ตอนที่ 13 : จีบคนเถื่อน : 12
06.29 นาฬิกา
“วันนี้มีเรียนบ่าย แต่ตื่นเช้าจังเลยนะครับ” คุณใหญ่ที่อยู่ในชุดสูทราคาแพงสีเข้มเดินหล่อเข้ามาในห้องอาหาร พอเห็นผมนั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวก็ร้องทักขึ้นอย่างแปลกใจ
“จะมาส่งคุณใหญ่ไปทำงานครับ” ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มอ้อนๆ
“จริงเหรอ?” คุณใหญ่แกล้งทำหน้าไม่เชื่อ แต่แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้ายุ่งๆ ของผม
“รับมื้อเช้าไหมครับ?”
“เอาแค่กาแฟก็พอครับ”
“แต่เล็กทำข้าวต้มไว้ให้นะครับ” ผมรีบพูดดักขึ้นมาก่อน พี่ชายผมติดนิสัยที่ไม่ชอบทานมื้อเช้า บอกว่าแค่กาแฟแก้วเดียวก็เอาอยู่แล้ว แต่ผมว่ามันไม่พอหรอก ถึงผมจะไม่ชอบกินอะไรหนักๆ ในมื้อเช้าแต่ผมก็ยังต้องหาอะไรรองท้องตลอด ผมเป็นห่วงสุขภาพของคุณใหญ่จริงๆ เลย ใครบอกว่ามีแต่เด็กที่ดื้อ ผู้ใหญ่ก็ดื้อได้เหมือนกันแหละน่า
“อ่า ข้าวต้มก็ได้ครับ” คุณใหญ่ยิ้มหน้าเจื่อนแล้วหันไปบอกกับสาวใช้ที่ยืนรออยู่ไม่ไกล ผมหันไปยิ้มกับคุณป้าแม่บ้านคนสนิทของออมม่าอย่างรู้กัน ถ้าเอาผมมาอ้างเมื่อไหร่ล่ะก็คุณใหญ่ไม่มีทางปฏิเสธได้หรอก
“ให้รถของที่บ้านไปส่งนะครับ แล้วขากลับถ้าเป็นไปได้ก็โทรให้ใหญ่ไปรับเนอะ” หลังจากจบมื้อเช้าเสร็จคุณใหญ่ก็เตรียมตัวไปทำงานทันที
“ดูก่อนครับ วันนี้มีซ้อมบาส” เวลาเลิกมันไม่แน่นอน ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับกัปตันทีมที่ชื่อว่านิลกาฬครับ
“ยังไงก็โทรบอกใหญ่อีกทีนะครับ”
“ครับ”
คุณใหญ่เดินออกไปขึ้นรถเบนซ์ของตัวเองแล้ว เหลือแค่ผมที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องอาหารเหมือนเดิม
“จะเริ่มเลยไหมคะคุณรัชช์?” คุณป้าแม่บ้านคนเดิมที่แสนจะใจดีเดินเข้ามาถามผมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นไม่เปลี่ยน
“เริ่มเลยครับ” ผมเดินนำเข้าไปยังฝั่งของห้องครัว กวาดสายตามองอุปกรณ์และวัตถุดิบบนเคาน์เตอร์ตรงกลางห้องครัวคร่าวๆ ก็พยักหน้ารับกับตัวเองเบาๆ ของทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่เอามาผสมกันเฉยๆ แต่ถึงอย่างนั้นถ้าไม่มีคนสอนผมก็คงทำไม่ได้อยู่ดีแหละ
ผมเริ่มหยิบจับข้าวของตามที่คุณป้าแม่บ้านบอกทีละอย่าง จนทำไปได้สักพักก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิดเท่าไหร่นัก ทำได้ไม่นานก็เริ่มจะเห็นรูปเห็นร่างมากขึ้น ผมพยายามตั้งใจทำอย่างมากแม้มันจะเป็นครั้งแรกแต่ผมก็อยากให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ กะว่าจะทำใส่ตู้เย็นทิ้งไว้ด้วย พอคุณใหญ่กลับมาจะได้กินด้วย
“หัวไวจริงๆ เลยนะคะ คุณรัชช์นี่ไม่เคยทำให้ป้าผิดหวังเลยจริงๆ” หลังจากที่ทุกอย่างเป็นรูปร่างสมบูรณ์แล้วผมก็ยืนมองมันอย่างภูมิใจ ครั้งแรกก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะมีคนคอยสอนอยู่อย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอนด้วยล่ะมั้งครับ
“ชมเกินไปแล้วครับ”
“จะเอาไปให้เพื่อนใช่ไหมคะ? เดี๋ยวป้าเอาใส่กล่องไว้ให้นะคะ”
“ครับ ผมไปอาบนะก่อนนะครับ”
ผมเดินไปล้างมือก่อนจะกลับขึ้นห้องนอนของตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วมานอนเล่นอยู่บนเตียงพักใหญ่ เมื่อเช้าตื่นมาทำข้าวต้มให้คุณใหญ่เลยรู้สึกว่านอนไม่เต็มอิ่ม กะว่าจะนอนพักสักแปบแล้วค่อยไปมหา’ลัยยังไงวันนี้มารุตก็อยู่มหา’ลัยทั้งวัน แต่คิดว่าคงจะแวะไปหาเขาก่อนแล้วค่อยไปเรียน
“นั่นคุณรัชช์นี่”
“ตัวจริงหล่อชะมัดเลย”
“เสียดาย ไม่น่ามาตามตื้อมารุตเลย”
“ทำเหมือนคนในมหา’ลัยนี้ไม่มีคนอื่นที่ดีกว่านี้อย่างนั้นแหละ”
“หุบปากไปเลย! อย่ามาว่ามารุตของฉันนะ!”
“ก็พูดความจริงนี่”
“อยากโดนตบเหรอ?”
“หยุด! ฉันจะเผือกเรื่องพวกเขา”
เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ตามการย่างก้าวของผม หลังจากที่มีคนเห็นผมเดินเข้ามาในโรงอาหารคณะเกษตรในช่วงเวลาพักเที่ยงของวันก็เริ่มมีการจับกลุ่มพูดคุยและพุ่งประเด็นมาที่ผมทันที ผมเดินผ่านผู้คนมากมายที่หันมองมาทางผมไปยังกลุ่มของมารุตที่นั่งกันอยู่มุมในของโรงอาหาร โชคดีที่มารุตเป็นคนดังผมจึงหาตัวเขาได้ไม่อยาก เพียงแค่กดเข้า#มารุตคนเถื่อน ผมก็สามารถรู้ทุกความเคลื่อนไหวของเขาได้แล้ว
“อ้าว คุณรัชช์มาหามารุตเหรอครับ?” ยังไม่ทันจะได้อ้าปากทักใคร กลับเป็นผมที่กลายเป็นฝ่ายถูกทักขึ้นมาเสียก่อน ผมมองหน้าเพื่อนของมารุตด้วยตกใจเพราะถูกทักอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“มึงมาทำไม?” มารุตที่ได้ยินเสียงร้องทักก็หันมองตามสายตาของเพื่อนจนมาเจอกับผมที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะของเขา
“เอานี่มาให้ ขอบคุณที่เมื่อวานไปส่งที่บ้าน” ผมพูดพร้อมยื่นถุงบลูเบอร์รี่ชีสเค้กที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อเช้าส่งให้กับคนตัวสูงที่มองมายังผมด้วยสายตาเรียบนิ่ง
ตุ้บ!
“กูไม่เอา!”
“ไอ้เหี้ย!”
“ว้าย!”
“ทำอะไร?” ผมเบิกตากว้างมองตามกล่องเค้กที่ถูกปัดทิ้งอย่างแรงจนตกพื้นสภาพเละเทะจนดูไม่ได้ด้วยความตกใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคงเป็นอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกกับการกระทำอันไร้การรักษาน้ำใจนั้นของคนตรงหน้า
“กูไม่อยากได้ของของมึง!” เสียงทุ้มต่ำตวาดดังลั่นแทรกขึ้นท่ามกลางเสียงดังเซ็งแซ่ของผู้คนรอบข้าง
“เป็นบ้าอะไรอีก?” ผมมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น พยายามทำความเข้าใจว่ามารุตเป็นคนอารมณ์ร้อนและเขาขี้หงุดหงิด วันนี้เขาก็อาจจะไปเจอเรื่องอะไรที่ไม่เป็นที่น่าพอใจมาเลยทำให้หัวเสียอย่างนี้
“เมื่อวานมึงไปพูดอะไรกับไอริส!?” เขาลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับผมด้วยท่าทางที่พร้อมจะพุ่งเข้าหาผมได้ทุกเมื่อ ถ้าผมเผลอไปนิดผมอาจมีสิทธิ์โดนต่อยได้
“พูดอะไร?” แต่สิ่งที่เขาพูดมานั้นผมไม่เข้าใจจริงๆ ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
“ไอริสไม่ตอบข้อความกู โทรไปก็ไม่รับ มึงไปพูดอะไรกับไอริส เขาถึงได้เมินกูแบบนี้!”
“เปล่า” ผมชะงักไปอึดใจหนึ่งเพราะไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องที่ผมเจอกับไอริสเมื่อวาน แต่ผมก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ไปพูดอะไรที่ไม่ดีกับอีกฝ่ายเลยนะ
“โกหก! ในเพจมหา’ลัยลงรูปมึงอยู่กับไอริสที่ร้านกาแฟ มึงต้องไปพูดอะไรกับแฟนกูแน่ๆ” ใบหน้าหล่อดูดุดันมากกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นเขาโมโหมา นัยน์ตาสีเข้มที่สะท้อนถึงความโมโหบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าไอริสนั้นสำคัญกับเขามากขนาดไหน
“แฟนเก่า” ผมแก้คำพูดของมารุตให้ถูกต้อง รู้สึกแปลกๆ กับตัวเองเหมือนกันที่ได้ยินคำพูดนั้นของอีกฝ่าย มันเหมือนกับว่าใจผมมันวูบโหวงยังไงก็ไม่รู้สิ
“มึงจะกวนตีนกูเหรอรัชช์!?” มือใหญ่ยื่นเข้ามากระชากคอเสื้อของผมอย่างแรงจนผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเซถลาไปหาเขา มันเหมือนกับว่าการที่ผมไปจี้จุดเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับไอริสมันยิ่งทำให้คนตัวสูงโมโหมากกว่าเดิมขึ้นอีกระดับ
“หายบ้าแล้วค่อยคุยกัน” ผมดึงมือใหญ่ที่กำปกเสื้อของผมอยู่ออกอย่างไม่แยแส ผมเองก็เริ่มจะหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ แต่สถานการณ์ตอนนี้มันแย่มาก มันไม่เหมาะที่จะมาพูดคุยกัน มารุตยังอารมณ์ร้อน ยิ่งคุยก็ยิ่งทะเลาะ ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก เผลอๆ ผมเองก็จะอารมณ์ร้อนตามไปด้วย แค่เรื่องเค้กที่ถูกปัดทิ้งไปผมก็โกรธจนตัวสั่นไปหมดแล้ว ถ้าต้องมาเถียงกันเรื่องไอริสอีก ผมอาจจะเกลียดเขาไปเลยก็ได้
“มึงจะไปไหน!?” ผมที่เตรียมจะหมุนตัวเดินกลับไปอีกทางก็ถูกกระชากแขนเอาไว้อย่างแรง แขนขวาปวดร้าวไปหมดจากการถูกบีบเสียจนขึ้นรอยแดงบนผิวขาว
“บอกแล้วไงว่าให้เลิกบ้าก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน” ก็รู้ว่าเขามันดื้อและหัวรั้น แต่บางทีเขาก็ควรจะฟังคนอื่นบ้าง จะเลือดร้อนแค่ไหนมันก็ต้องมีลิมิต ต้องรู้จักควบคุมตัวเองสักหน่อย ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้
“ไม่! คุยกันให้รู้เรื่อง มึงเป็นอะไรกับกูมากไหม? กูบอกไปแล้วว่ากูไม่ได้ชอบมึง เลิกยุ่งกับกูสักที!”
“...” ผมชะงักนิ่งค้างไปกลางอากาศเพราะไม่ได้เตรียมใจที่จะมาฟังคำพูดรุนแรงแบบนี้จากคนตรงหน้า ถึงผมจะไม่ได้ชอบมารุตจริงๆ แต่เจอคนมาพูดแบบนี้ใส่หน้า มันก็ทำเอาหน้าชาไปได้เหมือนกัน
“ไอ้เหี้ยมารุต!” เสียงเพื่อนของเขาร้องออกมาอย่างตกใจ ซึ่งคนรอบข้างที่มุ่งดูเราอยู่ก็มีอาการไม่ต่างกัน
“ออกไปจากชีวิตกู! แล้วก็เลิกเสี้ยมไอริสได้แล้ว!” เขาไม่สนเสียงร้องห้ามปรามของใคร แต่ยังคงสาดคำพูดที่รุนแรงใส่ผมต่อ
“พูดจบหรือยัง?” ผมหลับตาลงอย่างข่มอารมณ์ ความรู้สึกมากมายตีผสมปนเปกันไปหมด ทั้งโกรธ โมโห ผิดหวัง และเสียความรู้สึก
“มึงว่าไงนะ?” มารุตเบิกตากว้างมองผมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“พูดจบแล้วก็ปล่อย รำคาญ” ผมปรายหางตามองยังแขนของตัวเองที่ถูกมือใหญ่กำเอาไว้แน่นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยจนมันชาหนึบไปทั้งแขนแล้ว
“มึง!”
“เพราะแบบนี้ไง ไอริสถึงไม่อยู่กับนาย” งี่เง่า เป็นคนที่โตแต่ตัวจริงๆ
“คนอย่างมึงมันจะไปรู้อะไร!? เพราะมันมีพวกตัวเสี้ยมแบบมึงไง! ไอริสถึงได้ทิ้งกูไป!” พอมีชื่อของไอริสเข้ามาในบทสนทนามารุตก็ดูเหมือนจะยิ่งโกรธเคืองมากกว่าเดิม
“ชีวิตนี้เคยโทษตัวเองบ้างหรือเปล่า? หรือเอาแต่โทษคนอื่นเป็นอย่างเดียว?” อดไม่ได้ที่จะตวัดตามองคนตรงหน้าอย่างนึกเวทนา
ผลั้วะ!
สิ้นคำพูดของผม หมัดหนักๆ ก็ปะทะเข้าที่ข้างแก้มของผมทันทีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“คุณรัชช์!”
“กรี๊ด!”
ผลั้วะ!
แต่คิดเหรอว่าผมจะยอมโดนต่อยอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าคิดว่าผมมันเป็นพวกอ่อนแอที่จะหงอจนไม่กล้าทำอะไรล่ะก็คิดผิดแล้ว ผมเองก็หมดความอดทนแล้วเหมือนกัน
“ดีแต่ใช้กำลัง สมองน่ะ หัดใช้บ้าง ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ แล้วก็นะ...” ผมหลุบตาลงต่ำมองคนที่ล้มลงไปนอนกับพื้นเพราะแรงหมัดของผมด้วยสายตาที่ว่างเปล่า มารุตเงยหน้ามาสบตากับผมอย่างโกรธแค้น
“แม่งเอ๊ย!” เขาทำท่าจะลุกขึ้นมาต่อยผมซ้ำอีกรอบแต่เพื่อนทั้งสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลรีบวิ่งเข้ามาจับตัวเขาเอาไว้แน่นเสียก่อน ทำให้เขาไม่สามารถพุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายผมได้อีกเป็นครั้งที่สอง
“ทุกคนบนโลกใบนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวนาย อย่าคิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของทุกคนบนโลก ถ้าโตขนาดนี้แล้วคิดไม่ได้ก็ไปตายซะ” ผมน่ะ ไม่ใช่คนที่จะชอบพูดคำหยาบหรือชอบพูดจารุนแรงอะไรหรอกนะ แต่สำหรับบางคน ถ้าพูดดีๆ ด้วยแล้วมันยังไม่ได้ผลก็คงต้องพูดจาร้ายๆ ใส่กันบ้าง และหากว่าผมจะต่อว่าใครสักคนมันก็ไม่ได้เด็กน้อยจนทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดไม่ได้หรอกนะ
“มึง!”
เมื่อพูดในสิ่งที่อยากจะพูดจบผมก็หมุนตัวเดินออกมายังหน้าโรงอาหาร ระหว่างทางเดินก็มีผู้คนแหวกทางให้อย่างพร้อมเพรียงพร้อมใจ ผมไม่ได้หันมองสิ่งรอบข้างใดๆ แม้จะรู้ตัวดีว่าถูกโทรศัพท์หลายเครื่องจับภาพตัวเองเอาไว้แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะสนใจมัน ถึงเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปมันก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากก็ถูกพูดถึงไปสักพักใหญ่ แต่ถ้าถามว่าจะมีผลกระทบต่อเรื่องชื่อเสียงอะไรไหม? มันก็คงมี แต่ผมไม่แคร์ ส่วนเรื่องทางมหา’ลัย นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมก็คิดว่าตัวเองก็แน่อยู่พอสมควร
“ไปส่งผมที่สวนสาธารณะ XXX ครับ”
“ครับ”
ผมเดินกลับมาที่รถของที่บ้านที่ผมขอให้ลุงคนขับช่วยจอดรอผมก่อน อย่างที่รู้ดีว่ารถผมยังอยู่ในอู่ และผมไม่ชอบขับรถแพงๆ คันอื่นที่มีจอดอยู่เต็มบ้านผมเลยให้คนขับรถของที่บ้านมาขับให้ และผมเลือกที่จะแวะหามารุตก่อนที่จะเข้าเรียน ผมเลยบอกให้ลุงคนขับจอดรอผมแปบหนึ่งแล้วจะกลับมาให้เขาไปส่งที่หน้าคณะ แต่ตอนนี้มันกินเวลาเข้าเรียนของผมไปแล้ว และผมก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปด้วย ผมอยากหาที่สงบอยู่กับตัวเองสักพัก แต่ผมก็ยังไม่อยากจะกลับบ้านในตอนนี้
Rrrrr
(“คุณรัชช์ ไม่เข้าเรียนเหรอ?”) ทันทีที่กดรับสายเสียงหวานใสที่คุ้นหูก็ดังขึ้นทันทีโดยไม่รอให้ผมได้เอ่ยปากทักทายออกไปก่อนเลย
“อื้อ ฝากจดเลคเชอร์ทีนะครับกริน”
(“โอเคค่ะ”)
อีกสักพักเพื่อนๆ ของผมก็คงจะเห็นข่าวในเพจมหา’ลัยหรือไม่ก็ในทวิตเตอร์ ถึงตอนนั้นพวกเขาก็คงจะเข้าใจเองว่าทำไมผมถึงไม่เข้าเรียนในวันนี้
-----60%-----
ผมเดินเข้ามาในสวนสาธารณะแล้วหาที่เงียบๆ และสงบนั่งคิดอะไรเพียงลำพัง ผมได้แต่นั่งคิดทบทวนกับตัวเองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าเรื่องราวระหว่างผมกับมารุตมาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่เกิดการต่อยตีกันอย่างไร้เหตุผล ยอมรับว่าตัวผมเองก็ใจร้อนไป ผมไม่ควรจะสวนกลับไปอย่างนั้น ไม่ควรใช้อารมณ์ในขณะที่อีกฝ่ายก็กำลังอารมณ์ร้อน ผลที่ตามมามันไม่ใช่การเสียชื่อเสียงแต่เป็นความรู้สึกดีๆ ที่ผมเคยมีให้กับเขามากกว่า ผมเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมสนุกกับการได้อยู่กับมารุต มันอาจไม่ถึงขั้นการชอบพอใครสักคน แต่มันก็เป็นความรู้สึกดีๆ ที่มีมากอยู่พอสมควร แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันเริ่มจะสวนทาง ผมไม่ได้เกลียดมารุตหรือไม่ชอบเขา แต่มันเป็นความรู้สึกผิดหวัง ถึงจะไม่เคยคาดหวังอะไรแต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ถูกต่อยเพราะอะไรผมยังไม่รู้เลย แต่ที่น่าเจ็บใจกว่าก็คงจะเป็นเค้กชิ้นนั้นล่ะมั้ง ความตั้งใจของผมมันดูไร้ความหมายไปเลย
“โดดเรียนแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”
“เชน” ผมมองร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามาบังทิวทัศน์เบื้องหน้าของผมจนมิดด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าเพื่อนของผมคนนี้จะมาอยู่ที่นี่ด้วย
“พอดีแวะไปหาเพื่อนที่เกษตรแล้วเห็นเหตุการณ์พอดีเลยตามมา” เชนที่เห็นสีหน้าแปลกใจปนสงสัยของผมก็อธิบายออกมาพร้อมรอยยิ้มบางเบาที่มุมปาก
“Stalker” ถึงจะแปลกใจแต่ก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอเขา มันเหมือนกับว่าอย่างน้อยผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวจริงๆ ผมสามารถรับรู้ความรู้สึกเป็นห่วงจากเขาได้แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ
“ไม่ใช่โรคจิตสักหน่อย” เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างผมก่อนจะทอดมองออกไปยังท้องฟ้าสว่างสดใสอย่างเหม่อลอย
“โดดเรียนเหมือนกันเลย” ผมแกล้งแหย่เขากลับไป
“เจ็บหรือเปล่า? ทำแผลไหม?” เขาหันมาถามด้วยแววตาห่วงใย
“เล็กเท่ามด”
“เห็นแล้วเจ็บแทน” ปลายนิ้วเรียวไล้แตะลงแผ่วเบาที่ข้างแก้มของผม นัยน์ตาคมจับจ้องอยู่ที่รอยช้ำไม่วางตา
“...”
“ชอบจริงๆ เหรอ? ผู้ชายคนนั้นน่ะ” จู่ๆ เชนก็พาผมเปลี่ยนเรื่อง ดวงตาสีเข้มเลื่อนมามองสบตากับผมนิ่งอย่างต้องการคำตอบ ท่าทางที่นิ่งกว่าทุกครั้งบอกผมได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังจริงจังอยู่
“ทำไมถึงถามแบบนั้น?”
“ไม่เหมาะเลยสักนิด”
“เชน” ผมเอ่ยปรามเสียงนิ่ง อีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ชอบคือการดูถูกคนอื่น ไม่ว่าจะคำว่าไม่เหมาะสม หรือไม่คู่ควร หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันดูเป็นการกดใครคนใดคนหนึ่งให้อยู่ต่ำกว่าอีกคน ผมไม่ชอบ ใครเป็นคนกำหนดมาตรฐานหรือบรรทัดฐานกันเหรอ? ผมว่ามันไร้สาระนะ
“ขอโทษ”
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากที่เชนเอ่ยคำขอโทษออกมา ผมนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง เอาแต่คิดทบทวนถึงการกระทำของตัวเอง คิดทบทวนถึงความรู้สึก ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าใจผมยังไม่เปลี่ยนไปใช่ไหม? ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ความรู้สึกของตัวเองเปลี่ยนไปหรือยัง ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วผมกำลังหลอกตัวเองอยู่หรือเปล่า ที่ผมรู้สึกแย่อยู่ตอนนี้คือผมแค่รู้สึกผิดหวังไม่ใช่เสียใจใช่ไหม? ผมได้แต่ถามตัวเองย้ำอยู่อย่างนั้น
แล้วสุดท้ายผมก็ได้รู้ว่าผมไม่เข้าใจตัวเองเอาเสียเลย ผมกำลังสับสนอย่างหนัก
“กลับกันเถอะ” กว่าจะรู้สึกตัวว่าเอาแต่นั่งเหม่อลอยไปไกลก็นานจนกระทั่งแดดที่เจิดจ้าก่อนหน้านี้เริ่มร่มจนเหลือแค่เงาแดดอ่อนๆ ผมไม่ได้ขานตอบกลับไปแต่ก็พยักหน้ารับคำชวนของเชนเบาๆ
“ไปส่งนะ”
“อืม”
ขนาดมีคนอยู่ด้วยผมยังเป็นขนาดนี้ แล้วถ้าเชนไม่ตามผมออกมา ผมจะรู้สึกโดดเดี่ยวขนาดไหนนะ
Rrrrr
ขับรถออกมาจากสวนสาธารณะได้ไม่เท่าไหร่โทรศัพท์ของผมก็ส่งเสียงดังลั่นขึ้น หยิบออกมาดูก็เป็นเบอร์ที่คุ้นเคย ผมเม้มริมฝีปากแน่น ชั่งใจอยู่พักหนึ่งเพราะไม่กล้ารับ แต่สุดท้ายก็กดรับเพราะอยากได้ยินเสียงของคนปลายสาย
(“กูเห็นข่าวในเพจแล้ว”) วินาทีนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องนี้อยู่ดีนั่นแหละ ป่านนี้คงเป็นข่าวว่อนไปทั่วโลกโซเชียลแล้ว
“เป็นห่วงเหรอครับ?” ถึงจะรู้ดีอยู่แล้วแต่ผมก็ยังแกล้งแหย่อีกฝ่ายกลบเกลื่อนความสั่นไหวในใจ
(“เลิกล้อเล่นได้แล้ว กูเตือนมึงจนปากจะฉีกถึงรูหูแล้วนะรัชช์”)
“ผมรู้” ทั้งที่โดนดุอยู่แท้ๆ แต่ผมกลับอยากจะยิ้มให้ปากฉีกเสียให้ได้ แค่ได้ยินเสียงก็อุ่นวาบไปทั้งใจ
(“เมื่อไหร่จะเลิกยุ่งกับมันวะ!? ไหนมึงจะต้องรับมือกับแฟนคลับโรคจิตของมัน แล้วยังต้องมาเจอกับความบ้าของมันอีก มึงไม่เหนื่อยเหรอรัชช์?”)
“ใจเย็นก่อนครับ”
(“กูให้เวลามึงนะรัชช์ ถ้ามึงยังไม่เลิกยุ่งกับมัน มึงได้มีปัญหากับกูแน่!”)
“เข้าใจแล้วครับ”
(“วันนี้มึงไม่ต้องมาซ้อม กูให้มึงไปพัก แล้ววันจันทร์มาคุยกับกูให้รู้เรื่อง”)
“ครับ”
ผมได้แต่ตอบรับไปอย่างว่าง่าย ก้มมองหน้าจอที่มืดสนิทอยู่อย่างนั้นพักใหญ่แล้วจนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน เชนบอกให้ผมรีบขึ้นห้องไปพักผ่อน ส่วนเขาก็ขับรถกลับออกไปเลย ผมเดินขึ้นมาบนห้องอย่างเหม่อลอย ตลอดระหว่างทางที่นั่งรถกลับมาบ้านผมก็คิดถึงทางออกของเรื่องราววุ่นวายนี้ คิดจนปวดหัว แต่แล้วทุกอย่างก็จบลงอย่างง่ายดายเมื่อผมได้รับสายจากคนๆ นั้น คำสั่งที่เด็ดขาดทำให้ผมตัดสินใจได้
ผมคงต้องจบเรื่องนี้เสียที
---------------
ปีสุดท้ายแล้ว เหนื่อยมาก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รุตแกอารมร้อนเกินฟังเขาอธิบายก่อนไหม ถามเขาก่อน แล้วไอริสเป็นอะไร ร้ายเงียบรึป่าวหรือยังไง รัชช์จบคือจบนะลูก เรื่องเค้กคือมันเสียความรู้สึกจริงๆนะแล้วเรื่องแบบนี้มันเอากลับมายากหรือไม่ได้เลยด้วยซ้ำ รัชช์มีความผู้ใหญ่ดีจังอะ แต่สวนไปบ้างก็ดีนะ555
ปล.สู้ๆฮ่ะ เป็นกำลังใจให้จ้า
/เปลี่ยนพระเอก!! เททิ้งไปเลยคุณรัชช์ เทให้หมดทั้งเพื่อนทั้งมารุตนั่นแหละ หัวร้อน สมองถั่ว!!
ปปล่องให้มารุตรู้บทเรียนบ้างง อย่ายอมนะคุณรัชช์
ไรท์สู้ค่ะ เข้าใจเลยว่ายิ่งปีสุดท้ายทั้งงานทั้งวิจัยถาโถมมากก //รอนะคะ ค้างงง