คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : .....8.....
[... บทที่ 8 ...]
“เรียว... นี่นายไม่รู้สึกแปลกๆจริงๆเหรอ” นามิถาม ระหว่างเดินกลับบ้านกับเรียว เพื่อนบ้านของเธอ มือของเธอนวดคอเล็กๆเพราะรู้สึกเมื่อยคอเนื่องจากเหลียวไปมองด้านหลังหลายรอบ
“เปล่านี่ มีอะไรเหรอ” เรียวทำสีหน้ารำคาญ
“คือว่า... เอ่อ... ช่างมันก็แล้วกัน” เด็กสาวกำลังจะเล่าออกไป แต่ก็ชะงักแล้วรีบปฏิเสธเพราะคิดว่าตัวเองอาจคิดมากไป อีกฝ่ายเลยงงกับการบอกปัดของเด็กสาว
“อะไรของเธอเนี่ย -_-?”
“ช่างมันเหอะน่า ว่าแต่วันนี้เรากินอะไรดีล่ะ”
“ก็กินข้าวไงล่ะ”
“ไม่เอา~ ฉันขี้เกียจทำข้าวเย็น”
“เดี๋ยวฉันทำให้ก็ได้”
“นายทำเนี่ยนะ”
“ใช่สิ ในเมื่อเธอขี้เกียจทำ หน้าที่ก็ต้องตกเป็นของฉัน”
“ฉันขี้เกียจล้างจาน”
“เธอก็ขี้เกียจทุกวันนั่นแหละ ไปกินข้าวบ้านเธอตอนที่คุณน้าไม่อยู่บ้านทีไร ฉันต้องล้างจานทั้งของตัวเองและของเธอทุกที”
“แหะๆ ก็ฉันบอกนายกี่ครั้งแล้วว่าฉันแพ้น้ำยาล้างจาน”
“ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ต้องล้างจานเองอยู่แล้ว”
“แต่ว่า...”
“มีปัญหาอะไรอีกล่ะ”
“ที่บ้านของหมดแล้วอ่ะ เหลือก็แค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”
“อะไรนะ! บ้านของเด็กผู้หญิงแท้ๆยังไม่มีอะไรเลย (นิ่งคิด) งั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ตดีกว่า”
“แต่มันมืดแล้วนะ วันนี้แม่บอกว่าจะโทรมาด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินบ้านฉัน”
“แล้วบ้านนายมีอะไรที่กินได้ด้วยรึไง เวลาฉันไปที่บ้านนายทีไรก็ต้องอดอยากกลับมากินที่บ้านตัวเองทุกที”
“แล้วจะให้ทำยังไงเล่ายัยบื้อ เพราะเธอนั่นแหละที่เลิกชมรมช้า”
“นายก็รู้นี่ว่าวันนี้มันมีปัญหานิดหน่อยน่ะ”
“ตกลงว่าเธอจะเอายังไง ฉันหิวจนไส้จะขาดแล้วนะเนี่ย”
“ฉันจะไปรู้ได้ไง”
“เธอนี่มัน...”
“จริงด้วยสิ! แถวๆที่บ้านมีร้านซูชิที่อร่อยมากๆอยู่ร้านหนึ่งนี่ ฉันว่าเราไปกินกันที่นั่นดีกว่า”
“ร้านซูชิงั้นเหรอ”
“ใช่... ร้านที่นายเคยไปกินตอนวันเกิดปีที่แล้วไง”
“ฉันจำไม่ได้อ่ะ”
“จำไม่ได้งั้นเหรอ แต่ฉันรู้สึกว่ามื้อนั้นแม่ของฉันเป็นคนเลี้ยงนะ -_-+”
“แหะๆ งั้นเหรอ ขอโทษที”
“ยังไงก็รีบๆตัดสินใจสิ”
“อืม... ตามใจเธอก็ได้”
“ดีล่ะ งั้นเราไปกันเลยดีกว่า” ทันทีที่เรียวตอบตกลง นามิก็รีบดึงเด็กหนุ่มไปยังร้านด้วยท่าทางร่าเริงทันที อีกฝ่ายได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ เพราะมีลางสังหรณ์ว่าต้องเสียเงิน (อีกแล้ว)
- - +++ - -
..... ร้านซูชิ .....
“นามิ...” เสียงที่ออกจะขุ่นเขียวของเด็กหนุ่มเรียกคนที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจและหยิบจานจากสายพานเพิ่ม
“นามิ!” น้ำเสียงที่แทบจะเป็นการตะคอกทำให้เธอชะงักแล้วยิ้มกว้าง
“จ๋า~ ^O^” แม้ว่าปากจะขานรับ แต่มือของเธอยังใช้ตะเกียบคีบของกินเข้าปาก
“วางตะเกียบลงก่อนได้ไหม -_-;” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนถึงการขอร้องเพราะใกล้จะหมดความอดทนเต็มที เด็กสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้ววางตะเกียบลง แต่ก่อนจะวางก็ยังอุตส่าห์คีบเนื้อปลาเข้า
ปากเป็นการส่งท้าย
“เธอ... หิวมากเลยรึไง” เรียวถามอย่างสงสัย นามิ (แกล้ง) มองตอบด้วยท่าทางงุนงงแล้วพยักหน้ารับ
“อื้ม~”
“ให้ตายสิ” เด็กหนุ่มเผลอสบถออกมา เลยโดนเด็กสาวถลึงตาใส่
“นายพูดหยาบ”
“มันหลุดไปเองนี่”
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงๆก็ถือว่านายพูด”
“อย่ามาโยกโย้ดีกว่า นี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเธอกินไปมากขนาดไหน”
“ไม่ต้องมาทำเป็นบ่นหรอกน่า ยังไงมื้อนี้ก็ต้องช่วยกันจ่ายคนละครึ่งกันอยู่แล้ว... ทางที่ดีนายควรจะรีบกินๆเข้าไปให้มากๆดีกว่า”
“อะไรนะ! เธอบอกว่า ‘คนละครึ่ง’ งั้นเหรอ เธอกินมากกว่าครึ่งเห็นๆเลยนี่” เด็กหนุ่มโวยวายทันทีที่เธอพูดจบ
“นายก็กิน แล้วจะให้ฉันจ่ายคนเดียวรึไง” เด็กสาวโวยวายบ้าง
“ฉันว่าแยกกันจ่ายดีกว่า”
เรียวเสนอทางเลือก นามิเม้มปากแน่นอย่างโมโห ในใจของเธอกำลังหาทางหนีทีไล่อย่างเร่งด่วน... เพราะแม่ของเธอเหลือเงินไว้แค่พอกินพอใช้ แล้วที่เธอชวนเรียวมาเพราะแค่อยากแก้แค้น ทว่า
เมื่อนึกถึงแม่ก็นึกถึงคำแก้ตัวตอนชวนคนที่นั่งตรงข้ามมากินร้านนี้
‘แต่มันมืดแล้วนะ วันนี้แม่บอกว่าจะโทรมาด้วย’
“เอ๊ะ แม่บอกว่าจะโทรมานี่ ฉันคงต้องไปแล้วนะเรียว” นามิผลุนผลันยืนขึ้น แล้วรีบ (ชิ่ง) ออกจากร้านทันที โดยไม่สนใจเสียงเอะอะโวยวายของเรียวเลยแม้แต่น้อย.....
- - +++ - -
“ฮ่าๆๆ รู้จักอาซึกะ นามิน้อยไปซะแล้ว นางุระ เรียวเอ๋ย~” ฉันพูดอย่างร่าเริง ขณะที่กำลังเดินกลับบ้านอย่างสบายใจ
“งั้นเหรอ ว่าแต่คนที่ชื่อ ’นางุระ เรียว’ นี่เป็นใครกันนะ” เสียงทุ้มๆดังขึ้นข้างหลังฉัน แต่เพราะความร่าเริง (ปนสะใจ) ที่ได้แกล้งคนมา ทำให้ฉันไม่ทันฉุกคิดอะไรและตอบไปตามความจริงว่า
“เพื่อนบ้านฉันเองแหละ -O- เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน” ฉันชะงักแล้วหันขวับไปอย่างตกใจ
“Hi” ยูกิทักทายฉันด้วยน้ำเสียงเรียบๆ (ที่แสนจะกวนประสาท) ฉันได้แต่อ้าปากค้าง
“หุบปากได้แล้วยัยบ๊อง ทำไมชอบทำให้นึกถึงปลาทองอยู่เรื่อยเลยนะ”
ดวงตาสีดำสนิทของคนตรงหน้าพราวระยับอย่างขบขันแม้น้ำเสียงจะคงเดิม เมื่อเห็นว่าฉันยังอยู่แบบนั้นเลยเอามือข้างหนึ่งดันคางขึ้นไป ฉันเลยได้สติแล้วรีบปัดมือออก ความรู้สึกดีๆเมื่อครู่หาย
ไปอย่างรวดเร็ว ทำไมนายคนนี้ถึงชอบทำให้ฉันรู้สึกแย่ได้นะ (นี่! เธอเพิ่งได้เจอเขาแค่ไม่กี่ครั้งเองนะ: peat_peach)
“นายมาได้ไง” น้ำเสียงแสนห้วนหลุดออกจากปากอย่างรวดเร็วตามความรู้สึกที่มี ขณะที่เท้าก้าวไปตามทางเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย เขาทำท่าบิดขี้เกียจแล้วตอบออกมาอย่างเนือยๆ
“ก็... ตามเธอมาเรื่อยๆนั่นแหละ”
“ว่าไงนะ นายสะกดรอยตามฉันมางั้นเหรอ” ฉันโวยวายอย่างโมโหแม้เท้าจะยังเดินอยู่ โดยตั้งใจที่จะทำเป็นหูทวนลม แต่เขากลับพูดเสียงดังจนเข้าหูฉันจนได้
“ไม่เห็นต้องทำเสียงดังเลยนี่ ทีฉันนั่งรอเธอตั้งนาน ยังไม่บ่นสักคำเลยนะ”
“ใครคนไหนเขาใช้นายให้มานั่งรอล่ะ อยากมานั่งเองนี่”
“อืม... จริงด้วย ฉันไม่น่าโง่เลยนะเนี่ย”
“-_-;”
“ช่างมันเถอะ ว่าแต่...” เขาลากเสียงยาวอย่างมีเลศนัย ฉันจึงมองเขาอย่างระแวงในความคิด (ที่ไม่น่าจะดี) ของเขา
“อะไร”
“เธอไปทำอะไรกับเขามาเหรอ ท่าทางของเธอดูร่าเริงดีนะ”
“นายคิดอะไรน่ะ” ฉันถามเสียงห้วน แต่อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างกวนๆ
“โธ่... เธอคิดว่าฉันคิดว่าอะไร ฉันก็คิดอย่างนั้นนั่นแหละ”
“นายคิดว่าฉันคิดว่าอะไร”
“เธอคิดว่าฉันคิดว่าอะไรล่ะ”
“ฉันเพิ่งเจอนายเป็นครั้งที่สองเองนะ จะไปรู้ใจนายได้ไง”
“ลืมไป... แต่ว่าทั้งๆที่ฉันเองก็เคยเจอเธอแค่ครั้งสองครั้ง ฉันว่าฉันเหมือนคุ้นเคยกับเธอมานานแล้วนะเนี่ย” น้ำเสียงของเขาเหมือนจะจริงจัง ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองหน้าเขา เพราะรู้สึก
เห็นด้วยอยู่ลึกๆ
“อนุญาตให้มองหน้าได้ แต่ไม่ต้องชม รู้ตัวดีว่าหล่อ” เสียงที่ดังขึ้น ทำเอาบรรยากาศที่ (ดูเหมือน) จริงจังเมื่อครู่หายหมด ฉันได้แต่ถอนหายใจแล้วบ่นออกมาเบาๆ
“ทำไมต้องดวงซวยมาเจอพวกหลงตัวเองทุกทีด้วยนะ”
“เฮอะ! ใครจะถ่อมตัวเหมือนรุ่นพี่ชินจิของเธอด้วยล่ะ” ยูกิที่บังเอิญ (แอบฟัง) ได้ยิน จึงถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ออกจะไม่พอใจ ทำให้หลุดปากในสิ่งที่ไม่ควรพูด
“แน่สิ แต่... เอ๊ะ! นายรู้จักรุ่นพี่ได้ยังไง” ฉันเผลอสวนไป แล้วก็ชะงักกึก
“ทำไมล่ะ” เขาทำท่าไม่ใส่ใจที่จะตอบ ฉันจึงถลึงตาใส่อย่างโมโห
“เรื่องอะไรฉันต้องบอกเธอด้วยล่ะ” เขากระตุกยิ้มมุมปากเพื่อยั่วให้ฉันอยากรู้
“นายบอกมาซะดีๆว่ารู้จักรุ่นพี่ได้ยังไง”
“มันเรื่องของฉัน”
“แต่นายต้องบอก!”
“แล้วทำไมฉันต้องบอกเธอด้วยเล่า”
“เหตุผลก็คือฉันอยากรู้”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ดีมากเลยนะ” เขาใช้น้ำเสียงระอากับเหตุผลของฉัน
“ตกลงนายจะบอกหรือไม่บอก” ฉันคาดคั้น
“ฉันรู้จักกับหมอนั่น... โอ๊ย!” ยูกิร้องเสียงหลงเมื่อฉันหยิกเขาที่แขนเต็มแรง
“นายห้ามเรียกรุ่นพี่ว่า ‘หมอนั่น’ เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ หมอนั่นกับฉันรุ่นเดียวกันนะ” เขาพูดแล้วเบี่ยงตัวหลบ เมื่อฉันเอื้อมมือไปเพื่อที่จะหยิกแขนของเขาอีก
“รุ่นเดียวกัน แต่ฉันคิดว่าความน่าเชื่อถือน่ะต่างกันลิบลับเลย”
“จะฟังหรือไม่ฟัง” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเริ่มไม่พอใจ ฉันได้แต่เม้มปากอย่างขัดใจแล้วตอบสั้นๆ
“ฟัง”
“ฉันเป็นเพื่อนสนิทกับหมอ-- เอ่อ...ชินจิ วันนั้นฉันต้องไปทำธุระที่โรงเรียนของเขา จริงๆก็ของเธอด้วยนั่นแหละ แล้วฉันก็บังเอิญเห็นฉากที่ใครบางคนยืนหน้าแดงตอนที่ยืนคุยกับเพื่อนฉันอยู่น่ะสิ”
น้ำเสียงและสีหน้าของเขาส่อแววล้อเลียนอย่างชัดเจนจนฉันเผลอยกมือขึ้นทุบหลังเขาด้วยความเขิน
“ว่าแต่นายเป็นเพื่อนสนิทของรุ่นพี่จริงๆเหรอ” ฉันถามอย่างไม่แน่ใจ เพราะคนตรงหน้ากับคนที่ฉันแอบชอบต่างกันราวอวกาศกับแกนโลก (ต่างกันมากจริงๆนะ เชื่อเถอะ)
“เธอคิดว่าฉันโกหกหรือไง”
“เอ่อ... ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
“จริงๆแล้วฉันก็ไม่อยากจะสนิทหรือรู้จักกับชินจิหรอก แต่มันก็เป็นเรื่องที่จำเป็นมากๆนี่... ช่วยไม่ได้” เขาพูดแล้วเหม่อมองไปบนฟ้าที่มีดาวเกลื่อนกลาด
“จำเป็น? มากๆด้วย?” ฉันขมวดคิ้วอย่างงุนงง เขาเผลอพยักหน้าตอบแล้วสะดุ้ง
“เรื่องของฉันน่า” น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความหงุดหงิด
“ถ้ามีคนยินได้ว่านายสนิทกับรุ่นพี่คงไม่เชื่อหรอก ฉันหมายถึงคนที่ไม่ได้ยินจากปากนายนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็นิสัยของนายกับรุ่นพี่ชินจิแตกต่างกันมากกก~” ฉันลากเสียงยาว บ่งบอกให้รู้ว่าขนาดไหน
“เดี๋ยว! เมื่อกี้เธอเรียกชินจิว่าอะไรนะ” เขาชะงัก แล้วหันมากถามฉันอย่างหาเรื่อง
“ก็ ‘รุ่นพี่’ ไง” ฉันตอบอย่างงๆ แต่เขากลับโวยวาย
“นี่! ทั้งๆที่ฉันมีอายุเท่ากับหมอนั่นแท้ๆ แต่ทำไมเธอกลับเรียกฉันว่านาย แบบนี้ไม่ให้ความเคารพกันชัดๆ”
“อ้าว แล้วใครจะไปรู้ว่านายอายุเท่ากับรุ่นพี่ล่ะ”
“เธอเรียกฉันว่า ‘นาย’ อีกแล้วนะ”
“ถ้าไม่ให้ฉันเรียกว่านาย จะให้ฉันเรียกว่าอะไรกันล่ะ”
“เรียก ‘รุ่นพี่’ เหมือนกับที่เธอเรียกเจ้าชินจินั่นก็ได้ หรือไม่ก็ ‘พี่’ เพราะฉันแก่กว่า แต่ถ้าเป็นไปได้ เธอควรจะเรียกฉันว่า ‘คุณ’ นะ” ยูกิสาธยายออกมา ฉันได้แต่ทำหน้าเบ้แล้วลองเรียกเขาตาม
ลำดับที่เสนอมา แต่ก็ต้องทำหน้าเหยเกเพราะรับไม่ได้
“รุ่นพี่ - พี่ - คุณ แหวะ! นายไม่ควรถูกเรียกแบบนั้นหรอก”
“เธอหมายความว่าไง!” เขาพูดเสียงดัง แต่แล้วก็มีเสียงขัดจังหวะ
“อะไรกันนี่ ไม่ทันไรก็ทะเลาะกับแฟนแล้วหรือไง ท่าทางนายจะไม่รู้จักคำว่าอ่อนโยนเอาซะเลยนะ” พวกเราหันขวับไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว และพบกับผู้ชายที่อายุราวๆ 17-20 ปี ยืนอยู่กัน
ราวๆ 5 คน... ที่สำคัญคือพวกนั้นมีอาวุธอย่างน้อยคนละ 1 ชิ้น!
~~ -- +++ -- ~~
ความคิดเห็น