ตอนที่ 26 : เหนือปลายเมฆ ☆ XXV
เหนือปลายเมฆ ☆ XXV
ในครั้งนี้ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายได้เรียนรู้กับการวิ่งตามความรักเฉกเช่นคุณ
เตวิณกลับไปได้สักพักแล้วแต่ความจุกที่หน้าท้องของปลายเมฆยังคงหลงเหลือ ชายหนุ่มรู้สึกนึกขำตัวเองขึ้นมาเมื่อยอมปล่อยให้คนเด็กกว่าต่อยได้จริงๆ เพียงแค่บอกว่าแค้นเคืองต่อกัน แต่ก็อดยอมรับไม่ได้หรอกว่าวิธีห่ามๆแบบลูกผู้ชายของเตวิณมันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้ไม่น้อย
เหมือนกับว่าเขาทั้งสองไม่ติดค้างอะไรต่อกันอีกแล้ว
อีกไม่ถึงสิบห้านาทีปลายเมฆมีเข้าผ่าตัดเคสใหญ่ต่อและเขากำลังลังเลว่าจะโทรไปถามลุงกำนันดีหรือเปล่าว่าตอนนี้กลับต่างจังหวัดไปแล้วหรือยัง แต่บวกลบคูณหารความคิดถึงที่มีต่อมันหวานแล้วเขากลับตัดสินใจได้ว่าก็คงต้องลองเสี่ยง
ปลายเมฆเปิดลิ้นชักออกเขาหยิบมือถือมาต่อสายหาลุงกำนันแทนที่จะเป็นเบอร์ของมันหวาน ถึงจะอยากลองเสี่ยงแต่ก็ไม่ใจกล้ามากพอที่จะโทรหาคนตัวเล็กในตอนนี้ คุณหมอรอสายไม่นานคนปลายสายก็ตอบรับ
“สวัสดีครับคุณลุง ผมโทรมารบกวนหรือเปล่าครับ” ปลายเมฆกรอกเสียงตัวเองลงไปและเขารู้สึกว่านอกจากเสียงของลุงกำนันแล้วนั้นก็ไม่ได้มีเสียงอื่นใดแทรกซ้อนเข้ามาเลย
ปลายเมฆแค่หวังว่าจะได้ยินเสียงมันหวานเล็ดลอดออกมาสักนิดก็ยังดี
[ไม่เลย ลุงว่าจะโทรหาเมฆพอดี]
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
[ลุงจะกลับบ้านลุงแล้วน่ะ]
คำบอกเล่าของลุงกำนันชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่ามันหวานก็ยังอยู่ที่กรุงเทพฯเพียงแค่มันหวานไม่ได้มาหาเขาถึงแม้จะเลิกลากับเตวิณไปแล้วก็ตาม
“คุณลุงกลับวันไหนหรอครับ”
[พรุ่งนี้เลย นั่งรถทัวร์กลับ]
“มันจะลำบากไหมครับ ผมอยากไปส่งคุณลุงแต่ว่าผมปลีกตัวไปไม่ได้เลย” ช่วงนี้ตารางชีวิตของปลายเมฆค่อนข้างเบียดเสียดจนหาที่ว่างไม่ค่อยจะได้เท่าไร อย่างวันนี้เขาก็ต้องเลิกเวรตีสี่และกลับมาเข้าเวรอีกครั้งตอนบ่ายสามโมง ซึ่งเวลาเพียงเท่านี้ไม่สามารถไป-กลับส่งคุณลุงที่ต่างจังหวัดได้แน่ๆ
[ไม่เป็นไรเมฆ ลุงกลับได้]
“คุณลุงขึ้นเครื่องบินไหมครับ สะดวกและเร็วกว่า ผมพอจะไปส่งคุณลุงที่สนามบินได้” ปลายเมฆยื่นข้อเสนอ
[มันหวานไม่ชอบนั่งเครื่องบินน่ะสิ ลูกลุงกลัวความสูง] คนปลายสายหัวเราะเบาๆก่อนจะเอ่ยต่อ [เมฆ น้องกลับบ้านกับลุง เราจะมาส่งน้องไหม]
คำบอกกล่าวของลุงกำนันไม่ได้ทำให้ปลายเมฆแปลกใจนัก เขาพอจะคิดไว้บ้างแล้วว่าถ้าหากมันหวานปิดเทอมก็คงกลับไปหาพ่อตัวเองที่บ้านเกิด และคำถามของลุงกำนันก็ไม่ได้ทำให้ปลายเมฆต้องลังเลในการคิดเลยสักนิด
“ครับ ผมจะไป รถออกกี่โมงหรอครับ”
[เจ็ดโมงครึ่งพรุ่งนี้ที่สถานีรถ]
“ครับ ผมจะรีบไป”
[อืม มาหน่อยนะ]
“ครับคุณลุง”
หลังจากนั้นคุณลุงก็เป็นฝ่ายวางสายไปก่อน ปลายเมฆจึงรีบพาตัวเองไปทำหน้าที่อีกครั้ง กว่าจะผ่าตัดเสร็จก็คงกินเวลาหลายชั่วโมง ออกจากโรงพยาบาลประมาณเกือบตีห้าขับรถไปช่วงเช้าๆรถคงไม่ติดเท่าไร เขาก็หวังว่าจะไปทัน อย่างน้อยก็ขอแค่ไปส่งมันหวานขึ้นรถก็ยังดี หรือไม่อย่างมากก็ขอให้เขาทั้งสองได้ปรับความเข้าใจกันสักนิด
ปลายเมฆใช้เวลาอยู่ในห้องผ่าตัดตั้งแค่สองทุ่มถึงตีสอง และอีกสองชั่วโมงในการวนตรวจคนไข้ หลังจากนั้นพอนาฬิกาบ่งบอกตีสี่ปลายเมฆจึงรีบพาตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที ปกติเขาจะไปอาบน้ำที่คอนโดแต่วันนี้คงจะไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้น โชคดีที่เขามีเสื้อผ้าชุดใหม่ติดล็อคเกอร์ไว้เสมอ
หลังจากนั้นเวลาเกือบตีห้าปลายเมฆถึงพาตัวเองไปยังร้านดอกไม้ของโรงพยาบาลที่เปิดตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เขาเดินไปยังเค้าท์เตอร์ของพนักงานที่ยังคงมีใบหน้าของความง่วงงุนก่อนจะเอ่ยสั่งดอกไม้ชนิดหนึ่งแบบที่ตั้งใจเอาไว้ เพิ่มเติมตรงที่ขอให้พนักงานผูกโบว์เส้นเล็กสีฟ้าให้ด้วยอีกนิดหน่อย
อีกสิบนาทีตีห้า ปลายเมฆสตาร์ทรถก่อนจะขับออกไปยังเส้นทางข้างหน้า ในเวลานี้รถไม่ติด ถนนโล่งมันทำให้เขาพอจะเบาใจได้ว่าอย่างน้อยเขาก็จะยังคงไปทันก่อนที่รถเที่ยวที่ไปบ้านของลุงกำนันจะออก
ปลายเมฆนึกขอบคุณตัวเองที่เขาไม่เผลอหลับระหว่างทางที่ขับรถแม้ว่าจะเหนื่อยจัดและอ่อนล้ามากแค่ไหน เขามาถึงสถานีรถตอนหกโมงสี่สิบห้านาที ปลายเมฆจอดรถก่อนจะคว้าดอกไม้ติดมือมาด้วย
มือหนาล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะต่อสายหาลุงกำนัน แกบอกกระชับเพียงสั้นๆว่ามาถึงแล้วและอยู่ตรงไหนก่อนที่ปลายเมฆจะวางสายไปและวิ่งไปตามทางที่ลุงกำนันเป็นฝ่ายบอก
ปลายเมฆหยุดฝีเท้า เขาหอบนิดหน่อยเพราะทางที่จอดรถและที่ลุงกำนันอยู่แอบไกลจนต้องอาศัยการวิ่งให้ทันเวลา
“เมฆ ทางนี้” ปลายเมฆหันมองตามเสียงที่เอ่ยเรียก ก่อนที่จะเดินไปตรงม้านั่งที่มีลุงกำนันนั่งอยู่คนเดียวกับกระเป๋าเสื้อผ้าอีกสองใบ
“สวัสดีครับคุณลุง” ปลายเมฆพุ่มมือไหว้
“สวัสดี นั่งก่อนสิ” คุณลุงว่าพลางขยับพื้นที่ให้ “มันหวานไปห้องน้ำน่ะ” และดูเหมือนคุณลุงจะรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาถึงบอกออกมาแม้จะยังไม่ได้ถามอะไรสักคำ
“น้องจะอยู่จนเปิดเรียนเลยหรือเปล่าครับ” ปลายเมฆถาม
“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”
ปลายเมฆพอจะรู้ว่ามันหวานปิดเทอมประมาณหนึ่งเดือนได้ และถ้ามันหวานเลือกจะอยู่กับคุณลุงตลอดเวลาที่ปิดเทอมนั่นก็หมายความว่าเขาก็ยังคงต้องห่างไกลจากอีกคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเดือน
“เมฆตามไปได้นะ บ้านลุงต้อนรับเสมอ”
“ผมไม่แน่ใจเรื่องเวลาว่างเลยครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากไป” ปลายเมฆรู้สึกภูมิใจกับอาชีพของตัวเองเสมอ แต่บางครั้งเขาก็ไม่ชอบมันตรงที่มันมักจะพรากเวลาส่วนตัวของเขาไป ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนจนกระทั่งตอนนี้ ปลายเมฆนับครั้งได้เลยว่าเขามีเวลาว่างให้ตัวเองเป็นจริงเป็นจังกี่ครั้ง ถึงแม้จะเป็นลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อเขาจะละเว้นให้ ปลายเมฆก็เหมือนพนักงานคนหนึ่งก็เท่านั้น
“ลุงเข้าใจ” ฝ่ามือหนักตบลงที่ไหล่เขาเบาๆก่อนที่คำพูดต่อมาจะทำให้ลมหายใจของปลายเมฆเกิดการสะดุด “นั่น มันหวานมาละ”
ปลายเมฆหันไปตามทิศทางที่สายตาของลุงกำนันกำลังจับจ้อง ก่อนหน้านี้ปลายเมฆบอกกับตัวเองว่าอย่าตื่นเต้นมากเกินไปหากได้เจออีกคน อย่าลนลานและขอให้มีสติอยู่เสมอ แต่พอเขาได้เห็นหน้ามันหวานจริงๆแบบตอนนี้ปลายเมฆก็เหมือนคนที่กำลังเผชิญอยู่กับสติที่ฟุ้งกระจาย
หัวใจเขาเต้นเร็วมากขึ้นยามที่คนตัวเล็กขยับกายเข้ามาใกล้จนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพร้อมกับพนมมือไหว้และก้มหัวลง
ผ่านมาประมาณหนึ่งแล้วสินะที่ไม่ได้มองตากันตรงๆแบบนี้ ขณะหนึ่งแล้วเหมือนกันที่ระยะห่างของเขาทั้งคู่ไม่ได้สั้นลงแบบในตอนนี้
ปลายเมฆหยัดตัวลุกขึ้นยืน เขารับไหว้คนเด็กกว่า มองแก้วตากลมใสที่เรียบนิ่ง ริมฝีปากบางนั้นไม่ได้เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างที่คาดหวัง ดูเหมือนว่ามันหวานจะไม่ได้อยากเจอเขาเสียเท่าไรหรือไม่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาหา
นี่เขากำลังทำให้อีกฝ่ายอึดอัดหรือเปล่า?
“ลุงขอไปซื้ออะไรดื่มสักหน่อย คุยกันไปก่อนนะ” จบคำลุงกำนันก็เดินออกไปเหลือทิ้งไว้เพียงแค่เขาสองคนกับบรรยากาศเย็นๆที่ปลายเมฆกำลังรู้สึกประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
“มันหวานครับ” คนแก่กว่าเป็นคนเริ่มเอ่ยขึ้นหลังจากปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่เกือบนาที มันหวานไม่ได้เดินหนีไปไหน ไม่ได้นั่งลงหรือแม้แต่จะเงยหน้ามองกัน คนตัวเล็กยังคงก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเองตั้งแต่คนเป็นพ่อเดินออกไป
ปลายเมฆสูดลมหายใจเข้าเรียกกำลังและสติของตัวเอง เขามีเวลาไม่มากในตอนนี้ และเขาไม่อยากให้เวลาที่มีสูญเสียไปแบบไม่เกิดอะไรขึ้นเลย คนตัวสูงเลียริมฝีปากที่แห้งผากเล็กน้อยก่อนจะเขยิบปลายเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายมากขึ้น ไม่ได้ชิดมากเกินไปจนอาจจะทำให้ใครอีกคนอึดอัด
“มันหวานครับ เงยหน้ามองพี่หน่อยได้ไหม” เสียงทุ้มคลอเคล้าความประหม่าถูกส่งออกไปและรอให้มีการตอบรับเกือบนาทีก่อนที่หัวใจจะเริ่มชุ่มชื้นขึ้นมาเมื่อคนตัวเล็กตรงหน้ายอมเงยหน้าขึ้นมองกัน
คนตัวเล็กยังคงเงียบ มันหวานมองแววตาสีเข้มของคนที่สูงกว่า มองความหวั่นไหวคล้ายความประหม่าในดวงตาคู่นั้น ดูเหมือนคนตัวโตตรงหน้าเขาจะดูสูบผอมลงไปอีกแล้วจากล่าสุดที่ได้เจอ หนวดเคราจางๆที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ไหนจะเสื้อผ้ายับๆที่สวมใส่นั่นก็ด้วย
มันหวานพอรู้ว่าอีกคนจะมาหากันในวันนี้เพราะเขาได้ยินพ่อคุยกับหมอปลายเมฆเมื่อคืน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าการมาเจอกันครานี้จะทำให้มันหวานไปไม่เป็น ไม่รู้จะต้องทำหน้ายังไงหรือพูดคำไหนเป็นคำแรก นอกจากยกมือไหว้คนที่อายุมากกว่าและก้มหน้ายืนนิ่งๆเมื่อพ่อเดินออกไป
ที่จริงมันหวานจะเดินตามพ่อไปก็ได้ แต่เขากลับเลือกที่จะไม่ทำ ไม่ปฏิเสธกับใจตัวเองหรอกว่าเขาก็อยากเจออีกฝ่ายไม่ต่างกัน
ไม่ได้ใจอ่อนยวบทันทีที่เห็นหน้า เพียงแค่ตอนนี้มันเป็นความรู้สึกของการคิดถึง
คิดถึงมาก
“พี่รู้เรื่องแล้วนะ ที่เลิกกับเตวิณ” ปลายเมฆเอ่ยบอกเมื่ออีกคนยังเงียบ พลางมองใบหน้าหวานที่กำลังประดับไปด้วยเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
มันหวานคงคิดว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้ และมันน่าน้อยใจที่อีกคนไม่คิดจะบอกกัน ทั้งที่มันก็เป็นสิทธิ์ของมันหวาน
“ทำไมถึงรู้” เสียงหวานใสถูกถามออกไป มันหวานไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้ารู้เรื่องได้อย่างไร เพราะเขาไม่ได้เป็นคนบอก และพ่อก็ไม่ได้เป็นคนบอกแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นก็คงเหลืออยู่แค่คนเดียว “เตวิณบอกหรอ?”
“ครับ”
ปลายเมฆยิ้ม เขาได้ยินคนตัวเล็กบ่นพึมพำว่า บอกทำไมก็ไม่รู้ ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอยากโกรธที่มันหวานไม่ยอมบอกกันหรอกนอกจากความน้อยใจเล็กน้อยนั่น เพราะมันหวานอาจจะมีเหตุผลของตัวเอง และเขาพร้อมจะเข้าใจมัน
ถึงจะไม่อธิบายเขาก็พร้อมจะเข้าใจ
เหมือนที่มันหวานเคยเข้าใจเขามาตลอด ในวันที่เขาไม่เคยเข้าใจตัวเอง
ปลายเมฆกำลังคิดว่าเขาจะเริ่มบทสนทนาต่อไปอย่างไรดี สามารถบอกไปตรงๆเลยได้ไหมว่าเขามาที่นี่เพราะอะไร ร่างสูงมีสีหน้าแห่งความงุ่นง่านและมันกำลังอยู่ในสายตาของคนเด็กกว่า มันหวานลอบมองใบหน้าอ่อนล้าของอีกฝ่าย พลางตั้งคำถามขึ้นมาในใจ
เหนื่อยขนาดนี้ทำไมยังฝืนที่จะมาเจอกัน?
แล้วคนดูแลหายไปไหน คุณม่านฝนนั่นน่ะ
“พี่มีเรื่องอยากจะบอกกับมันหวาน” ปลายเมฆกำลังคิด เขากำลังจะเอาความเป็นจริงที่เคยได้กระทำไปมาเสี่ยงกับผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้ แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะถ้าหากไม่พูดเรื่องนี้ในวันนี้ การสารภาพผิดของเขาก็คงจะไม่สมบูรณ์
แม้ว่ากับเรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ แต่ถ้าหากเขาต้องการจะมอบความชัดเจนและซื่อสัตย์ต่ออีกฝ่าย ปลายเมฆต้องพูดมันออกมา
“พี่กลับไปคบกับม่านฝน” เขาพูดมันออกไปแล้วด้วยหัวใจที่ไม่มีความมั่นใจสักเท่าไร ปลายเมฆกำลังกลัว กลัวว่าคำสารภาพของเขาจะทำให้มันหวานไกลห่างออกไปมากกว่าเดิม
“บอกทำไม” มันหวานรู้สึกเสียดที่หัวใจ ลำคอคล้ายกับตีบตันชั่วขณะ น้ำเสียงที่เขาเอ่ยออกไปก็ไม่เต็มเสียงมากนัก และมันหวานไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะย้ำเตือนเพื่ออะไร มันหวานรู้แล้วว่ายังไงทั้งสองคนก็ต้องกลับไปคบกัน ไม่จำเป็นต้องตอกย้ำเขาแบบนี้สักนิด
“และเราเลิกกันแล้ว” คนแก่กว่าไม่ได้เอ่ยตอบคำถามแต่กลับพูดเสริมขึ้น
“...”
“พี่ไม่ได้รักเขา ไม่ได้รักม่านฝนมานานมากแล้ว” นั่นคือความจริงที่หลุดออกมาจากริมฝีปาก ปลายเมฆมองแววตากลมใสที่ขอบตาคล้ายจะเริ่มทอสีแดง มองมือเล็กทั้งสองข้างที่กำเข้าแบออกคล้ายกับคนกำลังสับสน
“ไม่เข้าใจ ว่าต้องการอะไร” มันหวานส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะบอกเลยสักนิด ตอนนี้มันหวานรู้สึกสับสนและไม่รู้ว่าจะต้องให้ความรู้สึกกับประโยคไหนมากกว่ากันระหว่าง กลับไปคบกับใครคนนั้น หรือว่า ได้เลิกลากันไปแล้ว
“ต้องการให้มันหวานรู้ความจริง”
“…”
“ว่าพี่ไม่ได้รักเขา ไม่ได้รักอีกแล้ว” มันเป็นความสัจจริงจากหัวใจของเขา หัวใจเปลือยเปล่าที่ยกให้คนตรงหน้าไปแล้วแม้ในวันที่ยังไม่รู้ใจตัวเองดีก็ตาม
“แล้วยังไง” มันหวานจ้องลึกไปในแววตาของอีกฝ่าย เขาค้นหาความจริงในสายตาคู่นั้น และมันน่ากลัวเหลือเกินที่มันหวานกำลังเผชิญกับสายตาแห่งความมุ่งมั่น
มุ่งมั่นว่าคำพูดที่ได้เปล่งออกมาไม่ได้มีความเท็จเจือปน
และมันหวานกลัวหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงตั้งขนาดนี้
หัวใจของเขามันเต้นเหมือนคนไม่รักดี
“พี่อยากขอโทษ ในเรื่องวันนั้นที่ทำให้มันหวานเสียใจ ขอโทษที่ไม่เคยชัดเจน ทำร้ายหัวใจที่แสนดีของมันหวานได้อย่างไม่น่าให้อภัย พี่ตระหนักได้แล้วว่าความผิดของพี่มันใหญ่มากแค่ไหน”
“…”
“รับรู้แล้วว่าที่ผ่านมาในความโลเลของพี่มันทำร้ายความรู้สึกของมันหวานไปมากเท่าไร เพราะในวันที่มันหวานเดินจากไปเพื่อจับมือของคนอื่นพี่ก็เจ็บไม่ต่างกัน”
คนตัวเล็กนิ่งเงียบ ทบทวนประโยคยาวเหยียดพวกนั้นที่กระทบกับโสตการรับรู้ มันหวานไม่รู้เลยว่าเขาควรจะตอบโต้กับความรู้สึกแบบนี้ยังไง ตอนนี้เขากำลังนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่หัวใจของตัวเองตกแตกจนเกิดเศษเสี้ยวเป็นชิ้นเล็กๆ จำได้ทุกความรู้สึกสาหัสในวันที่อีกคนใจร้าย วันที่น้ำตามากมายไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล วันที่พาร่างกายไร้เรี่ยวแรงของตัวเองออกมาจากห้องนั้นและนั่งทรุดตัวร้องไห้อยู่ในลิฟต์เพียงคนเดียว
แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้น มันหวานสามารถเชื่อในคำพูดของหมอปลายเมฆได้มากแค่ไหนกัน ในเมื่อความเชื่อใจของเขาก็แหลกสลายไปไม่น้อยเลย
“พี่ขอโทษ”
“...”
“ขอโทษนะครับที่รู้ตัวช้าว่าคนที่พี่รักจริงๆคือใคร” ปลายเมฆมองฝ่ามือเล็กที่คล้ายจะสั่นเทา เขาเอื้อมมือของตัวเองไปข้างหน้าเพื่อหวังจะนำมือนั้นมากอบกุม แต่มันหวานกลับเบี่ยงหลบไม่ให้เขาแตะต้องมัน
หัวใจของปลายเมฆเกิดการกระตุกแต่เขาก็ทำเพียงยิ้มรับเหมือนกับว่าทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร
เขาแค่หวังว่าอีกฝ่ายเพียงแค่จะยังไม่พร้อมแตะต้องซึ่งกันและกัน อย่าได้เป็นความรังเกียจแบบที่หวาดกลัวเลย
“การที่กลับไปคบกับม่านฝน มันทำให้พี่รู้ว่าที่จริงแล้วพี่ไม่ได้รักเขาเหมือนที่เคยรัก ไม่ได้อยากมีเขาเหมือนอย่างที่เคยอยากมี พี่เพิ่งรู้ว่าทุกอย่างที่ทำไปคือความผูกพันมันไม่ใช่ความรัก” ปลายเมฆเอ่ยต่อ
“...”
“มันอาจจะช้าหรืออาจจะไม่ทันอย่างที่มันหวานเคยบอกพี่เอาไว้”
“....”
“แต่ตอนนี้คนที่พี่รักคือมันหวาน”
“...”
“พี่รักมันหวานนะครับ”
ประโยคบอกรักนั้นทำให้มันหวานชาไปทั้งร่างกาย ประโยคบอกรักที่มันหวานเคยรอให้อีกคนรู้สึก ในวันนี้เขาได้ฟังมันกับหูรับรู้ได้เต็มสองตา แต่ทำไมเลยหัวใจของเขาถึงไม่ได้เปรมปรีดา กลับกัน.. มันแน่นและเจ็บเสียด
ทำไมคำว่ารักของอีกฝ่ายถึงทำให้หัวใจของเขาหนึบชาแบบนี้
“มันหวาน..” ปลายเมฆเอ่ยชื่อของคนตรงหน้า คนตัวเล็กนิ่งไป ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ นอกจากน้ำตาที่ค่อยๆรินไหลออกมาจากดวงตากลมโตทั้งสองข้าง
หรือว่าเขาทำอะไรผิดพลาดไปอีกอย่างนั้นหรือ?
คำว่ารักจากปากคนที่โลเลแบบเขาไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้วอย่างนั้นใช่ไหม
“น่าแปลกจังเลยเนอะ” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงสั่นหลังจากเงียบฟังอีกคนอยู่นาน
“...”
“หมอปลายต้องใช้คนอื่นเพื่อให้รู้ว่ารักหรือไม่ได้รัก”
“...”
“ในขณะที่มันหวาน ใช้เพียงแค่ความรู้สึกของตัวเอง”
ประโยคนั้นทำให้ปลายเมฆนิ่งงัน เขารู้สึกหน้าชากับคำพูดของอีกฝ่ายและมันไม่ได้เท็จเลยสักนิด
ในขณะที่มันหวานใช้เพียงความรู้สึกของตัวเองให้เกิดคำตอบที่มีต่อเขา แต่ปลายเมฆกลับต้องดึงม่านฝนเข้ามาเพื่อให้ตัวเองมั่นใจในความรู้สึก ต้องใช้คำพูดของใครต่อใครมาเสริมน้ำหนักให้แน่ใจ
ในขณะที่อีกคนใช้เพียงหัวใจแต่เขากลับใช้อะไรมากมายเพื่อตัดสิน
ปลายเมฆทำพลาด เขาทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“พี่ขอโทษ..” ในตอนนี้ปลายเมฆพูดได้เพียงคำนี้อีกครั้ง จนบางทีเขาก็รำคาญที่ตัวเองสรรหาคำอื่นที่ดีกว่านี้มาพูดไม่ได้ “มันหวานโกรธพี่ใช่ไหม เกลียดพี่ใช่หรือเปล่า”
และถ้าหากอีกฝ่ายตอบมาว่า ใช่ ปลายเมฆไม่รู้เลยว่าเขาจะต้องทำเช่นไร
“มันหวานไม่ได้โกรธ ไม่เคยเกลียด”
“...”
“แต่มันหวานยังคงเสียใจ” มันหวานเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือ เขามองอีกฝ่ายผ่านหยาดน้ำใสที่คลอหน่วงในดวงตา
“คำว่ารักของพี่มันไม่พอแล้วใช่ไหม มัน..”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย” มันหวานส่ายหน้า คนตัวเล็กกระพริบตาเพื่อไล่หยาดน้ำที่บดบังการมองเห็น เขาเอ่ยขัดเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดแบบนั้น
เพราะว่ามันไม่ใช่เลยสักนิด
“ถ้าอย่างนั้น มันหวานยกโทษให้พี่ได้ไหม พี่ขอโอกาสจากมันหวานได้หรือเปล่าครับ” ปลายเมฆเว้าวอนแม้จะรู้ดีว่าเขาไม่สิทธิ์เรียกร้องสิ่งอื่นใดอีกแล้ว แต่เขาก็แค่ปรารถนาว่าในความหวังครั้งสุดท้ายเขาจะได้มันมา
โอกาสอีกสักครั้งที่เขาให้สัญญาว่าถ้าได้มาเขาจะดูแลมันอย่างดี
“หมอปลายรู้อะไรไหม ว่ามันหวานไม่เคยหยุดรู้สึกกับหมอปลายเลยแม้แต่วินาทีเดียว” แม้กระทั่งตอนที่คบกับเตวิณก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ยังคงรักคนตรงหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ในวันนี้ก็เช่นกัน ความรักของมันหวานไม่เคยลดลง
แต่มันมีส่วนสำคัญที่ขาดหายไป
ส่วนสำคัญที่มันหวานก็เฝ้ารอจากอีกคนมาตลอดไม่แพ้คำว่ารัก
“ถ้างั้น เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม พี่จะทำมันให้ดี” ปลายเมฆเร่งบอก เขายิ้มออกมาเหมือนใจพองโตเพียงแค่คิดว่าอีกคนจะยอมกลับมาหากันได้
“หมอปลายแน่ใจแล้วใช่ไหม ว่าความรู้สึกนั้นมันเป็นของมันหวาน คำว่ารักคำนั้น”
“พี่มั่นใจ มันเป็นของมันหวาน” ร่างสูงเอ่ยตอบทันทีเหมือนท่องรอไว้เพราะมันเป็นสิ่งที่กู่ก้องอยู่ในใจของเขามาตลอดตั้งแต่วันที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
“แต่มันหวานไม่มั่นใจเลย”
“...”
“มันหวานไม่กล้าเชื่อใจหมอปลายเลย”
สิ่งที่ทำให้มันหวานไม่มั่นใจเลยสักนิดก็คือความเชื่อใจ มันจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มันหวานไม่กลับไปหาคนตรงหน้าในทันทีที่เลิกกับเตวิณ
รักไหม? รักมาก มันยังคงเป็นเช่นนั้น แต่ถามว่าเชื่อใจไหม..ไม่เลย มันขาดหายไปตั้งแต่วันนั้น
ที่เคยบอกว่าชอบเขา แต่กลับตอบแทนกันด้วยความช้ำใจจนสาหัสไปทั้งความรู้สึก
มันหวานยังคงเจ็บและเขาต้องการเวลา
แม้ว่าใจอยากจะโอบกอดและบอกขอให้เริ่มต้นกันใหม่ แต่ลึกๆมันหวานก็ยังคงกลัวว่าถ้าเร่งรีบอีกครั้งใจเขาจะพังอีกหน
และถ้าเป็นแบบนั้นซ้ำอีกครั้งมันหวานคงไม่มีหัวใจหลงเหลือให้ตัวเองรู้สึกแม้แต่คำว่าเจ็บปวดอีกแล้ว
บางทีเขาอาจจะไม่เหลือหัวใจให้เต้นเลยด้วยซ้ำ
“ขอแค่มันหวานให้โอกาส พี่จะทำให้มันหวานกลับมาเชื่อใจอีกครั้ง” ปลายเมฆจะไม่ถามว่าต้องทำยังไงมันหวานถึงจะกลับมาเชื่อใจกันอีก เพราะปลายเมฆคิดว่าหน้าที่การนำความเชื่อใจกลับมาให้อีกคนมันเป็นส่วนของเขาที่ต้องคิดและลงมือทำ
เขาปล่อยให้มันหวานทำมามากพอแล้ว และครานี้มันควรเป็นคราวของเขาที่จะทำอะไรเพื่อคนที่ตัวเองรักบ้าง
“ที่ผ่านมามันหวานอาจจะเคยอยู่ใกล้หมอปลายมากเกินไป หมอปลายถึงมองไม่ค่อยเห็นมันหวานจนมองข้ามกัน” คนตัวเล็กเอ่ยออกมาช้าๆ ไม่ละสายตาไปจากอีกคน
“...”
“ถ้าอย่างนั้นเราลองไกลกันดูไหม เว้นระยะห่างอีกสักหน่อย มองในมุมที่กว้างกว่าที่เคยมอง เผื่อมันจะบอกได้ว่าเราต้องการกันจริงๆหรือเปล่า”
“มันหวาน..” ปลายเมฆเข้าใจในสิ่งที่อีกคนบอก แต่ผิดไหมที่เขาไม่อยากทำแบบนั้น เขาไม่อยากห่างจากมันหวานอีกแล้ว เพียงนิดเดียวก็ไม่อยากอีกแล้ว
ระยะเวลาที่ผ่านมาโดยไม่มีกันมันกัดกร่อนหัวใจของเขามามากพอแล้ว
“หมอปลาย นั่นคือโอกาสที่มันหวานให้” มันหวานสบตามองแววตาคมเข้มที่กำลังสั่นไหว
มันหวานรู้ว่าอีกคนกำลังเสียใจและหวาดกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ แต่มันหวานเปล่าเลย เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือผลักไส มันหวานแค่อยากให้เขาทั้งคู่ได้มีเวลาพิจารณาความรู้สึกของตัวเองอีกสักนิด
มันหวานแน่ใจในความรู้สึกของตัวเองว่ามันยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปไหน แต่กับอีกฝ่ายอาจจะต้องอาศัยเวลา
“ต้องห่างมากแค่ไหน” เสียงทุ้มเอ่ยถาม มันแผ่วปลายในตอนท้ายเสมือนคนที่ไม่มั่นใจในคำพูดของตัวเอง
ซึ่งแท้จริงก็เป็นแบบนั้น ปลายเมฆกำลังหวาดกลัวว่าจะสูญเสียคนตรงหน้าอีกครั้งหากเขาได้เผลอทำผิดพลาดอะไรอีก
ปลายเมฆเคยทำผิดและมันส่งผลให้เขาไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่เขาจะพยายามให้มากที่สุด มากกว่าคนที่เคยผิดพลาดคนหนึ่งจะแก้ไขให้ทุกอย่างมันดีขึ้นมาได้
“มันหวานไม่รู้เลย” เขาไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลายาวนานมาแค่ไหนกับการเสี่ยงใจในครั้งนี้
“มันหวานเหนื่อยมากใช่ไหม” ร่างสูงถามออกไปกับคำถามที่หวั่นเกรงจะรับฟัง ปลายเมฆสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก้มหน้าลงเพียงนิด กระพริบตาไล่ความร้อนผ่าวของขอบตาก่อนจะเงยหน้ามองคนเด็กกว่าเพื่อรอฟังคำตอบ
“มันหวานไม่เคยเหนื่อยกับการชอบหมอปลาย”
“…”
“แต่มันหวานเหนื่อยกับความเสียใจ”
ตลอดเวลาที่รู้ตัวว่าชอบคนตรงหน้า มันหวานไม่เคยรู้สึกเหนื่อยหรือท้อที่พยายามจะเข้าไปในหัวใจที่เคยบอบช้ำดวงนั้น ไม่เคยคิดจะล่าถอยแม้จะยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆจากอีกฝ่าย แต่พอถึงวันที่มีความเปลี่ยนแปลงแบบที่ไม่คาดหวัง ความเปลี่ยนแปลงที่นำมาซึ่งความเสียใจมันกลับทำให้มันหวานเหนื่อย เหนื่อยมากจริงๆกับการร้องไห้ กับหัวใจที่แตกละเอียด กับการเป็นคนที่ไม่ถูกรัก
มันหวานเหนื่อยกับสิ่งเหล่านั้น ที่ทำให้เขาเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าสำหรับคนตรงหน้าเลยสักครั้ง
“มันหวานจำได้ไหม นิยายเล่มนั้นที่มันหวานอ่าน ที่นายเอกวิ่งตามพระเอก” ปลายเมฆเอ่ยถามก่อนที่มันหวานจะพยักหน้าตอบรับกลับมา นิยายเล่มนั้นที่เขาเป็นฝ่ายซื้อให้อีกคน เล่มที่เขาอ่านจบไปแล้ว “แล้วพี่ก็ถามมันหวานว่านายเอกในเรื่องจะเหนื่อยไหมกับการวิ่งตามใครอีกคน”
“....”
“ตอนนั้นพี่ใช่ไหมที่เป็นฝ่ายให้มันหวานวิ่งตาม แต่ตอนนี้ไม่ต้องอีกต่อไปแล้วนะ”
มันหวานนิ่งเงียบ เขารับฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะพูด รับฟังแววตาที่กู่ร้องฟ้องกับเขาว่าทุกคำพูดคือความสัจจริง
“พี่จะเป็นฝ่ายวิ่งตามมันหวานเอง ระหว่างนี้มันหวานจะเดินไปไหนก็ได้ จะวิ่งไปไหนก็ได้ เพราะพี่จะเป็นฝ่ายตาม ไม่ว่ามันหวานจะวิ่งไปไกลแค่ไหน พี่ก็จะไปให้ถึง”
“...”
“พี่จะพามันหวานกลับมาในความรู้สึกที่ปลอดภัยซึ่งกันและกัน”
“…”
“จะไม่ทำให้มันหวานต้องเหนื่อยอีกแล้ว”
ฝ่ามือหนาวางลงที่กลุ่มผมนุ่มของอีกฝ่าย และครั้งนี้มันหวานไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสจากกัน ปลายเมฆลูบเส้นผมนุ่มลื่นนั้นอย่างแผ่วเบา มองคนตัวเล็กที่ช้อนตามองกันโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ แต่แค่มันหวานไม่ปฏิเสธนั่นมันก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเขา
ปลายเมฆละมือตัวเองออกก่อนจะส่งดอกไม้ในมือข้างซ้ายให้กับคนตัวเล็กกว่า มันเป็นดอกไม้ชนิดเดิมในจำนวนเท่าเดิมดอกกุหลาบแดงสามดอกที่ไม่ได้จัดช่อเพียงผูกด้วยโบว์เส้นเล็กสีฟ้าเพียงเท่านั้น
คนตัวเล็กรับดอกกุหลาบแดงสดนั้นมาไว้ในมือ มันหวานลูบกลีบดอกมันอย่างแผ่วเบา ดอกกุหลาบในมือของเขาในตอนนี้ยังคงสดใหม่ ส่วนสามดอกก่อนหน้านั้นมันแห้งกรอบแต่มันหวานก็ยังคงเก็บไว้
ไม่เคยคิดจะทิ้งแม้มันจะหมดความสวยงามไปแล้วก็ตามที
“พี่ขอกอดเราได้ไหมครับ พี่กอดมันหวานได้ไหม”
คนตัวเล็กละสายตาออกจากกุหลาบในมือก่อนจะช้อนตามองคนตัวโตกว่า มันหวานเห็นความคาดหวังในแววตา ก่อนที่เท้าเล็กทั้งสองข้างจะก้าวถอยหลังพลางส่ายหน้าเบาๆ
ยังกอดไม่ได้ในตอนนี้เพราะมันหวานกลัวว่าเกราะป้องกันบางๆของตัวเองจะพังครืดลงมาเพียงเพราะอ้อมกอดที่เขาเองก็ถวิลหา เพราะเพียงแค่สัมผัสเบาๆบนเส้นผมที่อีกคนลูบไปมามันก็กระทบกระเทือนกับใจของเขามากพอแล้ว
ปลายเมฆมองคนตัวเล็กที่ส่ายหน้าให้คำตอบแก่กันโดยไม่ลังเล มันหวานละตัวจากกันไปคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองมาสะพายหลังก่อนที่ลุงกำนันจะเดินเข้ามา บอกกับเขาเบาๆว่าต้องไปแล้วพร้อมกับตบไหล่เขาปุๆเหมือนกับให้กำลังใจ
คนตัวสูงมองแผ่นหลังเล็กที่กำลังเดินไปข้างหน้าโดยที่ไม่ได้หันมามองกันอีกเลย แผ่นหลังของมันหวานที่ตั้งตรง ที่แสดงถึงความแน่วแน่
มันหวานเข็มแข็งและเด็ดขาดกว่าที่เขาคาดคิด และถึงแม้จะกอดไม่ได้ในวันนี้ทั้งที่คิดถึงใจแทบขาด แต่ไม่เป็นไร
ปลายเมฆจะไม่เป็นอะไร
เขารอได้ กับคนๆนี้เขารอได้จริงๆ
มันหวานกลับมาที่บ้านเกิดของตัวเองได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยอยู่ ทุกๆอย่างยังคงเหมือนเดิม ผู้คน สภาพแวดล้อม รสชาติของอาหารหรือแม้แต่สภาพอากาศ
การที่ได้กลับมาบ้านของตัวเองมันทำให้มันหวานรู้สึกดีขึ้น เหมือนเขาได้ทิ้งทุกอย่างที่เคยหนักหนาไว้ที่กรุงเทพฯและเลือกจะเอาความเป็นตัวเองกลับคืนมา
แต่มีสิ่งหนึ่งที่หายไปจากที่เคยอยู่ มันคือผ้าพันคอลูกเสือของเขาที่มีข้อความถึงใครบางคนอยู่ในนั้น พ่อบอกว่าไม่ได้เข้ามายุ่งกับข้าวของส่วนตัว ไม่ได้นำอะไรที่เคยเป็นของมันหวานไปทิ้งในขณะที่มันหวานไม่อยู่
แล้วมันจะหายไปไหนได้? นอกเสียจากว่าตอนที่ใครบางคนมาเยี่ยมพ่อเขาที่บ้าน เขาจะเข้ามาในห้องนี้และเจอมันเข้าก่อนจะหยิบมันติดมือไป
แต่บางทีก็อาจจะไม่ใช่เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่หมอปลายเมฆจะอยากได้ผ้าพันคอผืนเก่าๆแบบนั้น
หรือบางทีก็อาจจะมี
ดอกกุหลาบจำนวนสามดอกที่เพิ่งได้มาคราวนั้นมันหวานไม่ได้นำมันไปใส่ไว้ในหนังสือเหมือนเคย มันหวานมีกล่องขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่ได้ใหญ่และเล็กเกินไปนัก มันสามารถเก็บดอกกุหลาบนั้นได้ ดอกกุหลายแห้งทั้งหกดอกจึงนอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้น
หมอปลายเมฆยังคงทำตามคำขอของมันหวานที่เคยขอกันไป คำขอที่บอกว่าให้เขาทั้งสองห่างกันสักหน่อยเผื่อจะได้เห็นอะไรที่กว้างกว่าที่เคยมอง ไม่มีการพบหน้า ไม่มีการโทรฯหาในตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ แต่มันหวานรู้ รู้ว่าความเคลื่อนไหวของเขาถูกพ่อเล่าให้ใครบางคนฟัง
มันหวานไม่ได้แอบฟังเวลาที่พ่อคุยโทรศัพท์แต่เหมือนพ่อจะจงใจคุยให้มันหวานได้ยินเสียมากกว่า หมอปลายเมฆโทรฯมาหาพ่อทุกวันและเรื่องราวของเขาก็จะถูกเล่าผ่านคนเป็นพ่อ
หมอปลายไม่ได้ละเมิดคำขอเพียงแค่เจ้าเล่ห์เข้าทางพ่อก็เท่านั้น มันหวานก็เลยปล่อยให้มันเป็นไป ในเมื่อไม่ได้เสียหายอะไร อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ามีคนอีกฟากฝั่งกำลังเป็นห่วงและแคร์กันอยู่
ซึ่งมันทำให้มันหวานรู้สึกเหมือนกำลังกลายเป็นคนสำคัญสำหรับใครบางคนอย่างที่ไม่เคยได้เป็นมาก่อน
บางทีที่หมอปลายเมฆบอกไว้มันอาจจะจริง ให้มันหวานไปที่ไหนก็ได้ที่อยากไป และเขาคนนั้นจะเป็นฝ่ายตามมาเอง
เข้าสู่อาทิตย์ที่สอง วันนี้มันหวานตื่นสายกว่าทุกวันเพราะเมื่อคืนเขาดูหนังจนดึกดื่น เข้านอนก็ปาไปเกือบจะเที่ยงคืน วันนี้จึงตื่นสายแบบที่ไก่ของข้างบ้านขันก็ไม่ได้ยิน
ตอนนี้เวลาแปดโมงกว่าจวนจะเก้าโมงแล้วซึ่งมันเลยอาหารเช้ามาเกือบชั่วโมงได้ มันหวานไม่รู้ว่าทำไมพ่อไม่มาปลุก เพราะปกติเขากับพ่อก็ต้องพากันไปใส่บาตรทุกเช้าอยู่แล้ว หรือไม่พ่อก็คงมาปลุกแล้วแต่เขาไม่ยอมตื่นเอง
มันหวานหยัดตัวลุกออกจากที่นอนเขาพับผ้าห่มจัดหมอนให้เรียบร้อยก่อนจะพาตัวเองไปอาบน้ำ ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็เสร็จ คนตัวเล็กเดินลากเท้าไปยังห้องครัวก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนพ่อกำลังคุยกับใครสักคนอยู่
ยิ่งเข้าใกล้ เสียงก็ยิ่งชัดขึ้นพอๆกับหัวใจของมันหวานที่กำลังเริ่มทำงานเมื่อสายตาจับภาพของใครบางคนที่กำลังหันหลังให้เขาอยู่
แผ่นหลังที่คุ้นเคย น้ำเสียงที่คุ้นหู เขาคนนั้นที่มันหวานยังคงฝันถึงอยู่เสมอ
“ตื่นแล้วหรอเจ้าเด็กขี้เซา” เสียงของพ่อดังทักขึ้นเป็นคนแรก ก่อนที่ใครอีกคนจะละตัวจากสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าและหันหน้ามาเผชิญกันทันทีที่รับรู้การมีตัวตนของเขา
ทำไมหมอปลายมาอยู่ตรงนี้? ไม่ไปทำงานหรือยังไง? มาได้ยังไง? และมาตั้งแต่เมื่อไร? คำถามมากมายพรั่งพรูอยู่ในหัวแต่สิ่งที่มันหวานทำได้คือยกมือไหว้คนโตกว่าพร้อมรับรอยยิ้มบางนั้นกลับมาให้ใจเต้นมากกว่าเคย
ไม่ต้องมายิ้มเลยนะคนนิสัยไม่ดี กล้าดียังมาที่บ้านเขาแบบที่เขาไม่รู้มาก่อนแบบนี้
“อรุณสวัสดิ์ครับ” คนตัวสูงรับไหว้พร้อมกับคำเอ่ยทักทาย ปลายเมฆมองใบหน้าบ่มสีแดงเฉดอ่อนของคนเด็กกว่าก่อนที่เขาจะหลุดยิ้มออกมา
เด็กขี้เซาที่เพิ่งตื่นกับผมที่ไม่เป็นทรงช่างน่ารักในสายตาของเขาจริงๆ
“หมอเขาเพิ่งมาถึงตอนเจ็ดโมง พ่อไปปลุกลูกแล้วแต่ก็ไม่ยอมตื่นก็เลยปล่อยให้นอนไป แล้วมื้อเช้านี้หมอเขาก็อาสาทำทั้งๆที่ควรจะพักสักหน่อยลูกว่าไหม เดินทางมาเหนื่อยๆ” พ่อเป็นฝ่ายเล่าเรื่องงงๆในเช้านี้ให้ฟังแบบที่มันหวานไม่ต้องเอ่ยปากขอเลยด้วยซ้ำ
แล้วการที่บอกว่าอีกคนมาถึงตั้งแต่เจ็ดโมง นั่นมันไม่ได้หมายความว่าหมอปลายเมฆต้องออกจากกรุงเทพฯตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่ไม่ใช่หรอ
ทำไมถึง..
“พี่นั่งเครื่องบินมาครับ” เหมือนจะรู้ว่ากำลังสงสัย เสียงทุ้มนั่นจึงเอ่ยเฉลยในขณะที่มือนั้นก็กำลังหั่นผักอยู่บนเขียง
มันหวานเห็น นิ้วชี้ข้างซ้ายนั้นมีพลาสเตอร์แปะอยู่และดูเหมือนจะเป็นพลาสเตอร์ที่เพิ่งถูกการใช้งานไปไม่นาน
“ยังไม่ได้ถามสักหน่อย” มันหวานบ่นอุบอิบแต่ก็ไม่รอดพ้นไปจากการได้ยินของคนโตกว่า ปลายเมฆลอบยิ้ม เขามองคนตัวเล็กที่ตีหน้ายุ่งก่อนจะเดินไปช่วยพ่อตัวเองทำอาหาร
ที่จริงอย่างที่ลุงกำนันบอกก็ถูกเขาควรพักผ่อนหลังจากเดินทางมาเหนื่อยๆ ปกติแล้วปลายเมฆไม่ชอบนั่งเครื่องบินเสียเท่าไรเขาชอบขับรถมากกว่าเหมือนที่เคยขับรถมาที่นี่ แต่ครั้งนี้มันต่างกันที่ถ้าเขาขับรถมาเองเหมือนเก่าจะทำให้เสียเวลาในการเดินทางกว่าที่เคยจึงจำเป็นต้องเลือกในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
เพื่อมาเจอกับสิ่งที่ชอบได้ไวขึ้น
ปลายเมฆนั่งเครื่องบินมาไม่กี่ชั่วโมงและเลือกจะเช่ารถขับมาที่หมู่บ้านนี้และขากลับก็คงเหมือนเดิม เขาคาดคิดไว้แล้วว่าจะทำแบบนี้ทุกอาทิตย์จนกว่ามันหวานจะเปิดเรียน
ปลายเมฆได้วันหยุดมาสองวันนั่นคือเสาร์และอาทิตย์แต่เขาต้องแลกกับการเพิ่มจำนวนเวลาในการอยู่เวรในวันจันทร์ถึงศุกร์มากกว่าเดิม เหนื่อยเพิ่มนิดหน่อยแต่ไม่เท่าไรหากมันจะทำให้เขาได้มาเจอมันหวานบ้างก็ยังดี
ไม่ได้อยากจะละเลยกับสิ่งที่อีกคนบอกให้ห่าง เพราะปลายเมฆจะไม่ทำตัวให้วุ่นวายจนอีกคนอึดอัด เขาเพียงแค่อยากมาเจอหน้า อยากได้ยินเสียง มาเติมความคิดถึงและต่อลมหายใจเพื่อไปใช้ต่อที่กรุงเทพฯก็เท่านั้น
“หมอเขาทำของโปรดลูกด้วยนะมันหวาน” มันหวานชะงักมือที่กำลังหั่นกะหล่ำปีช่วยพ่อ เขาเบือนสายตามองไปยังคนตัวสูงที่กำลังยืนทำบางอย่างอยู่หน้าเตาก่อนที่กลิ่นหอมๆที่คุ้นเคยจะพุ่งพวยกระทบเข้ากับปลายจมูก
“มันหวานช่วยชิมหน่อยได้ไหมครับว่ามันโอเคหรือยัง” คำขอนั้นทำให้มันหวานเกิดการลังเล แต่ถ้าปฏิเสธก็คงจะโดนพ่อดุว่าเป็นเด็กนิสัยไม่น่ารัก มันหวานจึงต้องเดินไปหาคนตัวสูงที่กำลังใช้ช้อนตักน้ำแกงขึ้นมาและเป่าไล่ควันร้อนเบาๆ ก่อนจะยื่นมันจ่อที่ริมฝีปากของเขา
“จะถือเอง” มันหวานก้มหน้างุดบอกเบาๆเมื่ออีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะป้อนกัน
“ครับๆ” หมอปลายเมฆไม่ได้อยากจะขัดใจให้คนตัวเล็กต้องงอแง เขาจึงส่งช้อนให้กับอีกฝ่ายก่อนจะมองริมฝีปากจิ้มลิ้มเปิดอ้าเพียงเล็กน้อยและชิมแกงฝีมือของเขา
ใจเต้นไปหมดกับเพียงแค่อีกฝ่ายชิมอาหารที่ตัวเองทำ
แกงอ่อมไก่ใส่ผักชีลาวที่มันหวานชอบ เมนูนี้ที่เขาเคยฝึกทำกับลุงกำนันและเคยฝึกทำที่คอนโดของตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน เลิกงานก็ลองทำ ทำอยู่อย่างนั้น ทำเองกินเองไม่รู้กี่ครั้งเข้าไปแล้ว
“ชิมแล้ว”
“เป็นไงครับ พอทานได้ไหม” ปลายเมฆถามพลางรับช้อนมาจากมือของอีกฝ่าย มันหวานไม่ได้ตอบแต่กลับเงยหน้ามองกันก่อนจะเสสายตาไปทางอื่น ทิ้งระยะเวลาให้ระทึกใจเล่นๆก่อนที่ศีรษะทุยๆนั้นจะพยักขึ้นลง
เหมือนทำภารกิจผ่าน ปลายเมฆยิ้มเหมือนคนบ้าในขณะที่คนเด็กกว่าตีหน้ายุ่งเดินไปยืนข้างพ่อของตัวเองเหมือนเก่า
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นอาหารเช้าก็พร้อมจัด มีแกงอ่อมไก่ที่ปลายเมฆเป็นคนทำ ผัดกะหล่ำใส่กุ้งกับทอดมันปลาที่ลุงกำนันเป็นคนทำ ส่วนเด็กที่ตื่นสายวันนี้มีหน้าที่ตักข้าวใส่จานและรินน้ำใส่แก้ว
มันหวานกำลังจดจ้อง เขามองอาหารแกงโปรดของตัวเองแทบไม่ละสายตา แต่ก็ไม่กล้าจะเอื้อมมือไปตัก ไม่ใช่เพราะมันไม่อร่อยในตอนที่ชิม กลับกันมันทำให้เขาแปลกใจว่าหมอปลายเมฆที่แค่ทอดไข่ดาวยังไหม้สามารถทำของโปรดของเขาออกมาได้อร่อยแบบนี้ได้ยังไง ถึงมันจะไม่ได้อร่อยเท่าที่พ่อหรือที่เขาทำเอง แต่ก็อดยอมรับมันไม่ได้ว่ามันอร่อยและถูกปากเขาไม่น้อย
ไม่รู้ว่าต้องหัดทำมากแค่ไหน แต่พอพ่อกระซิบบอกว่าหมอปลายเมฆหัดทำอยู่นานมันก็ทำให้เขาอดหัวใจพองโตไม่ได้
“พี่ตักให้”
“อ่ะ!” มันหวานหลุดจากความคิดของตัวเองเมื่อแกงโปรดถูกตักใส่จานให้แก่กัน เขาช้อนสายตามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรอยยิ้มอบอุ่นที่ประดับอยู่บนริมฝีปาก แค่นั้นมันก็ทำให้มันหวานใจร้ายไม่ลง
คนตัวเล็กตักอาหารที่อีกฝ่ายตักให้เข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆโดยไม่สบตาคนทำด้วยซ้ำเพราะกลัวจะติดคอเอาถ้าต้องเห็นรอยยิ้มพึงพอใจกับสายตาเอ็นดูที่มองเขากินข้าวแบบนั้น
ทางหมอปลายเมฆเองก็แทบจะเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่เมื่ออาหารที่ตัวเองตั้งใจทำจนโดนมีดบาดเพราะตื่นเต้นนั้นไม่ถูกละเลยจนเป็นหมัน การที่ได้เห็นคนที่เรารักกินอาหารที่เราตั้งใจทำให้มันมีความสุขแบบนี้นี่เอง มันทำให้ปลายเมฆอยากไปเรียนทำอาหารเดี๋ยวนั้นและเขาจะเลือกทำแต่ของที่มันหวานชอบ
ลาออกจากการเป็นหมอเลยดีไหมนะ?
มื้ออาหารดำเนินไปเรื่อยๆ โดยบทสนทนาต่างๆที่ลุงกำนันเป็นคนเริ่ม ถามไถ่เรื่องที่กรุงเทพฯสลับกับเล่าเรื่องจิปาถะของแก แต่สิ่งที่ทำให้ปลายเมฆสนใจมากกว่าคือการที่คนตัวเล็กตักข้าวเพิ่มและขยับถ้วยแกงของเขาไว้ตรงหน้าของตัวเองเหมือนเป็นการถือครองแกงถ้วยนั้นเพียงคนเดียว
ปลายเมฆและกำนันอดไม่ได้ที่จะลอบมองหน้ากันแล้วหลุดยิ้มออกมาแบบที่คนตัวเล็กไม่มีทางได้เห็นเพราะก้มหน้าก้มตากินข้าวจนแก้มตุ้ย
แล้วมื้อเช้าก็จบลงแบบที่มันหวานเป็นคนล้างจานเองทั้งหมดโดยที่ไม่สนใจคำขอของใครบางคนที่จะอยู่ช่วยเขาล้างจาน และโชคดีที่พ่อบอกให้หมอปลายเมฆไปพักผ่อนสักหน่อยคนตัวสูงก็เลยยอมไม่มาวุ่นวายตรงนี้
คนตัวเล็กจึงหายใจสะดวกไปได้อีกเปราะหนึ่ง
มันหวานไม่ได้นึกรำคาญหรืออะไรแต่แค่กลัวว่าจะโดนอีกฝ่ายล้อว่ากินอาหารที่ทำให้จนหมดเกลี้ยงแบบที่แทบไม่แตะอาหารของพ่อเลยสักนิด
กลัวว่าจะถูกจับได้ว่าแคร์มากมายตั้งขนาดนั้น
ย่ำเที่ยงครึ่งที่หมอปลายเมฆตื่นจากการพักผ่อนระยะสั้น คนตัวสูงเดินออกมาจากห้องห้องเดิมที่เคยใช้นอนก่อนจะอาบน้ำอีกรอบเพราะรู้สึกร้อน เมื่อเสร็จเขาจึงเดินออกจากห้องพร้อมกับบางสิ่งที่ถือติดมือมาด้วย
คนตัวสูงเดินไปหาร่างเล็กที่นั่งดูข่าวเที่ยงอยู่บนโซฟาคนเดียวไร้วี่แววของลุงกำนันและเหมือนฝีเท้าของเขาจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวจึงหันมามองหน้ากันก่อนจะหันกลับไปมองทีวีเหมือนเก่า
“มันหวานครับ” ปลายเมฆเอ่ยเรียก เขานั่งลงที่โซฟาข้างกายอีกคนแต่เว้นที่ไว้ไม่ให้คนตัวเล็กอึดอัดมากเกินไปก่อนจะส่งสิ่งที่อยู่ในมือให้
มันหวานยอมละสายตาจากทีวีมาหาอีกฝ่ายก่อนที่กล่องสีขุ่นที่บรรจุอะไรสักอย่างจะถูกส่งมาให้พร้อมกับดอกกุหลาบสีแดงสดสามดอกเหมือนอย่างเคย
จะให้ดอกกุหลาบเขาทุกครั้งที่เจอหน้าเลยหรือไงกัน
แล้วไม่คิดจะเปลี่ยนชนิดหรือจำนวนเลยหรอ?
“ที่อยู่ในกล่องคือเบบี้แครอทครับ พี่ปลูกเอง มันโตแล้วกินได้ พี่เลยเอามาให้” คำอธิบายของที่อยู่ในกล่องถูกเอ่ยออกไป ปลายเมฆมองมือเล็กที่รับของทุกอย่างที่เขานำมาให้ไป ก่อนที่ดอกกุหลาบจะถูกวางไว้บนหน้าตักและมันหวานที่กำลังเปิดฝากล่องสีขุ่นนั้นออก
เบบี้แครอทที่เขาเพียรปลูกด้วยความตั้งใจมาหลายอาทิตย์ตอนนี้มันถูกส่งให้แก่คนตรงหน้า ปลายเมฆเลือกอันที่ดีและสวยที่สุดมาและเขาหวังว่ามันหวานจะชอบมัน
ทั้งหมดนั่นคือความตั้งใจของเขา แม้ว่าที่คาดคิดเอาไว้คือเขาทั้งสองจะเก็บเกี่ยวแครอทชนิดนี้ด้วยกันก็ตาม แต่ไม่เป็นไรถึงแม้เขาจะต้องเป็นฝ่ายเก็บเกี่ยวมันคนเดียว อย่างน้อยแครอทที่เขาใส่ความรักเอาไว้มันก็อยู่ในมือของเจ้าของอย่างปลอดภัยแล้ว
“กินได้นะ พี่ลองกินมาแล้ว หวานดีกรอบด้วย”
มันหวานฟังคำโฆษณาของอีกฝ่าย คนตัวเล็กชั่งใจ ไม่ใช่ว่าไม่กล้าลอง กลับกันมันหวานอยากกินมันซะเดี๋ยวนี้เพราะมันหวานชอบกินแครอทมากๆ และยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนปลูกมันขึ้นมาเองมันยิ่งเสริมความน่ากินไปหลายเท่า
แต่ถ้ากินมันตอนนี้อีกฝ่ายจะได้ใจหรือเปล่านะ?
“อิ่มอยู่” มันหวานแสร้งพูดปดก่อนจะปิดฝากล่องเหมือนเดิม คนตัวเล็กคว้าดอกกุหลาบมาถือก่อนจะเดินไปยังห้องครัวโดยการนำกล่องเบบี้แครอทไปแช่ในตู้เย็นแล้วผละตัวไปยังห้องนอนพยายามเลี่ยงสายตาหงอยๆที่คล้ายเหมือนหมาตัวโย่งๆที่หูลู่หางตกที่เจ้านายไม่ยอมสนใจของคนตัวโตๆที่นั่งอยู่บนโซฟา
มันหวานไม่ได้อยากเปรียบหมอปลายเมฆเป็นหมาหรอกนะ แต่ท่าทางของอีกคนที่มันหวานเห็นผ่านหางตามันอดไม่ได้จริงๆที่จะเปรียบเทียบแบบนั้น
ไม่รู้จะน้อยใจหรือเปล่า แต่ใช่ว่ามันหวานจะเอามันไปทิ้งหรือไม่กินสักหน่อย ก็แค่เก็บเอาไว้ก่อนก็เท่านั้น
คนตัวเล็กยืนพิงประตูก่อนจะยกดอกกุหลาบขึ้นมาไว้ที่ระดับใบหน้า รอยยิ้มน่ารักถูกเผยออกมาพลางกดจมูกแตะลงที่กลีบกุหลาบสีสวย
มันอดไม่ได้หรอกที่จะดีใจกับสิ่งนี้ มันหวานรู้สึกเหมือนถูกเพิ่มเติมความสำคัญให้กับตัวเอง มันเป็นความรู้สึกดีๆแบบที่มันหวานไม่เคยได้รับจากผู้ชายคนนี้เพราะที่ผ่านมามันหวานเหมือนจะเป็นฝ่ายเข้าหาและพยายามอยู่ฝ่ายเดียว
และสิ่งที่มันหวานเป็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่การเล่นตัว แต่เป็นการทดสอบใจของอีกฝ่าย มันหวานรู้ถึงความรู้สึกในหัวใจของตัวเองดีว่ามันเต้นแรงแค่ไหนเพียงแค่เห็นอีกคนวันนี้ในบ้านของตัวเอง
คนที่ยอมเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเพื่อมาเจอกัน คนที่ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำเพื่อเขา คนที่กำลังพยายามจะซื้อใจกันให้กลับไปเป็นของตัวเองเหมือนเก่า
แต่การที่มันหวานยังคงยั้งตัวเองไว้ไม่ให้เผลอไปอย่างเร็วรี่ตอนนี้ก็เพื่อปกป้องความรู้สึกของตัวเองแม้จะมีเพียงเกราะสีใสบางๆเท่านั้นที่ปิดกั้น แต่อย่างน้อยมันหวานก็พยายามทำเพื่อตัวเองแล้ว
ทำเพื่อหัวใจของตัวเองที่ไม่ได้มีความแข็งแรงเลยสักนิด
อีกอย่างที่ทำให้มันหวานยังคงไม่กลับไป เพราะมันหวานยังคงรู้สึกผิดต่อเตวิณ เขาทั้งสองเพิ่งเลิกกันมาหมาดๆ มันหวานคงเป็นคนที่ใจร้ายน่าดูที่ให้ตัวเองได้เริ่มต้นใหม่ในขณะที่เตวิณอาจจะกำลังอยู่ในช่วงของการทำใจ
ซึ่งมันหวานก็ไม่รู้เลยว่าถ้าเปิดเรียนแล้วเขาทั้งคู่ได้เจอกัน มันหวานจะต้องทำตัวแบบไหนทำหน้าอย่างไร ในเมื่อระหว่างเขากับเตวิณมันไม่เหมือนเก่า เขาทั้งคู่กระจัดกระจายไปกันคนละทิศละทางและแน่นอนว่าไม่สามารถกลับมาต่อติดกันได้อีกแล้วไม่ว่าจะในสถานะใดๆก็ตาม
มันหวานออกมาจากห้องอีกทีก็ไม่เจอคนตัวโตๆนั่งอยู่ที่โซฟาเหมือนเก่า คนตัวเล็กจึงเดินลงจากบ้านก่อนจะมองหาอีกฝ่ายที่ใต้ถุนบ้านแต่ก็ไม่พบเหมือนอย่างเคยก่อนจะตัดสินใจเดินไปหลังบ้านที่เป็นสวนผักแล้วก็อย่างที่คาดคิดหมอปลายเมฆอยู่ตรงนั้นหน้าแปลงผักกับพลั่วดินที่อยู่ในมือ
ทำอะไรของเขากัน เป็นหมอมันยังเหนื่อยไม่พอหรือไงถึงอยากเป็นคนสวนแบบนี้?
มันหวานเดินเข้าไปเงียบๆเขาไม่ได้ส่งเสียงเอ่ยทักคนที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการขุดดิน แต่มันหวานแอบเห็นว่าหน้าหล่อใสกิ๊งของคนเป็นหมอกำลังเลอะไปด้วยดินจนมอมแมมเหมือนเด็กๆ
“เห้ย!” มันหวานสะดุ้งเมื่ออีกคนสะดุ้งพร้อมร้องออกมาเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่หมอปลายเมฆจะหยัดตัวลุกขึ้นยืนและหันมาสบตาเขาพอดี “มันหวาน?”
ปลายเมฆมองคนตัวเล็กที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรแต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจไม่ใช่การที่มันหวานมาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงแต่เป็นการที่เขาเจอไส้เดือนตัวเบ้อเร่อในขณะที่กำลังขุดดินเตรียมปลูกมะเขือเทศ
ปลายเมฆได้เมล็ดมะเขือเทศพันธุ์ดีมาเขาก็เลยเอ่ยขออนุญาตลุงกำนันไปเมื่อเช้าว่าขอนำมันมาปลูก แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับความยึกหยึ๋ยของไส้เดือนแบบนี้
“เอ่อ คือพี่กลัวไส้เดือนน่ะครับ” ปลายเมฆเอ่ยบอกคนตัวเล็กเสียงเบาหวิวเหมือนขลาดอายซึ่งจริงๆก็อายนั่นแหละ เป็นถึงหมอแต่กลับกลัวไส้เดือนแบบนี้
มันหวานไม่ได้พูดอะไร เขานั่งยองๆตรงหลุมดินที่อีกคนขุด มองไส้เดือนที่กำลังไชดินเล่น ถ้าเป็นมันหวานก็คงปล่อยให้มันอยู่ในที่ของมันแต่เพราะอีกฝ่ายที่ตัวโตอย่างกับยักษ์แต่กลับกลัวไส้เดือน มันจึงทำให้มันหวานต้องใช้นิ้วมือทั้งห้าคว้าไส้เดือนขึ้นมาและโยนมันไปไกลๆ
ด้วยมือเปล่า.. แบบที่ใครบางคนตาโตทันทีที่ได้เห็น
มันหวานปัดมือเปาะแปะไล่เศษดินก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นยืน เขาเพยิดหน้าให้อีกคนทำให้สิ่งที่ทำค้างไว้อยู่ก่อนที่ตัวเองจะเดินออกมาจากแปลงผัก
ปลายเมฆมองคนตัวเล็กที่เดินออกไปอย่างงงๆปนความตกใจเล็กน้อยที่มันหวานสามารถจับไส้เดือนด้วยมือเปล่าแบบนั้น โอเคแหละว่าเขาเป็นหมอก็จับตับไตไส้พุงที่ชุ่มเลือดของคนไข้มาไม่น้อยแต่อย่างน้อยเขาก็ใส่ถุงมือไง แต่นี่มันหวานใช้มือเปล่า ซึ่งมัน....
ปลายเมฆสะบัดความยึกหยึ๋ยของไส้เดือนออกจากความคิดก่อนจะกลับมาปลูกมะเขือเทศต่อ แต่ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีคนตัวเล็กที่เดินออกไปก็กลับมาอีกครั้ง
เขามองมันหวานที่กำลังนั่งลงบนที่เก้าอี้ไม้ไม่ไกลจากเขามากก่อนจะวางขันน้ำไว้ข้างๆกาย โดยที่หน้าตักนั้นมีกล่องใส่เบบี้แครอทของเขาอยู่และดูเหมือนมันจะถูกหั่นเป็นแว่นๆพร้อมทานแล้ว
ปลายเมฆยิ้มออกมาแม้อากาศจะอบอ้าว แต่ไม่รู้สิ เขายิ้มออกมาเหมือนคนบ้าเพียงแค่อีกคนกำลังใช้ส้อมจิ้มแครอทของเขาเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆพลางทำเป็นมองนกมองไม้ มองทุกอย่างยกเว้นเขานั่นแหละ
คุณหมอจึงละสายตาจากความน่ารักมาปลูกมะเขือเทศของตัวเองต่อเพราะเกรงว่าคนถูกแอบมองจะไม่พอใจแล้วเดินหนีกันไปเสียก่อน แม้จะไม่เข้าใจว่ามันหวานมานั่งทำไมตรงนี้ แต่เขาจะคิดเข้าข้างตัวเองแล้วกันว่ามันหวานมานั่งให้กำลังใจ หรือไม่ก็อาจจะรอคอยจัดการกับไส้เดือนให้เขา
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลไหนก็ตามแต่ ปลายเมฆก็มีความสุขทั้งนั้น ขอแค่อีกคนอยู่ในระยะสายตาของเขาแบบนี้มันก็เกินพอแล้ว
จะหวังอะไรมากเกินไปไม่ได้หรอกกับคนที่มีความผิดมากมายแบบเขาน่ะ
ทางเด็กหนุ่มตัวน้อยก็กินเบบี้แครอทไปเรื่อยๆจนหมดกล่องและมันหวานกรอบแบบที่อีกฝ่ายโม้เอาไว้รู้ตัวอีกทีก็กินจนเกลี้ยง มันหวานวางกล่องเปล่าไว้ที่ข้างตัวก่อนจะแอบหันไปมองผู้ชายตัวโตที่กำลังลังใช้สองมือกลบหน้าดินจนมือทั้งสองข้างเลอะเทอะไปหมด
มันหวานลุกขึ้นเขาถือขันน้ำไปใกล้อีกคน ใช้นิ้วชี้เล็กๆสะกิดไหล่กว้างเบาๆก่อนที่คนตัวโตกว่าจะเงยหน้าขึ้นมามองกัน
“ครับ?”
“น้ำ” มันหวานตอบอ้อมแอ้ม เขายื่นขันน้ำไปให้อีกฝ่ายแต่คนเจ้าเล่ห์กลับไม่ยอมรับมันไปถือเอาไว้แต่กลับเอ่ยประโยคที่ทำให้มันหวานอยากจะเทน้ำในขันทิ้งมันซะเดี๋ยวนั้น
“มือพี่เลอะน่ะครับ มันหวานป้อนให้หน่อยได้ไหม?”
ทำไมเสียงต้องอ่อย ทำไมสายตาต้องอ้อน..
“นะครับ หิวน้ำจะแย่แล้ว” มันเหมือนจะได้ผล ปลายเมฆมองคนตัวเล็กที่นั่งยองๆข้างกันก่อนจะประคองขันน้ำไว้ด้วยสองมือพลางจ่อขอบขันที่ริมฝีปากของเขา
ปลายเมฆดื่มมันช้าๆ ช้อนตามองคนตัวเล็กที่แก้มยุ้ยๆทั้งสองข้างกำลังบ่มสีแดงน้อยๆอย่างแสนน่ารัก ไม่รู้ว่าน้ำเปล่าที่เหยาะอุทัยทิพย์ลงไปมันหวานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ยิ่งดื่มยิ่งมองหน้าเด็กตัวขาวที่สายตาลอกแล่กมันยิ่งทำให้น้ำที่ปลายเมฆดื่มนั้นหวานฉ่ำไปทั้งหัวใจ
ดับความกระหายแต่ไม่ดับความสุขของใจเขาได้เลย
น้ำดื่มเกือบหมดขันปลายเมฆถึงยอมละริมฝีปากออกจากขอบขันสีเงิน คนตัวสูงมองเด็กน้อยตรงหน้าที่วางขันน้ำไว้ข้างกายก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตัวเองและส่งให้เขา
มันคือผ้าเช็ดหน้าสีฟ้า แต่มือปลายเมฆเลอะดินไปหมดแล้ว เอายังไงดีนะ?
“มือเลอะครับ” เขาเปรยไปแค่นั้นพลางยิ้มร่าเมื่อคนตัวเล็กถอนหายใจฮึดฮัดขัดกับการกระทำ
ก็ตอนนี้ปลายเมฆกำลังเอียงหน้าและมันหวานกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้เขาอย่างเบามือ
ปลายเมฆลอบมองใบหน้าหวานกับดวงตาสีอ่อนที่กวาดมองทั่วใบหน้าของเขา ผ้าเช็ดหน้าหอมๆกับการกระทำที่แสนหวานนั่นมันทำให้ปลายเมฆใจเต้นไม่เป็นส่ำ
อยู่ดีๆเขาก็นึกถึงวันนั้น วันที่มันหวานโดนพริกกระเด็นเข้าตาและเขาที่ดูให้โดยการประคองแก้มอีกคนไว้เต็มสองมือ
วันนี้เขาทำไม่ได้เพราะมือทั้งสองข้างของเขาสกปรกเกินไป ปลายเมฆจึงเอียงแก้มแนบไปกับฝ่ามือเล็กของอีกคนที่หยุดกึกกะทันหัน เขาทั้งคู่สบตากันเหมือนกับลมที่พัดผ่านพากันหยุดหมุนกะทันหัน
ปลายเมฆจำได้ในวันนั้นแก้มของมันหวานก็ขึ้นสีแดงแบบตอนนี้ สีแก้มที่คล้ายกับสีของพระอาทิตย์ตอนกำลังจะตกดินกับประโยคแสนน่ารักประโยคนั้น
‘หมอปลายเอาหน้าออกไปหน่อยได้ไหมจ๊ะ มันหวานว่ามันหวานเขินมากๆแล้วตอนนี้’
เขาจำได้ดี ประโยคใสชื่อที่มาพร้อมกับเสียงหวานๆปนความขลาดเขิน
“มันหวานครับ” เขาเอ่ยเรียกคนตรงหน้า เสียงแผ่วเบาเหมือนคนที่ไม่รู้ตัว และอีกฝ่ายที่เพียงแค่มองหน้ากันนิ่งๆ ปล่อยให้เขาเอียงแก้มแนบกับฝ่ามือที่จับผ้าเช็ดหน้าอยู่แบบนั้น
“พี่ว่า.. พี่รักมันหวานมากขึ้นอีกแล้วในตอนนี้”
วันนี้ก่อนตะวันจะลาลับ ปลายเมฆได้เห็นพวงแก้มคล้ายกับเฉดของพระอาทิตย์กำลังจะตกดินอีกครั้ง และมันยังคงสวยงามเสมอ เหมือนอย่างเคย เหมือนอย่างวันนั้น พระอาทิตย์ดวงเดิมในวันที่เขาได้ทำความรู้จักกับใครบางคน ..
ใครบางคนที่ทำให้ปลายเมฆตกหลุมรักอีกครั้งในวันนี้
ตกหลุมรัก หยั่งลึก และไม่คิดจะปีนป่ายขึ้นมา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เขินอ่าาาาาาาาอร้ายยยยยยยน่ารักมากกกกกหมอปลายยยยยยยยชอบมากๆรอนะคะสู้ๆค่ะ
ตลกพี่หอกลัวไส้เดือน แต่เรมก็กลัวแหะ 555555