ตอนที่ 12 : จีบคนเถื่อน : 11
Marut
รอกลับพร้อมกู 16.02
ถ้ามึงหนีกลับก่อนเจอกูแน่ 16.02
ผมมองข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ผมเพิ่งเลิกเรียนเมื่อสิบนาทีก่อนแต่เพราะวันนี้ไม่มีซ้อมบาสผมเลยกะว่าจะหาของหวานกินแก้เซ็งก่อนกลับบ้าน คิดว่าจะนั่งเล่นที่ร้านกาแฟแถวหน้ามหา’ลัยเพื่อรอเวลาคุณใหญ่เลิกงาน คิดไว้เสียดิบดีว่าจะชวนคุณใหญ่ไปกินข้าวเย็นก่อนกลับบ้านแต่แล้วทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักเพราะข้อความที่มารุตส่งมาเมื่อห้านาทีก่อน ผมถอนหายใจพลางเหลือบมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์สลับกับคิวรับเครื่องดื่มในมือ ไม่นานเสียงขานเบอร์คิวของผมก็ดังขึ้น ผมเดินไปรับของมาแล้วเตรียมจะเดินออกไปนั่งที่นอกร้านตรงฝั่งที่เป็นสวนเล็กๆ ข้างร้าน
“คุณรัชช์” แต่เพราะมีคนร้องทักผมขึ้นเสียก่อนผมเลยต้องหยุดเดินแล้วหันไปหาเขาแทน
“ไอริส?” เห็นหน้าคนเรียกผมก็เริ่มหนักใจแล้วครับ
“คุณรัชช์จำไอริสได้ใช่ไหมครับ?” คนตัวเล็กจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่คาดหวัง
“จำได้ครับ” ผมยกยิ้มตามมารยาทอย่างเช่นทุกครั้งพร้อมทั้งเว้นระยะห่างระหว่างผมกับไอริสเอาไว้ด้วย
“ดีใจจังเลย” เขาว่าด้วยรอยยิ้มกว้างสดใส ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมารุตถึงได้หลงรักเด็กคนนี้ ก็เล่นน่ารักขนาดนี้
“ยังไม่กลับเหรอ?”
“รอเพื่อนอยู่น่ะครับ เอ่อ นั่งด้วยกันก่อนได้ไหมครับ?”
“ได้สิ” ผมยิ้มรับก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับไอริส ยังไงก็ต้องรอให้มารุตมารับอยู่แล้วจะนั่งตรงไหนก็คงเหมือนกันแหละ
“ขอบคุณที่นั่งเป็นเพื่อนนะครับ”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง? ได้แจ้งตำรวจหรือเปล่า?” จากวันนั้นมาก็ผ่านมาเดือนกว่า เกือบสองเดือนแล้ว ผมไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับไอริสอย่างเป็นส่วนตัวเลยสักครั้งเลยไม่รู้ว่าเขาจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง
“แจ้งครับ รุต เอ่อ มารุตเขาจัดการให้ พ่อเขารู้จักกับตำรวจน่ะครับ”
“เหรอ” ไม่แปลกใจหรอกครับ ขนาดพี่ชายผมยังมีเพื่อนเป็นตำรวจเลย พ่อของมารุตเป็นนักธุรกิจที่กว้างขวางไม่แปลกหากเขาจะรู้จักกับตำรวจหรือคนใหญ่คนโตที่ไหนอีก
“เอ่อ คุณรัชช์จีบรุตอยู่จริงๆ เหรอครับ?” จู่ๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ทำไมล่ะ?” ผมเหลือบมองหน้าใบหน้าหวานแวบหนึ่งก่อนจะก้มมองแก้วโกโก้ปั่นของผมเหมือนเดิม
“ก็..คุณรัชช์ดูไม่น่าจะชอบมารุตได้”
“ก็คงจะอย่างนั้น” ผมไม่ปฏิเสธในคำพูดของไอริส ผมเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะชอบคนแบบนั้นหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะต้องเล่นละครตบตาคนอื่นล่ะก็บางทีผมก็อยากจะด่ามารุตแรงๆ เหมือนกัน
“เอ่อ...”
“บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก ชอบเหรอ?” ผมพาเปลี่ยนเรื่องโดยการพยักพเยิดหน้าไปทางเค้กหน้าตาน่ากินตรงหน้า
“อ่า ครับ เมื่อก่อนชอบเค้กส้ม แต่รุตเขาชอบบลูเบอร์รี่ชีสเค้กแล้วเคยเอามาให้ผมลองชิมดู จากนั้นมาก็เลยติด เอ่อ ขอโทษครับ” ไอริสว่าออกมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตากลมสดใสจ้องมองเค้กตรงหน้าอย่างมีความสุข แต่ผมว่าสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขคงไม่ใช่เจ้าเค้กชิ้นเล็กตรงหน้านั้นหรอกแต่น่าจะเป็นการที่ได้พูดถึงใครอีกคนเสียมากกว่า
“ก็ดูรักกันดีนี่ แล้วเลิกกันทำไม?” ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางมองใบหน้าหวานอย่างเอ็นดู มืออีกข้างหนึ่งก็จับหลอดคนโกโก้ในแก้วไปด้วย
“คือ..” ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าหากันแน่นจนเป็นเส้นตรง สีหน้าดูลำบากใจที่จะพูดถึง
“ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องพูดก็ได้”
“ปะ เปล่าครับ พี่รัชช์ เอ่อ เรียกพี่ได้ใช่ไหมครับ?”
“เคยบอกไปแล้วว่าให้เรียกพี่”
“ครับ คือพี่รัชช์จำพวกนั้นได้ใช่ไหมครับ? คนที่ทำร้ายผมน่ะ”
“อืม ทำไม?” จำได้ไม่ลืมเลยแหละ แต่ผมแอบคิดมาสักพักแล้วว่าคนที่เข้ามาทำร้ายไอริสพวกนั้นหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่ผมก็นึกไม่ออก
“เขาเคยมีเรื่องกับรุต ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่เขาดูแค้นรุตมาก แต่ทำอะไรรุตไม่ได้เลยหันมาเล่นงานผมแทน มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่มันเป็นครั้งแรกที่ผมโดนหนักขนาดนี้ ที่ผ่านมาเคยเจอแต่คนเข้ามาป่วน แต่ถึงขั้นทำร้ายยังไม่เคย” อ่า วิถีนักเลง
“มันหนักมากเลยนะ” สิ่งที่ผมเพิ่งได้รู้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน จะเป็นแฟนกับมารุตได้นี่ต้องแข็งแกร่งขนาดนี้เลยเหรอครับ? โมเม้นระหว่างกันคือวิ่งหนีตีนกับหลบหมัดคู่อริอย่างนี้เหรอ?
“ครับ ผมทนไม่ได้ จริงๆ เคยบอกรุตไปแล้วว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นอีกผมจะเลิกกับเขา และผมก็ทำอย่างที่พูดจริงๆ” นัยน์ตากลมที่เคยสดใสหม่นแสงลงอย่างน่าสงสาร
“...” ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมทั้งไอริสและมารุตถึงตัดกันไม่ขาด พวกเขาไม่ได้เลิกกันเพราะหมดรักหรือไม่ได้รัก แต่เป็นการเลิกกันทั้งที่ยังรัก ผมเข้าใจดีว่ามันเจ็บปวดมากขนาดไหน และคงไม่มีใครทำใจได้ ถ้าผมเป็นมารุต ผมก็คงจะตามง้อไอริสเหมือนที่เขายังทำอยู่ทุกวันนี้
“ผมไม่ได้เลิกกับรุตเพื่อตัดขาดจากเขา แต่ผมเลิกกับเขาเพราะหวังว่าเขาจะเลิกเรื่องชกต่อย มันไม่เป็นผลดีกับใครเลย แล้วผมเองก็ยังรักชีวิตตัวเองอยู่ ผมยอมรับว่ากลัวตาย นับวันมันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนผมหวาดระแวงไปหมด”
“ถ้าอย่างนั้นก็คบคนใหม่ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ?” ผมเอ่ยถามอย่างลองเชิง จากคำพูดของไอริส ผมก็พอจะเดาได้ว่าเขายังรักมารุตอยู่ แต่ผมก็อยากรู้ว่ามันจะมีเปอร์เซ็นมากน้อยแค่ไหนที่พวกเขาจะกลับมาคบกันหรือจะเลิกรากันไปอย่างถาวร
“เคยคิดครับ แต่ดูเหมือนว่ายังไม่เจอคนที่ใช่ จริงๆ ก็เจอแล้ว แต่ผมคงไม่ใช่สำหรับเขา” ตากลมมองสบกับผมด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อย
“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา บังคับไปก็เปล่าประโยชน์” เรื่องของความรู้สึกมันไปบีบบังคับไม่ได้ ต้องปล่อยมันไป ให้เวลาเป็นตัวช่วยเยียวยาทุกอย่าง ถึงบางครั้งจะต้องใช้เวลานานสักหน่อยก็เถอะ
“นั่นสิครับ แล้ววันนี้พี่รัชช์ไม่ได้ซ้อมบาสเหรอครับ?”
“กัปตันทีมให้หยุดพักหนึ่งวันน่ะ” ไม่รู้วันนี้พี่นิลไปกินอะไรมาถึงใจดีผิดปกติ ตอนได้ยินว่าหยุดซ้อมเพื่อให้พักผ่อนได้ผมเองยังงงๆ อยู่เลย เขาไม่ได้บอกผมล่วงหน้า แต่มาให้ผมรู้พร้อมกับสมาชิกคนอื่นๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน วันนี้ผมก็ไม่มีอารมณ์จะซ้อมสักเท่าไหร่นัก
“ก็ดีนะครับ ซ้อมทุกวันก็เหนื่อยแย่ แค่เรื่องเรียนก็เหนื่อยแล้วเนอะ” เพียงพริบตาคนตรงหน้าผมก็ปรับอารมณ์ให้เปลี่ยนไปจากเดิมได้อย่างรวดเร็ว
“ยิ่งเรียนสูงยิ่งเหนื่อย” ในฐานะรุ่นพี่ก็อยากจะแนะนำว่าถ้ามีเวลาว่างก็นอนเยอะๆ นะ
“ใช่ครับ อยากกลับไปเป็นเด็กเลย” เขาว่าพร้อมยิ้มตาหยีอย่างน่ารัก เชื่อเถอะว่าถ้าไทม์ได้มาเห็นไอริสตอนนี้จะต้องยิ่งหลงเด็กคนนี้มากแน่ๆ
“ตอนนี้ก็ยังไม่โตนี่” ตัวเล็กกว่าผมตั้งเยอะ ขนาดผมสูงแค่ 180 เซนฯ เองนะ แล้วคิดสภาพตอนเขาอยู่กับมารุตที่สูงกว่าผม 5 เซนฯ สิ แค่คิดก็น่าเอ็นดูแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาเหมาะสมกัน น่าเสียดายที่พวกเขาเลิกกันไป
“โธ่ พี่รัชช์ล่ะก็”
Rrrrr
ผมที่กำลังจะแกล้งแหย่ไอริสต่อก็ชะงักแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องดังลั่นในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับ
“ฮัลโหล”
(“อยู่ไหน?”) เสียงทุ้มต่ำที่ดังมาตามสายเป็นเสียงที่ผมจำได้ดี ผมเลยรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใครโดยไม่ต้องดูชื่อ
“ร้านกาแฟตรงหน้ามหา’ลัย” ผมเหลือบมองไอริสเล็กน้อยก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเอามือป้องปากกันไม่ให้ไอริสได้ยินเสียงของคนปลายสาย
(“เออ รออยู่นั่นแหละเดี๋ยวกูไปรับ”)
“อืม”
ผมกดตัดสายแล้วลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ถ้ามารุตมาที่นี่เขาอาจจะเจอไอริสหรือไม่ไอริสก็อาจจะเป็นฝ่ายเห็นมารุต ผมว่าผมเดินออกไปจากตรงนี้ดีกว่า
“จะกลับแล้วเหรอครับ?” พอเห็นผมเตรียมเก็บของคนที่นั่งเหม่อลอยอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ร้องถามขึ้นมา
“อื้อ”
“ไว้เจอกันใหม่นะครับพี่รัชช์”
“ครับ”
ผมยิ้มรับบางๆ ก่อนจะรีบเดินออกไปที่หน้าร้านหาจุดที่เป็นมุมอับสายตาของคนในร้านเพื่อยืนรอใครอีกคนมารับ ไอริสยังรักมารุตอยู่ เขาจะต้องไม่สบายใจแน่ถ้าเห็นมารุตมารับผมที่นี่ ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี? ควรแก้ปัญหายังไง? ผมควรจะถอยออกมาแล้วบอกกับไทม์ว่าผมทำไม่ได้ หรือผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นถึงความรู้สึกของมารุตและไอริสแล้วช่วยเหลือไทม์ต่อไป แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่คุ้นตาก็มาจอดเทียบตรงหน้า ผมรับหมวกกันน็อคมาสวมแล้วรีบขึ้นซ้อนท้ายรถของมารุตอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็นเข้า
“วันนี้ไม่ได้ซ้อมเหรอ?” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบบนโต๊ะอาหารระหว่างผมกับมารุตดังขึ้นดึงผมที่กำลังจดจ่ออยู่กับอาหารตรงหน้าให้เงยหน้าขึ้นไปตอบคำถามของอีกฝ่าย
“พี่นิลให้หยุดพัก” ผมเคี้ยวอาหารที่อยู่ในปากจนหมดเกลี้ยงแล้วถึงค่อยตอบคนตรงหน้าไป
เมื่อก่อนตอนยังเด็กมากผมกับคุณกลางโดนออมม่าดุบ่อยๆ เรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร ห้ามเคี้ยวเสียงดัง ต้องกินให้หมดก่อนถึงจะพูดได้ ห้ามเคี้ยวไปพูดไป และห้ามอ้าปากเคี้ยว ที่บ้านผมค่อนข้างจะเคร่งเรื่องพวกนี้มาก แต่หลังๆ ก็ปล่อย ขอแค่ไม่ไปทำขายหน้านอกบ้านก็พอแล้ว
“พี่นิล?” มารุตทวนคำอย่างสงสัย อ่า ลืมไปว่าเขาไม่รู้จักกับพี่นิลนี่นา
“กัปตันทีมน่ะ”
“อ๋อ”
“แล้วทำไมวันนี้เลิกเร็ว?” ปกติถ้าฟ้าไม่มืดไม่มีทางที่ทีมบอลคณะเกษตรจะเลิกหรอก แต่นี่เพิ่งจะห้าโมงกว่าๆ เอง เมื่อวานก็เหมือนจะไม่มีซ้อมด้วย
“ไม่ได้ซ้อม แค่เข้าไปคุยกันนิดหน่อย เห็นว่าพวกพี่ปีสูงเขาติดงานกัน คนหายไปเยอะแล้วก็ไม่มีใครมาคุมซ้อมเลยหยุดหนึ่งวัน”
“อ่า ยิ่งเรียนสูงยิ่งลำบาก เรียนหนัก งานเยอะ กิจกรรมอีก” ใครบอกโตแล้วจะสบาย ไม่มีหรอก ยิ่งเรียนสูงยิ่งเหนื่อย พอจบไปก็ต้องไปต่อสู้กับชีวิตทำงานอีก เหนื่อยแบบไม่รู้จบ
“มึงเรียนกฎหมายนี่ไม่ปวดหัวบ้างเหรอวะ? กูเห็นหนังสือมึงนี่หนาฉิบหายเลย” เขาหมายถึงหนังสือประมวลกฎหมายสินะ
“มีใครบ้างเรียนหนังสือแล้วไม่ปวดหัว? เราว่ามันก็น่าปวดหัวทุกคณะแหละ” ตอนคุณใหญ่เรียนบริหารก็มาบ่นให้ผมกับคุณกลางฟังตลอด ขนาดพี่บรินที่มีความปรารถนาแรงกล้าในการจะเป็นหมอตอนเรียนแพทย์ก็ยังมาโอดครวญให้ได้ยิน ผมว่าทุกคณะทุกวิชามันมีความยากง่ายในตัวมันเองอยู่ ถ้าถามว่าคณะไหนยากหรือง่ายกว่ากันก็คงพูดไม่ได้
“ก็จริง ขนาดกูยังอยากจะลาออกเลย นี่แค่ปีสองยังขนาดนี้ ไม่อยากคิดสภาพตอนตัวเองทำโปรเจคเลย” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราเริ่มสนิทกันถึงขั้นบ่นนู่นบ่นนี่ออกมาให้อีกฝ่ายได้ฟัง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ความตึงเครียดที่เคยมีก่อนหน้านี้ค่อยๆ จางหายไป
“ทำใจเถอะ ยังไงก็ต้องเจอ” ก็รู้ว่ามันคงไม่ใช่คำปลอบใจที่ดีนัก แต่ผมก็ทำได้แค่นี้แหละ
“กูก็ว่างั้นแหละ” มารุตว่าอย่างเซ็งๆ แล้วตักข้าวเข้าปากเคี้ยวต่อไปเรื่อยๆ จนหมดจาน
หลังจากที่กินข้าวเย็นเสร็จในช่วงห้าโมงกว่าเกือบหกโมง มารุตก็พาผมไปส่งที่บ้านเหมือนช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา เผลอแค่แปบเดียวผมกับมารุตก็รู้จักกันมาเกือบเดือนหนึ่งได้แล้ว
“ขอบคุณที่มาส่ง” ผมส่งหมวกกันน็อคคืนให้เจ้าของก่อนจะหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วส่งให้อย่างทุกที มันเป็นค่าน้ำมันที่เขามักจะพูดถึงบ่อยในช่วงแรกๆ ที่เรารู้จักกัน
“อะไร?” เขามองแบงค์ห้าร้อยในมือผมอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ค่าน้ำมันไง” ปกติเห็นทวงออกจะบ่อย ทีวันนี้ล่ะทำเป็นงง
“ไม่ต้อง ถือว่าเจ๊ากันที่กูทิ้งมึงเมื่อวาน” ฝ่ามือหนายื่นมาดันมือผมเชิงบอกให้เก็บเงินเอาไว้
“อ่า ขอบคุณ” ผมที่ได้ยินอย่างนั้นก็ทำตามอย่างว่าง่าย อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตัวเองทำผิด
“เข้าบ้านไปได้แล้ว”
“อืม ขับรถดีๆ นะ”
ผมบอกเขาทิ้งท้ายก่อนจะเดินเข้าบ้านไปโดยไม่ได้รอให้คนตัวสูงขี่รถออกไปก่อนอย่างเช่นทุกวัน พอผมเดินเข้ามาในบ้านแล้วก็ถึงได้ยินเสียงสตาร์ทรถและเสียงเร่งเครื่องขับออกไป
“คุณเล็ก” เดินเข้ามาในบ้านก็เจอกับคุณใหญ่ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องรับประทานอาหาร ตั้งแต่ที่ผมเริ่มซ้อมบาสเราสองพี่น้องก็ไม่ค่อยได้ทานข้าวเย็นด้วยกันเพราะผมมักเลิกเย็นมากเลยทำให้ต้องแวะกินข้าวจากข้างนอกก่อนจะกลับเข้าบ้าน ส่วนคุณใหญ่ก็กินข้าวที่บ้านบ้างเป็นบางมื้อ หรือไม่บางทีก็นอนที่บริษัทไม่กลับบ้าน
“กลับถึงบ้านก่อนเล็กอีกแล้ว” ผมยกยิ้มอ้อนพร้อมเดินเข้าไปกอดพี่ชายคนโตของบ้าน
“กลับมายังไงครับ?”
“เพื่อนมาส่งครับ”
“มอเตอร์ไซค์?”
“ครับ” ผมรับคำในลำคอแผ่วเบา ยิ่งเห็นคิ้วเรียวได้รูปผูกติดกันแน่นผมก็ยิ่งกลัวว่าจะถูกดุ
“คุณเล็กรู้ใช่ไหมครับว่าใหญ่ไม่ชอบ” พอพูดถึงเรื่องรถมอเตอร์ไซค์ทีไรคุณใหญ่ก็ดูจะไม่พอใจทุกที ผมเองก็รู้ดีว่าเพราะอะไร แต่ผมก็คิดว่าคุณใหญ่กังวลเกินไป
“ครับ เล็กรู้ แต่เล็กไม่ได้ขับ เล็กแค่นั่งซ้อน” ผมพยายามอธิบายเหตุผลเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกดุไปมากกว่านี้
“แค่นั่งซ้อนใหญ่ก็ไม่อยากให้นั่งครับ” แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร คุณใหญ่ดูจะเซนซิทีฟมากกับคำว่ารถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งสาเหตุมันก็มาจากผม
“เล็กโตแล้ว” ไม่ใช่เด็กเหมือนในวันนั้นอีกแล้วนะครับ
“ยังไงก็เด็กในสายตาใหญ่ครับ” ผมรู้ดีว่าคุณใหญ่เป็นห่วงผม ที่พูดที่ห้ามที่เตือนก็เพื่อตัวผมเอง อันนี้ผมเข้าใจ แต่ผมก็อยากให้คุณใหญ่รู้ว่าผมเองก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว อย่างน้อยผมก็โตมากกว่าเดิม มากกว่าตัวผมที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น
“เล็กทราบครับ”
“ใหญ่ไม่ได้จะกดดันคุณเล็กนะครับ แต่อยากให้รู้ว่าห่วง เรามีกันแค่นี้” สองข้างแก้มของผมถูกฝ่ามืออุ่นร้อนประคองเอาไว้อย่างแผ่วเบา ใบหน้าของผมถูกจับให้เงยขึ้นสบตากับอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้
“คุณใหญ่” ยามที่ได้เห็นแววตาสั่นไหวในดวงตาคู่สวยนั่นผมก็เจ็บแน่นหน้าอกไปด้วย เรามีกันแค่สามคนพี่น้อง แต่ ณ ตอนนี้มีเพียงแค่ผมกับคุณใหญ่เท่านั้น
“เราเคยพลาดอะไรมา อย่าให้มันพลาดซ้ำ เข้าใจไหมครับ?” เพราะเคยเกือบที่จะต้องสูญเสีย เราถึงเข้าใจดีว่าทำไมเรื่องนี้มันถึงกลายเป็นเรื่องที่เปราะบางมากนัก
“เข้าใจแล้วครับ” บางทีถ้าคุณกลางอยู่ตรงนี้ด้วยเขาอาจจะดุผมมากกว่าที่คุณใหญ่ดุก็ได้
“ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถอะครับ ใหญ่ไม่ได้ดุ อย่าทำหน้าอย่างนั้น” นี่ขนาดยังไม่ได้ดุนะผมยังซึมขนาดนี้ ลองถ้าคุณใหญ่ดุขึ้นมาจริงๆ ผมคงได้วิ่งเข้ามุมกำแพงแล้วนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้นทั้งวันแน่ คุณใหญ่น่ะ บทจะใจดีก็ใจดีจนตามใจผมเสียทุกอย่างแบบไม่มีขัดเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าให้ดุเมื่อไหร่ล่ะก็ทำเอาผมน้ำตาคลอเลย ไม่มีคำหยาบ ไม่มีขึ้นเสียง มีแต่ความกดดันและอาการเจ็บจี๊ดๆ ที่ใจเท่านั้น เยือกเย็นเหมือนอยู่ขั้วโลกเหนือเลยครับ
“เล็กรู้สึกไม่ดีที่ทำให้คุณใหญ่ต้องเป็นห่วง” เอาไว้วันหลังผมจะทำแบบไม่ให้คุณใหญ่รู้ดีกว่า คุณใหญ่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงผมแบบนี้อีก
“เพราะใหญ่รักคุณเล็กมากไงครับ” สัมผัสแผ่วเบาจากริมฝีปากเรียวบางกดประทับลงที่กลางหน้าผากของผมหนึ่งทีถ้วนอย่างอ่อนโยน บางทีผมก็แอบคิดว่าทำไมพี่ชายของผมถึงได้อ่อนโยนได้มากขนาดนี้ ทั้งที่ลุคของเขามันดูสวนทาง แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าคุณใหญ่จะใจดีกับทุกคนนี่ ผมต่างหากที่เป็นข้อยกเว้นของพี่ๆ
อ่า พูดแล้วก็คิดถึงคุณกลางจังเลย
“เข้าใจแล้วครับ เล็กรักคุณใหญ่นะครับ” รักคุณกลางด้วย ผมอยากบอกคุณกลางให้ได้ยิน
แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนั้นหรือเปล่า
ผมยกยิ้มบางเบาให้คุณใหญ่ก่อนจะเดินแยกออกมาด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งในหัวใจ
“คุณรัชช์คะ” แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินไปไหนไกลมากนักก็ถูกคุณป้าแม่บ้านคนสนิทเรียกรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ครับ?” ผมหันไปขานรับตามเสียงเรียกที่คุ้นชิน
“พรุ่งนี้คุณรัชช์เลิกกี่โมงคะ?”
“เย็นเลยครับ” เลิกเย็นแต่ถึงบ้านค่ำเลยล่ะครับคุณป้า
“ป้าว่าจะทำขนมไว้ให้คุณรัชช์ทานเล่น คุณรัชช์อยากทานอะไรคะ?” ผมไม่ใช่คนที่ชอบกินของหวานมากนัก ผมจึงเลือกกินเป็นบางอย่าง เวลาที่บ้านจะทำขนมแต่ละทีก็จะมาถามผมตลอดว่ากินอะไรดี? หรือไม่ก็กินอันนี้ได้ไหม? ถ้าได้ก็จะทำแต่ถ้าไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน
“ป้าทำบลูเบอร์รี่ชีสเค้กเป็นไหมครับ?” ผมนิ่งไปพักหนึ่งเพื่อหยุดคิดก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ผมคุยอะไรกับไอริสมา เขาบอกว่ามารุตชอบบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก ผมเลยคิดว่าอยากจะทำขนมไปขอบคุณมารุตที่มาส่งผมวันนี้
“เป็นค่ะ ของถนัดป้าเลย ตอนคุณรัชช์เด็กๆ คุณผู้หญิงเคยสอนป้าทำ แต่คุณรัชช์กลับไม่ชอบเสียอย่างนั้น” คุณป้าแม่บ้านคนสนิทของออมม่าพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ผมหลุดหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยิน
จำได้ลางๆ ว่าบลูเบอร์รี่ชีสก็เป็นของโปรดของออมม่าและเป็นเมนูประจำบ้านเหมือนกัน ทั้งบ้านคงมีแต่ผมที่ไม่ชอบมัน ก็บอกแล้วไงว่าไม่ชอบของหวานน่ะ
“พรุ่งนี้ผมเรียนบ่าย หลังมื้อเช้า สอนผมทำได้ไหมครับ?” มันคงจะดีกว่าถ้าขนมที่เอาไปให้เป็นฝีมือของผม มันน่าจะแสดงออกถึงความจริงใจได้ดีกว่าให้คนอื่นทำให้ ของแบบนี้มันก็เป็นคุณค่าทางจิตใจด้วยล่ะนะ
“ได้ค่ะ ว่าแต่มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ? ทำไมคุณรัชช์ดูสนใจเป็นพิเศษ” นี่ผมกำลังโดนแซวอยู่ใช่ไหมครับ?
“เคยเห็นออมม่าทำบ่อยๆ แต่ผมยังไม่เคยลองทำเลยสักครั้ง อยากลองดูน่ะครับ”
“เมนูโปรดคุณผู้หญิงนี่คะ”
“นั่นสิครับ”
ผมขอสารภาพตามตรงว่าถึงจะทำอาหารได้เป็นบางเมนู หมายถึงก็พวกเมนูพื้นฐานทั่วไปนั่นแหละ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องทำขนมล่ะก็ผมทำมันไม่ได้หรอก บ้านเรามีแค่ออมม่าที่ทำเป็นคนเดียว ไม่ต้องถามถึงลูกชายของบ้านเลย ไม่มีใครทำเป็นหรือคิดที่จะทำด้วย อย่างคุณใหญ่นี่ไม่ถูกกับห้องครัวเลยนะ เพราะเคยสร้างวีรกรรมไว้มากมาย อย่างเช่น วางเพลิงห้องครัว ทำเตาอบระเบิด ทำกระทะไหม้ รวมไปถึงทำน้ำท่วมห้องครัวด้วย และแม้จะสร้างความทรงจำเอาไว้ในห้องครัวอย่างมากล้น แต่ก็ต้องขอชื่นชมในความพยายามที่มีอยู่เต็มเปี่ยม แต่ก็นั่นแหละ หลังวางเพลิงห้องครัวไปพี่ชายคนโตของบ้านก็เพิ่งมาคิดได้ว่าไม่พยายามต่อน่าจะดีกว่า บางทีการโทรสั่งอาหารจากร้านน่าจะปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมากกว่า ส่วนคุณกลาง จะเข้าห้องครัวเฉพาะตอนหิวเท่านั้นแหละ ไม่เคยทำอาหารเองและไม่เคยคิดที่จะทำอาหารด้วย แต่รายนี้เขาโปรดของหวานมาก ไม่ว่าเมนูไหนเขาก็กินได้หมด ขอแค่เป็นของหวานเท่านั้น
“คุณรัชช์ขึ้นไปพักผ่อนเถอะค่ะ ป้าไม่กวนแล้ว”
“ครับ”
หลังพูดคุยตกลงกันได้แล้วผมก็เดินขึ้นห้องมาอาบน้ำอาบท่า หยิบงานที่อาจารย์เพิ่งสั่งวันนี้ขึ้นมาทำเอาไว้ก่อนกันลืม ช่วงนี้ต้องซ้อมบาสเลิกดึกกว่าช่วงที่ซ้อมแรกๆ ทำให้เวลาว่างไม่ค่อยจะมี ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็ต้องรีบหยิบงานมาปั่นให้เสร็จเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเวลาทำ เผลอๆ จะลืมเสียด้วยซ้ำ แต่นั่งทำงานไปได้ไม่เท่าไหร่ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้เลยขยับไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเข้าโปรแกรมแชทชื่อดังแล้วทักไปหาใครบางคนที่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าผมจะเจอหน้าเขาบ่อยกว่าพี่ชายตัวเองเสียอีก
rRachr
20.06 มารุต
Marut
มีอะไร? 20.08
รอไม่นานเขาก็ตามกลับมา ผมไม่รอช้าที่จะพิมพ์ข้อความต่อไปหาเขาทันที
rRachr
20.08 พรุ่งนี้มีเรียนกี่โมง?
Marut
ทำไมกูต้องบอก? 20.09
ผมกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่ายกับความเล่นตัวไม่เลิกของอีกฝ่าย ทำตัวอย่างกับสาวน้อยที่กลัวมีคนมาหลอกลวงอย่างนั้นแหละ
rRachr
20.09 ไม่เป็นไร หาเองก็ได้
มันไม่ยากเกินความสามารถของผมหรอก กับแค่หาตารางเรียนของเขา เปิดเข้าเว็บไซต์ของมหา’ลัยก็หาเจอแล้ว
Marut
มึงเหมือนคนมีอาการทางจิต 20.10
อ่านแล้วก็ตอบด้วย 20.13
อย่ามาเงียบใส่กู! 20.17
มึง 20.23
ไอ้คุณรัชช์! 20.29
เฮ้ย! 20.29
อ่านสิโว้ย! 20.30
หลังจากที่หาตารางสอนของมารุตได้แล้วผมก็เอาโทรศัพท์วางไว้บนโต๊ะเช่นเดิม โทรศัพท์เครื่องหรูสั่นครืดคราดไปมาพร้อมกับข้อความที่เด้งรัวขึ้นมา ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับอาการหัวร้อนของอีกฝ่าย ผมไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านแต่อ่านข้อความทั้งหมดผ่าน Notification แทน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คุณรัชนะดูท่าจะชอบพระเอกแบบไม่รู้ตัวไปแล้วนะ
มันชัดเจนโคตรๆตั้งแต่ไปนั่งกินข้าวกับเฮียนิลแล้วเจอพระเอกแล้ว ที่เหลือก็แค่คุณรัชจะยอมรับความรู้สึกตัวเอกเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าจะพัฒนาเป็นความรักมากน้อยขนาดไหน ดูไม่ยากเลย
เเอ๋๋~~~~~เค้าชอบกันเเล้วนาาาา
คุณกลางแจหะรึป่าวน้าา แงงเพราะหน้าคล้ายๆรัชช์บอกฝาแฝดยังเชื่อ ยังไม่เห็นหน้าอาบริน คุณกลาง กริชเลย;_;