ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรร้อยล้าน

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอน 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 688
      8
      16 ก.ย. 54

    พอออกจากโรงเรียนนภาสิริก็ขับรถพามาที่นี่เลย แต่ยังไม่วายพร่ำบนเป็นแม่แก่

    อย่าทำหน้าบึ้งอย่างนั้นสิพี่ชนา ทำหน้าเหมือนเกลียดคนทั้งโลกอย่างนั้นแหละ แบบนี้ใครจะกล้าเข้ามาคุยด้วยกันล่ะ

    พี่ไมได้หน้าบึ้งซะหน่อย หล่อนว่าเสียงอ่อน ถ้าลองน้องสาวบอกว่าบึ้งก็ต้องเป็นอย่างนั้นจนได้สิน่า

    ไมได้บึ้งก็หัดยิ้มเสียบ้าง นี่พี่ไปทำงานเคยแต่งหน้าบ้างรึเปล่า ทำไมถึงได้ซีดนัก

    พ้นจากเรื่องหน้าบึ้งมาถึงหน้าซีด คนเป็นพี่เลยเบ้ปากใส่

    เรื่องมาก

    แหม สิรีก็ถามไปงั้นเองรู้หรอกว่าพี่ชนาไม่ค่อยชอบแต่งหน้า แต่คืนนี้ไม่ได้นะ แต่งซะหน่อย

    คนฟังอมยิ้มขัน น้องสาวหล่อนพูดไม่ผิดนักหรอก เครื่องสำอางกี่ชิ้นๆ ก็เป็นอันว่าโยนทิ้งเพราะหมดอายุ ไม่ค่อยจะพร่องเหมือนสาวคนอื่น ส่วนมากแค่ผัดแป้งพอให้หน้านวลเท่านั้นก็ออกจากบ้านได้ทันที ผิดกับน้องสาวคนละทิศละทาง

    ทั้งที่รู้กันอยู่ว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยเหมือนกัน แต่นภาสิริก็ยังอดพูดไม่ได้

    เดี๋ยวถึงแล้วแวะเข้าห้องน้ำก่อน สิรีจะแต่งหน้าให้

    พี่ไม่ได้เอาเครื่องสำอางมา หล่อนว่าเสียงเบื่อหน่าย อีกอย่างนะสิรี กับอีแค่ไม่ได้แต่งหน้าไม่ได้ผิดกฎหมายข้อไหน เขาคงไม่ไล่เรากลับหรอกน่า

    ก็ไม่ได้ว่าไล่กลับ แต่มันไม่สวยเข้าใจไหม

    ไม่สวยแล้วทำไม ทำอย่างกับพี่จะ... หล่อนพูดไม่จบก็เจอประกาศิตน้องสาวเข้าเต็มหู

    รู้แล้วว่าไม่อยากสวย แต่คืนนี้สิรีอยากให้พี่สวยสักคืน

    ทำไม

    ไม่มีคำตอบจากนภาสิริ สองตาเธอจดจ้องกับถนนตรงหน้า เพ่งสมาธิไปกับการเลี้ยวรถเข้าที่จอดราวกับเพิ่งหัดขับรถใหม่ๆ คนถามเลยคร้านจะซักไซ้

    แล้วสุชนาก็ต้องหน้าบึ้งเข้าจริงๆ เพราะถูกน้องสาวลากตัวเข้าไปแต่งหน้าในห้องน้ำ หล่อนจำต้องให้ความร่วมมือทั้งที่ไม่ชอบเลยสักนิดที่ต้องถอดแว่นตา แล้วยืนเฉยๆ ให้น้องสาวจัดการตามใจชอบอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ทั้งที่หล่อนย้ำตั้งไม่กี่รอบว่าให้พอได้แล้ว

    สวยแล้ว พอเถอะ

    อีกนิดเดียวน่าพี่ชนา รับรองสวยจนไม่มีใครจำได้

    หล่อนขี้เกียจจะเถียงว่าไม่มีใครจำได้แล้วจะเรียกว่าสวยได้ยังไง แต่พอช่างแต่งหน้ากิตติมศักดิ์เก็บแปรงปัดแก้มเข้ากระเป๋าภาพในกระจกก็เปลี่ยนไปมาก

    หล่อนหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม พอเงยหน้าขึ้นมองที่กระจกบานใหญ่ในห้องน้ำคุณครูสาวแว่นก็ถึงกับอ้าปากค้าง

    ภาพตรงหน้าราวกับเป็นคนละคน หล่อนพอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าไก่งานเพราะคนงานเพราะแต่ง แต่ไม่เคยคิดว่าจะแตกต่างกันมากมายถึงเพียงนี้

    ใครกันนะที่สบตาหล่อนในเวลานี้ ภาพในกระจกที่สะท้อนออกมากกลับกลายเป็นผู้หญิงคิ้วเข้ม ตาคม ขนตายาวงอน ริมฝีปากสีสดได้รูปดูจะเชิญชวนอยู่เป็นเนืองนิตย์ แล้วใบหน้าที่เคยคิดว่าธรรมดาสามัญแบบ พอไปวัดได้หายไปไหนแล้ว เหลือแต่ผู้หญิงที่หล่อนไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

    สวยใช่ไหมล่ะ

    หล่อนเหลือบตามองน้องสาวเล็กน้อยก่อนจะอมยิ้มอย่างขันตัวเอง ปากก็ว่าตามใจคิด

    ก็แปลกๆ ดี

    แปลกที่ไหนสวยออก นภาสิริเถียงขาดใจ แล้วก็ถอดแว่นออก พี่ชนาใส่แว่นแล้วแก่

    คราวนี้เจ้าของแว่นมองมาด้วยหางตา พลางค้าน อะไรกรอบแว่นนี่เธอเลือกให้พี่เองเลยนะ

    กรอบแว่นตาทรงรีขอบสีเงินมีลายนูนซึ่งนภาสิริยืนยันเป็นนักหนาว่านี่ดูแก่น้อยที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายคนเลือกก็ยังไม่พอใจอยู่ดี

    ยังไงก็ไม่สวยน่า ถอดออก สิริแวะซื้อคอนแทคเลนส์มาให้แล้ว

    สิ้นเสียงบอกนภาสิริก็ควักกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวออกมาจากกระเป๋าสะพายใบเขื่อง ยัดใส่มือพี่สาว

    ไม่ใส่ไมได้หรอ พี่ไม่ชอบเลยมันเจ็บตา

    หล่อนต่อรองเสียงอ่อย ยิ่งเห็นกล่องผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ทั้งเปลี่ยนสีตาและขยายม่านตาเข้าด้วยแล้วก็ยิ่งขยาดไปกันใหญ่

    ไม่เจ็บหรอก พี่ชนาคิดมากไปเลย ยี่ห้อนี้ของดีเลนส์นุ่มรับรองได้ สิรีซื้อมาตั้งแพง

    แต่...

    เอางี้ ลองใส่ก่อน ถ้าเจ็บแล้วค่อยถอด

    สุดท้ายสุชนาก็ไม่มีทางปฏิเสธอีกตามเคยต้องยอมทำตามที่น้องสาวว่ามาทุกประการ

    หลังจากทุลักทะเลอยู่หลายนาที คุณครูสุชนาก็กลายเป็นสาวบิ๊กอายตาโตเหมือนตุ๊กตา แถมยังมีนัยตาสีน้ำข้าวมองอย่างไรก็ไม่คุ้นเคยเสียจนไม่คิดว่าภาพที่สะท้อนกระจกตรงหน้าจะเป็นตนเอง

    สุดท้ายหล่อนก็เดินตามน้องสาวออกจากห้องน้ำไปถึงงานวันเกิดเสียที แต่นภาสิริยังหวาดสายตาตรวจความเรียบร้อยให้พี่สาวเสียตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก่อนจะเดินเข้างาน

    ดีเท่าไหร่แล้วที่นภาสิริไม่จับพี่สาวเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำผมให้ด้วย

    พุทธมารออยู่พักใหญ่แล้ว เขาเดินตรงมาหาและมองหน้าสุชนาอยู่หนึ่งนาทีเต็มๆ ก่อนจะร้องถามเสียงดังลั่น

    อ้าวพี่ชนานี่เอง เกือบจำไม่ได้แน่ะ

    เจ้าของชื่อยิ้มรับเล็กน้อย นึกประหม่าที่เสียงของพุทธเรียกความสนใจจากใครหลายคนหันมาเป็นตาเดียวกัน

    พุทธกับหล่อนเกิดปีเดียวกัน เขาแก่เดือนกว่าหล่อนเสียด้วยซ้ำ แต่พุทธคงจะติดปากเรียกพี่ชนาตามนภาสิริจนเคยชินเสียแล้ว หล่อนเลยปล่อยเลยตามเลย ใช้ความเป็นพี่สาวให้เป็นประโยชน์ไปเสีย

    ตอนแรกก็ว่าใครมากับสิรีเสียอีก เขาบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะรีบแนะนำ เชิญครับเชิญ อ้อ นี่วรุณเพื่อนผมเอง วันนี้มันเพิ่งจะขึ้นเลขสามต้องฉลองกันหน่อย

    เจ้าของวันเกิดหันไปมองเพื่อนด้วยสายตาเหมือนอยากจะปรามๆ กันไว้ แต่ไม่กล้าพูดออกมา เขาพยักหน้าให้หล่อนเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มชวนมองที่มุมปาก

    เขาสูงกว่าเธอเล็กน้อย หน้าตาดีทีเดียวแต่พอสบตาหญิงสาวแล้วทำท่าจะเขินเสียเอง

    ขอโทษนะคะ ไม่ทราบล่วงหน้าเลยไม่มีของขวัญมาให้ หล่อนบอกเขาอย่างเกรงใจ อันที่จริงน้องสาวบอกแค่ว่าจะพามาเปิดหูเปิดตาเท่านั้น เลยไม่ได้เตรียมตัวอะไร

    ไม่เป็นไรหรอกครับ คนกันเองทั้งนั้น เขาว่าด้วยน้ำเสียงสุภาพ สบตาเธออย่างเปิดเผย

    น่าแปลกที่ในแววตาคู่นั้นทอประกายอย่างประหลาดจนทำให้หล่อนเผลอส่งยิ้มกว้างให้เขาเป็นการตอบแทน

    ไม่เห็นสิรีเคยเล่าว่ามีพี่สาวสวยขนาดนี้

    คนสวยหันไปมองน้องสาวด้วยความแปลกใจ แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะร่า

    ถ้าสวยก็รีบๆ จีบซะสิ ไม่รู้หรอว่าผู้หญิงสวยไม่ชอบรอนานนะ

    สิรี หล่อนดุน้องเสียงไม่จริงจังนัก แต่นึกเคืองจับใจ

    คนรอบข้างหัวเราะกันร่วน วรุณเหมือนจะเข้าใจประโยคนี้มากกว่าใครเพื่อน เขารีบเสนอตัว

    งั้นคนสวยรอนี่นะครับ เดี๋ยวผมบริการเอง

    แล้วปาร์ตี้งานวันเกิดก็เริ่มต้นขึ้นตรงนั้นกับเสียงเพลงดังลั่นจนคุยกันแทบไม่รู้เรื่อง แก้วเครื่องดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าถูกเสิร์ฟอย่างไม่มีบกพร่อง จะมีก็แต่คุณครูสุชนาคนเดียวที่ถือแก้วคอกเทลสำหรับผู้หญิงแก้วแรกและแก้วเดียวไม่ยอมปล่อยได้เป็นชั่วโมง

    วรุณเดินมาคุยกับหล่อนสี่หน ถามไถ่เรืองทั่วๆ ไป แล้วก็ถูกเพื่อนฝูงดึงไปทางอื่นเสียทุกครั้งไป ส่วนนภาสิริน่ะหรือ ตอนแรกทำเหมือนตั้งท่าจะนั่งเฝ้าพี่สาว เหมือนหน่วยสังเกตดูผลงานตัวเองว่าจะมีใครเข้ามาขายขนมจีบบ้างไหม แต่พอวรุณเดินมาเป็นครั้งที่สาม นภาสิริก็ฉีกยิ้มกว้างใส่พร้อมกับพึมพำขอตัว

    สุชนาแอบยกมือปิดปากหาวหวอดเสียตั้งแต่ยังไม่ทันสี่ทุ่มดี มันถึงเวลานอนของหล่อนแล้วด้วยซ้ำ แต่ดูท่างานวันเกิดยังไม่ยอมเลิกราโดยง่าย

    หญิงสาวตัดใจยกคอกเทลแก้วเดิมดื่มจนหมดแล้วตั้งใจจะเดินไปชวนน้องสาวกลับบ้าน แต่เจ้าตัวส่ายหน้าท่าเดียว

    จะรีบกลับไปไหนพี่ชนา กำลังสนุกเลย

    พี่สาวมองมาด้วยสายตาเหมือนครูใหญ่มองเด็กไร้เดียงสากำลังทำผิดอะไรสักอย่าง หากไม่ติดว่าคอนแทกเลนส์กำลังเล่นงานหล่อนจนเคืองตาไปหมดแล้ว คุณครูเลยได้แต่ยืนกรานเสียงแข็ง

    พี่จะกลับบ้านแล้ว

    งั้นก็กลับไปก่อนเลย นภาสิริบอกเสียงมะนาวไม่มีน้ำ มือหนึ่งยกแก้วเครื่องดื่มกระดกเข้าปาก ส่วนอีกมือก็ล้วงหยิบกุญแจรถส่งให้ เดี๋ยวพี่พุทธไปส่งสิรีเอง

    หล่อนอยากจะส่ายหน้าระอา อยากบอกอยากเตือนแต่ก็จนใจ ดูท่าคงจะพูดอะไรไปก็ไม่ฟังอยู่ดีเลยได้แต่รับกุญแจรถมาถือไว้

    น้องสาวสนใจเสียที่ไหน สะบัดหน้าใส่ก่อนจะหันไปหาชายคนรักด้วยสีหน้ารื่นเริงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนเป็นพี่ได้แต่มาดมั่นหมดใจ สักวันต้องจับเข่าคุยกันซะหน่อยแล้ว

    คงเป็นเพราะแสงไฟภายในร้านอาหารกึ่งผับนั้นค่อนข้างสลัว จะมองไปทางไหนก็ไม่ชัดเอาเสียเลย พอเดินออกมาข้างนอกกลายเป็นแสงสว่างจ้าจนคนสายตาสั้นอย่างสุชนาต้องกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตา

    หล่อนอ้าปากหาวเสียอีกรอบจนน้ำตาซึมเพราะความง่วง ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาอย่างเคืองๆ นึกอยากถอดคอนแทกเลนส์ขว้างทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ แต่กลับต้องเดือดร้อนเสียเอง

    โอ๊ย หล่อนร้องอุทานกับตัวเอง ดวงตาข้างขวาพร่ามัวมองอะไรผิดเพี้ยนไปหมด เพราะคอนแทกเลนส์เลื่อนหลุดไปจากตำแหน่งเดิมเสียข้างหนึ่ง

    มือไวกว่าความคิดรีบขยี้ซ้ำเข้าที่เดิม แม้จะเบากว่าเดิมแต่สายไปเสียแล้ว วัตถุต้นเหตุหลุดออกมาจากตากระเด็นหายไปไหนแล้วยากจะรู้ได้ หญิงสาวเลยได้แต่ยืนเอามือปิดตาข้างขวาไว้ด้วยสีหน้างงๆ

    เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณ

    เสียงใครบางคนถามขึ้นก่อนที่หล่อนจะเงยหน้าไปมอง เห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนห่างออกไปไม่ถึงก้าวดี เขามองมาด้วยสายตาเป็นกังวลราวกับหล่อนพร้อมจะล้มพับได้ตลอดเวลา

    มือบางขยี้ตาอีกครั้งก่อนจะกะพริบตาปริบๆ ใส่เขา พยายามมองใบหน้าชายหนุ่มทั้งที่ดวงตาให้ภาพเบลอๆ ไปข้างหนึ่ง

    เขาตัวสูงสง่าทีเดียว แล้วไหนจะเครื่องแบบสีขาวผูกเนกไท ประดับบั้งบนหัวไหล่ และติดปีกที่อกเสื้อนี่อีกเล่า ถ้าขืนนภาสิริมาเห็นมีหวังได้กรี๊ดกร๊าดเป็นการใหญ่

    คอนแทกเลนส์หล่นหายค่ะ

    หล่อนตอบเสียงเบา แล้วนึกอยากกัดลิ้นตัวเอง ไม่น่าเผลอไปบอกเขาเลย เขาถึงได้ทำเสียงในลำคอเป็นเชิงขบขัน ไม่มีความเห็นใจให้หล่อนสักนิด

    ขอตัวนะคะ หล่อนบอกเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่เขากลับไม่ยอมหลีกทางให้

    นี่คุณจำผมไม่ได้จริงๆ หรอ

    หล่อนเห็นสีหน้าเขาเหมือนประหลาดใจเสียเต็มประดา ก่อนจะคลี่ยิ้มใส่

    อ้อ ที่จริงผมต้องบอกว่าผมเกือบจำคุณไม่ได้เหมือนกัน

    คนจำไม่ได้พยายามเพ่งมองเขาด้วยดวงตาข้างซ้ายเพียงข้างเดียว ก่อนจะร้องอุทานออกมาเสียงเบา

    อาษิต

    เจ้าของชื่อหัวเราะรับพลางเอ่ยแก้ให้

    ภาษิตครับ ไม่ต้องเรียกอา เขาว่ายิ้มๆ ดีใจนะครับที่คุณครูจำผมได้

    คุณครูยิ้มแก้เก้อใส่ ลำพังเขาสวมแค่เสื้อยืดลายๆ กับกางเกงยีนส์เก่าซีดก็ชวนมองจะแย่แล้ว เจอเครื่องแบบนักบินเข้าไปสุชนาเลยไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมาซะอย่างนั้น

    นี่กำลังจะกลับรึเปล่าครับ

    ค่ะ

    แล้วคุณจะกลับยังไง เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล อย่าบอกนะว่าลืมแว่นตาไว้ที่โรงเรียน

    หล่อนส่ายหน้าเบาๆ ก็ตั้งแต่เริ่มใส่แว่นมาตั้งแต่สมัยมัธยม ชีวิตยังเคยห่างกันเสียที่ไหน

    ลืมไว้กับน้องสาวค่ะ

    อ๋อ ผู้หญิงคนเมื่อเย็นเขาลากเสียงยาวเป็นเชิงเข้าใจ มาด้วยกันหรอครับ ไปไหนซะแล้ว

    ฉันว่าจะกลับก่อนน่ะค่ะ ถ้าจะกรุณาคุณช่วยไปตามน้องสาวฉันในร้านทีได้ไหม บอกตรงๆ ฉันไม่กล้าเดินเลย ตามองเห็นข้างเดียว รู้สึกเหมือนพื้นโลกสั่นยังไงไม่รู้

    เขาหัวเราะอีกแล้ว แต่คราวนี้ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ

    มานั่งนี่ก่อนดีไหม

    นี่ของเขาคือเก้าอี้บุนวมตัวเล็กซึ่งทางโรงแรมจัดไว้ตรงมุมใกล้ๆ กับห้องน้ำ เผื่อว่าจะนั่งรอใคร

    สุชนาปล่อยให้เขาจับมือตัวเองพาไปนั่งยังเก้าอี้ง่ายดาย ก่อนจะได้ยินเสียงเขาสั่งอีกครั้ง

    รอนี่นะครับ เดี๋ยวผมมา

     เขาพูดจบก็เดินไปเลย ไม่รอให้หล่อนตอบอะไรอีก และใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินกลับมาตัวเปล่า

    ขอโทษนะครับ ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะจำน้องสาวคุณได้ แต่หาไม่เจอเลย ไม่รู้คนไหน

    ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันโทรหาน้องเอง หล่อนตัดบทพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเหลือ

    เขามีสีหน้าลังเลเล็กน้อย มองหน้าหล่อนราวกับอยากจะแน่ใจว่าต้องการไล่เขาไปจริงๆ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับ

    งั้นผมไปก่อนนะครับ

    ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งหล่อนพูดเพียงเท่านั้นเพราะนภาสิริรับสายพอดี

    พอบอกน้องว่าสั้นๆ ว่าอะไรเป็นอะไร ก็วางสายลง อดไม่ได้ที่หันไปมองรอบกายเผื่อว่าจะพบใครคนนั้นอีกสักครั้งโดยไม่รู้ตัว

    แล้วอยู่ๆ คำถามไร้สาระก็ผุดขึ้นมาในหัวสมอง

    ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา แถมยังเป็นนักบินอย่างเขา จะสนใจคุณครูประถมบ้างไหมนะ...

    แล้วหล่อนก็ได้คำตอบทันทีที่นภาสิริเดินมาหาพร้อมกับร้องทักเสียงดังลั่น

    ตายแล้วพี่ชนา ไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาดูไม่ได้อย่างนี้ล่ะ

    พูดจบนภาสิริก็ไม่รอช้าลากพี่สาวเข้าห้องน้ำส่องกระจก ยอมแม้กระทั่งให้หล่อนถอนคอนแทกเลนส์อีกข้างออกและสวมแว่นตาแม่แก่ดังเดิมเพื่อให้เห็นสภาพตัวเองเต็มตา

    คงเพราะน้ำตาที่หล่อนหาวบ่อยๆ นั่นล่ะ ชะเอาเครื่องสำอางรอบตดวงตาเลอะออกมาเป็นวงๆ จนดูเหมือนคนไปปาร์ตี้โต้รุ่งไม่ได้นอนมาเป็นหลายคืน รึไม่ก็สาวแรกรุ่นหัดแต่งหน้าแต่กลับทำหน้าตัวเองเลอะเทอะจนแทบดูไม่ได้

    แหม เสียดายพี่ชนาไม่เห็นตอนพี่ใส่บิ๊กอายข้างเดียวน่ะ ตาโตสีน้ำข้าวข้างนึง ตาเล็กสีดำอีกข้างนึง น่าสงสารชะมัดเลย นภาสิริบอกด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ไม่ได้เห็นใจเหมือนคำที่พูด

    คนน่าสงสารได้แต่มองกระจกบานโตตรงหน้าด้วยอาการสมเพชตัวเองขึ้นมาจับใจ... นี่ใช่ไหมเหตุผลที่ทำให้เขาหัวเราะแทบจะตลอดเวลา

    ให้ตายสิ วินาทีนั้นขอมาดมั่นหมดใจ... หล่อนเกลียดผู้ชาย

    

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×