ตอนที่ 3 : SENSE 02 : สองนาฬิกา 100 per
02
สองนาฬิกา
‘รอวันที่ธันจะกลับมาปกป้องเราเหมือนเดิม’
ผมยืนหลบอยู่ที่ซอกตึกเงียบๆ ผมเห็นทุกอย่าง ผมรู้ทุกอย่างว่าความรู้สึกของปริ้นที่มีต่อน้องชายตัวเองมันมากมายแค่ไหน แต่ธนูเลือกแล้ว และผมก็ควรที่จะเคารพการตัดสินใจของมัน
“แอบฟังหรือไง” เสียงคุ้นหูของน้องชายผมดังขึ้นพร้อมกับสายตานิ่งๆที่มองมาหาผมอย่างไร้อารมณ์
“ไม่ปฏิเสธ” ผมยักไหล่นิดๆก่อนจะมองผ่านหลังมันไปก็เห็นว่าปริ้นหายไปแล้ว
“หึ” มันแค่นยิ้มสมเพชแล้วเดินผ่านผมไปช้าๆ
“มึงปล่อยไว้แบบนี้ดีแล้วหรือไง” ผมถามมันออกไปตรงๆ แม้ว่ามันอาจจะดูเป็นการยุ่งเรื่องส่วนตัวของมันก็ตาม
“มีทางเลือกอื่นหรอ” มันหันกลับมามองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
บางทีคนที่เจ็บที่สุดอาจไม่ใช่ปริ้น…คนที่เจ็บที่สุดคือคนที่รู้ทุกอย่างต่างหาก
“ไม่รู้ แต่กูคิดว่าสิ่งที่มึงทำอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ดีสำหรับตัวมึงทั้งคู่” ภาพในอนาคตลอยเข้ามา สิ่งที่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้
ผมเห็นธนูร้องไห้
“กูก็คิดไม่ต่างจากมึง” มันยิ้มอีกครั้งก่อนจะหันหลังเดินกลับบ้าน
บางทีผมก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งกับชีวิตมันมาก
นี่คือทางออกที่ดีที่สุดของพวกผมจริงๆใช่ไหม...
-นาวาพาท-
ผมกลิ้งอยู่บนเตียงมาเกือบครึ่งชั่วโมงตั้งแต่มาถึงบ้านของพี่ๆที่มีศักดิ์เป็นอาของผม ผมเจอแค่พี่ปืนกับพี่ธนูส่วนพี่ไม้เหมือนจะยังไม่กลับเข้ามา ทุกคนดูเงียบกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ ถึงแม้ว่าผมจะเตรียมใจแล้วก็ตามว่าอาทั้งสามของผมนิสัยยังไงแต่พอเอาเข้าจริงๆผมกลับรู้สึกแย่แปลกๆ
ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด ผมถูกย้ายไปหลายโรงเรียนจนแทบไม่มีเพื่อนสนิทหลงเหลืออยู่ ไปอยู่ที่ไหนเขาก็ไม่พร้อมที่จะรับผมไปเลี้ยงด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ด้านการเงินบ้าง ด้านครอบครัวบ้าง พ่อแม่ของผมจากผมไปตั้งแต่ผมอายุสิบขวบด้วยเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานตุ๊กตา ผมยังจำภาพเหล่านั้นได้ดี
แกร๊ก!
ประตูห้องผมเปิดออกพร้อมกับตุ๊กตาตัวหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้องช้าๆ ตุ๊กตากระต่ายขนาดกลางขนปุกปุยเดินเข้ามาพร้อมกับผู้ชายอีกคนที่ถือเครื่องบังคับตุ๊กตาอยู่
“ยินดีต้อนรับครับนาวา” ใบหน้ายิ้มแย้มของคนตรงหน้าทำให้ผมยิ้มออกมาทันที
“พี่ไม้...!”
“จำพี่ได้ด้วยหรอคนเก่ง” เขายิ้มไม่หุบก่อนจะเดินเข้ามาอุ้มผมขึ้นจากเตียงด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะกอดแน่น กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายกับเสื้อผ้าที่ดูมีราคาทำให้ผมไม่กล้าที่จะกอดตอบ
พี่ไม้อาจจะทำไปเพื่อให้ผมสบายใจ เขาจะมาเอ็นดูเด็กที่ไม่เคยเจอกันมานานหลายปีได้ยังไง
“ไม่ดีใจที่เจอพี่หรอครับ?” เขาถามเมื่อเห็นผมเงียบไป
“ผมดีใจที่สุดเลยครับพี่ไม้” ผมกอดตอบแน่น
ในชีวิตของผมไม่เคยเจอใครที่ใจดีกับผมตั้งแต่แรกเห็น แต่พี่ไม้เขาซื้อตุ๊กตาแถมยังเข้ามาต้อนรับผมเหมือนเขาก็รอผมอยู่เหมือนกัน
“พี่ซื้อขนมมาให้นาวาเต็มเลย อยู่ข้างล่างเดี๋ยวนาวาลงไปเอานะครับ” เขาปล่อยตัวผมลงบนเตียงเหมือนเดิมก่อนจะหยิบตุ๊กตากระต่ายที่อยู่ข้างๆตัวเขาให้ผม
“ขอบคุณนะครับ”
“ให้มันอยู่กับนาวาเวลานาวาเหงานะครับ” มือหนาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบาก่อนจะเผยยิ้มอีกครั้ง
“ขอบคุณนะครับ” ผมพูดซ้ำคำเดิมก่อนจะเห็นพี่ปืนเดินเข้ามามองด้วยสายตาเย็นชา
“นาวามีชุดนักเรียนไปโรงเรียนหรือยัง”
“ยังเลยครับ” ผมส่ายหน้าก่อนจะดึงกระเป๋าเป้ที่ผมใส่เงินออมออกมาก่อนจะเทออกมานับดู
“ทำอะไรหรอครับ” พี่ไม้ถามผม ดูท่าทางงงๆ
“อ่อ นาวากำลังนับเงินซื้อชุดนักเรียนน่ะครับ คุณลุงสอนไว้ว่าถ้ามีอยู่ที่นี่ต้องหัดพึ่งตัวเอง ไม่ทำให้อาทุกคนเดือดร้อน”
“โถ่...ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ซื้อให้เอง” พี่ไม้ยิ้มก่อนจะลุกขึ้นแล้วแบมือมาตรงหน้าผม
“แปปนะครับนาวายังนับเงินไม่เสร็จเลย” ผมรีบนับเงินเพราะดูเหมือนพี่ไม้จะเร่งแล้ว
“ไม่ใช่ครับ พี่หมายถึงว่าไปกับพี่...เดี๋ยวพี่พาไปซื้อชุดนักเรียนเอง”
“อ่อ...”
“ไม่ต้อง...เดี๋ยวพาไปเอง” พี่ปืนตอบกลับนิ่งๆก่อนจะมองมาทางผม สายตาเขาไม่ได้ดุแต่มันว่างเปล่าเหมือนคนไร้ความรู้สึก
“จะลงไปรอข้างล่าง รีบลงมา” เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินลงไป
“พี่ไม้...” ผมหันกลับมาหาพี่ไม้ที่เงียบไปพักใหญ่ เขาอมยิ้มนิดๆก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับ ไปกับปืนก็ได้”
“นาวาขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ” พี่ไม้ยิ้มพร้อมกับดึงให้ผมลุกขึ้นจากเตียง
“ลงไปกันเถอะ” เขาพูดพร้อมกับจูงมือผมลงมาข้างล่างของบ้านที่มีพี่ปืนยืนรออยู่
“ขอบคุณนะครับพี่ไม้ เดี๋ยวนาวากลับมานะ”
“ครับผม” พี่ไม้ยิ้มก่อนจะหันไปยิ้มให้พี่ปืนแล้วเดินกลับขึ้นไปบนห้องทิ้งให้ผมเดินลงมาเจอกับพี่ปืนคนเดียว แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว
แปลกที่ผมกลับรู้สึกว่าพี่ไม้ใจดีกว่า แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวพี่ปืน
ทั้งๆที่ท่าทางของเขาไม่ว่าเด็กคนไหนก็ต้องกลัวแท้ๆ
“ผมพร้อมแล้วครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของพี่ปืน
“…?” เขามองผมสลับกับมือที่จับอยู่แล้วเลิกคิ้วเชิงถาม
“ตอนเด็กๆพ่อแม่เคยบอกว่าต้องจับมือกันครับ จะได้ไม่หลง”
“แต่นี่มันในบ้าน” เขาตอบกลับมานิ่งๆ
“ผมก็ฝึกไว้ก่อนไง กลัวไปถึงที่แล้วพี่ปืนจะไม่ยอมให้ผมจับ แหะๆ” ผมเกาหัวแก้เก้อก่อนจะค่อยๆคลายมือออกแต่กลับเป็นพี่ปืนที่จับมือผมแทน
“ถ้ากลัวหลงก็จับไว้”
“...”
“ไม่หลงแน่”
-เจย์พาท-
ผมถูกส่งกลับบ้านหลังจากที่เจอเหตุการณ์บ้าๆเมื่อครู่ สมองของผมว่างเปล่า ไม้มีเรี่ยวแรงแม้จะเดินทรงตัว ผมรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีที่ให้ผมยืน
ไม่เหลือแม้กระทั่งคนพึ่งพิง
เว้นก็แต่คนๆนั้น...เขามาช่วยผมไว้พร้อมกับบอกว่ารักผมนักหนา ทั้งๆที่เราสองคนพึ่งเจอกันครั้งแรก ผมไม่รู้ว่าเขารู้จักชื่อผมได้ยังไง แต่ที่ผมมั่นใจ
เขาโกหกผม
“พี่เจย์!!!” เสียงตกใจของเด็กวัยสิบแปดปีดังขึ้นพร้อมกับร่างที่รีบวิ่งเข้ามากอดผมไว้แน่น
“อย่ามาดราม่าน่าซิลล์” ผมแกะมือที่โอบรัดผมแน่นออก ก่อนจะดันคนตรงหน้าให้ห่างจากผมไปเมตรกว่าๆ ซิลล์มองหน้าผมก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
“สุดท้ายพี่ก็เลือกที่จะกลับมา”
“หึ...”
“พี่เชื่อผมเถอะ ว่าสิ่งที่พี่ตัดสินใจมันถูก”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ผมพูดพร้อมกับเดินไปที่บาร์ ในเวลาที่ไม่ใช่ยามค่ำคืนผับนี้ก็เปรียบเสมือนผับร้างที่ดูเส็งเคร็ง แต่ใครจะรู้ว่าตอนกลางคืนมันเป็นที่เที่ยวที่หลายคนมาจนบางครั้งคืนหนึ่งอัดคนแทบหลายร้อย
“ขอเบียร์แก้ว” ผมวางโทรศัพท์มือถือตัวเองลงบนบาร์ สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ ที่นี่เคยเป็นที่ๆผมมีความสุขที่สุด
แต่ตอนนี้มันกลับเป็นที่ๆผมไม่อยากจะจดจำมากที่สุด
“ดื่มแต่หัววันเลยนะพี่เจย์” ซิลล์ที่กำลังทำความสะอาดเอ่ยแซวผม
“เรื่องของกู” ผมตอบกลับอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก
ครืดดดดด
โทรศัพท์มือถือผมสั่นพร้อมกับเบอร์ที่ผมถูกคนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงบังคับให้บันทึกไว้ ผมรอให้มันสั่นอยู่นานก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
“ครับ”
( เป็นยังไงบ้าง โอเคขึ้นหรือยังครับ ) เสียงของปลายสายแสดงออกถึงความห่วงใย ผมเงียบรอฟังเขาพูดต่อแต่เหมือนเขาจะรอผมตอบกลับไป
“โอเคขึ้นแล้ว”
( อยู่ได้ไหม ให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนไหม )
“ไม่ต้อง”
( ... )
“หมายถึง...ไม่ต้องลำบาก” ผมอธิบายต่อ เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจแรงๆ
( โล่งอกไปที งั้นดูแลตัวเองดีๆนะ )
“ทำแบบนี้ทำไม”
( ครับ? )
“ถ้ากลัวที่ผมคิดจะฆ่าตัวตายอีก สบายใจได้”
( แล้วถ้าผมไม่ได้ทำเพราะเหตุผลนั้นละ ) เสียงอ่อนโยนถามกลับ ไม่มีท่าทีว่าจะยอมวางสายง่ายๆ
“อย่าโกหก”
( เจย์... )
“เลิกใส่หน้ากากโกหกผมสักที ผมรู้คุณก็ไม่ใช่คนดี”
( งั้นหรอครับ... )
เขาเงียบไปพักใหญ่เหมือนใช้เวลาคิด ผมถอนหายใจก่อนจะยกแก้วเบียร์ที่อยู่ตรงหน้าขึ้นดื่ม รสชาติของมันหอมหวานกว่าทุกครั้งที่ผมได้ลิ้มลอง
สงสัยวันนี้ผมคงไม่หยุดที่แก้วเดียว
( คุณเองก็ไม่ใช่คนดีเหมือนผม ผมพูดถูกไหม? )
“ใช่ รู้ก็ดี”
( ... )
“เพราะกูไม่ชอบใส่หน้ากากเขาหาใคร ใส่นานไปมันจะหายใจลำบาก”
( อืม…ผมก็คิดแบบนั้น )
“…”
( งั้นผมก็หายห่วงแล้วละ ) เขาพูดเหมือนตัวเองรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมเงียบรอฟังปลายสายที่ทำท่าจะวางสาย
“…”
( มีอะไรจะพูดกับผมอีกรึเปล่า ) ปลายสายถามผม เหมือนรู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไร
แปลกดี…
“พรุ่งนี้มาเจอกันที่ร้านกาแฟบ่ายๆ”
( มันคงไม่ใช่คำถามหรอกใช่ไหม…เอ่อ ผมหมายถึงผมไม่ต้องตอบตกลง )
“เข้าใจถูกแล้ว เพราะยังไงมึงก็ต้องมา”
( ครับ )
ไม่จำเป็นต้องรอฟังเขาพูดต่อ ผมกดตัดสายทันที ความคิดที่ผมทบทวนมาระหว่างที่โทรคุยกับเขาผมคงคิดจะทำวิธีนี้จริงๆ ผมไม่คิดอยากจะโกหกใคร ในเมื่อเขาดูเข้าใจอะไรง่ายๆ
ผมก็จะขอเขาง่ายๆเหมือนกัน
-ปืนพาท-
ผมนั่งรอนาวามาเกือบๆสิบห้านาที ปกติผมเป็นคนไม่ชอบรออะไรนานๆ แต่พอคิดว่ามันคือหน้าที่ๆอาอย่างผมต้องทำผมเลยปฏิเสธไม่ได้ นาวาย้ายเข้ามาที่โรงเรียนใหม่ที่พวกผมจัดไว้ให้มันเลยต้องซื้อชุดและของใช้อีกหลายอย่างที่จำเป็นที่เด็กโรงเรียนอินเตอร์ต้องมีกัน นาวายังไม่รู้เรื่องโรงเรียนที่จะย้ายเข้าไปแต่มันก็แอบแปลกใจตั้งแต่เห็นยูนิฟร์อมกางเกงลายสกอต
ความจริงแล้วคนที่จัดการเรื่องโรงเรียนให้นาวาก็คือไม้ไม่ใช่ผม ผมไม่ใช่คนละเอียดอ่อนที่จะมานั่งสนใจประวัติโรงเรียน ผมแค่จ่ายค่าเทอมให้แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ชอบใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
“ตัวใหญ่ไปไหมครับพี่ปืน” เสียงเล็กเรียกให้ผมหลุดจากความคิดของตัวเอง ชุดนักเรียนมอปลายที่นาวาใส่อยู่ตรงหน้ามันดูเหมาะกับเขาอย่างปฏิเสธไม่ได้
“ก็ดี”
“งั้นนาวาเอาชุดนี้เลยครับ แล้วก็ชุดพละ รองเท้านักเรียน ส่วนรองเท้าพละนาวาเอามาจากที่บ้านแล้ว นาวาจะไม่รบกวนพี่ปืนเยอะ” นาวาร่ายยาวก่อนจะเดินกลับเข้าไปเปลี่ยนชุด
“ชุดนักเรียนซื้อไปสามชุด ส่วนรองเท้าก็ซื้อใหม่ซะ”
“ครับ?” นาวาหันมามองหน้าผมงงๆกับคำพูดของผม
“บอกให้ซื้อก็ซื้อ ไม่ต้องสงสัย” ผมพูดเสียงนิ่งๆแต่ทำเอาคนตรงหน้าทำหน้าเจื่อน
“ขอโทษครับพี่ปืน” นาวาพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
คำพูดของผมมันดูทำร้ายจิตใจเด็กจนขนาดเด็กทำท่ากลัวผมขนาดนั้นเลยหรือไง
แล้วผมจะมาคิดเรื่องแบบนี้ทำไมวะ…
หลังจากที่จัดการจ่ายเงินรับบิลเรียบร้อยผมก็พานาวาออกมาหาอะไรกินชั้นบนของห้าง แม้ว่าระหว่างที่เดินมานาวาจะเงียบตลอดทางเลยก็ตาม
ผมรู้ว่ามันกลัวผม
“พี่ปืนครับกินข้าวร้านนี้ไหมครับเดี๋ยวนาวาเลี้ยงเอง” มือเล็กกระตุกแขนผมเบาๆก่อนจะชี้ไปที่ร้านอาหารตามสั่งราคาถูกที่มีคนเข้าเยอะมากจนผมดูแล้วรู้สึกอึดอัด
“ไม่ชอบ” ผมตอบกลับไปนิ่งนั่นยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าเดิม นาวาพยักหน้าเข้าใจผมด้วยสีหน้าผิดหวัง
“งั้นผมตามใจพี่ปืนเลย”
“จะว่าไปก็อยากกิน เอาสิ” ผมยอมตามใจทั้งๆที่มันไม่ใช่นิสัยของตัวเอง ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกดีแต่ผมแค่รู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำลงไปมันใจร้ายกับนาวามากไปหน่อย
“จริงหรอครับ!” นาวาดูดีใจมาก รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย
ยิ้มงั้นหรอ…แปลก
“พี่ปืน” เสียงคุ้นหูเรียกผมก่อนจะเห็นร่างที่ใส่เสื้อยีนส์ตัวเก่าวิ่งมาหาผมด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ ผมมองปริ้นที่ดูจะต้องการคุยกับผมก่อนที่ภาพในอนาคตจะปรากฏขึ้น
แอบตามผมมาถึงที่นี่เพื่อที่จะถามผมในเรื่อง…
“พรุ่งนี้วันเกิดธนู ผมมีของจะให้เขาแต่ถ้าผมเป็นคนเอาให้เขาคงไม่เอาแน่ๆผมเลย…” ปริ้นพูดไม่เป็นคำ ท่าทางมันดูเหนื่อยที่วิ่งมาหาผมมากจริงๆ
“ผมฝากของขวัญให้เขาหน่อยนะครับ” มือที่เต็มไปด้วยแผลยื่นถุงร้านเสื้อยี่ห้อดังในห้างมาตรงหน้า ใบหน้าที่แสดงถึงความตั้งใจจริงทำให้ผมยอมรับไว้
“แล้วถ้ามันไม่เอาละ” ผมถามตรงๆกลับไป
อาจจะดูแทงใจดำแต่ผมเป็นคนไม่ชอบพูดอ้อมค้อมอยู่แล้ว
“ก็แค่เอาไปทิ้งให้ไกลสายตาผมก็พอครับ แค่ผมให้เขาก็พอแล้ว” รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขทำให้ผมรู้สึกสงสารคนตรงหน้าขึ้นมา
เหนื่อยมามากพอ…และจะเหนื่อยแบบนี้ไปอีกนาน
ผมเห็นอนาคต อนาคตที่ผมไม่ได้อยากรู้มันมาก่อนเลย
“พี่ปริ้น กินข้าวมาหรือยังครับ” นาวาที่ยืนฟังอยู่นานถามขึ้นพร้อมกับมือเล็กๆที่เอื้อมไปจับมือปริ้น “พี่ปริ้นเหนื่อยน่าดู กินข้าวออมแรงก่อนนะครับ”
“นาวา…”
“ได้ไหมครับพี่ปืน” ใบหน้าขี้อ้อนของเด็กอายุอ่อนกว่าผมหันมามองเหมือนจะออกแนวบังคับ
“เอาสิ” ทันทีที่ตอบตกลงปริ้นก็ยิ้มออกมาทันที
ผมรู้ว่าคนๆนี้เหนื่อยมามากแค่ไหน พยายามมามากแค่ไหน แต่ปริ้นไม่เคยท้อ มันมั่นคงกับความรักของตัวเองทั้งๆที่ก็รู้ว่าผลสรุปมันจะเป็นยังไง
ผมกลับมาถึงบ้านก็เกือบสามทุ่ม นาวาที่นั่งอยู่ข้างผมสลบไปตั้งแต่ตอนที่ผมไปส่งปริ้นที่บ้าน นาวาดูเหนื่อยล้ามาก อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้วผมเลยต้องซื้อทุกอย่างทั้งเสื้อผ้าตัวใหม่ให้นาวาใส่เวลาออกไปข้างนอกกับพวกผมเพราะไม้สั่งไว้ พอกินข้าวเสร็จปริ้นก็เลยช่วยนาวาเลือกซื้อเสื้อผ้า
ผมว่าสองคนนี้เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ อาจเป็นเพราะปริ้นรักเด็กอยู่แล้วพอเจอนาวายิ่งทำให้รู้สึกเหมือนมีเพื่อนคุย
“กลับมาดึกเลยนะ” ผมเปิดประตูรถลงมาก็เจอธนูกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้าน
“ก็ไม้เล่นสั่งให้ซื้อทุกอย่าง กูก็ไม่ได้มีสิบมือจะได้ทำทุกอย่างได้พร้อมกัน”
“เออ…แล้วนาวาเป็นยังไงบ้าง กูยังไม่ได้คุยกับนาวาจริงๆจังๆเลย”
“ก็เรียบร้อยดี” ผมเดินไปนั่งข้างๆธนูก่อนจะจุดบุหรี่สูบตามมัน “วันนี้ปริ้นแอบตามกูกับนาวาไปที่ห้าง”
“อืม…แล้วไง”
“พรุ่งนี้วันเกิดมึง ขนาดกูเป็นพี่กูยังจำไม่ได้”
“อ่อ…”
“เขาฝากของมาให้…ถ้ามึงไม่อยากได้ก็เอาไปทิ้งให้ไกลสายตาเขา”
“…”
“ถึงกูจะไม่เข้าใจเรื่องพวกมึงแต่กูอยากให้มึงคิดดีๆ”
“เรื่อง?”
“สิ่งที่มึงทำอยู่”
“…”
“โอกาสไม่ได้มีไว้ให้คนที่ไม่เห็นค่าของมัน”
ผมขึ้นมาข้างบนหลังจากที่คุยกับธนูเสร็จ ในตอนนี้ผมคิดว่ามันคงอยากจะอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่กับคนที่ไม่เข้าใจความรักแบบผม แสงไฟลอดผ่านประตูออกมาจากห้องของนาวา นี่ก็สามทุ่มกว่าแล้ว ผมควรจะเข้าไปบอกให้นาวานอนได้แล้ว
มันจะดูเป็นคนแก่จู้จี้ไปรึเปล่านะ
ก๊อกก๊อกก๊อก
ผมเคาะประตูสักพักนาวาก็ออกมาเปิดประตูพร้อมกับใบหน้าที่ดูค่อนข้างจะกังวล มือเล็อกเอื้อมมาจับมือผมแล้วดึงเข้ามาในห้อง
“พี่ปืนครับ คือว่า...” นาวาลากเสียงก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ
ผมมองไปที่ตุ๊กตาที่ไม้ซื้อให้นาวาเอาไว้บนหัวเตียงกับกรอบรูปที่คว่ำหน้าอยู่ ผมกำลังจะไปเปิดดูแต่นาวารีบเอาตัวมาบังไว้ก่อนจะยิ้มนิดๆ
“ความลับนะครับ”
“อ่อ…”
“คือว่าผม...” นาวาพูดต่อหลังจากที่ผมนั่งลงบนเตียงแล้ว สีหน้าของนาวาดูไม่มีความสุขสักเท่าไหร่
“หืม?”
“ผมนอนไม่หลับ เลยอยากจะขอให้พี่ปืน...”
“ไม่” ปากผมไวกว่าความคิด ยังไม่ทันที่นาวาจะพดจบ ผมก็ตอบออกไปทันทีทำเอาคนที่กล้าๆกลัวๆทำหน้าเหวอก่อนจะพยักหน้านิดๆ
“งั้นไม่เป็นไรครับ...”
“ไม่ได้ว่าอะไร เดี๋ยวไปอาบน้ำก่อนแล้วจะมาอยู่ด้วย” ผมตอบกลับไปอีกครั้งทำเอาใบหน้าของนาวากลับมายิ้มอีกครั้ง
ทำไมผมถึงพูดไปแบบนั้น
“จริงนะครับ...งั้นเดี๋ยวนาวารอนะ” ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนาวาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
เวลาเด็กคนนี้ยิ้มก็น่ารักดี
ผมออกมาจากห้องหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว พอดีกับที่ไม้กำลังเดินขึ้นมาพอดี มันหยุดมองผมก่อนจะยิ้มนิดๆแล้วยื่นถุงของบางอย่างให้ผม
“ฝากให้นาวาด้วย”
“ทำไมไม่ไปให้เอง” ผมถามกลับไปแต่ก็ยอมรับของนั้นมา
“ไม่อยากเกินหน้าเกินตาพี่ใหญ่” มันพูดด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ห่อนจะเดินไปที่ห้อง
“...”
“เออเดี๋ยว”
“อะไร”
“มึงไม่เคยมีความรักมาก่อน อย่าไปหลงรักเด็กง่ายๆนะ” มันไม่รอให้ผมตอบกลับทันทีที่พูดจบประตูห้องของมันก็ปิดลงทันที
รักเด็กงั้นหรอ
ปัญญาอ่อน
แอ๊ด...
ผมเปิดประตูเข้ามาหลังจากที่เคาะประตูแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ภาพที่เห็นคือนาวานอนกอดตุ๊กตาอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งสองข้างหลับสนิท ผมวางถุงของไอ่ไม้ไว้บนเก้าอี้ก่อนจะเห็นว่านาวายังไม่เอาชุดนักเรียนออกมาเตรียมไปโรงเรียนพรุ่งนี้ เสื้อกับกางเกงก็ยังไมได้รีด สงสัยคงไม่รู้ว่าต้องเอาไปรีดที่ไหน
ช่างเถอะ...วันนี้คงเหนื่อยมามาก แบบนี้ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ไม่ต้องมานั่งเฝ้า ผมก็ง่วงแล้ว ส่วนเรื่องเสื้อผ้าก็จัดการเอาเอง
เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ผม
-ไม้พาท-
หลังจากที่ผมกลับมาถึงห้องผมก็จัดการอาบน้ำทันที เหนียวตัวมาทั้งวัน ไหนจะไปทำงานไหนจะไปนั่งคุยกับคนที่ผมพึ่งไปช่วยชีวิตมา แถมยังต้องมานั่งรับฟังข้อตกลงแปลกๆอีก
ที่ว่าแปลกเพราะคำพูดของมันกับความคิดมันสวนทางกัน ผมก็แค่ทำหน้าตาใจดีใสซื่อรับฟังข้อเสนอของมันทั้งๆที่ความจริง
ผมไม่ได้โง่
“อ่าว...” ผมออกมาจากห้องน้ำก็เห็นไอ่ธนูกำลังแอบส่องอะไรอยู่ที่ประตูห้องของปืน
“ชู่ว” มันเอานิ้วแตะปากก่อนจะกวักมือเรียกให้ผมไปดูกับมัน
อะไรของมันวะ...
ผมส่องตามน้องชายคนเล็ก ความจริงแล้วผมก็ไม่อยากรู้หรอกแต่ปกติธนูก็ไม่ใช่คนชอบทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว นั่นหมายความว่าสิ่งที่มันเห็นต้องน่าสนใจจริงๆ
“นั่นมัน...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ภาพที่พวกผมไม่เคยเห็นกันมาก่อน
เสื้อนักเรียนที่ถูกแขวนไว้อย่างดีกับกางเกงนักเรียนที่กำลังรีดอย่างใจเย็น ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าคนที่ทำทั้งหมดไม่ใช่...ปืน
“ปากร้ายแต่ใจดี” ธนูพูดเบาๆก่อนที่จะถอยออกมาจากประตู
“คงงั้น” ผมยิ้มนิดๆก่อนจะถอยออกมาตามน้อง
พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็ยิ่งเป็นห่วง ปกติแล้วปืนไม่เคยทำอะไรให้ใครก่อน แม้กระทั่งพวกผมเองก็ตาม ตั้งแต่เด็กเราจะอยู่ด้วยกันแบบที่ผมต้องทำทุกอย่างให้กับพี่และน้องในบ้าน
แต่กับนาวา...ไอ่ปืนมันยอมทำให้ทั้งๆที่มันจับเตารีดนับครั้งได้
นาวามีมนต์วิเศษอะไร...
“มันไม่เป็นแบบที่มึงคิดหรอก” ผมพูดกับธนูหลังจากที่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไร สายตาของน้องมองผมกลับมานิ่งๆก่อนจะแค่นยิ้ม
“กูรู้สึกว่ามันจะเป็นแบบที่กูคิด”
“…”
“ช่างเถอะ กูจะไปนอนแล้ว”
“เดี๋ยว” ผมเรียกมันไว้เพราะผมได้ยินในสิ่งที่มันคิด ความคิดของคนเราไม่เคยบังคับได้และในบางทีความคิดมันน่ากลัวเสมอ
“ว่า?”
“มึงอาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่มึงหลอกความคิดและความรู้สึกตัวเองไม่ได้”
“…”
“รักเขามากขนาดนี้ จะทนไปอีกนานแค่ไหนวะ”
100 per
กลับมาแล้ววววววววววววววววววววววววววววววว
ยังรอกันอยู่ไหมหน๋อออออ
คอมเม้นท์ให้เค้าชื่นใจหน่อยได้ไหมที่รักกก <3
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำไมนะธนู ???
ทำไมนะธนู ???
คิดถึงมากฮรืออออออออออออ มาต่อเร็วๆโน้ะะะะ
สงสารปริ้นจังงง ตามลุ้นตามเชียร์คู่ปริ้นกับธนูสุดใจ