ตอนที่ 2 : SENSE 01 : หนึ่งนาฬิกา 100 per
01
หนึ่งนาฬิกา
ผมขับรถมารับหลานที่ย้ายมาจากต่างจังหวัดกว่าจะถึงก็ช้าไปกว่าครึ่งชั่วโมง ผมไม่เคยเจอหลานเลยสักครั้งเห็นก็แต่ในรูปกับของที่ชอบส่งมาให้พวกผมสามคนบ่อยๆ
แต่เห็นลุงบอกว่าหลานผมเป็นเด็กดี...
“พี่ปืน ทางนี้ครับ” เสียงเจือยแจ้วของนาวาดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กในชุดไปรเวทสะพายกระเป๋าสีฟ้าสดใสกับกระเป๋าลากอีกหนึ่งใบวิ่งมาทางผมโดยไม่กลัวว่าจะสะดุดล้มหรือไปชนใครเข้า
“ระวัง” ผมรีบพูดออกไปแต่เหมือนจะไม่ทัน ร่างบางชนเข้ากับผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่เดินอยู่ไม่ไกลจากผมมากนัก
“ทำไมเดินไม่รู้จักระวัง ไม่มีตาหรือไง!!!” เสียงตะคอกของชายร่างใหญ่ดังขึ้นจนทำให้นาวากลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบตัว
“ขอโทษครับ...ผมขอโทษ” เสียงสั่นของนาวาดังขึ้นพร้อมกับร่างที่สั่นไปทั้งตัวค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินไปเก็บกระเป๋าลากที่กระเด็นไปอีกทาง
ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ผมไม่ได้คิดจะวิ่งเข้าไปช่วยหรือคิดจะไปเอาเรื่องคนที่ด่านาวาแบบนั้น ผมแค่ยืนมองเหตุการณ์อยู่นิ่งๆ
เหมือนมันจะเลิกสนใจนาวาหลังจากเห็นท่าทางที่ดูอ่อนแอและยังอายุน้อยอยู่ มันเดินหลบไปอีกทางเหลือแต่นาวาที่ค่อยๆเดินมาทางผมด้วยหน้าตาที่ผิดไปกับเมื่อครู่ลิบลับ
“พี่ปืนจะว่านาวาใช่ไหมครับ” เสียงหง๋อยๆของนาวาทำเอาผมที่กำลังยืนรอเฉยๆถึงกับงง
ทำไมผมต้องว่าเขาด้วย มันไม่ใช่เรื่องอะไรของผมอยู่แล้ว
“เปล่า” ผมตอบกลับไปก่อนจะดึงกระเป๋าลากของนาวาไปถือแทนเพราะดูจากรูปร่างเจ้าตัวแล้วคงไม่ใช่เด็กที่มีแรงอะไรมากมาย
อายุแค่16...
“พี่ปืนไม่โกรธนาวาหรอครับ?” เขายังคงเค้นถามผมต่อ
ทำไมผมต้องโกรธ...จำเป็นด้วยหรือไง
“ไม่”
“พี่ปืนใจดีที่สุดเลย” นาวาดูจะเข้าใจผิดไปเล็กน้อย ร่างเล็กกระโดดเข้ากอดผมแน่นท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบข้าง สายตาของแต่ละคนที่มองผมมันทำให้ผมรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
ความจริงแล้ว...ผมเกลียดเด็ก
“ครับ ใจดี” ผมกลั้นใจตอบกลับไปเพราะยังไงซะผมก็ต้องคอยไปรับไปส่งนาวาอยู่ทุกๆวัน ผมควรฝืนใจทำตัวให้นาวาคิดไปเองว่าผมเอ็นดูเขา
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว...ผมเฉยๆ
“พี่ปืนครับ คือผม...” นาวาเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาผมและสิ่งๆหนึ่งที่ฉายอยู่บนดวงตาคู่นั้นคือสิ่งที่ผมไม่ต้องการเห็น
เด็กคนนี้นอนห้องเดียวกับผมในคืนนี้...
“พี่ปืนครับ” นาวาเขย่าแขนผมสองสามทีเมื่อเห็นว่าผมนิ่งไปและไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด ผมเบนสายตามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้รู้ในสิ่งที่ผมไม่อยากจะรับรู้ก่อนจะเอ่ยปากออกไป
“ว่าไง”
“นาวาบอกพี่ว่านาวาอยากกินไอติม พี่ปืนพานาวาไปนะ” เสียงอ้อนของนาวาไม่ได้ทำให้ความรู้สึกผมเปลี่ยนไป เฉยๆดี
“ขี้เกียจ”
“งั้นหรอครับ” นาวาเสียงเบาทันทีที่ผมพูดออกไปตรงๆแบบนั้น อาจเป็นเพราะผมไม่เคยตามใจใครและไม่รู้วิธีเอาใจผมเลยตอบไปตามความรู้สึกจริงๆของตัวเอง
แค่ให้ผมมาทำหน้าที่ดูแลหลานผมก็ฝืนเต็มทนแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่กินก็ได้” รอยยิ้มเจื่อนๆของคนตรงหน้าส่งมาให้ผมพร้อมกับมือเล็กๆที่เอื้อมมาจับมืออีกข้างของผมไว้แน่น
“…”
“นาวาจะไม่ดื้อกับพี่ปืน นาวาจะเป็นเด็กดี”
“…”
“เพราะนาวาไม่อยากถูกไล่ไปที่ไหนอีกแล้ว...”
“ถูกไล่?” ผมทวนคำพูดของนาวาอย่างไม่เข้าใจนัก
“เปล่าหรอครับ ไปเถอะ...กลับบ้านกัน”
“อ่อ...อืม” ในเมื่อเจ้าตัวไม่คิดจะบอก ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปคะยั้นคะยออะไรเขามาก ถ้านาวาอยากจะบอกเดี๋ยวเขาก็คงพูดออกมาเอง
และผมก็ไม่ได้อยากจะรู้อยู่แล้ว
“ที่กรุงเทพคนเยอะจังเลยนะครับ”
“…”
“ที่บ้านนาวาไม่มีรถยนต์เยอะขนาดนี้ ร้านอาหารหรูๆก็ไม่ค่อยมี”
“…”
“พี่ปืนครับ...?”
“ไปกินไอติม”
“ครับ?”
“ไปกินไอติมกัน”
“…!!!”
ไม่รู้อะไรที่สั่งให้ผมต้องพูดออกไปแบบนั้น ภาพในหัวลอยเข้ามาทำให้ผมแทบจะอยากสลัดสิ่งที่เห็นทิ้งไปแต่เหมือนผมจะทำมันไม่ได้
ทำไมผมถึงหลุดปากพูดออกไปแบบนั้น...ไม่เข้าใจจริงๆ
-ไม้พาท-
ผมจอดรถลงในที่ๆชอบมาเป็นประจำ สถานที่ที่สงบที่สุด ไม่มีเสียงความคิดของใครมารบกวนผมนั่นทำให้ผมชอบที่จะมานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแถวนี้บ่อยๆ
กล่องเค้กที่ปริ้นแฟนเก่าธนูเอาให้ผมเป็นกล่องที่เท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้เพราะมันบ่อยมากจนผมไม่คิดจะนับ เค้กรสชาติโปรดของผมถูกตกแต่งด้วยผลไม้ที่ดูน่าทาน แม้ว่าผมจะได้เค้กจากปริ้นมาหลายครั้ง แต่ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้กินมัน
ปริ้นทำเค้กได้อร่อยมากจริงๆ
อยากตาย
ทันทีที่ผมกำลังจะเอาช้อนตักเค้กเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมมากนัก ความคิดของใครคนหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าเขาคือใคร
และถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากจะได้ยินมัน...
ถ้าโดดลงไปจะตายไหมนะ
ผมรีบหันไปที่สามนาฬิกาทันที พวกผมพี่น้องเวลาต้องการบอกจุดของคนที่สนใจมักจะพูดเป็นเวลาเสมอเพื่อไม่ให้พวกเขารู้ตัว ทันทีที่ผมหันไปที่สะพานเชื่อมของแม่น้ำที่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่าน ร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะปีนขึ้นไปเหยียบบนสะพานเพื่อจะกระโดดลงน้ำทำให้ผมรีบวางกล่องเค้กแล้ววิ่งตรงไปที่เป้าหมายทันที
พ่อครับผมไม่เหลือใครแล้ว
ความคิดของเขาแล่นเข้ามาในหัวผมไม่หยุด แม้ผมจะไม่ได้อยากรับรู้เรื่องราวต่างๆของเขาเลยก็ตาม มันคือสิ่งที่ผมไม่สามารถหนีมันได้เพราะมันคือสัมผัสพิเศษในตัวของผม
ผมสามารถอ่านใจคนได้
อีกไม่นานผมก็ไม่พ้นจากเรื่องราวต่างๆ พ่อรอผมก่อนนะ ผมคิดถึงพ่อ
ผมไม่รอให้ได้ยินความคิดของเขามากไปกว่านี้ ทันทีที่ผมวิ่งมาจนถึงตัวผมก็รีบคว้าร่างที่ดูไร้วิญญาณลงจากสะพานอย่างรวดเร็ว ตัวผมกระแทกเข้ากับไม้อีกฝั่งของสะพานอย่างจัง อาจเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังจะกระโดดลงไปพอดี
“คุณทำบ้าอะไร!!!!” ผมตะคอกคนตรงหน้าเสียงดังแม้จะรู้สึกว่าคนในอ้อมกอดนั้นสั่นเหมือนเขาเองก็กลัวอยู่ไม่น้อย
ถ้ากลัวแล้วจะโดดทำไม...
“ตอบสิ!!!” ผมเขย่าตัวร่างในอ้อมกอดอย่างแรง ผมเกลียดคนคิดสั้นและไม่ชอบให้ใครตัดปัญหาด้วยวิธีสิ้นคิด มันเหมือนวิธีการของคนที่ไม่มีสมอง
มาช่วยไว้ทำไม
เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม แววตาสั่นคลอนดูอ่อนแอเกินกว่าจะพูดคำใดๆออกมา ทำไมผมถึงรู้สึกแย่ไปกับเขาด้วย
ทั้งๆที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย
“คุณรู้ใช่ไหมว่าถ้าโดดลงไปคุณจะเป็นยังไง” ผมพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง ถึงแม้ว่าผมจะโมโหแต่ผมก็ไม่ควรจะทำให้เขารู้สึกแย่ไปมากกว่านี้
“...” คนตรงหน้าไม่พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้านิดๆ
เพราะรู้ไงถึงได้ทำ
“ว่าไงนะ!!!”
“...?”เขามองหน้าผมงงๆหลังจากที่ผมหลุดถามออกมาทั้งๆที่ลืมไปว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย แต่ความคิดของเขาทำให้ผมไม่พอใจ
“ไม่คิดบ้างหรอว่าคนที่รักคุณจะเสียใจที่คุณทำแบบนี้”
“ไม่เหลือใครแล้ว” คำพูดนิ่งๆหลุดออกจากปากเป็นคำพูดแรกที่ทำให้ผมรู้ว่าคนๆนี้ไม่ใช่คนใบ้
“แน่ใจหรอว่าไม่เหลือใครแล้ว” ผมถามย้ำเขา
แล้วถ้าเขาตอบว่าจริง ผมควรจะทำยังไงต่อไป
สัมผัสพิเศษคือสิ่งที่พวกผมสามพี่น้องเกลียดที่สุด ผมแค่ต้องการมีชีวิตที่ปกติ ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของใครทั้งนั้น
“อืม”
“แล้วผมละ”
“…?”
อะไรของเขา ถามแปลกๆ
โถ่เว้ย! ผมพูดอะไรออกไปวะ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ถามผมออกมาตรงๆแต่ความคิดของเขาก็ทำเอาความหวังดีของผมกลายเป็นเรื่องหน้าอาย
“ผมชอบคุณมานานแล้ว” ผมตัดสินใจโกหกต่อไป
ทั้งๆที่ความจริงผมไม่เคยเจอหน้าเขาเลย
“อย่ามาพูดตลก เราไม่เคยเจอกัน” มันดันผมออกห่างก่อนจะค่อยๆชันตัวลุกขึ้น แววตาที่ดูเลื่อนลอยทำให้ผมปล่อยเขาไปตอนนี้ไม่ได้
อย่างน้อยผมก็อยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ ไม่ใช่เพื่อผม
แต่เพื่อตัวเขาเอง
“แล้วถ้าผมบอกว่าผมเคยละ”
นั่นไง หาเรื่องให้ตัวเองอีกแล้ว...
“งั้นผมชื่ออะไร” มันถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดวงตาทอดยาวออกไปไร้จุดหมาย ผมค่อยๆชั้นตัวขึ้นก่อนจะจับหน้ามันให้หันมาจ้องตากับผม
ไม่มีทางที่เขาจะรู้ว่าฉันชื่อเจย์ เขาโกหก
“คุณชื่อเจย์”
“…!!!!”
“เชื่อผมรึยัง”
“…”
“อย่าทำแบบเมื่อกี้อีกได้รึเปล่า”
“นี่คุณ...”
“ถ้าผมมาช่วยคุณไม่ทัน...ผมก็เหมือนตายทั้งเป็น”
-ธนูพาท-
เสียงรองเท้าที่วิ่งตามอยู่ไม่ห่างดังตามหลังผมติดๆ แม้ว่าผมจะรู้ว่าสิ่งที่กำลังตามผมมาคืออะไรแต่ผมก็ไม่คิดจะหันหลังกลับไปดู
มันเสียเวลา
“ธนู เดี๋ยวก่อน...” เสียงของคนที่ผมโคตรจะรำคาญตะโกนเรียกชื่อผมเป็นรอบที่สิบของวัน แม้ว่าผมจะรีบเดินให้ถึงรถเร็วๆเพื่อที่จะให้หนีเสียงบ้าๆนี้แต่ผมก็ทำไม่ได้
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ผมทำอยู่มันสวนทางกับความรู้สึก
“ธนู!!!!” มือเรียวคว้าหมับที่แขนผมอย่างแรง ใบหน้าแดงก่ำที่เต็มไปด้วยเหงื่อกับของพะรุงพะรังที่ห้อยตามตัวไม่แปลกที่มันจะเหนื่อยมากขนาดนี้
“…” ผมเงียบเหมือนทุกครั้งที่เคยทำ ถึงแม้จะรู้ว่ามันเหนื่อยที่ต้องมาตามผมทุกๆวันก็ตาม
ทั้งๆที่รู้คำตอบเดิมๆของผม...แต่ก็ยังพยายาม
“กลับมาหา...”
“เลิกทำตัวน่ารำคาญสักทีได้ไหม” ผมถอนหายใจก่อนจะพูดไปตรงๆ คนตรงหน้าสีหน้าถอดสีทันทีที่ถูกผมพูดใส่เขาแรงๆตั้งแต่ประโยคแรก
“ไม่เป็นไร” ปริ้นยิ้มออกมาบางๆ มือที่จับแขนผมอยู่สั่นนิดๆ ใบหน้าเริ่มมีเหงื่อผุดออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงหอบของปริ้นไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อนลง
“ปล่อย” ผมพูดนิ่งๆ
“วันนี้นายปฏิเสธเรา...วันพรุ่งนี้เราจะเริ่มใหม่”
“…”
“เราเข้มแข็งนะ” คำพูดของปริ้นเหมือนมือหนาที่ตบหน้าผมฉาดใหญ่ ผมชาไปทั้งตัวกับคำพูดที่ผมควรจะชินตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว
วันที่เราสองคนเลิกกัน...เพราะผม
“พูดจบรึยัง”
“…!!” ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อย มือที่จับผมอยู่ค่อยๆคลายออกพร้อมกับรอยยิ้มที่ฝืนเต็มทนของคนตรงหน้า ผมรู้ว่ามันไม่ได้เข้มแข็งแบบที่มันพูด
ปริ้นอ่อนแอ...แค่ไม่เคยแสดงมันออกมาให้ผมเห็นเท่านั้นเอง
“ธนู...” เสียงของปริ้นเรียกผมไว้ก่อนที่ผมจะเดินจากเขาไป
“…”
“กลับมาหาเราได้ไหม”
“…” ผมเลือกที่จะหูทวนลมก่อนจะเดินออกมาจากจุดที่ปริ้นยืนอยู่ คราวนี้ไม่มีเสียงฝีเท้าวิ่งตามผมมาอีก ทำไมผมถึงรู้สึกผิดหวังแปลกๆ
แต่ผมไม่สามรถทำอะไรได้
เพราะไม่ว่าจะอีกกี่ปีข้างหน้าคำตอบของผมก็ยังเหมือนเดิม
ถ้าย้อนเวลากลับไปตอนที่ผมกับปริ้นยังเรียนมหาลัยสิ่งหนึ่งที่ผมเลือกได้คือไม่ตอบตกลงคบกับปริ้น ผมไม่คิดว่าแค่คนๆเดียวมันจะเปลี่ยนชีวิตผมได้ขนาดนี้
ตุ่บ!
เสียงๆหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลจากผมมากนัก ผมค่อยๆหันไปดูและหวังให้มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด แต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่ผมหวัง ร่างของปริ้นล้มลงไปพร้อมกับคนที่กรูกันเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ถอย” ผมเดินแรกเข้าไปในกลุ่มคนก่อนจะช้อนตัวของปริ้นขึ้นมา แม้ว่ามันจะตัวเล็กแต่ก็หนักเอาการ ใบหน้าแดงก่ำของปริ้นมันทำให้ผมพอจะเดาออกว่ามันคงจะเป็นลมแดด
“เห้ยแก...ดูพี่คนนี้ดิ” เสียงซุบซิบนินทาของคนแถวๆนั้นไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อนอะไร ในตอนนี้ผมควรจะพามันกลับไปที่บ้านแล้วรอมันฟื้นขึ้นมา
“ไหนบอกว่าเข้มแข็ง”
“…”
“อ่อนแอมากปริ้น”
ผมขับรถกลับมาบ้านในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ที่โรงรถไม่มีรถของพี่ๆคนไหนจอดไว้แสดงว่าทุกคนยังไม่กลับมา ผมไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้วเพราะปกติผมก็จะกลับบ้านคนแรกอยู่ตลอด
ผมช้อนร่างของปริ้นขึ้นมาก่อนจะเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ผมเปิดประตูห้องรับรองแขกที่อีกไม่นานหลานของพวกผมจะมาอยู่ ผมไม่อยากให้ปริ้นคิดไปไกลมากกว่านี้
คนที่ทรมานคือตัวมันเอง
ผมวางร่างในอ้อมแขนลงบนเตียงช้าๆก่อนจะเปิดแอร์ที่25องศาก่อนจะเดินลงไปดูยาเผื่อมันตื่นขึ้นมาอาจจะต้องกินแล้วพักอีกหน่อยก่อนกลับบ้าน
แม้ว่าผมจะไม่อยากให้ปริ้นอยู่ที่บ้านนี้นานๆก็ตาม
เสียงประตูรั้วดังขึ้นพร้อมกับรถของพี่คนโตขับเคลื่อนเขามาทำให้ผมไม่รอที่จะเดินออกไปรอรับมันถึงหน้าประตู ร่างของเด็กที่ดูร่าเริงเปิดประตูลงมาพร้อมกับถุงขนมสองถุงใหญ่
อย่าบอกว่าไอ่ปืนมันจะเป็นคนไปซื้อกับหลาน
ขัดบุคลิกมันชิบหาย
“อ่าวมึงกลับมาเมื่อไหร่” พอไอ่ปืนมันเห็นผมมันก็เดินเข้ามาหาโดยที่ไม่คิดจะเดินไปช่วยหลานยกกระเป๋าลงจากหลังรถ
“มาก่อนมึงไม่นาน”
“อ่อ...นาวานี่ธนู” มันหันไปทางเด็กที่กำลังยกกระเป๋าเข้ามาด้วยท่าทางร่าเริง หลานของพวกผมยกมือไหว้อย่างมีมารยาทก่อนจะยิ้มนิดๆ
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับพี่” ใบหน้าและท่าทางของนาวาทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“นาวา”
“ครับ?”
“ช่วยอะไรพี่หน่อย”
“…?” นาวาดูงงๆกับคำขอของผมแต่ก็เหมือนจะเต็มใจทำให้ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ผมมองไอ่ปืนเหมือนจะให้มันรู้เองว่าสิ่งที่ผมจะทำคืออะไร
ไอ่ปืนมันรู้อนาคตโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องอธิบาย
“เอายานี่ขึ้นไปบนห้องนอนของนาวา”
“ครับ?”
“ไปดูแลคนบนเตียงให้พี่หน่อย”
“เห...??” นาวาดูงงๆเหมือนน้องจะถามผมต่อแต่ไอ่ปืนดันให้นาวาเข้าไปในบ้านก่อน มันคงรู้ว่าผมไม่อยากจะอธิบายอะไรมาก
“ฝากด้วยนะ” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนจะหันกลับมาที่ไอ่ปืนเมื่อเห็นว่านาวาเดินขึ้นไปบนชั้นสองแล้ว
“อยากจะเล่าให้กูฟังไหม”
“ไม่”
“อืม...”
“กูแค่อยากรู้”
“ว่า...?”
“อนาคตของกูจะเป็นยังไง”
ผมกลับเข้ามาในบ้านหลังจากที่คุยกับปืนเสร็จ มันเดินตามผมมาติดๆ คำพูดที่มันบอกผมยังคงวนเวียนอยู่ตั้งแต่ที่ผมได้รู้อนาคตของตัวเอง
เคยได้ยินไหมว่าอนาคตเปลี่ยนได้
ถ้าผมคิดจะเปลี่ยน...
"พี่ธนูครับ พี่ปริ้น..." นาวาวิ่งลงมาหาผมแต่เหมือนจะไม่ทันการ ร่างของปริ้นวิ่งลงมาจากบันไดอย่างรวดเร็วแล้วตรงมาทางผม
"ธนู..." มือเรียวจับมือผมไว้แน่น ดวงตาทั้งสองข้างจองมองผมเหมือนกับต้องการบอกว่ารักผมมากแค่ไหน ผมรู้ว่าปริ้นรักผมมากนัยน์ตาทั้งสองข้างมีใบหน้าผมอยู่และมันเป็นแบบนี้มานานแล้ว
"..." ผมมองกลับไปด้วยสายตาเย็นชาทั้งๆที่รู้ว่าปริ้นต้องการจะพูดอะไรกับผม
"นายเป็นคนพาเรามาที่นี่ใช่ไหม" น้ำเสียงสั่นเครือถามผม ปริ้นกำลังจะร้องไห้ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า นานมากแล้วที่ปริ้นไม่เคยได้กลับมาเหยียบที่บ้านหลังนี้
นานมากแล้ว...
"เปล่า" ผมโกหกหน้าตาย
"แต่นาวาบอกว่า..."
"ไอ่ไม้เป็นคนพามาส่ง แต่มันออกไปข้างนอกแล้ว"
"แต่ว่าในร้านวันนี้พี่ไม้..."
"ถ้าหายแล้วก็กลับไปซะ" หางตาผมเห็นไอ่ปืนกำลังมองที่ปริ้นด้วยท่าทางเหมือนกำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับคนตรงหน้าผม
ขออย่าให้เป็นแบบนั้น
"ธนู..." คนตรงหน้าเสียงอ่อนเมื่อรู้ว่าผมไม่ได้มีท่าทีอ่อนลงเลย มือเรียวค่อยๆคลายออกอย่างอ้อยอิ่ง ผมไม่เคยอยากให้คนตรงหน้าปล่อยมือจากผม
และผมก็ไม่อยากปล่อยมือของปริ้นเหมือนกัน
"งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ" ปริ้นยิ้มนิดๆก่อนจะยอมเดินออกจากบ้านผมไปด้วยประโยคพูดเดิมๆที่ผมได้ฟังทุกวัน
"มันจะไม่มีพรุ่งนี้อีก"
แม้คำพูดของปริ้นจะเหมือนเป็นคำพูดเพื่ออำลาแต่ปริ้นทำได้อย่างที่เขาพูดจริงๆ ทุกๆวันปริ้นจะมาหาผม เขาหาผมเจอทุกครั้ง ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ครอบครัวของปริ้นพ่อเป็นเพียงครูอัตราจ้างและแม่ที่ทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน ส่วนตัวปริ้นเองทำเบเกอรี่อยู่ร้านขนมชื่อดัง
ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าฝีมือของปริ้นไม่ดี...เพราะผมไม่เคยกินเค้กของใครที่ไหนนอกจากปริ้น
"ธนู..."
"..."
"เราเข้มแข็งนะ" รอยยิ้มนั้นยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะเดินพ้นประตูบ้านไป
"อีกสิบห้านาที รถยนต์" ปืนที่ยืนรอให้ปริ้นออกไปพูดขึ้นทันทีที่ร่างของปริ้นพ้นจากประตูบ้านไปแล้ว สายตาของมันจ้องมาที่ผมนิ่งๆแต่น่าเกรงขาม
"..." ผมจ้องหน้ามันเหมือนต้องการจะถามว่าผมควรจะทำยังไง
"ถามตัวเอง...ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีคนที่คอยตามตื้อมึงแล้วมึงจะรู้สึกยังไง ถ้ารำคาญก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่กูเห็น"
"..."
"แต่ถ้าใจมึง..."
"อนาคตของกูบอกมึงว่ายังไง"
"มึงกำลังวิ่งไปช่วยปริ้น"
"นั่นคือสิ่งที่กูจะทำ" ผมยอมรับอนาคตที่ปืนเห็นก่อนจะรีบวิ่งออกจากบ้านไปตามทางที่คิดว่าปริ้นเดินกลับ ผมต้องตามหามันให้เจอ
ก่อนที่ผมจะทำอะไรไม่ได้อีก...
ผมวิ่งเข้าออกหลายซอยจนเจอกันร่างที่เดินเหมือนร่างไร้วิญญาณ เสื้อยีนส์ตัวเก่าที่ผมเคยเป็นเจ้าของเมื่อสองปีที่แล้วปริ้นยังคงเก็บมันไว้กับตัวตลอด ปริ้นมักจะใส่เสื้อยีนส์ตัวนี้ทุกครั้งเวลาออกมาหาผมและมันเป็นของล้ำค่าที่สุดของมัน
ผมคิดว่าอย่างนั้น...
"ปริ้น!" ผมรีบวิ่งเข้าไปกอดร่างที่กำลังจะเดินออกถนนใหญ่ เสียงแตรรถดังขึ้นทำเอาร่างในอ้อมกอดผมสะดุ้งสุดตัว ผมถอยหลังออกมาหลายก้าว
ถ้าผมมาช้ากว่านี้แค่เสี้ยวนาทีมันจะเกิดอะไรขึ้น...
"ทำบ้าอะไร!!!" ผมตะคอกใส่คนในอ้อมแขนเสียงดังก่อนจะดันตัวปริ้นออกแล้วเอามือมาจับที่แขนทั้งสองข้างของมันแล้วเขย่าอย่างแรง
ใช่ผมโมโห...
ถ้าพี่ผมไม่มีสัมผัสที่หกเรื่องมองเห็นอนาคต ป่านนี้ผมคงไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับปริ้นและถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าไม่ได้มีผมเข้ามาช่วยมันจะเป็นยังไง
"ธัน..." ปริ้นหลุดเรียกชื่อผมอีกครั้งก่อนที่ร่างเล็กจะสั่นเพราะความกลัว
"..."
"นายมาช่วยเราไว้อีกแล้ว ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ฮือ..." เสียงสะอื้นดังออกมาจากคนตรงหน้า แววตาเศร้าหมองมีน้ำใสๆไหลออกมาไม่หยุด
หยุดร้องนะคนดี...
"แค่บังเอิญผ่านมา" สิ่งที่ผมคิดกับสิ่งที่ผมพูดมันสวนทางกันทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าปริ้น ผมไม่เคยได้พูดในสิ่งที่ผมอยากจะพูดออกไปเลย
อาจเป็นเพราะสิ่งที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิด...คำสาปของสัมผัสที่หก
"ธัน...กลับมาหาเราได้ไหม"
"..."
"เราอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้เลย ฮือ..." ปริ้นกอดผมแน่น แม้ผมจะไม่ได้กอดตอบแต่แค่นั้นก็มากพอกับสิ่งที่ปริ้นต้องการ
ผมไม่ขัดขืนปริ้น อาจเป็นเพราะผมต้องการให้มันเป็นแบบนี้ไปสักพัก
"เลิกเพ้อเจ้อแล้วเดินต่อไปได้แล้ว"
"..."
"ไม่ว่าจะอีกกี่ปีคำตอบก็ยังเหมือนเดิม"
"ธัน..."
"กูเลิกรักมึงแล้ว" ผมเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้งพร้อมกับแกะแขนที่โอบรัดผมอยู่ออกช้าๆ แม้ผมจะรู้สึกสงสารคนตรงหน้ามากแค่ไหนผมก็ต้องข่มใจไว้
ยังไงก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้
"ธัน!!!"
"..."
"เราจะรอนะ"
"..."
"รอวันที่ธันจะกลับมาปกป้องเราเหมือนเดิม..."
100 per
ทุกคนอาจจะงงกับคอนเซปเรื่องนี้ เราออกมาบอกก่อนว่าเป็นแนวใหม่ที่เคยแต่งครั้งแรก อาจจะดูงงๆแต่มันจะค่อยๆคลายปมไปเรื่อยๆนะคะ อย่าพึ่งตัดความตั้งใจด้วยคำว่างง ถือว่าขอร้องละกันเนอะ TT ถ้าทุกคนอยากติติงอะไรบอกได้นะคะ เพราะเป็นแนวใหม่ที่พึ่งเคยแต่ว อาจจะไม่ดีมาก ใครไม่ชอบก็ขอโทษด้วยนะคะ
ขอคอมเม้นหน่อยได้ไหมคะ T______________T
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม้นี่ก้ใจดีจังงง
ธนูนี่ก้ปากไม่ตรงกับใจ ไหง๋เป็นงั้นล่ะ ???
แปลกดีอ่ะ แต่ละคนมันเหมือนจะมีปมเกิดขึ้น และส่อแววดราม่าจางๆ
แต่ตอนนี้ลุ้นคู่ไม้มาก
น่าติดตาม ><
ลุ้นอะค่ะ ชอบคู่พี่ปืนที่สุดเลี้ยวว55555555
fightingนะไรต์!!