คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอน 3
“เหลวไหลใหญ่แล้วนะสิรี โตป่านนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็ก ไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย มีอย่างที่ไหนไปเที่ยวเมาหัวราน้ำกลับมาจนไปทำงานไม่ไหว” เสียงคุณทิวาบ่นตั้งแต่เช้ามืดทันทีที่ทราบความจากเด็กรับใช้ในบ้าน ปกติป้าทิวารักนภาสิริอย่างกับลูกในไส้ คงด้วยนางไม่ได้แต่งงาน พอมีหลานสาวก็เลยรักเหมือนลูก แต่ยังไม่แคล้วหลานสาวคนเล็กยังบ่นเคืองเสียได้ “ป้าทิวาก็พูดเกินไป สิรีไปสนุกกับเพื่อนๆ นิดหน่อยเอง พี่พุทธก็ไปด้วยไม่เห็นจะเป็นไร” หญิงสาวเถียงทั้งที่ยังเมาค้าง เดินแทบไม่ตรงทาง คนบ่นถือกาแฟดำขมปี๋หอมกรุ่นมาส่งให้ถึงบนที่นอน หลานสาวส่งยิ้มประจบแต่ยังได้สายตาเคืองขุ่นตอบกลับมา “ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะสิรี ถึงยังไงตาพุทธก็เป็นผู้ชาย ถึงจะเป็นคนรักกันก็เถอะ ถ้าเกิดอะไรไม่ดีไม่งามมันจะไม่เหมาะ” “โหย สิรีรู้หรอกค่ะว่าอะไรเป็นอะไร” หล่อนว่าเสียงเบา ไม่ได้ขยายความหรอกว่า ‘รู้’ อะไรสักแค่ไหนกัน “ป้าไม่ต้องห่วงสิรีหรอกค่ะ ห่วงหลานสาวคนโปรดดีกว่า” “เอาอีกแล้วนะ ทำไมถึงคิดว่าป้ารักหลานไม่เท่ากันอยู่เรื่อยเลย” ทิวาดุอย่างไม่จริงจังนัก “จะชนาหรือสิรี ป้าก็รักเท่าๆ กันนั่นล่ะ ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชังหรอก” “ก็นั่นล่ะค่ะ พี่ชนาน่าเป็นห่วงกว่าสิรีเยอะอีกไม่เท่าไหร่ก็จะสามสิบอยู่แล้ว ยังหาแฟนไม่ได้สักคน มิน่าคุณยายน้อยถึงได้กังวลนัก” นภาสิริพูดคล่องปาก เหมือนได้ระบายสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ แต่พอเห็นหน้าญาติผู้ใหญ่แล้วก็ถึงกับหน้าสลด “สิรีขอโทษค่ะ สิรีไม่ได้ตั้งใจจะก้าวร้าวป้าทิวานะคะ” “ป้ารู้” นางตอบกลับมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจ “ป้าเองก็อยากให้ชนาแต่งงาน ที่จริง แค่ชนามีคนรักสักคนป้าก็พอใจแล้ว” “แหม พูดเหมือนคุณยายน้อยเลย” “ความสุขของคนเราก็มีเท่านี้แหละสิรี พอแก่ตัวแล้วก็อยากเห็นลูกหลานมีความสุข มีครอบครัวที่ดี” ทิวาพูดอย่างใจเย็น สองตามองหน้าหลานสาวคนเล็ก ใจก็นึกวาภาพถึงอนาคตอยากเห็นรอยยิ้มของหลาน อยากอุ้มเจ้าตัวน้อยเร็วๆ เหมือนกับที่เคยอุ้มชูหลานสาวมา ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า... นภาสิริวางยกกาแฟดื่มรวดเดียวเสียหมดแก้ว พอวางแก้วลงบนหัวเตียงก็รีบเข้าไปกอดทิวาอย่างเอาใจ “งั้นเราต้องช่วยกันนะคะ ช่วยให้พี่ชนามีแฟน สิรีจะได้แต่งงานกับพี่พุทธได้ซะที” คนเป็นป้าเหลียวมองบุตรสาวที่ยังกอดประจบอยู่ไม่ห่างด้วยสายตาประเมิน ได้แต่ร้องถามด้วยน้ำเสียงงงๆ “ช่วยอะไร ป้าไม่ชอบหรอกนะไอ้พวกเกมจับคู่อะไรทั้งหลาย คนเราถ้ามันมีคู่สักวันก็ต้องมีจนได้ล่ะน่า เราไปเร่งรัดอะไรไม่ได้หรอก” หลานสาวเบ้ปากเล็กน้อยกับความคิดแสนจะโบราณของคนยุคก่อน ลำพังด้วยวัยของทิวานั้นไม่ได้มากมายอะไรนักหรอก แต่ทิศนคตินี่สิ ราวกับหลุดมาจากสมัยรัชกาลที่ห้าก็ไม่ปาน “แหม สิรีก็ไม่ได้จะเอาพี่ชนาไปลงประกาศหาคู่ที่ไหนซะหน่อย แค่อยากพาพี่ชนาไปเปิดหูเปิดตารู้จักเพื่อนใหม่บ้าง ไม่แน่นะคะ อาจจะเจอคนที่ใช่สำหรับพี่ชนาก็ได้ ของแบบนี้ใครจะไปรู้” “ก็ดีเหมือนกันนะ” นางว่าอย่างจนใจ “งั้นป้าทิวาคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ ถ้าคืนนี้สิรีจะกลับดึกอีกคืน” เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียบดังไปตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน คุณครูประจำห้องประถมห้าทับสองยังไม่ลุกไปไหน ในมือถือปากกาแดงขีดๆ เขียนๆ ลงกระดาษข้อสอบแผ่นแล้วแผ่นเล่า สายตาก็เหลือบมองนาฬิกาอยู่เป็นระยะ ไม่รู้ว่าหล่อนกลัวอะไรมากกว่ากันระหว่างรอให้น้องสาวมารับอย่างที่นัดกันไว้ หรือลุ้นให้ตรวจข้อสอบให้เสร็จในค่ำนี้ไปเสีย “น้องชนาช่วยพี่หน่อยได้ไหม” เจ้าของเสียงโผล่หน้ามาหาด้วยรอยยิ้มและขนมถ้วยอีกหนึ่งกล่อง ไม่ต้องรอให้ร้องถามว่าช่วยอะไร เจ้าตัวก็เดินตรงมาวางกล่องขนมวางบนกระดาษข้อสอบของนักเรียนนั่นล่ะ “พี่ซื้อขนมมาฝาก” “ขอบคุณค่ะพี่สุ” หล่อนตอบสั้นๆ เพราะรู้ดีว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี พี่สุหรือสุวิมลเป็นครูประจำชั้นอนุบาลสาม อายุแก่กว่าหล่อนเพียงปีเศษ แต่เจ้าตัวยืนกรานจะเรียกแทนตัวเองว่าพี่สุทุกครั้งไป สุชนาเลยปล่อยตามน้ำ “แม่พี่ไม่สบาย โทรมาตั้งแต่เที่ยงแล้ว พี่ต้องรีบกลับ น้องชนาช่วยเข้าเวรแทนพี่หน่อยได้ไหม” เข้าเวรคือกิจกรรมหนึ่งที่ครูทุกคนต้องผลัดกันทำ มีทั้งเวรเช้า เวรเย็น ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าตรวจดูความเรียบร้อยของเด็กๆ ทั้งช่วงก่อนเข้าเรียน พักกลางวัน และช่วงเลิกเรียน แต่หนักสุดเห็นจะหนีไม่พ้นช่วงเย็นเพราะต้องดูจนแน่ใจว่าไม่มีเด็กคนไหนตกหล่นอยู่ที่โรงเรียนแล้วนั่นล่ะถึงจะสิ้นสุดภาระหน้าที “พี่รู้ว่าน้องชนาเพิ่งเข้าเวรเย็นไปเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่ขอร้องล่ะนะ พี่หาคนแทนไม่ได้เลย แล้วพี่ก็มีเรื่องด่วนจริงๆ ช่วยพี่สุหน่อยเถอะนะ” “แต่ชนานัดน้องสาวไว้ จะไปธุระกัน” หล่อนตอบเสียงอ่อย เพิ่งรู้ซึ้งว่าการมีนัดเสียบ้างนี่ดีขนาดไหน ที่จริงหล่อนก็ไม่ได้รังเกียจอะไรที่จะช่วยเหลือสุวิมลหรอก แต่จะติดตรงที่สุวิมลมักจะมีธุระไม่คาดฝันโผล่มาขอความช่วยเหลือเสมอนี่สิ แล้วไหนจะข้อสอบอีกกองโตที่หล่อนยังตรวจไม่เสร็จนี่อีก ใครจะรับผิดชอบ “โธ่น้องชนา อย่าปฏิเสธเลยนะ พี่ไม่รู้จะพึ่งใครแล้วจริงๆ” สุวิมลเสียงเริ่มสั่น แทบจะเข้ามาเกาะแขนข้อร้องเสียด้วยซ้ำ “จะให้พี่ชดเชยยังไงก็ได้นะน้องชนา พี่เป็นห่วงแม่เหลือเกิน” สุชนานิ่งไปเล็กน้อย สุดท้ายหล่อนก็ต้องพยักหน้ารับเนือยๆ พยายามมองโลกในแง่ดีว่าอย่างน้อยถ้านภาสิริมารับหล่อนก็มีเหตุผลมากพอที่จะไม่ไป ‘หาคู่’ ละนะ โรงเรียนเลิกร่วมสองชั่วโมงแล้ว นักเรียนส่วนมากทยอยเดินทางกลับบ้านกันไปหมด มีทั้งผู้ปกครองมารับและกลับเอง ส่วนมากเด็กโตจะเดินกลับบ้านกันไปเองเป็นกลุ่มๆ ถ้าบ้านไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าใดนัก สุชนาเดินตรวจดูความเรียบร้อยเสียอีกรอบตอนใกล้ห้าโมงเย็น ทั้งโรงอาหาร ห้องน้ำชายหญิงของนักเรียน จนแน่ใจว่าไม่มีเด็กคนใดยังไม่กลับบ้านก็ค่อยโล่งใจ อย่างน้อยเย็นนี้ก็ไม่เลวนักหรอก นอกจากนภาสิริจะไม่มาแล้วหล่อนยังพอมีเวลาได้กลับบ้านเร็วบ้าง น่าจะพอขนข้อสอบกลับไปตรวจต่อที่บ้านได้ แต่ที่สนามเด็กเล่นกลับไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่คิด ม้าหมุนทำจากเหล็กกล้าทาสีแสบสันมีผู้ชายตัวโตนั่งหันหลังให้อยู่ หน้าตาท่าทางเขาก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคนสติไม่ดีข้างๆ โรงเรียนนักหรอก หญิงสาวเลยตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหา “คุณคะ ตรงนี้ห้ามผู้ใหญ่นั่งนะคะ” เธอเอ่ยขึ้นก่อน เขาสวมเสื้อยืดคอวีสีขาวพิมพ์ลายธงนานาชาติกับกางเกงยีนส์สีซีดเก่า ในมือเขาถือโทรศัพท์มือถือสีดำรุ่นเครื่องเล็กอยู่ “อ้าวหรอครับ ขอโทษที” เขาบอกพลางลุกขึ้นยืนและทำหน้าเหวอใส่ หล่อนเลยได้เห็นใบหน้าเขาเต็มตา หล่อนสบตากับดวงตาที่มีขนตางอนเป็นแผง ดวงตารีเรียวนับตาดำขลับจ้องตอบกลับมา จนแม้แต่ผู้หญิงที่ไม่ค่อยสนใจการแต่งตัวเท่าใดนักอย่างสุชนาก็ยังอดอิจฉาไมได้ ไม่ใช่แค่ดวงตาหรอกที่ชวนมองจนไม่อยากละสายตาหนีไปไหน ทั้งคิ้วคาง ริมฝีปาก โครงหน้าของเขาคงต้องขอยืมคำที่นภาสิริชอบพูดบ่อยๆ ว่า หล่อนจนชวนตะลึงนั่นล่ะ ถึงจะเหมาะสม “มารอใครอยู่รึเปล่าคะ” หล่อนชวนคุยก่อน ไม่สิ ก็แค่ถามตามที่ควรจะเป็น เขาจะมารอใครได้เล่าในเมื่อทั้งโรงเรียนเหลือแค่หล่อนคนเดียว กับพี่ยามหน้าป้อมนั่งงีบอยู่อีกคนเท่านั้น “เด็กชายเทพไทครับ ปอห้าทับสอง” เขาพูดเหมือนท่อง แต่สองตายังสบตาหล่อนนิ่งงัน หญิงสาวหลบตาเขา เสมองไปรอบกายประหนึ่งสำรวจว่ายังมีเด็กนักเรียนหลงเหลืออยู่ตรงส่วนไหนของโรงเรียนได้อีกรึเปล่า “เอ๊ะ คลาดกันรึเปล่าคะ เทพไทน่าจะกลับไปนานแล้ว ดิฉันเป็นครูประจำชั้นห้องห้าทับสองเองค่ะ” “อ้าว คุณครูของเทพไทนี่เอง” เขาร้องเสียงตื่นเต้น แถมยังส่งยิ้มเก๋แถมให้อีก “เขาเล่าเรื่องของคุณไว้เยอะเลยครับ จนผมฟังแล้วยังอยากเจอเลย ไม่คิดว่ามาวันนี้ก็ได้พบเลย” “หวังว่าจะเป็นเรื่องดีนะคะ” หล่อนบอกยิ้มๆ เด็กนักเรียนส่วนมากจะเล่าให้ผู้ปกครองฟังเกี่ยวกับครูนั้นมักจะเอนไปได้แค่สองทางคือดีมากกับแย่มาก คงเพราะโลกของเด็กยังมีแค่สีขาวกับสีดำ ไม่มีอะไรที่อยู่ตรงกลาง คุณครูของเทพไทเลยได้แต่ยิ้มเก้อๆ “ดิฉันเพิ่งเดินดูรอบๆ เทพไทน่าจะกลับไปแล้วนะคะ ที่นี่ไม่มีใครเลยนอกจาก...” หล่อนพูดไม่ทันจบเขาก็ต่อให้ “คุณกับผม” เธอหันไปสบตาเขาได้เพียงสองวินาทีแล้วก็ต้องหลบตาไปมองต้นไม้ใบหญ้าแทน ก่อนที่จะทำตัวเองหน้าแดงต่อหน้าผู้ปกครองนักเรียน “รึว่าอาจจะอยู่ชั้นบน ดิฉันยังไม่ได้เดินไปดูเลย” “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่รีบ” เธอมองหน้าเขางงๆ มันหมายความว่ายังไงกัน ก็ในเมื่อเขามารับลูกชายกลับบ้านช้าถึงสองชั่วโมงแต่ปากยังบอกว่าไม่รีบ เขาคงสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของคุณครูสาวเลยรีบออกปาก “ผมโทรหาเทพไทแล้วครับ เขาแวะไปยืมสมุดการบ้านของเมื่อวานที่บ้านเพื่อนครับ อยู่ใกล้ๆ โรงเรียนนี่เอง เดี๋ยวคงกลับมาแล้วล่ะ ผมเลยนั่งรอที่นี่ ไม่ทราบจริงๆ ว่าห้ามผู้ใหญ่นั่งด้วย” “อ้อ ดิฉันลืมไปเลยว่าเมื่อวานเทพไทขาดเรียนไปวัน” “ที่จริงผมน่าจะปล่อยให้คุณขึ้นไปเดินหาเทพไทที่ชั้นสองนะ ไม่น่ารีบบอกคุณเลย” หล่อนมองหน้าเขาด้วยสีหน้าประหนึ่งมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่กลางหน้าผาก “อ้าว คุณจะได้พาผมเดินชมโรงเรียนไงครับ” เขาพูดไปหัวเราะไป “จะว่าไปโรงเรียนตอนไม่มีคนนี่ก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ วังเวงพิกล” “คุณไม่ชินก็อย่างนี้ล่ะค่ะ นี่เป็นเขตโรงเรียนจะมีอะไรน่ากลัวได้ยังไง” หล่อนบอกเสียงเบา พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่คิดว่าพ่อของนักเรียนกำลังขายขนมจีบใส่ “เก่งจัง” เขาชมเสียงเบาพอกัน “น่าเสียดายแถวนี้ไม่มีกาแฟขาย ไม่งั้นผมคงต้องขอเลี้ยงคุณสักแก้วแล้ว” หญิงสาวตวัดสายตามองเขา ถึงเขาจะสูงกว่าเธอร่วมฝ่ามือและเป็นผู้ปกครองเด็กนักเรียน แต่เธอคงยอมให้เขาหยามศักดิ์ศรีความเป็นครูไม่ได้เป็นอันขาด เขาพูดจาล้อเล่นด้วย และเริ่มลามปามไปถึงเลี้ยงกาแฟ ทั้งที่เขามารับลูกชายเพื่อกลับไปหาภรรยาตัวเอง มันไม่เกินไปหน่อยรึไง “ดิฉันว่าคุณไปรอด้านหน้าดีไหมคะ ตรงป้อมยาม เทพไทจะได้ไม่ต้องเดินกลับเข้ามาอีก เสียเวลาเปล่าๆ” “ผมบอกแล้วว่าผมไม่รีบ” “แต่คุณมารับแกช้ามากนะคะ” “ผมขอโทษ” เขาบอกทันที “ที่พลอยทำให้คุณต้องอยู่เย็นไปด้วย” “มันเป็นหน้าที่ค่ะ” หล่อนบอกเสียงเข้ม สายตาเหลือบไปเห็นเด็กชายวัยสิบขวบเดินผ่านประตูรั้วเข้ามาพอดี “เทพไทมาโน้นแล้ว” ไม่ใช่แค่เด็กชายเทพไท แต่นภาสิริไม่ได้ผิดนัด เดินตามหลังเด็กชายห่างมาไม่กี่ก้าว อารมณ์ดีเสียด้วยโบกมือใส่พี่สาวมาแต่ไกล “ขอตัวก่อนนะคะ” เขาคงไม่ได้สนใจฟังคำลาของหล่อนเช่นกันเพราะมัวแต่กลับหลังหันไปหาเด็กชายที่วิ่งตรงมาหา “อาษิตมาแล้ว” เทพไทวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง คุณครูสุชนาได้แต่มองเขาตาโต แน่ล่ะว่าเขาไม่เห็นเพราะหันหลังให้เธอ พอเขาใช้มือยีหัวหลานชายจนเป็นที่พอใจแล้วก็หันหน้ามาลาเสียงนุ่ม “ไว้เจอกันนะครับ” เขาไม่รอคำตอบเพราะเด็กชายแทบจะกระโดดกอดคอเขาหากยังไม่วายต่อว่า “อาษิตมาช้าจัง แบบนี้ต้องเลี้ยงไอติมถ้วยโต” คุณครูสาวอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับความคิดของเด็กชาย อยากจะส่ายหน้าน้อยๆ แถมให้ด้วย แต่นภาสิริมาเห็นเข้าพอดี “ใครหรอพี่ชนา หล่อจนชวนตะลึงเลย” เสียงถามมาพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ สองตามองพี่สาวเหมือนอยากจับผิด “ว่าแล้วเธอจะต้องพูดคำนี้” “ก็แล้วใครกันล่ะ สารภาพมาซะดีๆ” “ไม่มีอะไรซะหน่อย ก็ผู้ปกครองเด็กน่ะเธอก็เห็น” “เขามาจีบพี่ใช่ไหม” “จะบ้าหรอสิรี พี่เพิ่งพบเขาเมื่อกี้เองนะ” “งั้นพี่ชอบเขารึเปล่า” “บ้า” หล่อนว่าพลางยกมือขึ้นตีแขนน้องสาว “เพี้ยนใหญ่แล้วนะเธอ” “ก็แหม เขาหล่อดีออก แล้วดูดีจะตายไป” “อะไรเห็นเขาแค่ไม่ถึงนาทีก็ว่าดูดีแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะอยากขายพี่ขนาดนี้” “แหม ถ้าพี่พุทธหล่อบาดใจอย่างนี้บ้างก็ดีสิ” นภาสิริพูดด้วยน้ำเสียงชวนฝันทั้งที่ความจริงแล้วพุทธก็ใช่ว่าขี้ริ้วขี้เหร่ เพียงแค่ไม่ถึงกับ ‘ชวนตะลึง’ เท่านั้น “ทำเป็นพูดดีไป เดี๋ยวพุทธมาได้ยินเข้าก็เสียใจหรอก” “ก็อย่าให้เขารู้สิ” น้องสาวตอบด้วยน้ำเสียงราวกับช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย “ว่าแต่แน่ใจนะว่าเมื่อกี้มันไม่มีอะไร” สุชนาส่ายหน้าน้อยๆ กับความคิดของน้องสาว ยอมโกหกตาใสก็งานนี้ “มีก็บ้าแล้ว” “งั้นเราก็รีบไปกันได้แล้ว เดี๋ยวหนุ่มๆ จะรอนาน” นภาสิริว่าพลางคว้าข้อมือพี่สาวให้ก้าวไปด้วยกัน แต่คนเป็นพี่ยังขืนตัวไว้ “หนุ่มๆ อะไร” “เอาน่าเดี๋ยวถึงแล้วก็รู้เองล่ะ”
ความคิดเห็น