คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #96 : -:- Special -:- Little Crown ✶ Diaries
Little Crown ✶ Diaries
ในวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ
“ฉันขอกินน้องชายเธอทั้งเป็นได้ไหม?”
จู่ ๆ คุณผีเฝ้าสุสานก็ถามออกมา
เราเจอกันครั้งแรกใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ตั้งตระหง่านปกคลุมผืนดินและใบหญ้าสีอ่อน เป็นช่วงเวลาหลังจากเธอแกล้งน้องชายฝาแฝดเพียงคนเดียวจนร้องไห้จ้ากลับคฤหาสน์ไป ทิ้งให้เธอหัวเราะเอิ้กอ้ากตรงหน้าแผ่นหินสีดำเงาที่แสนสำคัญของตระกูลอย่างสนุกสนาน
แล้วชะงักเมื่อสายตาเหลือบเห็นเงาดำอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่เหนือหัว
พอเพ่งมองดี ๆ ก็เห็นว่ากำลังนั่งอยู่ สองมือสอดรองใต้ท้ายทอย เอนพิงลำต้นแข็งแรง ท่าทางราวกับชมละครชั้นดีที่ดำเนินไปด้วยตุ๊กตาฝาแฝดชายหญิงขนาดเท่าเด็กกระจ้อยร่อย
เธอเห็นดวงตาสีผสมแบบเดียวกัน หากหางตาคมกริบยิ่งกว่า
ลึกลับยิ่งกว่า
จับจ้องลงมา
แล้วกะพริบตาทีหนึ่ง
เธอสะดุ้งโหยง รีบวิ่งแจ้นกลับห้องไป — กำลังจะคลุมโปงมิดหัวบนเตียงก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องนี้ต้องจดลงในสมุดบันทึกกันลืม จากที่จะตื่นตระหนกตัวสั่นใต้ผ้าห่ม กลับกลายเป็นมานั่งหน้าเครียด มือจับดินสอ จดตัวอักษรยึกยือลงในกระดาษอย่างเมามัน
น้องชายที่เพิ่งกลับมาจากถูกแม่กอดปลอบเกาหัวงุนงง ในมือมีโหลคุกกี้ที่พ่อบ้านทำมาให้ เห็นพี่สาวฝาแฝดกำลังจดอะไรไม่รู้เลยป้อนคุกกี้ให้ชิ้นหนึ่ง
เป็นคุกกี้รสอ้วก
เอาคืนที่ถูกแกล้งในสวนอย่างไม่ทันตั้งตัวแน่ ๆ
✶
“ยัยหนูที่น่ารักของแม่ บอกกี่ครั้งแล้วจ๊ะว่าอย่าแกล้งน้อง”
เรือนร่างสะโอดสะองยืนกอดอกเบื้องหน้าลูกสาว นิ้วเรียวประดับสีเล็บแดงเหลือบทองตามประสาคนรักสวยรักงามเคาะต้นแขนเบา ๆ ราวกับจับเวลาตามเข็มนาฬิกา เคาะหนึ่งครั้ง สองครั้ง และสามครั้ง
ชะโงกหน้าไปมองด้านหลัง เห็นน้องชายหน้าซื่อจนเกือบบื้อยืนเกาะชายกระโปรงพลิ้วของมารดา น้องชายที่เหมือนลิ่วล้อมากกว่าฝาแฝด จมูกแดง ๆ นิดหน่อยเชิดขึ้นเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ไม่ยอมโดนแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวแน่
เจ้าน้องตัวแสบ!
“คราวนี้อะไรอีกล่ะฟีล?”
ชะโงกหัวไปอีกทาง เห็นผู้เป็นลุงเดินมาด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะเอ็นดูเบา ๆ ดังแว่วมา ถ้าไม่นับคุณลุงเซ็นโคคุที่มักจะเคร่งเครียดในบางเวลาที่ต้องจัดการเรื่องในตระกูล ก็มีคุณลุงซีริลนี่แหละที่ใจดีที่สุดในบ้านแล้ว
เธอทำตาแป๋วส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคุณลุงคนโปรด
ส่วนคุณแม่คนสวยของเธอถอนหายใจ
“ยัยปีศาจน้อยของฉันหาเรื่องแกล้งฝาแฝดตัวเองอีกแล้วน่ะสิ” ฝ่ามือเรียงสวยแนบแก้ม อ่อนอกอ่อนใจ “เจ้าปีศาจคนน้องก็ใช่ย่อย คนพี่ใช้กำลังมา คนน้องต้องแอบเอาคืนทีเผลอทุกทีเลย ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ? เฮ้อ”
เจ้าน้องชายทำหน้าหงอยเมื่อตัวเองถูกนับรวบความซนเข้าไปบ่นด้วย
ซีริลหัวเราะขบขัน เดินเข้ามาลูบหัวยัยหลานตัวดีที่ถูกสั่งให้นั่งบนเก้าอี้ตรงมุมห้องเฉย ๆ เพราะถูกสั่งลงโทษกับความซนเต็มพิกัด “สงสัยความแสบมันสืบทอดมากับสายเลือดแน่เลย ทุกรุ่นของเราต้องมีสักคนสองคนแหละนะที่เป็นตัวป่วนน่ะ”
พ่อเด็กก็ออกจะหน่อมแน้ม
ตัดช้อยส์เรื่องความซนทิ้งไปได้เลยคนนั้นน่ะ
เธอพยักหน้าหงึก ๆ “ใช่ค่ะ ใช่เลย ต้องเป็นเพราะสายเลือดของแม่แน่ ๆ” เห็นด้วยเต็มที่
น้องชายทำหน้ายู่ “ไม่อะ ผมว่าพี่ซ่าด้วยตัวพี่เองทั้งนั้น”
“เอ๊ะ เรออน!” เธอแหวใส่
“พอเลยทั้งสองคน แม่พาพวกเรามาเตรียมตัวสำหรับวันเคารพบรรพบุรุษนะจ๊ะ ไม่ได้พาพวกเราย้ายถิ่นที่ตีกัน” หญิงสาวผมสีดำปลายแดงจัดการห้ามทัพ สองมือดันเหม่งลูกน้อยทั้งคู่จนผมหน้าม้าสะบัดเป็นการห้ามปราม
ฟีลหรี่ตา “อีกไม่กี่วันก็จะถึงแล้ว แม่หวังว่าปีนี้ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีผ่านทุกปี...ใช่ไหมจ๊ะ?”
ตบท้ายด้วยรอยยิ้มหวานหยด...แต่พวกเขารู้ดีว่านั่นเป็นคำเตือน
โดนดุซะแล้ว
เธอกับน้องชายรับคำเสียงอ่อยกันเป็นแถบ ก่อนจะถูกแม่ปล่อยตัวออกมาเพราะมีเรื่องจิปาถะจะคุยกับคุณลุงซีริลในเวลาไม่นาน
แล้วหลังจากนั้น…
“หนูก็ขัดขาเรออนจนหน้าทิ่มใส่กระถางต้นซันไซหน้าห้องทันทีเลย!”
“...เพิ่งโดนแม่ดุไปไม่ใช่รึไง?”
“ทำไงได้ล่ะ ก็หมอนั่นน่าหมั่นไส้นี่นา” เธอนั่งกอดอก โยกตัวบนพื้นหญ้าอย่างอารมณ์ดี “เพิ่งตีกันไปแท้ ๆ จู่ ๆ ก็หันหน้ามาจับมือบอกไปกินขนมกระชับมิตรกันดีกว่า ฮะ ๆๆ กระชับมิตรอะไรกันล่ะนั่น น่าอายจะตายไป”
“หืม”
ยัยจอมซนชะงัก
อีกคนแค่เผยอริมฝีปาก ส่งเสียง “อ้อ” ในลำคอออกมาเพียงคำเดียว
ราวกับรู้ทัน
“ม— ไม่ได้เขินสักหน่อย ไม่ได้เขินนะ! นี่! มองหนูแบบนั้นหมายความว่าไง!”
หันไปสบตากับคนที่นั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่บนสุสานหิน ร่างที่ปกคลุมไปด้วยสีดำเกือบทั้งตัวหากอยู่ใต้ร่มเงาอะไรสักอย่างก็ไม่แคล้วกลมกลืนไปกับมัน
เจ้าตัวเล็กของบ้านพองแก้ม มองคนที่เอียงคอตอบเป็นภาษากาย ทั้ง ๆ ที่ผิวขาวมากจนเกือบซีดแท้ ๆ แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ส่งเสียง เธอก็ไม่เคยจะหาเจ้าตัวเจอเลยสักครั้ง
ซุ่มซ่อน
เฝ้ามอง
เร้นลับ...ไปกับทิศของแสงและแรงของลม
“คุณลุงเจ้าของที่ต้องลุกขึ้นมาบีบคอคุณเร็ว ๆ นี่แน่นอนคุณผี ไม่มีใครบอกเหรอว่าห้ามนั่งบนที่ของคนอื่นน่ะ”
“หาหลุมศพของฉันเจอรึยังล่ะ?”
“คุณยังไม่รู้เลย คำใบ้ก็ไม่มี แล้วหนูจะไปหาเจอได้ยังไง”
‘คุณผี’ หรือ ‘คุณผีเฝ้าสุสาน’ ยกยิ้มมุมปาก นั่นไม่ใช่ชื่อจริง แต่เป็นชื่อที่วันหนึ่งเธอใช้เรียกแทนตัวอีกฝ่ายขึ้นมาดื้อ ๆ จากตอนแรกที่คิดว่าตัวเองตาฝาด แต่หลังจากจบวันเคารพบรรพบุรุษปีแล้ว ก่อนแม่พากลับบ้าน สายตาที่มองได้ไกลกว่าเด็กทั่วไปก็เห็นอีกฝ่ายยืนอยู่หน้าหลุมศพที่อยู่ลึกลงไปในสวนหลังบ้านเข้า
เป็นการพบกันครั้งที่สอง
เธอมองจากที่ไกล ๆ เห็นร่างสีดำกับผมสีเข้มพลิ้วไหวตามแรงลม ยืนอยู่เนินสูง ในมือมีดอกพลับพลึงแดงอยู่สองดอก ครบจำนวนหลุมศพที่ตั้งแยกเป็นเอกเทศตรงนั้นพอดี
ไกลขนาดนั้นแท้ ๆ แต่อีกฝ่ายยังเหลือบมามองเธอตอบจากหางตาได้ เธอเองก็กล้าหาญกว่าที่คิด จ้องตอบจนกว่าจะแน่ใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเอง
จนเธอเผลอกะพริบตาเพราะแม่เรียก
อีกฝ่ายก็หายไป
เหลือไว้เพียงดอกไม้สองดอกที่ร่วงลงบนพื้นหินของแท่นที่จารึกชื่อญาติผู้ล่วงลับ — เป็นบริเวณที่เธอชอบวิ่งไปเล่นบ่อยที่สุดเพราะเนินสูงตรงนั้นทำให้เห็นวิวสวย ๆ เต็มไปหมด ราวกับคนสร้างตั้งใจให้เจ้าของหลุมศพบนเนินนั้นได้เห็นวิวทิวทัศน์ละลานตา แม้ใต้แท่นหินจะมีเถ้ากระดูกหรือไม่มีก็ตามที
เธอไม่เคยบอกเรื่องนี้กับแม่หรือน้องชายฝาแฝด เพราะคิดว่าการค้นพบครั้งนี้มันเจ๋งมากหากเธอเป็นเจ้าของมันแต่เพียงผู้เดียว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ...
ไม่มีใครเห็นคุณผีเฝ้าสุสานนอกจากเธอ
เธอและน้องชายจะถูกพากลับมาเยี่ยมตระกูลของแม่ที่คราวน์แค่ปีละครั้ง ครั้งละ 7 วัน นับรวมการเตรียมตัว เตรียมของและพิธีการต่าง ๆ ของการเคารพให้ไม่มีอะไรผิดพลาด
เพื่อขอบคุณ เพื่อพบปะ และเพื่อรำลึกถึงคนที่ไม่อยู่แล้ว
และ 7 วันในแต่ละปี ก็เป็นวันที่เธอจะได้พบกับคุณผีปริศนาเป็นครั้งคราว ยกนิ้วขึ้นมานับอีกครั้งก็พบว่าพวกเราคุยโต้ตอบกันเป็นเวลา 3 ปีแล้ว
3 ปี
ที่หนูน้อยเรซซาไม่รู้จักชื่อ ระบุตัวตนไม่ได้ และหาหลุมศพที่ตั้งของอีกฝ่ายไม่เจอ
แต่เธอเดาได้ว่าเป็นคราวน์แน่นอน จากดวงตาเพียงข้างเดียวที่เหลืออยู่ของคุณผีตรงหน้า นัยน์สีผสมลึกลับอ่านยาก ส่วนตาอีกข้างถูกปิดไว้ด้วยผ้าปิดตาชั้นดีราวกับโจรสลัดในนิทาน ไหนจะปลายผมของอีกฝ่ายที่เหมือนเหมือนคุณแม่อีก ได้ยินมาว่าคุณตาที่อยู่ในสารานุกรมของคราวน์ก็มีปลายผมสีแดงเหมือนกัน
เธอไม่ได้อ่านสารานุกรรมนั่นละเอียดหรอกนะ (ขี้เกียจ!) เพราะคราวน์แต่ละรุ่นก็มีลูกดก ไหนจะตระกูลรองของแต่ละสายอีก เรซซาตัวน้อยคนนี้จึงจดจำเพียงแค่ญาติ ๆ ที่เคยได้พบหน้าและพูดคุยกันเท่านั้น
“แล้วคุณ—”
ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงฝาแฝดตัวเองดังใกล้เข้ามา “พี่ครับ!”
หันกลับมาอีกทีคุณผีก็ไม่อยู่แล้ว
เรซซาหน้ายู่ นิสัยชอบหันไปแลบลิ้นใส่น้องนี่มันแก้ไม่หายซะที
✶
“พี่ครับ ...หัวพี่?”
คุณผีนิสัยไม่ดี! แอบมาผูกโบว์เละ ๆ บนหัวหนูตั้งแต่ตอนไหนกัน!!
✶
“คุณผีตัวเย็นมากเลย”
“อือฮึ”
“คุณผีนิ้วเป็นสีดำแฮะ”
“เพราะเป็นผี”
“เล็บยาวด้วย คุณซกมกไม่ตัดเล็บเหรอ?”
“ต่อให้ฉันตัดมันก็ยาวเร็วอยู่ดี และถุงมือฉันไม่ได้มีเอาไว้ดม คืนมา”
“มือคุณหอม ถุงมือก็หอม”
“ทำตัวเหมือนแม่เลยนะเธอนี่”
“ฟันคุณยาวจัง หนูของัดสักซี่มาเก็บไว้ได้ไหม?”
“กัดนะ”
“คุณผี—”
“ทะเลาะกับน้องมารึไง?”
“...”
ปากที่พูดเจื้อยแจ้วบทสนทนาแปลกประหลาดค่อย ๆ หยุดลง ดวงตาสองสีที่รวมกรรมพันธุ์ของพ่อและแม่เข้าด้วยกันหลุบหนีไม่มองตอบ เธอก้มลงเอาหัวโหม่งพื้นหญ้า ให้คนข้าง ๆ เห็นแค่ก้นน้อย ๆ กระดกขึ้นเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่ไม่อยากคุยด้วย
“หนักเหรอคราวนี้?”
“หนูไม่ได้แกล้งเรออนซะหน่อย หมอนั่นซุ่มซ่ามตกบันไดไปเอง แค่ม้วนตัวพลิกขึ้นมายืนบนพื้นไม่เก่งเหมือนหนูเลยเลือดไหลออกจากหัวเต็มเลย” เธอพูดเสียงอู้อี้ “แค่เห็นหนูอยู่ใกล้ ๆ แม่ก็หาว่าหนูทำน้องแล้ว ถึงที่ผ่านมาจะแกล้งน้องบ่อย แต่คราวนี้หนูไม่ได้ทำจริง ๆ นะ”
“อ๋อ”
“คุณไม่เชื่อหนู”
“เชื่อ”
“ถ้าเชื่อคุณต้องตบก้นปลอบหนูสิ”
“จะไม่เชื่อก็เพราะแบบนี้นี่แหละ”
เธอโงหัวขึ้นมา ภาพย้อนแสงจากคุณผีที่นั่งพิงต้นไม้หลังแท่นหลุมศพอยู่ข้าง ๆ เธอ สายลมเย็นพัดเอื่อยผ่านตามเสี้ยวเส้นผมสีดำยาวให้ระเกลี่ยลงบนพื้นหญ้า กรอบตาเรียวคมหรี่ลง มองเธอเหมือนสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่แค่ขยับนิ้วก็บี้ก็จนปีกหักได้
“...หนูไม่ได้ทำน้อง” เธอเอ่ยอีกครั้ง ปากเล็ก ๆ เบะออกน้อยใจ
“ฉันรู้”
“หนู ฮึก... หนูไม่ได้ทำ”
เธอเห็นควันสีดำโอบล้อมรอบตัว ฝ่ามือเย็นยะเยือกของคุณผีวางลงบนหัว แทรกเรียวนิ้วไปตามเรือนผม ลูบเบา ๆ ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย เด็กน้อยที่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นจึงค่อย ๆ ปล่อยตัวลงพร้อมกับปล่อยใจให้ห้วงนิทราพากล่อมนอน
“ฉันรู้”
✶
ทุกอย่างมันแย่ลงเมื่อมีเรื่องที่คาดไม่ถึงแทรกเข้ามา
“พี่โกรธอะไรผมอีก?”
“เปล่าสักหน่อย ไม่ได้โกรธเลยสักนิด”
“โกหก”
“อะไรเล่า?”
“พี่โกรธผมอยู่ชัด ๆ”
“นายคิดไปเอง”
“พี่ไม่เชื่อว่าผมบอกแม่เรื่องผมตกบันได” น้องชายฝาแฝดขมวดคิ้วมุ่น คว้ามือผู้เป็นพี่สาวตนเอาไว้ก่อนจะเดินหนีไปมากกว่านี้ “พี่ก็ได้ยินแล้วไงว่าแม่ขอโทษที่ว่าพี่ แม่ยังหันมาดุผมอยู่เลยที่ทำอะไรไม่ระมัดระวัง พี่ก็เห็น”
“ยังไงแม่ก็คงคิดว่าต่อให้ฉันไม่ได้ทำ ฉันก็ไม่ช่วยนายอยู่ดี!”
เด็กชายที่มีดวงตาสองสีเหมือนกันแค่สลับข้างถอนหายใจยาว บนหัวมีผ้าพันแผลพันไว้ซี่หนึ่งจากการตกบันได
“พี่ครับ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ แม่เขาไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอก”
“นายไม่เคยถูกแม่มองว่าเป็นตัวปัญหาน่ะสิ ถึงได้คิดอะไรแง่ดีแบบนั้นน่ะ”
“พี่—”
สองเด็กน้อยฝาแฝดยื้อยุดกันระหว่างเส้นทางที่ต้องไปหลุมศพบนเนินหญ้า พี่สาวพยายามหนีไปซุกอยู่ในที่ที่ชอบที่สุดแม้จะเป็นกลางดึก ส่วนน้องชายพยายามรั้งให้ปรับความเข้าใจกันก่อนที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะทุลักทุเลไปมากกว่านี้
เรออนขมวดคิ้วเครียด ปกติเวลานี้แม่จะมาพาพวกเขาไปเข้านอนแล้ว แต่วันนี้กลับยุ่งวุ่นวายกับอะไรสักอย่างอยู่เลยไม่ได้เจอหน้ากันเลย
“เลิกมายุ่งกับฉันซะทีเรออน ที่โดนฉันเล่นไปไม่เคยจำบ้างรึไง!”
“ยัยพี่คนนี้!”
เสียงปรบมือดังมาจากด้านหลัง
“ฉากดราม่าสองพี่น้องล่ะ เยี่ยมจริง ๆ ฉันน้ำตาคลอแล้วเนี่ย”
ชายแปลกหน้าที่พวกเขาไม่รู้จักยืนอยู่ไม่ไกล เรออนตะโกนถามออกไปว่าเป็นใครเสียงดังพลางดึงพี่สาวให้เข้ามาหลบหลังตัวเอง หากฝาแฝดไม่ยอมให้ความร่วมมือ
คนที่ถูกถามยิ้มกริ่ม ก่อนที่ค้อมตัวลง สิบนิ้วกระตุกเกร็ง ทั้งร่างสั่นไม่หยุด ก่อนที่ด้านหลังจะมีคนแหวกตัวออกมาจากแผ่นหลังเป็นหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และยังมีออกมาอีกเรื่อย ๆ — ราวกับแมงมุมที่ลูกน้อยแหวกจากท้องออกมาดูโลก
“ให้คนสร้างเรื่องวุ่นวายเอาไว้ คงถ่วงเวลาได้อีกไม่นาน”
พวกนั้นแย่งกันพูด
“งั้นเราต้องเร่งมือแล้ว”
“ไอ้หนูพวกนี้มันเป็นใคร”
“ฮ่า— หลบอยู่ในนั้นตั้งนานแล้วเมื่อยตัวไปหมดเลยโว้ย”
“เน็นนายนี่มันสะดวกฉิบหายเลยว่ะ”
“แต๊งกิ้วเพื่อนเอ๋ย”
“ไอ้เด็กพวกนี้มันมีตาของคราวน์ด้วยนี่หว่า มีคนละข้างด้วย หวานหมูแล้วพวกเรา”
เด็กน้อยฝาแฝดสั่นสะท้านไปทั้งกาย เป็นครั้งแรกที่พวกเขารับรู้ได้ถึงความต่างชั้นของศัตรู ไม่สิ พูดให้ถูกคือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ ‘พบ’ กับศัตรูต่างหาก
ฟีโอนิกซ์ เอเรอัส คราวน์ ผู้เป็นแม่หมั่นฝึกฝนพวกเขาไม่ให้อ่อนแออยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็คอยโอบล้อมปกป้องพวกเขาราวกับไข่ในหิน ราวกับเป็นแผลใจที่ตนถูกเคี่ยวเข็ญมาจากครอบครัวจึงพยายามเลี้ยงดูลูก ๆ ออกมาในรูปแบบของคนธรรมดาที่สุดเท่าที่หล่อนจะทำได้
และที่สำคัญ
พวกเด็กน้อยยังไม่รู้จักคำว่า ‘เน็น’
“พี่ครับ! หนีเร็ว!”
เรซซากำหมัดแน่น เธอกลืนน้ำลาย ก่อนจะคว้ามีดสั้นคู่ที่เสียบไว้ตรงเข็มขัดตลอดเวลาขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อม “นายนั่นแหละหนีไป ฉันจะสู้ถ่วงเวลาอยู่ที่นี่! แม่เป็นถึงคราวน์สายหลัก ฉันเองก็แข็งแกร่งแบบแม่ได้เหมือนกัน!!”
แค่ดูก็รู้แล้วว่าห่างชั้นกันแค่ไหน ฝาแฝดคนพี่คิดแค่ว่าหากหนีไปตอนนี้ก็ไม่ต่างจากการหันหลังให้ศัตรู ในขณะที่ฝาแฝดคนน้องคิดว่าการหนีอย่างน้อยก็ช่วยดึงเวลาให้ยาวขึ้นเพื่อรอคนมาช่วยเป็นหนทางที่ดีที่สุด
“พี่ครับ!!!”
“คิดว่าตัวเองเก่งมาจากไหนกัน เรซซา ลูกคิดว่าตัวเองเก่งมาจากไหน”
ผู้เป็นแม่นั่งอยู่ข้างเตียง สองมือกอบกุมมือน้อย ๆ ของลูกชายที่นอนบาดเจ็บสาหัสอยู่บนนั้น
ลูกสาวที่เป็นฝาแฝดคนพี่ยืนอยู่ด้านหลัง สภาพสะบักสะบอมไม่แพ้กัน ในดวงตาของเด็กน้อยสะท้อนเพียงภาพของน้องชายที่ยื้อเธอให้หลบจากการเข้าสู้กับศัตรูที่ลอบเข้าบ้านมากลางดึก ลงเอยที่น้องผลักเธอออกไปเพื่อป้องกันการโจมตีให้พ้นเธอจนได้เลือด
“หนู...หนูขอโทษ”
“แม่บอกอยู่เสมอไม่ใช่เหรอว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่ลูกต้องหันมีดใส่ใคร แม่สอนให้ลูกหนีเพื่อรักษาชีวิตเป็นอันดับแรก ทำไมลูกถึงไม่เชื่อฟังแม่!”
เรซซากัดปากจนห้อเลือด ดวงหน้าเด็กน้อยอาบย้อมไปด้วยน้ำตา ล้นทะลัก พรั่งพรู
คำ ๆ หนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเธอตอนนั้น
‘ถ้าเธอไม่อวดดี เรออนก็คงไม่เป็นแบบนี้’
แม่กำลังคิดแบบนี้อยู่ใช่ไหม แม่แค่ไม่พูดออกมา
เธอเงยหน้าขึ้น
มองแผ่นหลังของแม่ที่หันหลังให้ยามกุมมือลูกชายคนเล็ก
แต่ว่านะ
“หมอนั่นอ่อนแอเองไม่ใช่รึไง?”
“อะไรนะ?”
ผู้เป็นแม่หันกลับมามองเธอ เบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน หากยังไม่ทันได้ทวงถามให้ชัดเจน ลูกสาวของเธอก็สะบัดหน้าวิ่งหนีไป
“เพราะเรออนอ่อนแอเองทั้งนั้น แม่ถึงไม่เคยหันมาสนใจหนูสักที!”
“เรซซา!!”
ทิ้งเสียงเรียกของแม่ที่ไล่ตามมาไว้ด้านหลัง
เธอร้องไห้เสียงดัง มองตรงไปข้างหน้า ถลาออกไปรวดเร็วราวกับไม่กลัวว่าตัวเองจะสะดุดล้ม
มุ่งไปสู่สถานที่ที่เป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว
และคุณผีเฝ้าสุสานก็ยืนอยู่ที่นั่น
✶
ด้วยความสูงที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เธอกอดถึงแค่ต้นขาคุณผี กอดขาข้างนั้นแน่นแล้วร้องไห้โฮอย่างไม่กลัวว่าจะมีใครออกมาเจอ และที่ตรงนี้จะมีแค่เธอกับคุณผีแค่สองคนเท่านั้น
แสงจันทร์ที่ส่องสว่างจนเห็นทุกอย่างอาบเสี้ยวใบหน้าของคนตัวสูง เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองทั้งน้ำตาแล้วซุกใบหน้าลงบนกางเกงสีดำของอีกฝ่าย
แค่นเสียงออกมาว่าเกลียดน้องชาย เกลียดคุณแม่ เกลียดทุกคน
ทุกอย่างเป็นเพราะน้องชายคนนั้นอ่อนแอเองทั้งนั้น เธอไม่ผิดเสียหน่อย ไม่ผิดเลยสักนิด จะเป็นจะตายยังไงก็ช่างหัวหมอนั่นแล้ว เราไม่ควรเกิดมาเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำ ทำไมไม่ให้เรออนเกิดมาเป็นแค่ลูกคนเดียวของแม่ แล้วเธอเป็นเด็กที่เกิดในคราวน์ ทำไม ทำไม ทำไม
ทำไมทุกครั้งที่เธออยากแข็งแกร่ง ทำไมทุกครั้งที่เธออยากจะก้าวเท้าตามรอยของคราวน์ แม่ถึงไม่เคยสนับสนุนเธอเลย มีแต่ไปสนับสนุนน้องชายนั่น
แล้วทำไมน้องชายถึงไม่ยอมปล่อยเธอไปสักที
ชีวิตที่ต้องมีน้องชายแบบนี้ เธอไม่ต้องการ!!
“ถ้าอย่างนั้น…” จู่ ๆ คุณผีก็เอ่ยขึ้นมาหลังจากฟังมานาน
“ฉันขอกินน้องชายเธอทั้งเป็นได้ไหม?”
เด็กน้อยชะงักกึก
เธอเงยหน้ามองเจ้าของคำขอ เผลอปล่อยมือ เท้าก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
อีกฝ่ายก้มลงสบตาพอดี — ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาให้เห็นเขี้ยวแหลมเรียงสวยราวกับสัตว์ป่า
“เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าฉันกินเจ้าพวกนั้นแล้วไม่อิ่ม กระเพาะของฉันมีที่ว่างเหลือสำหรับเด็กผู้ชายคนเดียวอยู่แล้ว เธอก็คิดแบบนั้นใช่ไหมถึงได้ออกมาหาฉันตอนนี้?”
ภาพตอนทุกอย่างชุลมุนย้อนกลับมาในหัว
ตอนนั้นน้องชายของเธอล้มลง เธอกรีดร้อง รีบคว้าน้องมากอดไว้ป้องกันไม่ให้ศัตรูโจมตีใส่น้องซ้ำสอง รู้ตัวอีกเสียงกรีดร้องก็ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว
ควันสีดำโอบล้อมพวกมัน เธอเห็นร่างของคุณผีปรากฏตัวออกมาจากกลุ่มก้อนควันที่เพิ่มขึ้นมาอย่างเป็นปริศนา จากนั้น—
จากนั้น
ก็มีเสียงบางอย่างราวกับลมตัดผ่านอากาศดังฉับ
เสียงดังโผละของบางอย่างที่ระเบิดออกมาจากภายใน
เสียงแผละของตับ ไต และไส้ทั้งยวงกองลงเจิ่งนองบนพื้นดิน
คนตัวสูงเดินออกมาจากกลุ่มควันนั่น
พร้อมเลือดและกลิ่นของความตายที่ถูกปาดออกลวก ๆ จากริมฝีปาก
เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่เธอจะสลบด้วยพลังบางอย่าง แล้วตื่นขึ้นมาในห้องพักข้าง ๆ ห้องน้องชาย
คุณผีเฝ้าสุสานยิ้มตาหยี แสยะยิ้มให้เธอ
“จะแขนหรือขา เนื้อส่วนท้อง น้ำที่ไขกระดูกสันหลัง ฉันจะกินให้ไม่เหลือสักหยด แล้วต้องกินตอนยังไม่ตายด้วยถึงจะอร่อยที่สุด”
บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกขึ้นกะทันหัน
คนตรงหน้าฉีกมุมปากขึ้นสูง
“ถือว่าฉันขอแล้วนะ เรซซา”
ตึง!!
ร่างตรงหน้าหายไปจากแนวสายตา เด็กน้อยตวัดมองรอยเท้าที่ถีบตัวจนพื้นหญ้าจนพื้นบริเวณนั้นยุบเป็นหลุมใหญ่ เห็นเป็นเงาดำเคลื่อนตัวตัดผ่านเส้นทางอย่างรวดเร็ว และทิศที่รอยพุ่งไป—
ห้องของเรออน!
“ไม่!!!”
เด็กน้อยที่ถูกฝึกมาอย่างดีถีบตัวพุ่งตามไปอย่างไม่คิดชีวิต ใบหน้าน่ารักเปื้อนคราบน้ำตาเบิกตากว้าง เห็นรอยแตกเล็ก ๆ บนผนังแร่หินของคฤหาสน์คราวน์เป็นจุด ๆ ตามจังหวะการถีบตัวขึ้นไป เรซซาไม่แม้แต่จะลังเลเมื่อต้องดีดตัวจากพื้น ไต่ตามรอยแตกนั่นขึ้นไปตามผนังเพื่อเข้าห้องของน้องชายผ่านทางหน้าต่างให้เร็วที่สุด
จังหวะสุดท้ายที่เท้าต้องปีนขึ้นเกิดเสียหลัก เด็กน้อยเกือบร่วงลงไปด้านล่างที่สูงเกินระดับปกติ แต่มือข้างหนึ่งคว้าขอบหน้าต่างเอาไว้ เธอกัดฟัน พยายามขยับขาแตะรอบแตกเพื่อยันตัวขึ้นไปอีกครั้ง
ก่อนจะตะโกนลั่นเมื่อเข้ามาด้านในได้
“อย่านะ!”
เสียงร้องของเธอดังก้อง ภาพด้านในเต็มไปด้วยข้าวของที่กระจัดกระจายตามพื้นพรม ร่างของน้องชายที่ยังนอนไม่ได้สติถูกจับคอเสื้อ ดึงขึ้นมาจนศีรษะห้อยโตงเตงกลางอากาศ เขี้ยวยาวโง้งที่กำลังจะขย้ำลงบนคอของเด็กตัวน้อย ๆ อ้าค้างไว้
อีกฝ่ายหันกลับมา เอียงคอราวกับไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิดพลาดตรงไหน
“เธอบอกว่าเกลียดน้องชายคนนี้?”
เด็กน้อยกระทืบเท้าเร่า ๆ พยายามไม่เปิดการโจมตีก่อน เพราะร่างของน้องอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายมากกว่าที่คิด “หนูบอกว่าเกลียดก็จริง แต่ แต่... ”
“แต่ถ้าน้องชายหายไป แม่จะรักเธอมากกว่าเขานี่นา” ราวกับคำหลอกล่อ “ไม่อยากได้?”
“นั่นมัน—”
“คนเป็นแม่ ถ้าเหลือลูกที่ต้องดูแลเพียงคนเดียว อยากแข็งแกร่งอย่างคราวน์ อยากเป็นที่หนึ่ง เธอจะได้รับมันทั้งหมด นั่นไม่ดีตรงไหน?”
“มะ ไม่”
“ไม่ต้องมีคนที่ตามหลังเธอต้อย ๆ ให้รำคาญใจ ไม่ต้องมีคนที่แม่จะดุด่าถ้าหมอนั่นไม่ซุ่มซ่ามให้แม่เข้าใจเธอผิดตั้งแต่แรก”
“หนู—”
“ตัวคนเดียวแบบที่เธอต้องการ นั่นคือคำขอของเธอไม่ใช่รึไง?”
“อึก...”
เสียงคราวแผ่วดังมาจากร่างอ่อนปวกเปียกที่ถูกลากมาเอี่ยวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผู้เป็นพี่สาวกำมือแน่นเมื่อเห็นว่าฝ่ามือที่กำคอเสื้อน้องชายนั่นอาจจะแน่นเกินไปจนทำให้หายใจไม่ออก
คิ้วของคนไม่ได้สติขมวดมุ่นเข้าหากัน
“พี่ครับ...”
เด็กน้อยเห็นควันสีดำที่เริ่มรวมกันเป็นมวลสารก่อตัวขึ้นในห้อง ภาพของกลุ่มคนที่ไม่ใช่คนเพราะถูกมันเล่นงานแล่นเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทันทีที่เห็นว่ามีเสี้ยวนึงของควันกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้น้องชายฝาแฝดมากเกินไป
เรซซากระโจนเข้าไป
“อย่ามาแตะต้องน้องชายของฉันนะ!!!”
เพล้ง—!
เสียงกระจกที่ดังลั่น แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของใครหลายคนกรูเข้ามาตาม ๆ กัน ใบหน้าของแม่โผเข้ามาถึงห้องก่อนใคร
ภาพของลูกสาวที่กอดน้องชายเอาไว้แน่นเป็นสิ่งที่แรกที่ทำเอาเธอตกใจ แต่ตกตะลึงยิ่งกว่าเมื่อเห็นใบมีดแหลมคมสองใบลอยอยู่กลางอากาศ มีเส้นด้ายบาง ๆ บางอย่างเชื่อมระหว่างข้างใต้อาวุธนั่น โยงใยเข้ามาบรรจบที่มือน้อย ๆ ของลูกสาวคนโต
เน็น...ของเรซซา?
ท่ามกลางห้องนอนที่เละเทะราวกับพายุไต้ฝุ่นเข้า เศษกระจกเกลื่อนไปทั่วพื้นที่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หน้าต่างที่แตกออกทำให้สายลมพัดเข้ามาจนผ้าม่านพลิ้วสวย แสงจันทร์ข้างนอกฉายส่องให้เห็นก้อนกลม ๆ บนเตียงที่แทบจะตัวติดกันเป็นสไลม์ ลูกสาวของเธอที่หายตัวไปหันหน้ากลับมามองเธอ น้ำตาไหลพรูอาบแก้มเป็นเขื่อนแตก
ร้องไห้จ้า
“แม่ค๊า แงงงงงงงงงงงงงงงงง” ตามด้วยเสียงขึ้นจมูก “อู๋ไอ้อ้ายเอี้ยดอ้องอ้ะอ่อย อู๋แอ้อ้อยใจแอ้ อู๋— แล้วอ้อ อุนอี๋ อุนผี—”
น้ำมูกไหลยืดออกมาอย่างดูไม่ได้ เสียงอู้อี้ยิ่งฟังไม่ได้ศัพท์เข้าไปใหญ่
ฟีโอนิกซ์ผมดำปลายแดงรีบเข้าไปกอดไว้ เธอขยับมือออกคำสั่งให้พ่อบ้านตรวจเช็คสถานที่โดยรอบให้ละเอียดเพื่อหาสาเหตุของความชุลมุนในครั้งนี้ที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว
เธอเอ่ยเสียงอ่อนโยนปลอบประโลมลูก ๆ ให้หายเสียขวัญ พาลูกชายย้ายไปนอนห้องใหม่ดี ๆ แล้วพาลูกสาวที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะเศษดินตอนวิ่งกลับมาจากเนินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
น่าแปลกใจที่ไม่มีบาดแผลบนตัวลูกน้อยทั้งสองคนเลยสักนิด
สิ่งที่เสียหายก็มีแค่บานกระจกและรอยแตกตามผนังเป็นจุด ๆ ที่ซ่อมแซมได้ ข้าวของที่กองกับพื้นเอามาจัดใหม่ก็สะอาดเรียบร้อยเหมือนเดิมแล้ว
จนกระทั่งพ่อบ้านคนหนึ่งเข้ามากระซิบจากทางด้านหลัง จากที่หัวคิ้วพันกันเป็นปมแน่นก็คลายออก หญิงสาวพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อไม่ให้ลูกสาวที่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอีกรอบ
เธอลูบหัวเด็กน้อยสองคนที่นอนข้างกันอย่างเอ็นดู
นึกถึงคำพูดที่ลูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมดจากใจจริงก็อดจุ๊บแหม่งทั้งสองคนไปอีกทีไม่ได้ คนเป็นแม่ฮัมเพลงกล่อมลูกเบา ๆ ชวนให้หลับสบาย
“หนูแค่อยากแข็งแกร่งกว่านี้เพื่อปกป้องน้องได้ เพราะแม่เองก็ยังปกป้องพ่อเลย”
ลูกของเธอช่างน่ารักจริง ๆ เลย
แสงจันทร์จากในห้องนอนทอดยาวมาถึงหน้าประตูที่เปิดค้างไว้ ร่างในเงามืดที่ยืนพิงประตูข้างนอกหลับตาลง มือสองข้างกอดอก ฟังเพลงกล่อมคนข้างในเงียบงัน
ก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อเห็นพี่สาวฝาแฝดผู้กลายเป็นคุณแม่ลูกสองเดินออกมาจากห้องนอน เธอปิดประตูลงด้วยความแผ่วเบา ไร้สุ้มเสียงแม้ประตูบานนั้นจะหนักหลายสิบกิโลก็ตามที
มุมปากของคนในเงายกยิ้ม
มือข้างหนึ่งชูให้ดูสายคาดผ้าปิดตาที่ขาดวิ่นจนผูกไม่ได้ดังเดิม
ผลงานจากเด็กน้อยปากแข็งคนหนึ่งที่ฝากไว้
“ถึงกับทำให้เน็นของเรซซาตื่นขึ้นมาได้ จะทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องเล่นใหญ่กับเด็กก็แล้วกัน” ฟีลหัวเราะเบา ๆ แล้วถอนหายใจแผ่ว “พี่อาจจะห่วงลูก ๆ มากเกินไปจนมองข้ามความรู้สึกลูกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ รู้ตัวอีกทีลูกก็เก็บความน้อยใจเอาไว้จนเป็นแบบนี้ซะแล้ว พี่นี่แย่จริง ๆ เลย...”
“เลี้ยงเด็กสองคนมันไม่ง่ายอยู่แล้ว”
ฟีลยิ้มบางเบา
เพราะเป็นเด็ก จึงจับเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิดมากได้อย่างง่ายดาย เรซซารักน้องชายของเธอมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ทิฐิสูงไม่ยอมพูดตรง ๆ แสดงออกผ่านการกลั่นแกล้งกันซะอย่างนั้น ยิ่งพัฒนาการของน้องชายช้ากว่าเรซซาที่พลังงานเยอะ เด็กน้อยจึงคิดไปเองว่าน้องชายอ่อนแอ และเธอต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อน้อง
แข็งแกร่งแบบแม่ แข็งแกร่งแบบคราวน์ ตระกูลมือสังหารที่ทุกคนเล่าขานทั่วทั้งทวีป
“แต่หลังจากนี้ คงจะดีขึ้นกว่าเก่าแล้วล่ะมั้ง”
“?” ฟีลทำหน้าสงสัย เห็นคนตรงหน้าที่หูผีมากกว่าใครเลื่อนสายตาไปยังประตูหรูหราบานใหญ่ จึงลองขยับตัว เอียงหูพิงประตูฟังเสียงด้านในบ้าง
“พี่ไม่แกล้งนายแล้วก็ได้ จะไม่แกล้งตลอดไปแล้ว ขอโทษนะเรออน”
“พี่ปลุกผมขึ้นมากลางดึกเพราะจะพูดอะไรไร้สาระเนี่ยนะ”
“ขอโทษไง สำนึกผิดแล้วอะรู้จักไหม”
“ยัยเบ๊อะเอ๊ย...”
“แง”
“จะขอโทษทำไม จะแกล้งก็แกล้งไปดิ ไม่เคยบอกว่าเกลียดที่พี่แกล้งนี่”
“เอ้ะ”
“ถ้าผมไม่ชอบผมชกหน้าพี่ไปตั้งนานแล้ว ทำมาเป็นตัวเองแข็งแกร่งอะไรกัน พี่เปิดช่องโหว่ให้ผมตั้งเยอะไม่รู้ตัวเลยรึไงยัยพี่บ๊อง — เอ้า นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ผมจะแย่งของว่างพี่คืนบ้าง ข้อหาดื้อจะสู้กับศัตรูทั้งที่รู้อยู่ว่าสู้ไม่ได้น่ะ”
“...ฮื่อ”
ผู้ใหญ่หน้าประตูสบตากัน
แล้วหัวเราะเอ็นดูขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
__________________________________
แถม:
ความคิดเห็น