ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #36 : :: KISSMARK :: EP.36

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.53K
      72
      12 ม.ค. 58

     

     -MARK PART-




     

    ไม่เหลืออะไรแล้ว…

     

     

     

     

    ไอ้มาร์คบอกไปหมดแล้ว…




     

    ผมไม่คิดจะเปลี่ยนใจอะไรทั้งนั้นเมื่อได้พูดมันออกไปแล้ว ก็ผมมันเป็นคนที่ปากไปไวกว่าความคิด และให้ความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผล สองเดือนที่ผ่านมา แม้ว่ามันจะเกิดเรื่องแย่ๆ จนผมเกือบดับอนาคตตัวเองและอนาคตเด็กคนหนึ่งไปแล้ว แต่พอเริ่มทำใจได้ อะไรๆมันก็เหมือนจะดีขึ้นมา และดูเหมือนจะดีมากซะด้วยสิ






     

     จากการที่ชอบอยู่คนเดียวก็กลายเป็นว่าต้องเห็นใครอีกคนอยู่ด้วยเสมอ จากการที่ชอบเล่นเกมส์ก็กลายเป็นว่าชอบให้มีคนแย่งผมเล่นเกม จากที่ชอบดูหนังก็กลายเป็นว่าชอบมองใบหน้าของใครอีกคนตอนเขาอ่านหนังสือ จาการที่ต้องกินข้าวคนเดียวก็กลายเป็นว่าต้องรออีกคนทุกครั้ง จากที่เป็นคนไม่ยอมใครก็ต้องยอมอ่อนให้เขาทุกครั้งไป จากที่ชอบโวยวายชอบเสียงดังก็ต้องสงบสติอารมณ์และยอมแพ้ให้กับเหตุผลต่างๆนานา จากที่เป็นคนนอนเร็วก็ต้องนอนดึกกว่าเดิม เพราะมัวแต่มองใบหน้าในอ้อมกอดตัวเองอยู่ จากคนที่ไม่ค่อยมีความอดทนก็ต้องทนไปทุกอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้…







      พอรู้ว่าอีกสองอาทิตย์จะไม่ได้ยินเสียงเรียกจากหน้าห้องน้ำตอนเช้า ไม่ได้ยินเสียงเรียกให้ผูกไทด์ให้ ไม่ได้ยินเสียงบ่นเรื่องรองเท้าและน้ำหอม ไม่ได้ยินเสียงอ้อนจะขี่หลัง ไม่ได้ยินเสียงขอเล่นเกมส์ ไม่ได้มองหน้าใกล้ๆ ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้กอด ไม่ได้สัมผัส ไม่ได้รับการรักษาแบบเด็กๆ ไม่ได้ฟังเหตุผลที่จะสรรหามาเถียง ไม่ต้องรอใครตอนทานข้าว ไม่ต้องใจเย็นเพื่อพยายามไม่มีปัญหา ไม่ต้องนอนดึกเพราะมัวมองใครอีกคน ไม่ได้กระชับอ้อมกอดตอนนอน แค่คิดมันก็รู้สึกเหมือนว่าชีวิตกำลังจะขาดบางอย่างไป…  
      





     

     ผมทบทวนมาตลอดหลังจากได้ยินคุณหมอบอกเรื่องการเอาเฝือกออก ความรู้สึกมากมายมันพุ่งเข้ามาจนผมเกิดคำถามขึ้นกับตัวเอง พยายามหาคำตอบว่าทำไมต้องคิด ทำไมต้องห่วง และอีกมากมายซึ่งคำตอบมันก็เหลือเพียงคำตอบเดียวที่สามารถครอบคลุมทุกเหตุผลเอาไว้ได้…






      เพราะรัก…    






      เด็กที่เหมือนอุกกาบาตความซวยลูกใหญ่ที่ผมพุ่งชน แล้วผมก็ต้องเก็บอุกกาบาตนั่นไว้ แม้จะไม่อยากก็ตาม อุกกาบาตถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในความดูแลของคนที่พุ่งชนมัน พยายามรักษา พยายามดูแลไม่ให้ขาดหาย ด้วยมือของตัวเองมาตลอด เวลาผ่านไปสองเดือน อุกกาบาตลูกนี้ก็เหมือนกับของสะสมชิ้นสำคัญของผมไปแล้ว ไม่อยากให้ใครแตะต้อง ไม่อยากให้ใครสัมผัส อยากเก็บไว้ข้างกาย เติมเต็มความสุขให้กับชีวิต จากอุกกาบาตความซวยก็กลายเป็นอุกกาบาตความรักที่กำลังพุ่งชนอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้…  






      แต่แบมแบมไม่ใช่อุกกาบาต ไม่ใช่สิ่งของสะสมหรือเอาไว้ดูเล่น เขามีค่ามากกว่านั้น มากจนผมยอมไม่ได้ที่จะเห็นเขาไปอยู่ที่อื่น ไปอยู่ไกลสายตา ไปอยู่ในที่ที่ผมอาจจะมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ หรืออาจจะมีคนอยู่ข้างเขาที่ไม่ใช่ผม…  






      เมื่อคำถามเรื่องของคนที่เขาคลั่งไคล้พร่ำเพ้อพรรณนาอยู่บ่อยๆ ผ่านไปด้วยดีมันทำให้ผมดีใจจนแทบจะก้มลงไปหอมแก้มนิ่มๆที่ผมเคยสัมผัสมาแล้วซักฟอด ถึงแม้มันจะไม่ใช่คำที่ตอบรับความรู้สึกที่ยังไม่ได้บอกแต่ก็เหมือนกับว่าเขาบอกมันออกมาแล้วครึ่งหนึ่ง…
      





      มันทำให้ผมไม่ลังเลที่จะพูดและบอกในสิ่งที่ผมรู้สึกออกไป…  






    ผมก้มมองแบมแบมที่กำลังนอนหนุนตักและใช้ดวงตากลมโตจ้องผมด้วยสีหน้าอึ้งๆ คิ้วเรียวถูกเลิกขึ้น มือบางที่ถูกผมรวบไว้ก็เริ่มเย็น เป็นเวลานานเกือบนาทีที่เขาเอาแต่จ้องหน้าผมโดยไม่พูดอะไร นั่นมันทำให้ผมอยากรู้คำตอบมากจริงๆ






     

     ถ้าปฏิเสธ…ก็อยากให้เป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม






      แต่ถ้าตอบตกลง…ผมก็จะถนอม ดูแลเขาอย่างดีที่สุด



      


      จะไม่ทำให้ตัวเองต้องพูดคำว่าขอโทษออกมาซักครั้งเลย…    






      “พี่มาร์คล้อเล่นรึเปล่า เรื่องแบบนี้แบมไม่เล่นนะครับ” แบมแบมพูดออกมาด้วยสีหน้าหวาดระแวงในดวงตาเริ่มมีน้ำใสๆเอ่อคลอ…  




      “ฉันดูเหมือนคนกำลังล้อเล่นหรอ…พูดจริงๆแล้วก็รักจริงๆ” ผมตอบเสียงเรียบก่อนที่แบมแบมจะพลิกตัวขึ้นมานั่งจ้องหน้าผมบ้าง  




      “พี่มาร์ค!” เขาตะโกนเสียงดังดึงมือตัวเองออกจากมือผมแล้วฟาดลงมาที่ไหล่ผมแรงๆ “แบมไม่เล่นจริงๆนะ!  




      “ฉันก็ไม่ได้พูดเล่น เรื่องแบบนี้ใครเขาเล่นกัน…มันไม่ตลกหรอกนะ” ผมพูดเสียงแผ่วยกมือขึ้นลูบไหล่ตัวเองที่มันคงกำลังขึ้นรอยแดงอยู่ใต้แขนเสื้อแน่ๆ “ฉันพูดจริงๆ อยากให้นายมาอยู่กับฉันเลย ตลอดชีวิตไปได้ยิ่งดี เพราะว่าฉันรักนายแบมแบม  




      “…!!” เขาดูนิ่งไปจนผมต้องจับมือเรียวบางขึ้นมากุมไว้  




    เป็นแฟนกันนะ




    ผมคลี่ยิ้มบางหลังจบประโยค ปล่อยมือจากมือเรียวของอีกฝ่ายเมื่อเห็นน้ำหยดใสกำลังไหลรินลงจากดวงตากลมโต มาเปรอะข้างแก้มเนียน เสียงสะอื้นไห้เบาๆดังอยู่ในลำคอ ใบหน้าและดวงตาแดงก่ำ ไม่มีคำพูดใดๆที่เล็ดลอดออกมา ผมยื่นมือขึ้นไปหวังจะซับน้ำตาให้แต่ก็ต้องค้างไว้กลางอากาศ เมื่อเขาโผเข้ากอดใช้ใบหน้าซุกอยู่บริเวณซอกคอและใช้แขนบางโอบรอบคอไว้ก่อนสะอื้นจนตัวโยน






    มือที่ค้างไว้กลางอากาศก็ลดระดับลงมาก่อนจะรวบรัดเอวบางไว้และดึงเข้ามาแนบกายจนเขาเกือบจะขึ้นมานั่งบนตักผมถ้าไม่ติดว่ามันมีเฝือกแข็งๆอยู่




    “จะให้คำตอบฉันได้รึยัง รอฟังอยู่นะ” ผมกระซิบเสียงเบาข้างใบหู




    “ไม่หลอกแบมแน่นะ” แบมแบมดันตัวเองออกใช้ฝ่ามือเล็กปาดน้ำตาตัวเองอย่างลวกๆ




    “ไม่ได้หลอก”




    “ไม่ได้โกหกนะ”




    “ไม่ได้โกหก”




    “ไม่ได้ล้อเล่นนะ”




    “ก็ไม่ได้ล้อเล่น”




    “แบมจริงจังนะ”




     

     “ฉันก็จริงจัง…  



    “จริงนะ”



    “จริงสิ”




    “จริงๆนะ”




    “จริงๆสิ”




     “งั้น…แบมเป็นแฟนพี่มาร์คนะ”




     

     “ก็เป็นแฟนพี่น่ะสิ…….!!

        


    “แบมก็รักพี่มาร์คเหมือนกันนะครับ”




     

     “…!!!




      

      

      

    -JINYOUNG PART-



    ผมทอดมองไปยังต้นหญ้าสีเขียวอ่อนที่สนามข้างทางที่รถสามารถแล่นเข้ามาได้ พวกมันมีสีเขียวเท่ากันทุกต้น ไม่มีรอยเท้าเหยียบด้วย สะอาดสะอ้านเป็นที่สุด คนที่ดูแลพวกมันก็คงต้องมีความรับผิดชอบอยู่ไม่น้อย ไหนจะรดน้ำ ตัดหญ้า กวาดเศษใบไม้อีก งานละเอียดทั้งนั้น






    “เชิญครับ” เมื่อรถจอดเทียบหน้าบันได บานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคำเชิญ




    “ขอบคุณครับ” ผมก้มหัวและยืนรอเจ้าของบ้านที่กำลังลงจากรถ






    ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่มาแล้ว จะทำเป็นติดธุระซะหน่อยแต่คิดอีกที ผมว่ามันไม่ควรทั้งๆที่รับคำไปแล้วแท้ๆ พ่อของแจบอมก็ไม่ได้ดุอะไรด้วยแถมยังดูว่าจะเอ็นดูผมอีกต่างหาก






    “ติดใจอะไรบ้านฉันนักหนารึไง ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องมาอีกอยู่ดีนั้นแหละ” แจบอมหันมาพูดเสียงเรียบก่อนโยนกระเป๋าไปที่โซฟากลางห้องโถง




    “ก็พ่อนายบอกให้ฉันมา”




    “คุยกันถูกคอสินะ เฮอะ!” เขาแค่นเสียง




    “คุณหนูคะ เพื่อนคุณหนูโปรดอาหารอะไรเป็น  พิเศษมั้ยคะ” ป้าแม่บ้านคนเมื่อเช้าเดินเข้ามาถาม




    แม่บ้านที่นี้ก็มารยาทดีเกิ๊น!!




    แต่ผมว่าดีนะ ผมชอบคนที่มีมารยาท




    “ถามเขาสิครับ ถามผมทำไม ผมไม่รู้หรอก” แจบอมตอบส่งๆ ทำให้ป้าแกหันมายิ้มให้ผม




    “ผมไม่รบกวนดีกว่า




    “ทำไมล่ะ? เผื่อว่าอาหารมันไม่ถูกปากไง เราจะได้ร่วมโต๊ะอาหารกันอย่างมีความสุขนะ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบประโยค เสียงนุ่มทุ้มของประธานอิมก็ดังมาทำให้ผมและแจบอมลุกขึ้นโค้งเก้าสิบองศาโดยอัตโนมัติ




    “ผมทานอะไรก็ได้ครับ”




    “ทานง่ายดีนี่ ไม่เหมือนกับแจบอมเลย เลือกทุกอย่าง”




    “ถ้าจะเอาประธานมาเพื่อแขวะผมละก็วันหลังให้มาแค่ตอนเช้าพอนะครับ ตอนเย็นผมจะไม่ให้เขามาแล้ว” แจบอมเบ้ปาก




    “วันนี้ยองแจไม่มารึ?”




    “เขาก็มีธุระของเขานะครับ”






    บทสนทนาของพ่อลูกจบลงแค่นั้นก่อนที่เขาจะหันมาคุยกับผมและปล่อยแจบอมให้นั่งเงียบๆจนเขาเดินหนีขึ้นไปบนห้อง ประธานอิมก็เหมือนกับคนวัยกลางคนที่มีลูกชายซึ่งกำลังเป็นวัยรุ่นทั่วไป เหงาแต่ก็บอกใครไม่ได้ แถมยังดูว่าจะเข้ากับลูกไม่ค่อยได้ซะด้วย






    ประธานอิมเล่าถึงตอนที่แจบอมเป็นเด็กว่า เขามักจะเป็นเด็กติดแม่ เพราะว่าพ่อต้องเดินทางไปพบปะกับนักธุรกิจที่ต่างประเทศค่อนข้างบ่อยจึงไม่มีเวลาให้ลูก แจบอมยังไม่ทันที่จะได้เข้าเกรดหนึ่งแม่ของเขาก็เสียเพระอุบัติเหตุทางรถ






    แต่แจบอมก็ยังดีที่มีพ่อที่เอาใจใส่ดูแล ถึงแม้จะไม่ค่อยสนิทกัน แต่พวกเขาก็ยังพูดกัน ไม่เหมือนครอบครัวของผม ที่มันไม่ควรจะเรียกว่าครอบครัวด้วยซ้ำ นอกจากเงินพวกเขาก็ไม่ให้อะไรกับผมเลย ความรัก การเอาใจใส่ดูแล พูดคุยปรึกษาเรื่องที่ไม่สบายใจ หรือรับฟังคามดีงามที่ผมไปทำมาได้ ผมมีทั้งพ่อ มีทั้งแม่ แต่ก็ไม่ได้มีความสุขไปกว่าแจบอมหรอก ความจริงผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแจบอมมีความสุขหรือเปล่า แต่มันก็คงจะดีกว่าผม แม้เขาจะมีแค่พ่อ






    “แจบอมเขาไม่ค่อยมีเพื่อนหรอก เท่าที่รู้ก็มีแค่ยองแจกับเรานั้นแหละ เพราะเขาต้องอยู่ด้วยตัวเองมาตั้งแต่ยังเด็ก ความเข้มแข็งมันเลยมีมากกว่าคนอื่น แต่มันเป็นข้อเสีย เขาหยิ่งแล้วก็อวดดี เราก็ทนๆเขาหน่อยนะ พ่อขอฝากแจบอมด้วย ถ้าเราจะมาเป็นเพื่อนเขา ก็ให้ใจเขาเต็มร้อยนะ เขาไม่ใช่คนแข็งๆแบบที่เราเห็นหรอก”




    “อาหารพร้อมแล้วค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปตามคุณหนูให้นะคะ” ป้าแม่บ้านคนเดิมเดินมาพูด แต่ก็โดนประธานอิมยกมือห้ามแล้วหันมาบอกกับผม




    “เราช่วยไปตามแจบอมทีนะ จำทางได้ใช่มั้ย?”




    “ผมหรอครับ ทำไมครับ?”




    “ก็ให้ป้าเขาไปตามทีไร แจบอมไม่เคยลงมาทันทีน่ะสิ จนพ่อจะอิ่มแล้วเขาถึงได้ลงมา เราช่วยไปตามทีนะ เมื่อเช้ายังปลุกไปโรงเรียนได้เลย”




    “ก็ได้ครับ”






    ผมยิ้มรับก่อนเดินแยกไปทางบันไดที่เดินขึ้นไปเมื่อตอนเช้า ยกมือขึ้นเคาะบานประตูสองสามทีเมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมาผมก็เปิดเข้าไป พบกับห้องที่เกือบมืดสนิท เพราะแสงไฟจุดเล็กใหญ่ที่เป็นเหมือนดาวบนท้องฟ้าส่องสว่างอยู่ทั่วมุมห้อง ทำให้ผมเห็นว่าอะไรอยู่ตรงไหน แต่ที่เห็นคือแจบอมกำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบ






    “แจบอม” ผมเรียกเขาขณะเดินเข้าไปใกล้เตียงขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น




    “หืออออ” ตอบเป็นเสียงในลำคอก่อนใช้มือตบลงบนเตียง




    “พ่อนายให้ฉันมาตามนายลงไปกินข้าว”




    “นอกจากต้องตามไปโรงเรียนยังจะตามไปทานข้าวอีกหรอ คิดว่าตัวเองเป็นไทม์เมอร์รึไงห้ะ?”




    “แล้วคิดว่าฉันอยากเป็นไทม์เมอร์รึไง ปลุกนายครูเขาก็บังคับ มาตามนายพ่อนายก็บังคับ แล้วนี่ถามจริงๆนะจะประหยัดไฟไปไหน เปิดให้มันสว่างๆไม่ได้รึไง” ผมพูดก่อนปีนขึ้นไปนั่งบนเตียงเพราะดูแล้วแจบอมคงไม่ยอมลงไปง่ายๆแน่




    “ทำแบบนี้มันเปลืองกว่าเปิดสว่างทั้งห้องอีก”




    “แล้วทำไมไม่-




    “ฉันคิดถึงแม่” แจบอมตอบเสียงเบา “ฉันได้ยินพ่อเล่าเรื่องของฉันให้นายฟัง เขาคงไว้ใจนายมากเลยนะถึงได้เล่าให้ฟังอะ”




    “แล้วยังไง?”




    “ฉันก็แค่งง ว่าทำไมพ่อไว้ใจนายเร็วจัง ยองแจกว่าพ่อจะยอมเล่าให้ฟังก็นานอยู่”




    “แล้วทำไมพ่อนายต้องเล่าให้ฉันกับยองแจฟังด้วยล่ะ”




    “คงเพราะอยากให้นายกับยองแจดูแลฉันให้ดีละมั้ง เหมือนตอนที่แม่อยู่




    “แต่ฉันไม่ใช่แม่นาย”




    “แต่นายคือเพื่อน คือประธานนักเรียนของฉัน”




    “ฉันไปเป็นประธานของนายเมื่อไหร่ไม่ทราบ ฉันเป็นประธานของนักเรียนทุกคนต่างหาก” ผมพูดขัดแล้วหันไปมองคนที่กำลังนอนหนุนแขนตัวเองอยู่ข้างๆ แต่ก็เห็นว่าเขามองผมอยู่ก่อนแล้วท่ามกลางแสงไฟมืดสลัว




    “ก็นายไม่ยอมให้ฉันเรียกชื่อนายนี่ มีใครในโรงเรียนที่เรียกนายว่าประธานตลอดเวลารึไง ไม่มีหรอก!! ไม่แต่ฉันเนี่ยแหละที่เรียก เพราะนายไม่ยอมให้ฉันเรียกชื่อ นายก็เลยต้องเป็นประธานของฉัน เก็ทนะ” เจบีพูดรัว




    ที่ผมไม่ยอมให้เขาเรียกชื่อก็เพราะว่าเราไม่ได้สนิทกัน และตอนนั้นผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีกับเขาด้วย




    “แต่ตอนนี้ฉันอนุญาตให้นายเรียกชื่อฉันได้นะ”




    “ไม่เอาอะ เรียกประธานนี่แหละดีแล้ว เพราะฉันคือนักเรียนของนายไง




    ถึงเขาจะพูดแบบนั้น แต่ด้วยสีหน้ากับแววตาที่ผมเห็นไม่ชัดในความมืดนี่แล้ว มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆกับประโยคหลังที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมา ถึงจะเป็นประโยคธรรมดา แต่มันฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ




    “งั้นก็ตามใจ ลงไปทานข้าวกัน พ่อนายคงรอแย่แล้ว”




    “นี่ประธาน




    “ว่าไง?”




    “นายไม่ได้เกลียดฉันแล้วใช่ไหม?”




    “ไม่เคยเกลียด ก็แค่รู้สึกว่านายหยิ่งแล้วก็อวดดีมากไปหน่อย”




    “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้นายรู้สึกแบบนั้นนะแต่ว่า” แจบอมหยุดเสียงลงก่อนลุกจากเตียง “ไปทานข้าวกันเถอะ” เขาพูดพร้อมกับยื่นมือมาข้างหน้าเพื่อให้ผมจับ




    “แต่ว่าอะไรพูดให้จบ




    “ไม่มีอะไรหรอก จากนี่ไปก็เรียกฉันว่าเจบีนะ ไม่ต้องเรียกแจบอม”




    “แต่ว่าอะไรล่ะ?” ผมยังคงถามต่อ เพราะความอยากรู้




    “ก็บอกว่าไม่มีอะไร ไปทานข้าวกัน”




    “แจบอม!




    “เจบี!!




    “ไม่บอก็ไม่ต้องบอก โว๊ะ!!” ในเมื่อไม่บอกก็ไม่อยากรู้ก็ได้วะ





    “งั้นเชิญลงจากเตียงแล้วไปทานข้าวกันครับ ประธานของผม” เจบียิ้ก่อนพูดจาสุภาพเกินปกติแล้วยื่นมือมามากกว่าเดิม




    ผมเอื้อมมือออกไปจับฝ่ามือหนาก่อนขยับตัวไปริมขอบเตียงที่แจบอมเอ้ย!! เจบียืนอยู่ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเขานิสัยดีกว่าแต่ก่อน ทั้งตอนที่ผมไปติวหนังสือให้ และตอนที่มีเรื่องกันในห้องอาหาร เขาดูไม่หยิ่ง ไม่อวดดี และเพราะความมืดทำให้ผมไม่เห็นสายตาที่คมกริบ แต่กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านเข้ามาทางมือแทน




    นี่คงเป็นการเริ่มต้นมิตรภาพที่ดีของเรามั้งครับ




     

    ----------------------------------

    #fickissmark

    ---------------------------------

     

     



     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×