คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอน 4
พอออกจากโรงเรียนนภาสิริก็ขับรถพามาที่นี่เลย แต่ยังไม่วายพร่ำบนเป็นแม่แก่ “อย่าทำหน้าบึ้งอย่างนั้นสิพี่ชนา ทำหน้าเหมือนเกลียดคนทั้งโลกอย่างนั้นแหละ แบบนี้ใครจะกล้าเข้ามาคุยด้วยกันล่ะ” “พี่ไมได้หน้าบึ้งซะหน่อย” หล่อนว่าเสียงอ่อน ถ้าลองน้องสาวบอกว่าบึ้งก็ต้องเป็นอย่างนั้นจนได้สิน่า “ไมได้บึ้งก็หัดยิ้มเสียบ้าง นี่พี่ไปทำงานเคยแต่งหน้าบ้างรึเปล่า ทำไมถึงได้ซีดนัก” พ้นจากเรื่องหน้าบึ้งมาถึงหน้าซีด คนเป็นพี่เลยเบ้ปากใส่ “เรื่องมาก” “แหม สิรีก็ถามไปงั้นเองรู้หรอกว่าพี่ชนาไม่ค่อยชอบแต่งหน้า แต่คืนนี้ไม่ได้นะ แต่งซะหน่อย” คนฟังอมยิ้มขัน น้องสาวหล่อนพูดไม่ผิดนักหรอก เครื่องสำอางกี่ชิ้นๆ ก็เป็นอันว่าโยนทิ้งเพราะหมดอายุ ไม่ค่อยจะพร่องเหมือนสาวคนอื่น ส่วนมากแค่ผัดแป้งพอให้หน้านวลเท่านั้นก็ออกจากบ้านได้ทันที ผิดกับน้องสาวคนละทิศละทาง ทั้งที่รู้กันอยู่ว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยเหมือนกัน แต่นภาสิริก็ยังอดพูดไม่ได้ “เดี๋ยวถึงแล้วแวะเข้าห้องน้ำก่อน สิรีจะแต่งหน้าให้” “พี่ไม่ได้เอาเครื่องสำอางมา” หล่อนว่าเสียงเบื่อหน่าย “อีกอย่างนะสิรี กับอีแค่ไม่ได้แต่งหน้าไม่ได้ผิดกฎหมายข้อไหน เขาคงไม่ไล่เรากลับหรอกน่า” “ก็ไม่ได้ว่าไล่กลับ แต่มันไม่สวยเข้าใจไหม” “ไม่สวยแล้วทำไม ทำอย่างกับพี่จะ...” หล่อนพูดไม่จบก็เจอประกาศิตน้องสาวเข้าเต็มหู “รู้แล้วว่าไม่อยากสวย แต่คืนนี้สิรีอยากให้พี่สวยสักคืน” “ทำไม” ไม่มีคำตอบจากนภาสิริ สองตาเธอจดจ้องกับถนนตรงหน้า เพ่งสมาธิไปกับการเลี้ยวรถเข้าที่จอดราวกับเพิ่งหัดขับรถใหม่ๆ คนถามเลยคร้านจะซักไซ้ แล้วสุชนาก็ต้องหน้าบึ้งเข้าจริงๆ เพราะถูกน้องสาวลากตัวเข้าไปแต่งหน้าในห้องน้ำ หล่อนจำต้องให้ความร่วมมือทั้งที่ไม่ชอบเลยสักนิดที่ต้องถอดแว่นตา แล้วยืนเฉยๆ ให้น้องสาวจัดการตามใจชอบอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ทั้งที่หล่อนย้ำตั้งไม่กี่รอบว่าให้พอได้แล้ว “สวยแล้ว พอเถอะ” “อีกนิดเดียวน่าพี่ชนา รับรองสวยจนไม่มีใครจำได้” หล่อนขี้เกียจจะเถียงว่าไม่มีใครจำได้แล้วจะเรียกว่าสวยได้ยังไง แต่พอช่างแต่งหน้ากิตติมศักดิ์เก็บแปรงปัดแก้มเข้ากระเป๋าภาพในกระจกก็เปลี่ยนไปมาก หล่อนหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม พอเงยหน้าขึ้นมองที่กระจกบานใหญ่ในห้องน้ำคุณครูสาวแว่นก็ถึงกับอ้าปากค้าง ภาพตรงหน้าราวกับเป็นคนละคน หล่อนพอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าไก่งานเพราะคนงานเพราะแต่ง แต่ไม่เคยคิดว่าจะแตกต่างกันมากมายถึงเพียงนี้ ใครกันนะที่สบตาหล่อนในเวลานี้ ภาพในกระจกที่สะท้อนออกมากกลับกลายเป็นผู้หญิงคิ้วเข้ม ตาคม ขนตายาวงอน ริมฝีปากสีสดได้รูปดูจะเชิญชวนอยู่เป็นเนืองนิตย์ แล้วใบหน้าที่เคยคิดว่าธรรมดาสามัญแบบ ‘พอไปวัดได้’ หายไปไหนแล้ว เหลือแต่ผู้หญิงที่หล่อนไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย “สวยใช่ไหมล่ะ” หล่อนเหลือบตามองน้องสาวเล็กน้อยก่อนจะอมยิ้มอย่างขันตัวเอง ปากก็ว่าตามใจคิด “ก็แปลกๆ ดี” “แปลกที่ไหนสวยออก” นภาสิริเถียงขาดใจ “แล้วก็ถอดแว่นออก พี่ชนาใส่แว่นแล้วแก่” คราวนี้เจ้าของแว่นมองมาด้วยหางตา พลางค้าน “อะไรกรอบแว่นนี่เธอเลือกให้พี่เองเลยนะ” กรอบแว่นตาทรงรีขอบสีเงินมีลายนูนซึ่งนภาสิริยืนยันเป็นนักหนาว่านี่ดูแก่น้อยที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายคนเลือกก็ยังไม่พอใจอยู่ดี “ยังไงก็ไม่สวยน่า ถอดออก สิริแวะซื้อคอนแทคเลนส์มาให้แล้ว” สิ้นเสียงบอกนภาสิริก็ควักกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวออกมาจากกระเป๋าสะพายใบเขื่อง ยัดใส่มือพี่สาว “ไม่ใส่ไมได้หรอ พี่ไม่ชอบเลยมันเจ็บตา” หล่อนต่อรองเสียงอ่อย ยิ่งเห็นกล่องผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ทั้งเปลี่ยนสีตาและขยายม่านตาเข้าด้วยแล้วก็ยิ่งขยาดไปกันใหญ่ “ไม่เจ็บหรอก พี่ชนาคิดมากไปเลย ยี่ห้อนี้ของดีเลนส์นุ่มรับรองได้ สิรีซื้อมาตั้งแพง” “แต่...” “เอางี้ ลองใส่ก่อน ถ้าเจ็บแล้วค่อยถอด” สุดท้ายสุชนาก็ไม่มีทางปฏิเสธอีกตามเคยต้องยอมทำตามที่น้องสาวว่ามาทุกประการ หลังจากทุลักทะเลอยู่หลายนาที คุณครูสุชนาก็กลายเป็นสาวบิ๊กอายตาโตเหมือนตุ๊กตา แถมยังมีนัยตาสีน้ำข้าวมองอย่างไรก็ไม่คุ้นเคยเสียจนไม่คิดว่าภาพที่สะท้อนกระจกตรงหน้าจะเป็นตนเอง สุดท้ายหล่อนก็เดินตามน้องสาวออกจากห้องน้ำไปถึงงานวันเกิดเสียที แต่นภาสิริยังหวาดสายตาตรวจความเรียบร้อยให้พี่สาวเสียตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก่อนจะเดินเข้างาน ดีเท่าไหร่แล้วที่นภาสิริไม่จับพี่สาวเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำผมให้ด้วย พุทธมารออยู่พักใหญ่แล้ว เขาเดินตรงมาหาและมองหน้าสุชนาอยู่หนึ่งนาทีเต็มๆ ก่อนจะร้องถามเสียงดังลั่น “อ้าวพี่ชนานี่เอง เกือบจำไม่ได้แน่ะ” เจ้าของชื่อยิ้มรับเล็กน้อย นึกประหม่าที่เสียงของพุทธเรียกความสนใจจากใครหลายคนหันมาเป็นตาเดียวกัน พุทธกับหล่อนเกิดปีเดียวกัน เขาแก่เดือนกว่าหล่อนเสียด้วยซ้ำ แต่พุทธคงจะติดปากเรียกพี่ชนาตามนภาสิริจนเคยชินเสียแล้ว หล่อนเลยปล่อยเลยตามเลย ใช้ความเป็นพี่สาวให้เป็นประโยชน์ไปเสีย “ตอนแรกก็ว่าใครมากับสิรีเสียอีก” เขาบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะรีบแนะนำ “เชิญครับเชิญ อ้อ นี่วรุณเพื่อนผมเอง วันนี้มันเพิ่งจะขึ้นเลขสามต้องฉลองกันหน่อย” เจ้าของวันเกิดหันไปมองเพื่อนด้วยสายตาเหมือนอยากจะปรามๆ กันไว้ แต่ไม่กล้าพูดออกมา เขาพยักหน้าให้หล่อนเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มชวนมองที่มุมปาก เขาสูงกว่าเธอเล็กน้อย หน้าตาดีทีเดียวแต่พอสบตาหญิงสาวแล้วทำท่าจะเขินเสียเอง “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบล่วงหน้าเลยไม่มีของขวัญมาให้” หล่อนบอกเขาอย่างเกรงใจ อันที่จริงน้องสาวบอกแค่ว่าจะพามาเปิดหูเปิดตาเท่านั้น เลยไม่ได้เตรียมตัวอะไร “ไม่เป็นไรหรอกครับ คนกันเองทั้งนั้น” เขาว่าด้วยน้ำเสียงสุภาพ สบตาเธออย่างเปิดเผย น่าแปลกที่ในแววตาคู่นั้นทอประกายอย่างประหลาดจนทำให้หล่อนเผลอส่งยิ้มกว้างให้เขาเป็นการตอบแทน “ไม่เห็นสิรีเคยเล่าว่ามีพี่สาวสวยขนาดนี้” คนสวยหันไปมองน้องสาวด้วยความแปลกใจ แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะร่า “ถ้าสวยก็รีบๆ จีบซะสิ ไม่รู้หรอว่าผู้หญิงสวยไม่ชอบรอนานนะ” “สิรี” หล่อนดุน้องเสียงไม่จริงจังนัก แต่นึกเคืองจับใจ คนรอบข้างหัวเราะกันร่วน วรุณเหมือนจะเข้าใจประโยคนี้มากกว่าใครเพื่อน เขารีบเสนอตัว “งั้นคนสวยรอนี่นะครับ เดี๋ยวผมบริการเอง” แล้วปาร์ตี้งานวันเกิดก็เริ่มต้นขึ้นตรงนั้นกับเสียงเพลงดังลั่นจนคุยกันแทบไม่รู้เรื่อง แก้วเครื่องดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าถูกเสิร์ฟอย่างไม่มีบกพร่อง จะมีก็แต่คุณครูสุชนาคนเดียวที่ถือแก้วคอกเทลสำหรับผู้หญิงแก้วแรกและแก้วเดียวไม่ยอมปล่อยได้เป็นชั่วโมง วรุณเดินมาคุยกับหล่อนสี่หน ถามไถ่เรืองทั่วๆ ไป แล้วก็ถูกเพื่อนฝูงดึงไปทางอื่นเสียทุกครั้งไป ส่วนนภาสิริน่ะหรือ ตอนแรกทำเหมือนตั้งท่าจะนั่งเฝ้าพี่สาว เหมือนหน่วยสังเกตดูผลงานตัวเองว่าจะมีใครเข้ามาขายขนมจีบบ้างไหม แต่พอวรุณเดินมาเป็นครั้งที่สาม นภาสิริก็ฉีกยิ้มกว้างใส่พร้อมกับพึมพำขอตัว สุชนาแอบยกมือปิดปากหาวหวอดเสียตั้งแต่ยังไม่ทันสี่ทุ่มดี มันถึงเวลานอนของหล่อนแล้วด้วยซ้ำ แต่ดูท่างานวันเกิดยังไม่ยอมเลิกราโดยง่าย หญิงสาวตัดใจยกคอกเทลแก้วเดิมดื่มจนหมดแล้วตั้งใจจะเดินไปชวนน้องสาวกลับบ้าน แต่เจ้าตัวส่ายหน้าท่าเดียว “จะรีบกลับไปไหนพี่ชนา กำลังสนุกเลย” พี่สาวมองมาด้วยสายตาเหมือนครูใหญ่มองเด็กไร้เดียงสากำลังทำผิดอะไรสักอย่าง หากไม่ติดว่าคอนแทกเลนส์กำลังเล่นงานหล่อนจนเคืองตาไปหมดแล้ว คุณครูเลยได้แต่ยืนกรานเสียงแข็ง “พี่จะกลับบ้านแล้ว” “งั้นก็กลับไปก่อนเลย” นภาสิริบอกเสียงมะนาวไม่มีน้ำ มือหนึ่งยกแก้วเครื่องดื่มกระดกเข้าปาก ส่วนอีกมือก็ล้วงหยิบกุญแจรถส่งให้ “เดี๋ยวพี่พุทธไปส่งสิรีเอง” หล่อนอยากจะส่ายหน้าระอา อยากบอกอยากเตือนแต่ก็จนใจ ดูท่าคงจะพูดอะไรไปก็ไม่ฟังอยู่ดีเลยได้แต่รับกุญแจรถมาถือไว้ น้องสาวสนใจเสียที่ไหน สะบัดหน้าใส่ก่อนจะหันไปหาชายคนรักด้วยสีหน้ารื่นเริงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนเป็นพี่ได้แต่มาดมั่นหมดใจ สักวันต้องจับเข่าคุยกันซะหน่อยแล้ว คงเป็นเพราะแสงไฟภายในร้านอาหารกึ่งผับนั้นค่อนข้างสลัว จะมองไปทางไหนก็ไม่ชัดเอาเสียเลย พอเดินออกมาข้างนอกกลายเป็นแสงสว่างจ้าจนคนสายตาสั้นอย่างสุชนาต้องกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตา หล่อนอ้าปากหาวเสียอีกรอบจนน้ำตาซึมเพราะความง่วง ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาอย่างเคืองๆ นึกอยากถอดคอนแทกเลนส์ขว้างทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ แต่กลับต้องเดือดร้อนเสียเอง “โอ๊ย” หล่อนร้องอุทานกับตัวเอง ดวงตาข้างขวาพร่ามัวมองอะไรผิดเพี้ยนไปหมด เพราะคอนแทกเลนส์เลื่อนหลุดไปจากตำแหน่งเดิมเสียข้างหนึ่ง มือไวกว่าความคิดรีบขยี้ซ้ำเข้าที่เดิม แม้จะเบากว่าเดิมแต่สายไปเสียแล้ว วัตถุต้นเหตุหลุดออกมาจากตากระเด็นหายไปไหนแล้วยากจะรู้ได้ หญิงสาวเลยได้แต่ยืนเอามือปิดตาข้างขวาไว้ด้วยสีหน้างงๆ “เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณ” เสียงใครบางคนถามขึ้นก่อนที่หล่อนจะเงยหน้าไปมอง เห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนห่างออกไปไม่ถึงก้าวดี เขามองมาด้วยสายตาเป็นกังวลราวกับหล่อนพร้อมจะล้มพับได้ตลอดเวลา มือบางขยี้ตาอีกครั้งก่อนจะกะพริบตาปริบๆ ใส่เขา พยายามมองใบหน้าชายหนุ่มทั้งที่ดวงตาให้ภาพเบลอๆ ไปข้างหนึ่ง เขาตัวสูงสง่าทีเดียว แล้วไหนจะเครื่องแบบสีขาวผูกเนกไท ประดับบั้งบนหัวไหล่ และติดปีกที่อกเสื้อนี่อีกเล่า ถ้าขืนนภาสิริมาเห็นมีหวังได้กรี๊ดกร๊าดเป็นการใหญ่ “คอนแทกเลนส์หล่นหายค่ะ” หล่อนตอบเสียงเบา แล้วนึกอยากกัดลิ้นตัวเอง ไม่น่าเผลอไปบอกเขาเลย เขาถึงได้ทำเสียงในลำคอเป็นเชิงขบขัน ไม่มีความเห็นใจให้หล่อนสักนิด “ขอตัวนะคะ” หล่อนบอกเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่เขากลับไม่ยอมหลีกทางให้ “นี่คุณจำผมไม่ได้จริงๆ หรอ” หล่อนเห็นสีหน้าเขาเหมือนประหลาดใจเสียเต็มประดา ก่อนจะคลี่ยิ้มใส่ “อ้อ ที่จริงผมต้องบอกว่าผมเกือบจำคุณไม่ได้เหมือนกัน” คนจำไม่ได้พยายามเพ่งมองเขาด้วยดวงตาข้างซ้ายเพียงข้างเดียว ก่อนจะร้องอุทานออกมาเสียงเบา “อาษิต” เจ้าของชื่อหัวเราะรับพลางเอ่ยแก้ให้ “ภาษิตครับ ไม่ต้องเรียกอา” เขาว่ายิ้มๆ “ดีใจนะครับที่คุณครูจำผมได้” ‘คุณครู’ ยิ้มแก้เก้อใส่ ลำพังเขาสวมแค่เสื้อยืดลายๆ กับกางเกงยีนส์เก่าซีดก็ชวนมองจะแย่แล้ว เจอเครื่องแบบนักบินเข้าไปสุชนาเลยไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมาซะอย่างนั้น “นี่กำลังจะกลับรึเปล่าครับ” “ค่ะ” “แล้วคุณจะกลับยังไง” เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “อย่าบอกนะว่าลืมแว่นตาไว้ที่โรงเรียน” หล่อนส่ายหน้าเบาๆ ก็ตั้งแต่เริ่มใส่แว่นมาตั้งแต่สมัยมัธยม ชีวิตยังเคยห่างกันเสียที่ไหน “ลืมไว้กับน้องสาวค่ะ” “อ๋อ ผู้หญิงคนเมื่อเย็น” เขาลากเสียงยาวเป็นเชิงเข้าใจ “มาด้วยกันหรอครับ ไปไหนซะแล้ว” “ฉันว่าจะกลับก่อนน่ะค่ะ ถ้าจะกรุณาคุณช่วยไปตามน้องสาวฉันในร้านทีได้ไหม บอกตรงๆ ฉันไม่กล้าเดินเลย ตามองเห็นข้างเดียว รู้สึกเหมือนพื้นโลกสั่นยังไงไม่รู้” เขาหัวเราะอีกแล้ว แต่คราวนี้ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ “มานั่งนี่ก่อนดีไหม” ‘นี่’ ของเขาคือเก้าอี้บุนวมตัวเล็กซึ่งทางโรงแรมจัดไว้ตรงมุมใกล้ๆ กับห้องน้ำ เผื่อว่าจะนั่งรอใคร สุชนาปล่อยให้เขาจับมือตัวเองพาไปนั่งยังเก้าอี้ง่ายดาย ก่อนจะได้ยินเสียงเขาสั่งอีกครั้ง “รอนี่นะครับ เดี๋ยวผมมา” เขาพูดจบก็เดินไปเลย ไม่รอให้หล่อนตอบอะไรอีก และใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินกลับมาตัวเปล่า “ขอโทษนะครับ ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะจำน้องสาวคุณได้ แต่หาไม่เจอเลย ไม่รู้คนไหน” “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันโทรหาน้องเอง” หล่อนตัดบทพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด “ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเหลือ” เขามีสีหน้าลังเลเล็กน้อย มองหน้าหล่อนราวกับอยากจะแน่ใจว่าต้องการไล่เขาไปจริงๆ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับ “งั้นผมไปก่อนนะครับ” “ค่ะ ขอบคุณอีกครั้ง” หล่อนพูดเพียงเท่านั้นเพราะนภาสิริรับสายพอดี พอบอกน้องว่าสั้นๆ ว่าอะไรเป็นอะไร ก็วางสายลง อดไม่ได้ที่หันไปมองรอบกายเผื่อว่าจะพบใครคนนั้นอีกสักครั้งโดยไม่รู้ตัว แล้วอยู่ๆ คำถามไร้สาระก็ผุดขึ้นมาในหัวสมอง ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา แถมยังเป็นนักบินอย่างเขา จะสนใจคุณครูประถมบ้างไหมนะ... แล้วหล่อนก็ได้คำตอบทันทีที่นภาสิริเดินมาหาพร้อมกับร้องทักเสียงดังลั่น “ตายแล้วพี่ชนา ไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาดูไม่ได้อย่างนี้ล่ะ” พูดจบนภาสิริก็ไม่รอช้าลากพี่สาวเข้าห้องน้ำส่องกระจก ยอมแม้กระทั่งให้หล่อนถอนคอนแทกเลนส์อีกข้างออกและสวมแว่นตาแม่แก่ดังเดิมเพื่อให้เห็นสภาพตัวเองเต็มตา คงเพราะน้ำตาที่หล่อนหาวบ่อยๆ นั่นล่ะ ชะเอาเครื่องสำอางรอบตดวงตาเลอะออกมาเป็นวงๆ จนดูเหมือนคนไปปาร์ตี้โต้รุ่งไม่ได้นอนมาเป็นหลายคืน รึไม่ก็สาวแรกรุ่นหัดแต่งหน้าแต่กลับทำหน้าตัวเองเลอะเทอะจนแทบดูไม่ได้ “แหม เสียดายพี่ชนาไม่เห็นตอนพี่ใส่บิ๊กอายข้างเดียวน่ะ ตาโตสีน้ำข้าวข้างนึง ตาเล็กสีดำอีกข้างนึง น่าสงสารชะมัดเลย” นภาสิริบอกด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ไม่ได้เห็นใจเหมือนคำที่พูด คนน่าสงสารได้แต่มองกระจกบานโตตรงหน้าด้วยอาการสมเพชตัวเองขึ้นมาจับใจ... นี่ใช่ไหมเหตุผลที่ทำให้เขาหัวเราะแทบจะตลอดเวลา ให้ตายสิ วินาทีนั้นขอมาดมั่นหมดใจ... หล่อนเกลียดผู้ชาย
ความคิดเห็น