ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #35 : :: KISSMARK :: EP.35

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.37K
      96
      12 ม.ค. 58



             -BAMBAM PART-



    สีขาว สีขาว สีขาว พี่มาร์ค




    พี่มาร์ค สีขาว สีขาว สีขาว





    ไม่ว่าผมจะหันมองไปทางทิศไหนก็เจอแต่สีขาวเต็มไปหมด ถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างมันจะสีอื่น แต่ส่วนใหญ่มันก็สีขาว ขนาดพี่มาร์คยังใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเลยคุณหมอก็ใส่เสื้อกราวน์สีขาวคุณพยาบาลก็ชุดสีขาว






    ผมทำจมูกฟุดฟิดสองสามทีก่อนหันมองตามพี่มาร์คที่กำลังเดินไปยืนพิงกำแพงฝั่งตรงข้าม ตั้งแต่ตอนเช้าผู้จัดการพี่มาร์คก็โทรมาเตือนเรื่องที่หมอนัดตรวจขาวันนี้ หลังจากออกมาจากคอนโดแล้วพี่มาร์คก็ดูเงียบๆผิดปกติ หน้าก็นิ่งๆเหมือนกับต้องคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา






    “เป็นยังไงบ้าง?” เสียงทุ้มของชายในชุดเสื้อกราวน์ถามพร้อมกับมองไปที่เฝือกซึ่งมีข้อความอยู่เต็มไปหมด “เพื่อนเยอะนะเรา”




    “ไม่เจ็บนะครับ แต่เดินลำบากๆอยู่” ผมตอบก่อนยิ้มแห้งๆไปให้คุณหมอ



    เขาพยักหน้าตอบสองสามครั้งก่อนจะลงมือตรวจอย่างละเอียดซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรกับขาผมบ้างเพราะมัวแต่มองเพดานสีขาว เวลาผ่านไปนานพอสมควร แฟ้มสีดำซึ่งมีตัวหนังสือเขียนแบบไม่ให้ใครอ่านออกก็ถูกกางขึ้นตรงหน้า พร้อมกับพี่มาร์คที่เดินเข้ามาอยู่ข้างๆเตียง




    “น้องเขาร่างกายฟื้นฟูดีกว่าที่คิดนะ ทั้งๆที่เดินตลอดแถมยังไม่ใช้ไม้ค้ำช่วยอีก ไม่น่าเชื่อว่าโดนไปขนาดนั้นขาจะหายเร็วแบบนี้” เขาเว้นวรรคประโยคไล่สายตาไปตามแผ่นกระดาษ “เดี๋ยวเอายาชุดเดิมไปทานแล้วก็อีกสองอาทิตย์มาถอดเฝือกได้เลย




    “สองอาทิตย์!!” ผมตะโกนด้วยความดีอกดีใจยกไม้ยกมือเต็มที่ อยากจะกระโดดลงมาวิ่งซักสามรอบ แต่พอหันไปหาพี่มาร์คก็เจอแค่รอยยิ้มธรรมดา




    แบบธรรมดาสุดๆ




    “พี่มาร์ค ดีใจมั้ย แบมจะได้ถอดเฝือกออกแล้วนะ” ผมเขย่าแขนอีกฝ่าย




    “ดีใจสิ” เขาตอบพร้อมกับยกมือมาลูบหัวผมเบาๆ




    ตลอดการเดินทางกลับคอนโดพี่มาร์คก็ไม่ได้พูดอะไรอีกมันเงียบเกินไป ปกติพี่มาร์คก็ไม่ชอบให้พูดตอนขับรถ แต่ว่าครั้งนี้กับทุกครั้งมันไม่เหมือนกัน




    “พี่มาร์ค” เมื่อก้าวเท้าเข้ามาเหยียบถึงในห้องแล้วผมก็เรียกพี่มาร์คที่กำลังทิ้งตัวนั่งบนโซฟา




    “ว่าไง?”




    “ทำไมวันนี้เงียบๆ แบมจะได้ถอดเฝือกออกแล้วนะ”




    “ฉันมีเรื่องต้องคิดน่ะ” พี่มาร์คส่งยิ้มอบอุ่นมาก่อนตบเบาะข้างๆให้ผมเดินไปนั่ง




    “ครับ?”




    “ถ้าถอดเฝือกออกแล้วต้องกลับไปอยู่บ้านตัวเอง




    “ถ้าแบมกลับไปที่บ้าน พี่มาร์คก็จะได้กลับไปยืนบนเวทีอีกครั้งไงครับ ไม่ต้องรอถึงหกเดือน นี่แค่สองเดือนเอง พี่มาร์คก็จะได้กลับไปทำงานแล้วนะ




    “นั่นสินะ” เขาพึมพำก่อนลุกออกไป




    “จะไปไหน?”




    “ไปนอน” พี่มาร์คหันมาตอบก่อนเปิดบานประตูห้องนอนค้างไว้เพราะรู้ว่าผมต้องตามเข้าไป




    ตอนนี้ก็เกือบจะบ่ายแล้ว การรอคิวนัดตรวจนี่เป็นอะไรที่น่าเบื่อและไร้สาระมาก เวลาครึ่งวันถูกเอาไปใช้กับโรงพยาบาล ก็เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเบื่อจนง่วงนอนแบบนี้




    “แบมนอนด้วยสิ” ผมปีนขึ้นเตียงและใช้หัวหนุนแขนพี่มาร์คไว้ก่อนที่เขาจะพลิกตัวลับมากอดผมไว้เช่นทุกคืน




    ดวงตาคมไล่มองตั้งแต่เรือนผมสีน้ำตาลเข้ม มายังหน้าผากมน จมูกที่ไม่โด่งมากเกินไป ริมฝีปากเอิบอิ่ม และย้อนกลับมายังดวงตาสองชั้นกลมโตแบบคนไทย






    พี่มาร์คถอนหายใจเบาๆ แต่มันก็ยังสัมผัสผิวแก้มเนียนของผมอยู่ดี ลมหายใจอุ่นร้อนนั้น คอยเป่ารดบนแก้มใสอย่างสม่ำเสมอ จนใบหน้าผมเริ่มร้อนผ่าว หัวใจเต้นถี่รัวอย่างไม่มีสาเหตุ ทั้งชีวิตตั้งแต่จำความได้ เวลานอนผมก็ต้องฟังเพลง ถึงจะหลับได้สนิท แต่พอมาเจอกับนักร้องจริงๆแล้ว เขาไม่ต้องร้องเพลงกล่อมเหมือนเด็กๆ เพียงแค่อ้อมกอดเพียงครั้งเดียว ผมก็สลัดทุกเสียงเพลงทิ้งไป เปลี่ยนมันเป็นเสียงจังหวะหัวใจของเขาแทน






    อีกสองอาทิตย์เท่านั้นที่ผมจะได้อยู่ที่คอนโดนี้ ห้องนี้ เตียงนี้ อ้อมกอดนี้ และเสียงหัวใจเต้นแบบนี้






    อีกสองอาทิตย์






    ตอนแรกก็ดีใจนะที่ขาจะหายแล้ว จะได้เดิน ได้วิ่ง ได้เที่ยวสมใจซักที แต่พอมาคิดๆดูแล้ว มันก็น่าใจหายเหมือนกันนะ นึกไม่ถึงเลยว่าแค่สองเดือนที่ผ่านมาผมจะรู้สึกผูกพันกับพี่มาร์คได้ขนาดนี้






    ถ้าถามว่าดีใจมั้ย มันก็ดีใจ







    แต่ถ้าจะถามว่าเสียใจมั้ย มันก็มีบ้าง






    ก็แค่อยากให้เขากอดแบบนี้ตอนนอน และกระชับอ้อมกอดตอนตื่น วิ่งไปเคาะประตูห้องน้ำตอนเช้า ผลัดกันโทรสั่งอาหารตอนเที่ยง แย่งทีวีกันเล่นเกมส์ตอนเย็น และเข้านอนพร้อมกันในตอนกลางคืนที่ผ่านมามันก็มีความสุขไม่น้อยเลยนะ ไอ้ขาที่หักไปมันก็ค่อยๆสมานกัน แต่มันกำลังมีบางอย่างที่กำลังสมานเข้าในใจ ในหัวใจที่กำลังพองโต






    “พี่มาร์ค”




    “ว่าไง?”




    “ถ้าแบมไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เราจะสนิทกันเหมือนเดิมตอนอยู่ที่โรงเรียนมั้ย




    “ไม่รู้สิ ตอนนี้ทุกคนก็เห็นแค่ว่านายเป็นเด็กที่ฉันขับรถชน แล้วต้องรับผิดชอบดูแลจนกว่าจะหาย”




    “แล้วพี่มาร์คล่ะ?”




    “ฉันทำไม?”




    “พี่มาร์คเห็นแบมเป็นแค่เด็กที่ตัวเองขับรถชนรึเปล่า?”




     

    “เปล่าตอนนี้นายเป็นหมอนข้างของฉัน” พี่มาร์คตอบขำๆไม่ได้จริงจังในน้ำเสียง






    แต่ผมจริงจังนะตอนนี้ในหัวกำลังมีหลายอย่างที่ตีกันจนยุ่งไปหมดแต่ทุกอย่างมันล้วนเป็นเรื่องของเขาทั้งสิ้น






    “พี่มาร์ค




    “ขออยู่เงียบๆแปปหนึ่งได้มั้ย ขอฉันคิดอะไรหน่อย แค่แปปเดียว” พี่มาร์คพูดขัดเสียงเรียบก่อนกระชับอ้อมกอดแล้วใช้ฝ่ามือหน้าลูบหัวผมเบาๆ






    ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมยอมรับเลยนะว่ามันเป็นการจากลาบ้านเกิดที่มีความสุขมาก ทั้งได้เจอพี่แจ็คสัน แล้วก็ได้เจอกับพี่มาร์ค แถมยังมียูคยอมที่เป็นเพื่อนที่ดีอีก มีแต่สิ่งดีๆที่เกิดขึ้น ยกเว้นก็แต่เรื่องที่ผมขาหักนี่แหละ ถึงอย่างนั้นพี่มาร์คก็ชดใช้ และดูแลให้มากกว่าที่เขาควรทำเสียอีก มันมากจนผมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าต้องขาหักอยู่คนเดียวจะเป็นยังไงบ้าง หรือว่าถ้าไม่โดนพี่มาร์คขับรถชน ผมจะได้เรียนที่โรงเรียนดีๆ อยู่แบบมีความสุขอย่างตอนนี้รึเปล่า






    จากการที่โดนบังคับให้อยู่ด้วย ก็กลายเป็นว่าไม่อยากไปไหน






    ตอนนี้คนที่ผมต้องการไม่ใช่ พ่อแม่ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ไม่ใช่คุณป้าที่เสียไปแล้ว ไม่ใช่เพื่อนที่อยู่ไทย ไม่ใช่พี่แจ็คสันที่ผมคลั่งไคล้ แต่กลับเป็นคนที่ทำให้ผมเกือบไม่มีขาจะเดินคนนี้ คนที่กำลังกอดผมไว้แนบกาย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่คนปากร้าย ใจร้าย ขี้โวยวายกลับกลายมาเป็นคนที่อ่อนโยนถึงเพียงนี้ และน่าแปลกที่คนใจแข็งอย่างผมก็ใจอ่อนตามซะด้วยสิ






    ตลกเนอะ






    “แบม” พี่มาร์คคล้ายอ้อมกอดออกและลุกขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมกับเรียกและมองผมด้วยสีหน้าจริงจังผิดจากเดิม




    “ครับ?” ผมขานรับก่อนยกมือขึ้นมารองหัวตัวเองแทนแขนของพี่มาร์คที่เขาดึงออกไปแล้ว




    “คือ” พี่มาร์คลากเสียงยาวผลุบตาลงต่ำ เมื่อเห็นว่าผมจ้องเขาอยู่




    “อะไรครับ”




    “แบม คือว่า-” เหมือนเขาจะพูดอะไรออกมาแต่ประโยคมันก็ขาดหายไป




    “คืออะไรครับ” ผมพลิกตัวไปนอนตักพี่มาร์คมองเขาจากมุมล่างแล้วขมวดคิ้วถาม




    พี่มาร์คเงยหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่และก้มลงมามองผมก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าอย่างเบามือ  




    “พูดออกมาเถอะครับ”




    มันอาจจะฟังดูว่าฉันเห็นแก่ตัวนะ แต่ว่าฉันคิดว่าการที่ฉันทำนายขาหักมันก็เป็นเรื่องที่ดี” พี่มาร์คพูดช้าๆด้วยสีหน้าไม่ค่อยมันใจ ซึ่งผมไม่เคยเห็นมันมาก่อน




    ” ผมไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ขมวดคิ้ว ซึ่งในใจก็เห็นด้วยไปกับเขา




    “แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าดีใจที่นายขาหักนะ มันไม่ดีหรอก” เขาเบาเสียงลงก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น “แต่การที่เรามาเจอกัน ฉันว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ฉันมีความสุขนะเวลาที่เห็นนายอยู่ในห้อง” พี่มาร์คหยุดพูดและก้มลงมามองผมอีกครั้ง “ฉันก็ไม่รู้นะว่าช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมานายต้องทนเจ็บปวดกับบาดแผลนั่นมากแค่ไหน แต่ฉันมีความสุขที่ได้ดูแลนาย มันอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ว่าฉันมีความสุขจริงๆนะ เวลาที่นายยิ้ม นายหัวเราะ แล้วก็ไม่ชอบด้วยเวลาที่นายไปอยู่กับคนอื่น โดยเฉพาะเพื่อนสนิทของฉัน..ฉันไม่ชอบจริงๆนะ แต่ว่านายชอบเขานี่ใช่มั้ย แจ็คสันน่ะ?” เขาพูดจาวนไปวนมาและจบด้วยคำถามที่ชวนผมตะลึง




    ดวงตาคมกริบจ้องลงมาแบบต้องการคำตอบที่แน่ชัด ในดวงตาคู่นั้นตอนนี้มีเพียงแค่ผมเท่านั้น เช่นเดียวกันกับในดวงตาของผมก็มีแค่เขาเหมือนกัน ผมกลืนน้ำลายเหนียวฝืดคออึกใหญ่ก่อนให้คำตอบเขาไป




    “ชอบครับ




    ทันทีที่คำพูดหลุดออกไปสีหน้าเขาก็เปลี่ยนทันที มีแวบหนึ่งที่ดวงตาเขาหม่นลงก่อนจะกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง




    “หึ” เขาแค่นเสียงหัวเราะ “นายคงชอบมันมากเลยสินะ”




    “แน่นอนครับ”




    “นี่! คิดก่อนตอบบ้างสิ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนหน้าผากขึ้นรอยย่น ผมจึงยื่นมือขึ้นไปนวดขมับเขาเบาๆ




    “ก็พี่แจ็คสันเป็นไอดอลของแบมนี่ครับ”




    “อะไรนะ?” พี่มาร์คคล้ายคิ้วก่อนริมฝีปากหยักนั่นจะกระตุกยิ้ม มือที่นวดขมับให้เขาก็ถูกพี่มาร์ครวบไว้เรียบร้อย




    “พี่แจ็คสันเป็นไอดอลของแบมครับ เหมือนกับที่พี่มาร์คก็เป็นไอดอลให้ใครหลายๆคนนั้นแหละ”




    “นายไม่ได้ชอบแจ็คสันมันแบบว่า” เขาลากเสียงยาว




    “นั่นมันก่อนที่แบมจะเจอพี่มาร์ค




    ใช่ครับก่อนที่ผมจะเจอกับพี่มาร์ค ก่อนเหตุการณ์ทั้งหมดจะเกิดขึ้น ก่อนที่ผมจะได้เจอพี่แจ็คสันตัวจริง ผมชอบเขามากเลยนะ ชอบมากแต่พอได้รู้จักจริงๆแล้วพี่แจ็คสัน เป็นพี่ชายที่ดีมากกว่าที่ผมจะไปบอกว่าชอบเขา เขาเป็นพี่ชายที่ใจดีและอบอุ่นมากจริงๆ กับเด็กอย่างผมแล้วมันจะมีอะไรมากไปกว่าการเป็นแฟนคลับที่ดีคนหนึ่ง




    …!!!” พี่มาร์คดูอึ้งๆไป จนผมต้องเขย่าแขนตัวเองเพื่อเรียกสติเขากลับมา




    “ถ้าอย่างนั้น ถ้านายไม่ได้ชอบแจ็คสันมันแบบนั้น หลังจากขานายหายดีแล้ว อยู่กับฉันต่อที่ห้องนี้ได้มั้ย ไม่ต้องกลับไปบ้านตัวเองได้รึเปล่า ถึงฉันจะขี้โวยวาย ขี้โมโห ขี้รำคาญ ติดเกมส์ ชอบเหวี่ยงใส่ ชอบดุ ชอบว่า สับสนกับความคิดตัวเองบ่อยๆ แล้วก็ชอบโอเว่อร์เกินไปในบางเรื่อง แถมยังทำให้นายเจ็บตัวอีก แต่ฉันจะขอให้นายอยู่กับฉันต่อไปได้มั้ย” พี่มาร์คพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจัง มือพี่มาร์คที่จับมือผมอยู่ก็เย็นเฉียบจนน่าตกใจ  “ได้มั้ยแบมแบมนี่เป็นเรื่องเดียวที่ฉันจะขอในตอนนี้เลยนะอยู่กับฉันนะ”





    พี่มาร์คพูดพร้อมกับจับมือผมแน่น ดวงคมตายังคงไม่ละออกไปจากใบหน้า เท่าที่ผ่านมา พี่มาร์คไม่เคยขออะไรผมเลยนะ เขาเป็นคนให้เสียมากกว่า และในตอนนี้สิ่งที่เขากำลังขอ มันก็กำลังทำให้หัวใจผมพองโตและสับสนในเวลาเดียวกัน





    “ได้มั้ย?” เขาถามย้ำเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ตอบอะไร  




    “อยู่ต่อไปนานแค่ไหนครับ?”




    “ตลอดไป




    “ในฐานะอะไรครับ?”




    “คนที่ฉันรัก

     


    -------------------------------

    #fickissmark

    --------------------------------

     





     

     


     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×