ตอนที่ 4 : SENSE 03 : สามนาฬิกา 100 per
03
สามนาฬิกา
เค้กช็อกโกแลตถูกบรรจุอยู่ในกล่องเค้กสีขาวนวล ผมจัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่ก่อนจะหันไปหาพี่ๆในร้าน ทุกคนดูสนอกสนใจผมเป็นพิเศษ พี่วาวเจ้าของร้านเดินมายิ้มให้ผมก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าวันนี้เลิกงานได้
“ขอบคุณนะครับ งั้นผมไปก่อนนะ” ผมระบายยิ้มบางๆก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนรวมถึงเดินไปใส่เสื้อยีนส์ตัวเก่งของผมเหมือนทุกๆครั้ง จะต่างก็ตรงที่วันนี้ผมมีเค้กที่ตั้งใจทำมากว่าสามชั่วโมง
วันนี้ผมมาทำงานก่อนเวลาและผมไม่ขอค่าแรงในวันนี้เพราะผมจำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์ที่ร้านในการทำเค้กวันเกิดเซอร์ไพรส์ธนู ถึงแม้ผมจะรู้ว่าธนูไม่ต้องการก็ตาม
“คนที่ได้กินเค้กปริ้นโชคดีมากๆเลยนะ” พี่วาวพูดทิ้งท้ายก่อนจะที่ผมจะเดินออกจากร้านไป
“ผมก็หวังให้มันเป็นแบบนั้นครับ” ผมยิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาจากร้าน
นาฬิกาบอกเวลาหกโมงเย็น ผมมองนาฬิกากับการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนน ถ้าผมนั่งรถเมล์ไปกว่าจะถึงก็คงกินเวลาไปหลายชั่วโมง ผมคิดว่าเดินไปอาจจะเร็วกว่า ที่ทำงานของผมกับบ้านของธนูไม่ได้ไกลกันมากเท่าไหร่ เดินไปอีกไม่ไกลผมค่อยต่อรถไฟฟ้าไปน่าจะถึงเร็วกว่า
ผมกระชับกล่องเค้กขึ้นมากอดไว้ที่อก ผมกลัวว่าจะมีคนมาชน กลัวว่ามันจะไปถึงผู้รับในสภาพที่ไม่ค่อยน่ากินสักเท่าไหร่
เรื่องราวในอดีตเหตุการณ์เก่าๆในวันเกิดของธนูเมื่อก่อนที่ผมเคยคบกับเขาเข้ามาในโสตประสาทผมอีกครั้ง ผมยังจำทุกๆคำพูด รอยยิ้ม การกระทำทุกอย่างของเขาได้ ผมจำได้หมดทั้งๆที่ผมรู้ดีว่ามันจะไม่มีทางกลับไปเป็นแบบนั้นได้อีก
แต่ผมก็ยังหวัง…
ปึก!
“อะ…” อาจเป็นเพราะผมมัวคิดอะไรเรื่อยเปื่อยทำให้เดินชนกับใครคนหนึ่งเข้าอย่างจังกล่องเค้กที่ถืออยู่ยุบไปหนึ่งด้าน ผมรีบนั่งลงดูสภาพเค้กในกล่อง
โชคดีที่ไม่เป็นอะไร…
“คราวหลังระวังหน่อย” เสียงที่บอกถึงอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีเอ่ยขึ้นก่อนที่เขาจะเดินผ่านไป
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไรนะ” ผมมองเค้กในมือก่อนจะค่อยๆแก้กล่องที่ยุบลงไปให้มันกลับมาอยู่ในสภาพเดิม อย่างน้อยเค้กข้างในก็ไม่เป็นอะไร
ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงสถานีรถไฟฟ้า เสียงประตูที่เตือนว่าประตูกำลังจะปิดลงทำให้ผมต้องรีบเร่งฝีเท้าจากเดินกลายเป็นวิ่งและสุดท้ายผมก็…
ตึก!
เท้าของผมสะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง ผมรีบยกกล่องเค้กเหนือหัวและนั่นทำให้หน้าผมไถลไปกับพื้นอย่างจัง ความเจ็บแปลบทันทีที่หน้าสัมผัสกับพื้นทำให้ผมต้องรีบพยุงตัวเองลุกขึ้น มือค่อยๆจับแผลที่หน้าอย่างเบามือ คนรอบข้างมองผมบางคนก็หัวเราะ บางคนก็ทำเป็นไม่สนใจ
ไม่เป็นไร…
“โอย…” ทันทีที่นิ้วแตะลงบนแผลผมก็รู้สึกเจ็บแปลบทันที
เลือด…
เสียงสัญญาณบอกรถไฟรอบถัดไปดังขึ้นทำให้ผมเลิกสนใจกับแผลของตัวเองก่อนจะมองดูเค้กในมืออีกครั้ง มันยังอยู่ในสภาพเดิม
แค่นี้ก็ดีมากแล้ว…
ผมเดินมาถึงหน้าบ้านเวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะหนึ่งทุ่ม ผมชะเง้อมองรถในโรงรถที่เหมือนพี่ๆเขาจะยังไม่กลับมา แต่ผมเห็นรถของธนูจอดอยู่ ผมเดินไปกดออดที่บ้านไม่นานประตูบานใหญ่ก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงในชุดอยู่บ้าน เสื้อยืดกับกางเกงบ็อกเซอร์ ทันทีที่เขาเห็นผมก็แทบจะปิดประตูบ้านลงทันที
“เดี๋ยว…!” ผมเรียกเขาเอาไว้แม้จะรู้ว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าผมก็ตาม
“…” สายตานิ่งๆหันมามองแว๊บหนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจแรงๆ
ผมทำเป็นไม่รู้สึกกับท่าทางของเขา ผมรีบแกะกล่องเค้กพร้อมกับเอาเทียนวันเกิดปักที่เค้กก่อนจะรีบจุดไฟแช็ก มือผมสั่นไปหมด อาจเป็นเพราะผมรน ผมกลัวเขาจะขี้เกียจรอ กลัวไปหมด
“สุขสันต์วันเกิดนะ…” ผมยกเค้กที่ตอนนี้มีแสงไฟจากเทียนพอส่องให้เขาเห็นว่ามันคือเค้กช็อกโกแลต ธนูไม่ได้ออกมาเปิดประตูให้ผมเดินเข้าไป เขาอยู่ที่จุดเดิม มองผมด้วยสายตาว่างเปล่า
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู…แฮปปี้เบิร์ดเดย์…” ผมร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเพราะผมควบคุมตัวเองไม่อยู่ ผมไม่รู้ว่าเขาดีใจหรือรำคาญกับความดื้อรั้นของผม
ผมไม่รู้เลย
“แก่ขึ้นอีกปีแล้วนะ…มีความสุขมากๆ ขอให้ธันเจอแต่เรื่องดีๆ อย่ามีเรื่องร้าย เค้กนี้เราตั้งใจทำให้ อยากให้ธันกินนะ” ผมยิ้มให้คนตรงหน้า เขาอยู่ไกลจากผม ไม่คิดจะเดินเข้ามาเป่าเค้ก มีเพียงสายตาที่มองมาโดยที่ผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร
“มีความสุขมากๆ…เรา…” ผมชะงักทันทีที่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไร
เขาคงไม่อยากได้ยิน
ผมใช้มือพัดให้เทียนมันดับก่อนจะเอาเค้กใส่กล่องเหมือนเดิม ธนูทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในบ้านและนั่นทำให้ผมกดออดอีกครั้ง
“เราอยากให้ธันกินเค้กที่เราทำนะ” ผมพูดพร้อมกับถือกล่องเค้กรอให้เขาเดินออกมาเอา ธนูถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาเอาเค้กผม ทันทีที่มือของเขาโดนมือของผมน้ำตาผมก็ไหลออกมาดื้อๆ
อย่างน้อยผมก็ทำดีที่สุดแล้ว
“หน้า…” เขาพูดสั้นๆ ก่อนจะเลื่อนประตูเหล็กออก มือหนาเอื้อมจับที่หน้าผมเบาๆ
“อ้อ…ลืมไปเลย” ผมหัวเราะนิดๆ
“เจ็บไหม” เขาถามสั้นๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขาเป็นห่วงผม น้ำเสียงที่ไม่ได้แข็งกร้าวทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่เจ็บเลย” ผมโกหกกลับไป น้ำตาที่เหมือนจะหยุดไหลมันไหลลงมาอีกครั้ง เมื่อผมได้มองหน้าเขาใกล้ๆ มันทำให้ผมรู้ว่า
ผมไม่เคยเลิกรักเขาได้เลย
“กินเค้กให้หมดนะ แบ่งให้พี่ๆกินด้วยก็ได้ หรือถ้าธันไม่อยากกินก็ให้นาวา…”
“กินด้วยกันไหม”
“…!!!”
“อยู่กินเป็นเพื่อนก่อนได้ไหม?” เขาถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่นั่นก็พอแล้ว
“ได้…ได้” ผมรีบตอบทันที มือผมที่ถือกล่องอยู่สั่นอีกครั้ง ธนูเห็นแบบนั้นเขาก็เป็นฝ่ายถือกล่องเค้กแล้วพาผมเดินนำเข้าบ้าน
แผ่นหลังกว้างที่อยู่ห่างจากผมไม่มากทำให้ผมอย่างจะพุ่งเข้าไปกอดเขาแน่นๆแล้วบอกว่าคิดถึง แม้ว่าผมจะพยายามหาทางมาเจอเขาบ่อยแต่ผมก็ไม่เคยได้เข้าใกล้เขามากเท่าไหร่ เขามักจะตีตัวออกห่างผมเสมอ
“เดี๋ยวเราทำให้” ผมเดินไปหยิบจานในห้องครัวของเขามาเพื่อที่จะตักเค้กให้เขาได้กิน ธนูไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขาพยักหน้านิดๆก่อนจะนั่งรอผมที่โต๊ะกินข้าว
“เสื้อที่ซื้อให้สวยดี” เขาพูดหลังจากที่ผมเดินออกมาจากห้องครัวแล้ว สายตานิ่งเรียบมองผมก่อนที่ริมฝีปากจะเผยยิ้มออกมาบางๆ
“ดีใจที่ธันชอบนะ” ผมตอบกลับพร้อมกับตัดเค้กให้เขาได้ชิม ผมตั้งใจทำสุดฝีมือและผมคิดว่ามันเป็นเค้กที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมทำมา
ธนูตักเค้กคำแรกเข้าปากก่อนจะมองหน้าผม สีหน้าเรียบๆทำให้ความมั่นใจที่มีมาหายไปในพริบตา ไม่อร่อยอย่างนั้นหรอ…
“เป็นยังไงบ้าง…” ผมเริ่มกังวลเมื่อเห็นเขาตักคำที่สองเข้าปากแล้วทำสีหน้าเหมือนเดิม
“อร่อย”
“จริงหรอ อร่อยจริงหรอ…งั้นกินอีกนะ กินเยอะๆเลย” ผมยิ้มแก้มปริแล้วนั่งมองธนูกินเค้กฝีมือของผม
ผมมีความสุขเสมอที่เขากินเค้กที่ผมทำให้เขา ตั้งแต่ที่เริ่มคบกันมาธนูจะกินเค้กที่ผมทำให้แค่คนเดียว เขาไม่เคยไปกินเค้กร้านอื่นเลย นั่นทำให้ผมสามารถทำเค้กได้หลากหลายเพราะผมมักจะทำเค้กแปลกใหม่มาให้ธนูกินเสมอ
“ขอบคุณ” คำขอบคุณห้วนๆออกจากปากเขาโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผม
“ไม่เป็นไร แค่ธันไม่ไล่เรากลับ ไม่เมินเรา…เราก็ดีใจมากแล้ว” ผมยิ้มนิดๆ
ทุกอย่างที่ผมทำ ผมเต็มใจ
“ร้องไห้ทำไม” เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมหลังจากที่เห็นผมเงียบไป ผมส่ายหน้าไปมาก่อนที่จะค่อยๆยื่นมือสั่นๆของตัวเองไปจับมือเขาเบาๆ
“อย่าพึ่งสะบัดมือออกเลยนะ”
“…”
“ขออยู่แบบนี้สักพัก” ผมพูดพร้อมกับจับมือเขาแน่น
ธนูไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขาให้ผมจับมือของเขาตามคำขอของผม มือหนาที่ไม่ได้จับมือผมกลับแต่ความอบอุ่นจากฝ่ามือแค่นั้นก็พอแล้วสำหรับความต้องการของผม แค่เขาไม่สะบัดมือผมออก ไม่ไล่ผมกลับไปแค่เท่านี้ผมก็พอใจ
ได้เท่านี้ก็ดีเท่าไหร่แล้วปริ้น…
มือที่ผมจับอยู่ค่อยๆดันออก ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาเย็นชาที่มองมาทำให้ผมเจ็บแปล๊บที่หัวใจ เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
“ธัน…”
“แต่อย่าพยายามอีกเลย” แววตาจริงจังที่มองผมกับคำพูดตัดพ้อซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าผมจะเจอมากี่ครั้งผมก็ไม่เคยชินเลยสักครั้ง
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร” ผมส่ายหน้า พยายามยิ้มให้เขาเห็นว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ
“…”
“ถึงธันจะไล่เรา…เราก็ยังจะทำแบบนี้” ผมรู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อล้นบริเวณขอบตา ผมเป็นคนอ่อนแอร้องไห้เก่ง
ทั้งๆที่ผมไม่ชอบเลย
“หัวใจของเราถ้ามันรักใครไปแล้ว…มันก็จะรักคนนั้นแค่คนเดียวตลอดไป”
“ปริ้น…”
แกร๊ก!
ประตูบ้านเปิดออกพร้อมกับร่างของพี่ปืนกับนาวาที่เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับของพะรุงพะรัง ทันทีที่นาวาเห็นผมรอยยิ้มน่ารักก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ผมยิ้มให้พี่ปืนนิดๆเพราะคิดว่าเขาน่าจะรู้ว่าผมมาที่นี่ทำไม พี่ปืนพยักหน้านิดๆก่อนที่นาวาจะเดินเข้ามาหาธนู
“สุขสันต์วันเกิดนะครับ” กล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีฟ้าลายก้อนเมฆถูกยื่นมาตรงหน้าธนู รอยยิ้มน่ารักของนาวาทำเอาผมเองอดยิ้มตามไม่ได้
“ขอบคุณนะตัวเล็ก” ธนูยิ้มรับ มือหนาเอื้อมไปยีหัวคนตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู
“ผมนึกว่าจะเป็นคนแรกที่ได้ให้ของขวัญวันเกิดซะอีกนะเนี่ย” นาวาทำแก้มป่องก่อนจะหันมายิ้มให้ผม
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป คำพูดที่ธนูพูดค้างไว้ความจริงแล้วผมยังอยากฟังต่อ แต่ถ้าให้คิดอีกครั้งผมว่าไม่ได้รับรู้มันอาจจะดีกว่า
“ขอให้พี่มีความสุขมากๆ เรื่องร้ายๆขอให้มันแตกกระจายหายไป ขอให้พี่ยิ้มแบบนี้ทุกๆวันนะครับ นาวารักพี่ธนู” ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กไปติดนิสัยอ้อนแบบนี้มาจากใคร ร่างเล็กเดินเข้าไปกอดธนูแบบที่เจ้าตัวเองยังไม่ทันได้ตั้งตัว
“ขอบคุณครับ” ธนูหัวเราะในลำคอเบาๆ มือหนาลูบหลังหลานตัวเองก่อนที่นาวาจะผละออก
“นาวาก็รักพี่ปริ้นเหมือนกันนะครับ” นาวาพูดพร้อมกับเข้ามากอดผม พอเจ้าตัวเล็กทำท่าทางว่าผมมีความสำคัญกับเขาก็ทำเอาผมยิ้มออกมาอีกครั้ง
สิ่งที่นาวาทำอยู่ผมจะคิดไปเองได้ไหมว่าเป็นการกอดธนูทางอ้อม
“นี่เค้กที่พี่ปริ้นทำหรอครับ น่ากินจังเลย” นาวาพูดพร้อมกับเดินไปดึงมือของพี่ปืนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆเข้ามาร่วมวง
“ครับ กินไหมเดี๋ยวพี่ตัดให้” ผมถามด้วยความนึกเอ็นดูนาวา
“กินครับกิน!” นาวาดูตื่นเต้นมาก ผิดกับพี่ปืนที่ยืนส่ายหน้าอยู่ข้างๆ
“พึ่งกินข้าวมาไม่ใช่หรือไง” คนตัวสูงถามเสียงนิ่งทำเอาเจ้าตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับทำหน้ายู่
“ก็เค้กพี่ปริ้นน่ากินนี่ครับ พี่ปืนห้ามแย่งนาวานะ” นาวาตอบกลับก่อนจะเดินตามผมเข้าไปในห้องครัว
ความจริงในตอนนี้ผมควรจะกลับบ้านได้แล้ว ถ้าดึกกว่านี้ผมกลัวว่าจะหารถลำบาก อีกอย่างเขาก็มีพี่ๆมาอยู่เป็นเพื่อนในวันเกิด แค่นี้สำหรับผมก็ดีแค่ไหนแล้ว
“พี่ปริ้น” นาวาที่เดินตามเข้ามาพูดเสียงเบา มือเล็กจับชายเสื้อผมแน่น แขนทั้งสองข้างของนาวาโอบรอบเอวผมจากด้านหลังช้าๆ
“…”
“พี่ปริ้นต้องอดทนนะ” นาวาพูดต่อโดยที่ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ผมคิดว่านาวาคงจะพอดูออก ถึงแม้ว่าเราจะเคยเจอกันไม่กี่ครั้งก็ตาม
“ครับ...พี่ไม่ได้อดทนหรอกนะคนเก่ง” ผมค่อยๆหันกลับไปมองหน้าคนตัวเล็กกว่า นาวาเงยหน้ามองผม ดวงตากลมโตเหมือนมีน้ำใสๆบริเวณขอบตา “พี่รักธนู ที่พี่ทำพี่ไม่ได้อดทนหรอกนะคนเก่ง”
“เชื่อนาวานะ…พี่ธนูเขารักพี่”
“…”
“เชื่อนาวานะ อย่าทิ้งพี่ธนูนะ” นาวากอดผมแน่นยิ่งกว่าเดิมเหมือนกลัวว่าผมจะหนีเขาไปไกลนั่นทำให้ผมกอดตอบคนตัวเล็กก่อนจะพูดประโยคเดิมๆที่เคยพูดกับธนูบ่อยๆ
“ต่อให้ไล่พี่ก็ไม่ไป จนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน”
-ไม้พาท-
รถยนต์ของผมจอดลงหน้าสถานบันเทิงที่ดูรื่นรมย์ในตอนกลางคืน แสงสีเสียงที่ทะลุเข้ามาถึงโสตประสาทภายในรถทำให้ผมอยากจะขับออกไปจากที่นี่เร็วๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับหันมามองหน้าผมก่อนจะกระตุกยิ้มนิดๆ
“ขอบคุณที่มาส่ง” น้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตรทำให้ผมหันไปแสร้งยิ้มบางๆกลับไป พยายามใส่หน้ากากว่าผมเป็นคนดี
“มันเป็นหน้าที่ของผม” ทันทีที่พูดจบประตูรถผมก็ปิดลงพร้อมกับร่างของเจย์ที่เดินเข้าไปในสถานบันเทิงโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมามองผม
ถ้าถามว่าผมกับเขาเจอกันทำไมผมก็คงตอบหรืออธิบายเต็มปากเต็มคำไม่ได้เพราะผมก็ยังไม่เข้าใจว่าในตอนนี้เขาต้องการอะไร แม้กระทั่งความคิดของเขาก็เหมือนจะปิดกั้นจนผมไม่สามารถอ่านความคิดเขาออก
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพอจะเดาออกคือมันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆและแปลกที่ผมกลับสนใจในเรื่องราวของเจย์ถึงแม้ว่าความจริงผมไม่จำเป็นต้องสนใจเลยก็ตาม
วันนี้เป็นวันที่สองที่ผมออกมาเจอเจย์ที่ร้านกาแฟและมันก็ไม่มีอะไรคืบหน้าต่างจากเมื่อวานสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่ข้อตกลงที่เขาพยายามย้ำผมบ่อยๆทำให้ผมเริ่มสนใจขึ้นมา จริงอยู่ที่ความคิดกับคำพูดของมันสวนทางกัน แต่ในความคิดนั้นไม่มีอะไรที่จะบอกผมได้เลยว่าจริงๆแล้วมันต้องการอะไร
ช่างเถอะ…ผมควรจะรีบกลับบ้าน วันนี้วันเกิดธนู
พอคิดแบบนั้นไม่ถึงยี่สิบนาทีผมก็ขับรถกลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เดินเข้ามาข้างในผมถึงกลับต้องแปลกใจที่เห็นปริ้นอยู่ในบ้านด้วย ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าไม่มีธนูอยู่ด้วย
ปกติมันไล่ปริ้นอย่างกับหมูอย่างกับหมา แล้วทำไมวันนี้ถึงยอมให้เข้ามาในบ้านง่ายๆ
‘ไม่ต้องมามองหน้ากูแบบนั้น’
ความคิดของเจ้าของวันเกิดดังขึ้นมาในหัวผมก่อนที่สายตาของผมจะหันไปประทะกับสายตานิ่งๆของธนู เหมือนมันรู้ทันว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“สุขสันต์วันเกิดนะน้องรัก” ผมพูดพร้อมกับยื่นถุงเสื้อที่พึ่งไปซื้อมาเมื่อตอนกลางวันให้ธนู น้องผมจะชอบใส่เสื้อผ้าอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อที่มันเลือกใส่ราคาไม่เคยต่ำกว่าพัน
หัวสูงเอามากๆน้องคนนี้
“ขอบคุณว่ะ” มันตอบพลางตบไหล่ผมสองสาที
นี่ผมพี่มันนะ…
“เอ่อ…ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ปริ้นที่นั่งเงียบตั้งแต่ตอนที่ผมเข้ามาเอ่ยขึ้น สายตามองไปทางธนูแว๊บหนึ่งก่อนจะตัดสินใจสะพายกระเป๋าที่ถือติดตัวมาทำท่าจะเดินออกไป
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมหลุดปากออกไปทันทีที่เห็นสายตาธนูมองปริ้น ผมคิดว่าน้องผมคงอยากจะออกไปส่งแต่เพราะเหตุผลบ้าบอของมันทำให้มันเลือกที่จะเงียบ
นี่ก็ดึกมากแล้วถ้าปริ้นกลับไปคนเดียวผมกลัวจะเป็นอันตราย ยิ่งอ่อนแออยู่ด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ไม้ พี่พึ่งกลับมาถึงบ้าน ผมไม่อยากรบกวนพี่ด้วย” ปริ้นตอบกลับมาอย่างสุภาพ รอยยิ้มของปริ้นมันบริสุทธิ์เสียจนผมอดที่จะทำตามคำขอร้องไม่ได้
“ไม่เป็นไร พี่ชอบขับรถชมวิว” ผมยังคงยืนยันจะไปส่งปริ้นนั่นทำให้ธนูเริ่มมองผมแปลกๆ
“เดี๋ยวนาวาไปเป็นเพื่อนก็ได้นะครับ” นาวาที่นั่งกินเค้กอยู่ลุกขึ้นตามทำท่าจะไปล้างมือล้างหน้าเตรียมออกไปกับผม
“ไม่ได้ ดึกแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย” ปืนที่นั่งอยู่เงียบๆพูดขึ้นเสียงดุทำเอาคนที่โดนขัดใจถึงกับหงอย
“แต่ว่า…”
“นาวาจะดื้อกับพี่ใช่ไหม?” น้ำเสียงโหดๆที่ถามทำเอาคนตัวเล็กรีบส่ายหน้า
“นาวาจะไปอาบน้ำนอนแล้วครับ” นาวาพูดเสียงเบา ร่างเล็กเดินมากอดปริ้นไว้แน่นเหมือนกับไม่อยากให้เขากลับ ผมมองก็อดยิ้มกับท่าทางขี้อ้อนของนาวาไม่ได้
ถ้าอ้อนแบบนี้กับทุกคนผมคิดภาพปืนตอนโดนอ้อนไม่ออกเลยจริงๆ
“ไว้มาอีกนะครับ” นาวาบอกปริ้นก่อนที่จะรีบวิ่งขึ้นไปชั้นสองอาจเพราะกลัวจะโดนปืนดุอีก คนที่นั่งอยู่ส่ายหน้านิดๆแล้วมองหน้าผม
“ไปส่งปริ้นเถอะ ดึกแล้ว”
“ไม่บอกก็รู้น่า” ผมบอกปืนก่อนจะพยักหน้าบอกปริ้นว่าผมจะไปส่ง
ธนูที่นั่งอยู่เงียบๆไม่ได้โต้ตอบอะไรเพียงแค่มองร่างปริ้นที่เดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ละสายตา ผมเห็นแบบนั้นก็อดที่จะแซวมันไม่ได้
“จะไปส่งแทนก็ได้นะ ไม่ว่า”
“จะไปไหนก็ไปเลยไป” ธนูตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ ผมหัวเราะกับท่าทางขี้หวงของน้องตัวเองก่อนจะเดินตามปริ้นออกมา
ทุกคนรู้ดีว่าธนูมันรู้สึกอะไรอยู่ แต่สิ่งที่ไม่รู้คือทำไมมันถึงไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง
ทั้งๆที่ท่าทาง สายตา คำพูดมันบ่งบอกว่าธนูมันรู้สึกยังไง
ผมไม่เข้าใจน้องตัวเองจริงๆ…
-นาวาพาท-
ผมออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่ทำอะไรเสร็จหมดแล้ว วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไปโรงเรียนซึ่งเพื่อนๆที่โรงเรียนสนิทกับผมได้เร็วมากจนผมรู้สึกมีความสุขและอยากให้ถึงเช้าวันพรุ่งนี้เร็วๆ ผมอยากเจอเพื่อนๆ
“พี่ปืน...” ผมถึงกับชะงักเมื่อเห็นอีกคนนั่งรออยู่บนเตียงผมเหมือนจะเข้ามารอได้สักพักแล้ว
“พี่แวะเอาค่าขนมมาให้” พี่ปืนพูดเสียงเรียบ ผมมองไปที่โต๊ะข้างเตียงก็เห็นเงินแบงค์ร้อยหลายใบวางอยู่นั่นทำให้ต้องรีบปฏิเสธทันที
“นาวาเอาแค่วันละห้าสิบบาทก็พอครับ วันนี้นาวาใช้เงินไปไม่ถึงห้าสิบบาทด้วยซ้ำ” ผมยิ้มกว้างทำเอาคนที่ได้ยินถึงกับขมวดคิ้วแล้วถามกลับ
“ทำไมใช้น้อย”
“ก็นาวาไม่หิว พี่ปืนรู้ไหมวันนี้นาวามีเพื่อนเยอะแยะเลยนะ...” ได้ทีผมก็เลยเปิดประเด็นเล่าเรื่องที่ผมไปโรงเรียนวันแรกให้พี่ปืนฟัง
“อืม...”
“พี่ปืนไม่อยากฟังหรอครับ” ผมถึงกับหยุดเล่าทันทีที่เขาดูไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่
“เปล่า...เล่าต่อสิ” เขาพูดแต่ไม่ได้มองหน้าผม ดูเหมือนพี่ปืนจะเหนื่อยมาทั้งวัน ท่าทางของเขาดูเพลียๆจนผมไม่อยากจะเล่าต่อ
ผมขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้ๆพี่ปืนก่อนจะตบตักตัวเองสองสามที คนที่ทำท่าเหมือนใกล้จะหลับเต็มทีมองผมอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
“พี่ปืนดูเหนื่อย นอนตักนาวาได้นะ”
“หะ...”
“ตักนาวานุ่มนะ ไม่ต้องเกรงใจนาวาหรอก” ผมตบตักอีกสองสามที พี่ปืนส่ายหัวนิดๆ รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นบนใบหน้าที่ชอบทำโหดใส่ผมตลอดเวลา
“เดี๋ยวจะไปอาบน้ำนอนแล้ว”
“งั้นหรอครับ” ผมพยักหน้านิดๆก่อนจะเอาแขนทั้งสองข้างโอบรอบคอเขาไว้หลวมๆก่อนจะเขยิบตัวเข้าไปโอบกอดเขา
“...”
“เขาบอกว่าถ้าทำแบบนี้จะฝันดีนะครับ” ผมกอดคนตรงหน้าแน่นขึ้นนิดหน่อย แม้ว่าพี่ปืนจะไม่ได้กอดผมตอบผมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร
อยากให้พี่ปืนฝันดี อยากให้เขายิ้มให้ผมบ่อยๆ
“เด็ก” คำพูดสั้นๆหลุดออกจากปากเขาก่อนที่มือหนักๆจะวางลงบนหัวผมแล้วลูบอย่างเบามือ
“ความจริงต้องกู้ดไนท์คิสด้วยนะครับ”
“แค่นี้ก็พอแล้ว” ผมกำลังจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆพี่ปืนก็กันผมไว้ก่อน สายตานิ่งๆที่ดูมีเสน่ห์จ้องมองดวงตาผมลึกจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเขา
พี่ปืนมีเสน่ห์ หรืออีกนัยน์ก็คือ...เขาดูดีมาก
“นอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย” พี่ปืนเขยิบตัวออกจากผม เขาค่อยๆลุกขึ้นเตรียมจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง
“เดี๋ยวสิครับ นาวาทำให้พี่ปืนนอนฝันดี แต่พี่ปืนไม่เห็นทำให้นาวาฝันดีบ้างเลย” ผมทำแก้มป่องใส่ร่างสูง เขาหันกลับมามองผมก่อนที่ใบหน้านิ่งๆจะกลายเป็นใบหน้ายุ่ง
“พี่ต้องทำ?”
“ครับ ไม่งั้นนาวาก็ฝันร้าย เมื่อคืนนะนาวาฝันร้าย”
ความจริงผมก็อยากจะเล่าเรื่องความฝันให้พี่ปืนฟังเหมือนกัน แต่ผมกลัวว่าเขาจะไม่อยากฟัง ผมพอดูออกว่าพี่ปืนเองเป็นคนไม่ชอบอะไรที่มันยุ่งยาก เรื่องมาก เรื่องเยอะ
“ทำไง” พี่ปืนเดินมานั่งคุกเข่าตรงหน้าผมที่นั่งอยู่บนเตียง สายตาจริงจังที่มองมาทำให้ผมต้องแกล้งเสมองไปทางอื่น
“นี่” ชี้ของผมแตะไปที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ ก่อนที่จะเลื่อนนิ้วมาชี้ที่หน้าผากตัวเอง “ตรงนี้”
“หืม?” เขาลากเสียงสูงเหมือนเป็นเรื่องที่เขาไม่ค่อยเชื่อว่านี่คือวิธีที่จะทำให้ฝันดี
ตอนเด็กๆแม่จะทำก่อนผมนอนทุกๆวัน แม่บอกว่ามันทำให้เราฝันดีไม่ฝันร้ายและผมก็ฝันดีทุกๆคืน มีแค่ช่วงหลังๆที่ชีวิตของผมพลิกผันไปในทางที่ย่ำแย่ ผมฝันร้ายติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว
ไม่อยากอยู่ในสภาพแบบนั้นอีก
“ไม่เป็นไรครับ ผมล้อเล่นน่ะ” ท่าทางพี่ปืนดูไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด เขาทำท่าครุ่นคิดอยู่นานจนผมต้องบอกปฏิเสธออกไป
ไม่เป็นไรหรอก บางทีผมอาจจะขอเขามากไป
อย่าทำตัวเด็กสินาวา...
“ฝันดี” มือหนาเอื้อมมาประครองหน้าผมไว้ก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะสัมผัสกับหน้าผากผมเบาๆ เพียงชั่วนาทีพี่ปืนก็ผละออกไป ใบหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์อะไร เขาค่อยๆเลื่อนมือกลับไป ครั้งนี้เป็นเขาที่หลบสายตาผม
“ขอบคุณนะครับฝันดีของนาวา” ผมยิ้มกว้างก่อนจะนอนลงบนเตียงโดยที่พี่ปืนก็อยู่รอห่มผ้าห่มให้ผม
ผมไม่รู้หรอกว่าพี่ปืนรู้สึกยังไงที่ต้องมาคอยดูแลผมทุกวัน แต่ผมจะพยายามทำให้เขามีความสุขให้ได้ ผมอยากทำให้ทุกคนรอบข้างผมมีความสุขเพราะผม
และพี่ปืนก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาคือฝันดีของผม
กริ๊งงงงง!
เสียงกริ่งบอกเวลาสี่โมงตรง ผมรีบเก็บหนังสือเก็บของทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะลงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดี เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆก็รีบเก็บไม่ต่างจากผม วันนี้เป็นวันที่ตารางเรียนมีแต่วิชาที่ไม่น่าเรียน ผมง่วงนอนและเบื่อมาก วันนี้ผมกับพี่ปืนมีนัดไปกินไอศครีมเลยทำให้ผมรอคอยเวลาเลิกเรียน
“ไปก่อนนะเลนส์ นิว” ผมเรียกชื่อเพื่อนของตัวเองก่อนจะโบกมือบ้ายบายแล้วรีบวิ่งไปหน้าโรงเรียน
พี่ปืนเป็นคนตรงเวลามาก เขาไม่เคยมารับผมช้าและผมก็ไม่ชอบให้เขารอผมนานๆ เพราะสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ของเขาทำให้ผมเดาอะไรไม่ได้นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมต้องทำตัวดีๆกับเขา
“วิ่งมาแบบนี้เดี๋ยวก็หกล้มหมด” เสียงนิ่งๆเอ่ยขึ้น พี่ปืนยืนพิงรถของเขารอผมอยู่หน้าโรงเรียนเหมือนทุกๆวัน
วันนี้เขาใส่เสื้อผ้าที่เป็นทางการ เสื้อสูทที่นานๆทีผมจะเห็นเขาใส่กับทรงผมที่ถูกเซ็ทมาอย่างดีไม่แปลกเลยที่คนที่เดินผ่านไปมาจะมองตามเขาตาไม่กระพริบ ก็พี่ปืนหล่อซะขนาดนี้
“นาวากลัวพี่รอนาน แหะๆ” ผมยิ้มนิดๆก่อนจะเดินไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับหลังจากที่พี่ปืนเปิดประตูขึ้นรถไป
“พี่ปืนรอนานไหมครับ” ผมถามร่างสูงที่กำลังจะถอดเสื้อสูทตัวนอกของเขาออก
“ไม่นาน พึ่งมาถึง” เขาพูดพลางดึงเนคไทด์สีเข้มออกอย่างรำคาญ
“นาวาพึ่งเห็นพี่ปืนใส่ชุดแบบนี้นะเนี่ย หล่อที่สุดเลยยยย”
“หรอ” เขากระตุกยิ้มก่อนจะออกรถ
“ไว้คราวหลังให้นาวาผูกเนคไทด์ให้นะ”
“…”
“นะพี่ปืน” ผมอ้อนเขาอีกครั้งหลังจากที่เขาไม่ยอมตอบคำถามผม
ตั้งแต่ที่ผมอยู่กับพี่ปืนมาผมก็อ้อนเขาทุกวันจนเป็นเรื่องธรรมดาระหว่างผมกับเขาไปแล้ว ผมสนิทกับพี่ปืนที่สุดในบ้าน รองลงมาก็พี่ไม้ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอหน้าเขาสักเท่าไหร่ ส่วนพี่ธนูก็ได้คุยบ้างแต่ไม่บ่อยมาก
“ครับ” พี่ปืนตอบกลับมาสั้นๆ
“วันนี้นาวารอให้เลิกเรียนเร็วๆพี่ปืนรู้ไหม”
“รู้”
“ครับ?” ผมหันไปมองคนข้างๆที่ตอบผมกลับมาเร็วเหมือนรู้อยู่แล้วว่าผมจะพูดคำๆนี้ออกมา พี่ปืนเงียบไปสักพักก่อนจะหันหน้ามาตอบผม
“ก็มีนัดกินไอศครีมที่นาวาชอบไง” รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าที่แทบจะดูไม่ออกว่ายิ้มทำให้ผมยิ้มกว้างกลับไป
“ใช่ครับ นาวาอยากมากินไอศครีมกับพี่ปืนที่สุดเลยยยย”
“ครับรู้แล้ว”
ผมกับพี่ปืนมักจะแวะมาที่ห้างเซ็นทรัลเกือบทุกเย็นเพราะว่าที่บ้านไม่มีอาหารอะไรให้กิน พี่ปืนบอกว่าทุกคนจะกินจากข้างนอกกันมาหมดเลยไม่มีอาหารติดตู้เย็นไว้ที่บ้าน ผมเลยได้มาเดินตากแอร์ทุกวันพร้อมกับอาหารที่ไม่เคยซ้ำกับสักวัน
“ร้านนี้นะครับ” ผมกระตุกแขนร่างสูงที่จับมือผมอยู่หลวมๆ จะเรียกว่าจับก็ไม่ถูก ผมเป็นฝ่ายจับมือเขาเองต่างหาก
ผมทำแบบนี้จนเริ่มรู้สึกชิน
“ครับ”
เราเดินเข้ามาในร้านไอศครีมที่ตกแต่งออกแนวยุโรป เพลงสากลช้าๆที่เปิดคลอไปกับบรรยากาศทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ผมเดินมาเลือกไอศครีมก่อนจะชี้เลือกอย่างสนุกมือ ส่วนพี่ปืนก็สั่งไอศครีมชาเขียวแบบที่เขาชอบกินทุกครั้งที่มากับผม เราเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะไม่ไกลจากเค้าเตอร์มากนัก
“ร้านนี้คนเยอะเนอะพี่ปืน” ผมเป็นฝ่ายชวนเขาคุย ปกติพี่ปืนจะเงียบๆแบบนี้อยู่แล้วผมเลยไม่ได้คิดมากอะไร
“ทุกร้านก็เยอะหมด” เขาตอบก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนดูอยู่พักใหญ่
“พี่ปืนเบื่อนาวาหรอครับ” ผมตัดสินใจถามออกไปหลังจากที่พี่ปืนมักจะเอาโทรศัพท์มาเล่นฆ่าเวลาเสมอ สายตาคมกริบเหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเก็บโทรศัพท์
“ไม่ พี่แค่ไม่รู้จะทำอะไร”
“นาวาก็ไม่รู้จะทำอะไรถ้าพี่ปืนเล่นโทรศัพท์”
“ขอโทษ” มือหนักๆวางลงบนหัวผมก่อนจะโยกไปมาสองที
“อย่าพึ่งเบื่อนาวานะ” ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น
แต่ผมกลัว ผมกลัวพี่ปืนจะทิ้งผม ไม่อยากจะต้องไปไหนอีกแล้ว ผมเกลียดการปรับตัวและในตอนนี้ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับพวกพี่ๆ
ผมไม่อยากไปไหนอีก
“…” พี่ปืนไม่ตอบ เขาเพียงแค่มองผมนิ่งๆ มือหนาที่วางอยู่ผมหัวผมค่อยๆเลื่อนออกไปพร้อมกับไอศครีมที่มาเสริฟพอดี
“นาวารู้นะว่าพี่ปืนลำบากใจที่จะต้องตอบ”
“…”
“แต่อย่าทำแบบนั้นเลยนะ”
“…”
“นาวาอยากอยู่กับพี่ปืนไปนานๆ”
-ปืนพาท-
ผมขับรถเข้าซอยบ้านตัวเองหลังจากพานาวาไปกินไอศครีม นี่ก็เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ผมกะว่าจะพากลับมาตั้งแต่หกโมง ไม่รู้เอาเวลาไปใช้อะไรนักหนา
“เปิดประตูให้หน่อย” ผมตะโกนบอกไม้ที่เหมือนพึ่งจะกลับมาก่อนผมไม่กี่นาที มันหันมามองหน้าผมก่อนจะยิ้มนิดๆ
“กลับดึกอีกแล้วนะ” มันแซวผมแต่ก็ไม่วายเดินกลับมาเปิดประตูให้
นาวาที่นอนหลับอยู่ข้างผมทำให้ผมไม่คิดจะปลุกให้ลงไปเปิดประตู พอผมขับรถเข้ามาจอดคนที่นอนข้างๆก็ตื่นทันทีเหมือนจะรู้ว่าถึงแล้ว นาวานอนในรถประจำจนผมชินเป็นนิสัยไปแล้ว
“ถึงแล้วหรอครับ” เสียงงัวเงียถามผมก่อนที่จะเปิดประตูรถลงไป
“พึ่งตื่นหรอคนเก่ง” เสียงอารมณ์ดีที่แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงผมกับเสียงธนูดังขึ้น ไม้เดินเข้ามายีหัวนาวาเหมือนกำลังเล่นกับลูกหมา
ผมก็ไม่รู้จะเปรียบเปรยยังไง
“ครับ วันนี้มีแต่วิชาน่าเบื่อ นาวาปวดหัวมากเลย” นาวาตอบไม้ก่อนที่จะเดินตามไม้เข้าไปในบ้าน
พอเห็นแบบนั้นผมเลยไม่ได้เดินตามเข้าไปก่อนจะหยิบบุหรี่ที่อดทนไม่สูบมาทั้งวันเพราะผมเข้าประชุมงานตั้งแต่เช้าออกมาจุดสูบอยู่หน้าบ้าน เสียงประตูบ้านเปิดออกพร้อมกับเสียงรองเท้าของใครสักคนในบ้านเดินออกมา ผมไม่ได้หันหลังกลับไปดู
ขี้เกียจ
“ขอมวน” เสียงของไม้ดังขึ้นด้านหลังผม
“แล้วนาวาละ”
“บอกให้ขึ้นไปอาบน้ำแล้ว”
“อ่อ” ผมยื่นบุหรี่ตัวใหม่ให้ไม้พร้อมไฟแช็ก
พวกผมสามคนสูบบุหรี่กับเป็นปกติ แต่ไม้มันจะสูบน้อยกว่าผมกับธนู นานๆทีผมถึงจะเห็นมันขอบุหรี่จากผมสักมวน มันเป็นคนไม่ค่อยชอบสูบแต่ไม่สูบก็ไม่ได้ ไม่ชอบดื่มแต่ถ้าให้งดเลยก็ไม่เอา
“มีเรื่องจะคุยด้วย” น้ำเสียงของมันดูเครียดๆ ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแค่ขยับตัวให้มันได้นั่งลงข้างๆ
“ขอบคุณ”
“อืม ว่ามา”
“พี่ว่าเป็นไปได้ไหมที่จะมีคนรู้ว่าเราไม่เหมือนคนปกติ”
“หืม?”
“ผมกำลังหมายความว่า มีคนอื่นนอกจากพวกเราที่รู้ว่าพวกเรามีเซ้นท์”
100 per
ขอคอมเม้นท์กันหน่อยได้ไหม กราบบบ T_________T
กลับมาอย่างจริงจังแล้วนะคะ ขอโทษที่เค้ามาๆหายๆนะคะ
เค้าสอบมา กำลังจะขึ้นมหาลัยเป็นเด็กแอด 58 ที่ยังไม่มีที่เรียน
ตอนนี้สอบเสร็จหมดแล้ว เค้าจะกลับมาเคลียร์ทุกเรื่องให้ทุกคนอ่านน้า
ติดตามกันต่อได้ที่แฟนเพจ PERLINA หรือทวิตเตอร์ @perlinjun มาฟอลเค้าเยอะๆน้า >3<
มีอะไรอยากบอกเทรน #SENSE นะคะ เค้าจะตามไปอ่านนนน 555555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โหยยยยย ซึ้งจริงๆนะปริ้น ไมธนูทำกับปริ้นงี้น้อออ
ทั้ง ๆ ที่ก้รักมากแท้ ๆ
รีบๆอัพต่อน้าา รออยู่ค่าา ><
คือคนเขียนกลับมาแล้ววววว แงงงT///T
ฮื่อ คิดถึงสำนวนเขียนนิยายแบบนี้มากจริงๆแงง
เพิ่งได้มาตามอ่านเรื่องนี่ค่ะ ปิดมาตอนแรกนี่งงมาก
เลยต้องตั้งสตินิดนึง ละอ่านอีกรอบ55555555
แต่โอเคค เริ่มเข้าใจ่ะค่ะะะ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าใจจริงๆก็คือ เรื่องธัน
คือนึกเหตุผลไม่ออกจริงๆว่าทำไมธันถึงพยายามกีดกันปริ้น
ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยคบกัน.. แบะตอนนี้ทั้งคู่ก็ยังมรความรู้สึกดีๆให้กันอยู่..
คืออยากรู้จริงๆว่าทำไมถึงเลิกกัน มีเหตุผลอะไรกัน แงง
มันเกี่ยวกับสัมผัสที่หกนี้ยังไงอ่ะ ฮื่อออ ไม่เข้าจายย อยากรู้มั่กกก
แต่ตอนนี้คือตอนอ่านพาทของปริ้นนี่คือน้ำตาซึมเลย
คือมีความรู้สึกสงสารตัสปริ้นเองมากอ่ะT^T
คือทำทุกอย่างจริงๆเพราะรักอย่างเดียวเลย
คือถ้าเป็นเราต่อให้เรารู้ว่ารักโดนทำเหมือนตอนแรกๆคือเมินนี่แบบ
เลิกไปนานละ นับถือใจปริ้นมากๆ หรือเพราะธันก็ยังแสดงเยื่อใยออกมาเนืองๆ(?)
นี่ชอบฉากปริ้นร้องแฮปมากจริงๆมันดูแบบ น่าสงสาร น่าเห็นใจมากกก
คือถ้าทำขนาดนี้แล้วธันยังเมินอยู่คือเราจะสาปแช่งนายนะ๕๕๕๕๕๕
นาวา กับ พี่ปืน;////; แงง พี่ปืนจะมาแนวโลลิหรอคะ555555
อยากรู้จริมๆว่าพี่ปืนอายุเท่าไหร่เอ่ยยยย
น้องเพิ่งสิบหกเองน้าา555555 แต่นาวาน้องดูเป็นคนขี้อ้อนๆอ่ะ
แต่ก็คือมีเป็นเด็กมีปมในใจไรงี้ น้องยั่วพี่ปืนแบบไม่รู้ตัวนะรู้รึเปล่ามผัสได้ว่าพี่มีอีกด้านนึง
ถ้าวันนึงพี่ปืนตบะแตกละจับน้องกิน(?)หนูจะทำไงคะ55555555
ส่วนพี่คนกลางงง พี่ม้ายยยยย แงงงงงง
เราชอบพี่ค่ะ!! จริงจังมากกกกกกกกก ฮื่อออ พี่แสนดีของน้อง;^l
ตอนที่พี่ซื้อตุ๊กตาละเดินถือมาให้นาวานี่เราแบบ
ฮื่ออออ ตายยยยยย ทำไมพี่น่ารักงี้อ่ะ คือจริงๆมันก็ไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ป้ะ
แต่คือพี่แสนดีมากเลยไง แงงงงงงงง รักๆๆๆๆๆ ดูเป็นผช.แฟมมิลี่มากเบยย
ฮื่ออ แต่เราสัมผัสได้ว่ามีพี่อีกด้านดึง ตอนอยู่กัยเจย์
ตะไมกลายเป็นอยู่ผช.แบบนี้ไปได้คะ;^; แต่ยังไงก็รักนะจุ๊ฟ 555555
ปล.อันนี้เป็นเม้นรวบยอดตั้งแต่1-4นะคะ ขอโทษจริงๆที่ไม่ได้เม้นตั้งแต่แรก._.
ปล.เพิ่งรู้ว่าคนเขียนเพิ่งเข้าม. โหววว เขียนนิยายภาษาสวยมากเลยค่ะ ชอบมาก
เก่งมากกกกกกกกกกกกกกกกกT^T bbbbb
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 19 มีนาคม 2558 / 01:43