณครับ! ช่วยผมด้วย!”
ในขณะที่ผมเปิดประตูรถและเตรียมจะเข้าไปนั่ง จู่ๆ ก็มีใครบางคนวิ่งมาคว้าแขนผมเอาไว้แน่นก่อนจะเขย่าไปมาแรงๆ อย่างหวาดกลัว ผมหันไปมองแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพสะบักสะบอมของผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่ง
“ครับ? เกิดอะไรขึ้น?” ผมพยุงเขาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้นพลางมองสำรวจใบหน้าขาวที่เต็มไปด้วยรอยช้ำและรอยเลือดเป็นบางจุดไปด้วย
“มีคนรุมทำร้ายผม” เขาว่าออกมาพร้อมยกมือชี้ไปทางถนนมืดๆ ที่เขาวิ่งหนีมา
“เข้าไปหลบในรถผมก่อนก็ได้ครับ” หันมองตามนิ้วของอีกฝ่ายก็ได้ยินเหมือนมีเสียงคนร้องโวยวายอะไรสักอย่างจึงตัดสินใจเปิดประตูหลังให้คนตัวเล็กกว่าเข้าไปหลบข้างในแล้วตัวผมก็ขึ้นไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับ รถผมติดฟิล์มดำอยู่แล้วเลยไม่กลัวว่าจะมีใครมองเห็นข้างในรถ ผมเห็นผู้ชายตัวใหญ่สองคนวิ่งมาใกล้ๆ รถ ท่าทางของพวกนั้นเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง สีหน้าและท่าทางดูหัวเสียมาก ส่วนคนที่ผมช่วยเอาไว้ก็ตัวสั่นเป็นลูกนกทันทีที่เห็นสองคนนั้นเดินวนๆ รอบรถผม รออยู่พักหนึ่งพวกนั้นถึงวิ่งออกไปอีกทาง
“พวกมันไปแล้ว นี่น้ำครับ” ผมหยิบน้ำที่เพิ่งซื้อมาเปิดฝาส่งให้คนที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างหลัง
“ขอบคุณครับ” เขารับไปแล้วยกขึ้นจิบเล็กน้อย
“แผลเยอะพอสมควร ไปหาหมอไหมครับ?” นึกได้ว่าซื้อผ้าเย็นมาผืนหนึ่งเลยแกะให้อีกฝ่ายเอาไปซับหน้าก่อน ใบหน้าของเขาในตอนนี้ดูไมได้เอาเสียเลย ทั้งรอยช้ำและรอยเลือด เห็นแล้วแอบเจ็บแทน
“ไม่เป็นไรครับ รบกวนคุณเปล่าๆ ปล่อยผมไว้ที่นี่แหละ เดี๋ยวผมโทรให้คนมารับ” เขาปฏิเสธอย่างเกรงใจ แต่ผมไม่ได้ฟังที่เขาพูดเท่าไหร่นัก มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่เบาะข้างคนขับขึ้นมาเปิดดูแผนที่เพื่อหาตำแหน่งของโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด
“จากนี่ไปโรงพยาบาลไม่ไกลมากนัก ไปหาหมอก่อนแล้วจะเอายังไงต่อก็ค่อยว่ากันนะครับ” สภาพแบบนี้ทิ้งไว้คนเดียวคงแย่ แถมไม่รู้ว่าพวกนั้นจะย้อนกลับมาหรือเปล่า ถ้าจะแยกกันก็ควรจะไปแยกกันไกลกว่านี้หน่อย พูดจบผมก็ขับออกมาเลย เหลือบมองถนนสลับกับแผนที่แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าผมรู้จักโรงพยาบาลนี้
“นี่มันมัดมือชกกันชัดๆ” คนเจ็บบ่นอุบ
“เพื่อตัวคุณเองนะครับ” ถ้าไม่ทำแบบนี้คนที่แย่ก็คือเขา
“ครับๆ เอ่อ ผมไอริสครับ”
“รัชช์ครับ”
“รัชช์? คุณรัชช์!?” เขาพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงก่อนจะร้องออกมาเสียงดังเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง
“เรียกแค่รัชช์ก็พอครับ” ผมมองเขาผ่านกระจกมองหลังแล้วยกยิ้มบางๆ ออกมา ผมไม่ชอบให้ใครมาเรียกว่าคุณ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอายุน้อยกว่าหรือเท่ากัน เป็นไปได้ก็เรียกชื่อเฉยๆ จะดีกว่า
“ผมอยู่ทันตะปีหนึ่ง เป็นน้องคุณรัชช์”
“เรียกพี่ก็ได้ครับ” ถ้าเขารู้จักผมก็แสดงว่าเรียนที่เดียวกันกับผม
“แต่ใครๆ ก็เรียกคุณรัชช์” เขาว่าเสียงแผ่ว ใบหน้าน่ารักเกินผู้ชายแสดงสีหน้ายุ่งยากออกมา เหมือนจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของผม
“เอาที่สะดวกใจก็ได้ครับ” หลายคนก็เป็นแบบนี้ พอบอกให้เรียกชื่อก็เกรงใจหรือไม่ก็บอกไม่ชินปาก ผมเลยต้องปล่อยเลยตามเลย ไม่อยากมาคิดเล็กคิดน้อยกับแค่การเรียกชื่อหรือคำนำหน้าชื่อ
“ครับ”
ใช้เวลาราวๆ สิบนาทีนิดๆ ก็มาถึงโรงพยาบาล ผมหาที่จอดรถที่ใกล้กับทางเข้าแล้วเข้าไปประคองคนเจ็บให้เดินเข้าไปในโรงพยาบาล ผมให้ไอริสนั่งรอก่อนแล้วตัวเองก็เข้าไปติดต่อเรื่องให้ พูดคุยกันไม่กี่คำก็รู้เรื่องแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าผมน่ะรู้จักโรงพยาบาลนี้ หรืออีกนัยคือคนที่โรงพยาบาลนี้รู้จักผมเป็นอย่างดี พยาบาลเข้ามาซักถามประวัติของไอริสเล็กน้อยแล้วบอกให้นั่งรอแถวหน้าห้องตรวจประมาณห้านาที เดี๋ยวจะมาเรียกเข้าไป
“ต้องโทรบอกพ่อแม่คุณไหม?” ผมเอ่ยถามในระหว่างที่เรานั่งรอเวลาตรวจ
“เอ่อ ขอยืมโทรศัพท์ของคุณรัชช์โทรบอกให้คนมารับทีได้ไหมครับ? โทรศัพท์ผมแบตฯ หมดไปแล้ว” เขาถามออกมาติดจะเกรงใจ
“นี่ครับ” ผมส่งโทรศัพท์ให้เขาแล้วขยับออกมาให้ห่างเล็กน้อยเพื่อให้เขามีพื้นที่ส่วนตัวในการโทรติดต่อญาติให้มารับที่โรงพยาบาล
“ขอบคุณนะครับ” พอเห็นเขาคุยเสร็จผมก็เดินกลับมานั่งข้างๆ เขาเหมือน ไอริสส่งโทรศัพท์คืนมาพร้อมก้มหัวขอบคุณ ผมพยักหน้ารับแล้วนั่งรอเป็นเพื่อน ไม่นานพยาบาลก็เดินมาตาม
“เข้าไปหาหมอคนเดียวได้ไหมครับ?” ผมไม่ค่อยถูกกับหมอกับโรงพยาบาลเท่าไหร่ แค่เห็นก็รู้สึกไม่สู้ดีแล้ว
“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับคุณรัชช์ ทำไมจะเข้าไปคนเดียวไม่ได้” เขาหันมามองค้อนใส่ผมอย่างเคืองๆ
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมรอข้างนอกนะครับ” ผมยิ้มรับบางเบา
“ครับ”
Rrrrr
หลังจากที่ไอริสเดินหายเข้าไปในห้องตรวจได้ไม่นานโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น หยิบขึ้นมาดูเบอร์บนหน้าจอแต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเพราะเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นชิน คิดว่าคงเป็นเบอร์ญาติของไอริสแน่ๆ
“ฮะ...”
(“ไอ! ไออยู่ตรงไหน? เดี๋ยวรุตไปหา”) ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยทัก อีกฝ่ายก็สวนขึ้นมาเสียก่อน
“เอ่อ ไอริสอยู่ในห้องตรวจครับ” ผมตอบกลับไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ผมไม่ค่อยชอบคุยโทรศัพท์กับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ ปกติก็ไม่ใช่คนที่จะให้เบอร์ใครง่ายๆ ด้วย
(“คุณเป็นใคร?”) เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูมีเสน่ห์เฉพาะตัวย้อนถามผมกลับด้วยความสงสัย
“เป็นคนที่ช่วยไอริสแล้วก็เป็นเจ้าของเบอร์นี้”
(“อืม ขอบคุณที่ช่วยแฟนผม คุณกลับเลยก็ได้นะ ผมถึงโรงพยาบาลแล้ว”) ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมกับคำพูดของอีกฝ่าย จริงๆ คำพูดมันก็ดูขอบคุณนั่นแหละ แต่น้ำเสียงมันดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“อ่า ไอริสอยู่ที่ห้องตรวจชั้นสองฝั่ง B คุณมารอเขาตรงหน้าห้องตรวจ 4 ก็ได้ครับ” ผมส่ายหน้าไปมาเบาๆ ถึงจะรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา ในเมื่อแฟนเขามาแล้วผมก็ควรจะกลับบ้านไปนอนได้แล้ว มันดึกมากแล้วจริงๆ
(“ครับ ขอบคุณ”)
พอพูดจบเขาก็กดตัดสายไปเลย ผมยืนค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความมึนงง อะไรของเขาเนี่ย? เกิดมาก็เพิ่งเจอคนแบบนี้ คำขอบคุณที่ขอไปทีแบบนั้นมันคืออะไรกัน? คนสมัยนี้เป็นอย่างนี้กันหรือไงนะ?
Rrrrr
วางสายไปได้ไม่เท่าไหร่อีกสายก็เด้งขึ้นมา คราวนี้เป็นคนที่ผมรู้จักดีโทรมา ผมไม่ได้ลังเลที่จะกดรับเหมือนในครั้งแรก แค่เห็นชื่อเพียงแวบเดียวมือผมมันก็เลื่อนไปกดรับอัตโนมัติแล้ว
(“ไหนว่าจะทักมาไงคะ?”) เสียงหวานดังขึ้นทันทีที่ผมกดรับ
“ยังไม่ถึงบ้านเลยครับกริน” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ นี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้ว แต่ผมก็ยังกลับไม่ถึงบ้าน ทั้งที่คิดว่าเต็มที่ก็คงแค่ห้าทุ่มกว่าๆ แต่นี่มันเข้าวันใหม่แล้ว บางทีก็อยากถามว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่เหมือนกัน
(“อยู่ไหนเนี่ย?”)
“โรงพยาบาลครับ”
(“ไปทำอะไร?”)
“เจอคนโดนรุมทำร้ายเลยพามาหาหมอ” แต่จะให้ทิ้งคนเจ็บเอาไว้แล้วขับรถกลับบ้านไปนอนหน้าตาเฉยก็ดูจะใจร้ายเกินไป ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ ผมจะต้องโดนสาปแช่งแน่ๆ เลย
(“คนดีอีกแล้ว รีบกลับบ้านเลยนะมันดึกแล้ว”) และผมก็โดนบ่นอีกตามเคย ผมจำไม่ได้แล้วว่ากรินบอกว่าผมเป็นคนดีมากี่ครั้งแล้ว มันดูมากเกินว่าที่ผมจะนับได้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นคนดีอะไรขนาดนั้นหรอกนะ กรินคงแค่แซวผมเล่นเท่านั้น
“ครับ กำลังจะกลับแล้ว แฟนเขามาใกล้ถึงแล้ว” เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมเห็นไอริสเดินออกมาจากห้องตรวจและมีผู้ชายตัวสูงใหญ่เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ผมเห็นพวกเขาพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ผู้ชายที่เพิ่งมาใหม่ดึงคนตัวเล็กกว่ามากเข้าไปกอดเอาไว้แน่น คนถูกกอดไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอะไรถึงแม้จะทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายกอดก็ตาม
(“โอเค ขับรถดีๆ นะคุณรัชช์”)
“ครับ”
ผมมองไอริสกับแฟนของเขาอยู่พักหนึ่ง ชั่งใจอยู่ว่าควรเข้าไปลาไหม? คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจเดินออกมาเลย ไม่เข้าไปน่าจะดีกว่า ขนาดแค่คุยโทรศัพท์กันยังรู้เลยว่าแฟนเขาไม่พอใจผม ลองเสนอหน้าเข้าไปสิ ไม่โดนเกลียดก็ปาฏิหาริย์แล้วล่ะนะ ผมพาตัวเองกลับมาที่บ้าน อาบน้ำอาบท่าไล่ความเมื่อล้าออกจากตัวก่อนจะมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่แสนจะคิดถึง ส่งข้อความไปบอกกรินว่าถึงบ้านแล้ว แล้วก็ผล็อยหลับไป
และวันเวลาที่ผ่านไปก็ทำให้ผมค่อยๆ ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

569 ความคิดเห็น
-
#333 linonan_ (จากตอนที่ 2)วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2562 / 10:43อันนี้เป็นแฟลชแบ็คตอนก่อนหน้าที่รัชช์จะจีบมารุตรึเปล่า? คือยังไง มารุตมีแฟนแล้วนั่นก็คือไอริส เอ้ะชุ้นงง#3330
-
#328 oom410 (จากตอนที่ 2)วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 / 19:54ภาพแรกขึ้นมานี่ ยุนซานฮา ผู้น่ารัก ประจำวง Astro#3280
-
#234 [In_My_DreaM] (จากตอนที่ 2)วันที่ 9 มกราคม 2562 / 00:01เออนะ งง นิดๆ#2340
-
#149 jjingg. (จากตอนที่ 2)วันที่ 20 ธันวาคม 2561 / 11:24เอ๋ รุตมีแฟนแล้วหรอเนี่ย ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่เลยหรือเปล่า;-;#1490
-
#136 maybee23 (จากตอนที่ 2)วันที่ 6 ธันวาคม 2561 / 19:07ตัวละครเยอะจัง ปมก็เยอะตามไปอีก ได้นะเรามาไขปมกันนน5555#1360