ตอนที่ 25 : เหนือปลายเมฆ ☆ XXIV
เหนือปลายเมฆ ☆ XXIV
ผมรักคุณนะ ถึงมันจะเกิดขึ้นช้าแต่ผมก็รักคุณ
หกโมงเย็นสามสิบสี่นาทีกับบรรยากาศความตึงเครียดของห้องผ่าตัดที่เพิ่งเสร็จสิ้นผ่านพ้นมาไม่ถึงสามนาที แทนไทเดินออกมาจากห้องผ่าตัดพร้อมกับเพื่อนสนิท วันนี้ทั้งเขาและปลายเมฆมีผ่าตัดใหญ่ร่วมกันและแน่นอนว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีอย่างที่ทุกคนปรารถนา
ชายหนุ่มร่างสูงถอดถุงมือรวมทั้งแผ่นหน้ากากอนามัยทิ้งก่อนจะทำความสะอาดฝ่ามืออยู่ข้างๆเพื่อนสนิทที่ช่วงหลังมานี้เงียบปากเกินจำเป็น ก็เข้าใจว่าอะไรทำให้ปลายเมฆดูเงียบขรึมมากกว่าที่เคยเป็นแต่ก็บอกตามตรงว่าใจของเพื่อนสนิทอย่างแทนไทไม่ได้ยินดีนักหรอกที่เห็นเพื่อนของตัวเองเป็นถึงขนาดนี้
“วันนี้เลิกเวรกี่โมงวะ” คำถามประจำวันถูกถามออกไปแม้จะเห็นตารางงานคร่าวๆของเพื่อนตัวเองมาแล้วก็ตาม แต่แทนไทจะเรียกนี่ว่า'การเกริ่นคำนำก่อนจะเข้าเนื้อหาจริง'
“ตีสี่” ปลายเมฆตอบสั้นๆก่อนจะสลัดน้ำที่เกาะตามฝ่ามือออกเบาๆ เขายืนกอดอกพิงกับที่ล้างมือมองเพื่อนสนิทที่มองสีหน้าก็รู้แล้วว่ามีอะไรอยากถามมากกว่านั้น
“ว๊าย กูเลิกตีสองว่ะ”
“อืม ดีใจด้วย” ปลายเมฆกระตุกยิ้ม เขาเบนหน้าหนีเพื่อนตัวดีที่สะบัดน้ำในมือของตัวเองใส่หน้ากัน
“หน้ามึงดูหมองหม่นมากๆเลยอ่ะ มีอะไรบอกเพื่อนฝูงได้นะ” แล้วแทนไทก็เริ่มต้นหัวข้อในการสนทนาในวันนี้ เขามองใบหน้าของเพื่อนตัวดีอย่างถี่ถ้วนถ้าไม่นับตอนที่ยิ้มรับคำขอบคุณจากคนไข้ ก็แทบจำไม่ได้แล้วว่าเห็นปลายเมฆยิ้มออกมาเต็มริมฝีปากครั้งสุดท้ายตอนไหน
“บอกอะไรล่ะ”
“ถามจริงๆนะมันไม่ได้ดีขึ้นเลยหรอวะ” เหมือนจะเป็นคำถามปลายเปิดแต่แทนไทรู้ว่าคู่สนทนานั้นเข้าใจความหมายของคำถามนั้นดี
เรื่องราวล่าสุดที่ได้ฟังจากปากเพื่อนสนิทเกี่ยวกับความคืบหน้าของความรักที่ยุ่งยากคือปลายเมฆได้ร่วมมื้ออาหารกับมันหวานในรอบสามเดือน ตอนแรกแทนไทได้ฟังก็แทบจะปิดปากกรี๊ด ใจก็นึกว่าเพื่อนกูแม่งได้ว่ะ คืบหน้าไปขนาดนั้นแล้ว! ก่อนจะถูกเบรกหน้าทิ่มด้วยประโยคที่ว่า 'แฟนเขาก็อยู่ในมื้ออาหารนั้นด้วย' แทนไทเลยไม่รู้จะสงสารส่วนไหนของเพื่อนตัวเองก่อนดี ระหว่างสีหน้าหงอยๆกับหัวใจหม่นหมองของมัน
“จะเอาอะไรมาดี ทุกอย่างยังเหมือนเดิม” ปลายเมฆเอ่ยเสียงเบา เขาเสยผมไปด้านหลังก่อนจะตวัดสายตามามองหน้าเพื่อนของตัวเอง “เคยอยู่ไกลแค่ไหนก็ยังอยู่ไกลแค่นั้น”
“มีตัดพ้อว่ะๆ” เขาเอ่ยแซว “แล้วยังไปแอบมองเขาอยู่หรือเปล่า” แทนไทรู้เพราะปลายเมฆเป็นคนเล่าให้ฟังว่าเวลามีเวลาว่างๆที่ไม่ต้องเข้าเวรเพื่อนของเขาจะขับรถออกไปแอบมองมันหวานที่มหาวิทยาลัย แต่ไอ้เวลาว่างๆนั่นน่ะแทนไทก็รู้อีกเหมือนกันว่ามันไม่ค่อยจะมี
“ปิดเทอมแล้วเลยไม่ได้ไป”
“ไม่รู้ที่อยู่หรอ”
“ไม่รู้”
“ทำไมไม่รู้วะ” ความสงสัยถูกถามออกไปติดๆ ก็ในเมื่อเขาปิดเทอมไม่ได้มาเรียนเราก็ตามไปยังที่ที่เขาอยู่ก็ได้ไม่ใช่หรอวะ จะทนคิดถึงทำไมกัน เงินเยอะแยะจ้างสืบแป๊ปเดียวก็ได้ที่อยู่มาครอบครองละ
ก็รู้อยู่แก่ใจแหละว่าการสนับสนุนให้เพื่อนของตัวเองไปแอบมองแฟนชาวบ้านมันไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไร แต่เพราะว่าความเป็นเพื่อนเนี่ยแหละถึงอยากให้เพื่อนได้มีความสุขบ้างแม้จะมาจากเศษเล็กๆน้อยๆก็ตาม
สุดท้ายแทนไทก็ยังเข้าข้างเพื่อนตัวเองอยู่ดี จะทำไงได้ ก็นี่เพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิตที่เขามีแล้ว
“แค่นี้ก็เหมือนโรคจิตแล้ว”
“ไม่ขนาดนั้นป่ะวะ” แทนไทแย้งเพราะเพื่อนเขาก็แค่แอบมองห่างๆไม่ได้ทำอะไรเกินเลยสักหน่อย
“กลัวจะห้ามตัวเองไม่ได้ถ้ารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“...”
“ไม่รู้ตัวเองจะเป็นยังไงเลยถ้าได้เห็นว่าที่ไหนที่เขาใช้อยู่ด้วยกัน”
ประโยคนั้นของเพื่อนสนิททำให้แทนไทอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยืดยาวออกมา ไม่ได้อยากจะเข้าใจหัวอกของคนอกหัก แต่พอเป็นปลายเมฆเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของเขา แทนไทกลับรู้สึกว่าเขาอยากช่วยเพื่อนแบกความรู้สึกหนักอึ้งพวกนั้น
ปลายเมฆไม่ใช่คนที่ชอบพูดและแทนไทจะไม่ได้รู้ความคืบหน้าหรือความรู้สึกใดๆเลยถ้าไม่เค้นถาม เขาจึงถามปลายเมฆเสมอว่าวันนี้เป็นยังไง ความรู้สึกในวันนี้ยังคงไหวไหม เพราะแทนไทคิดว่ามันอาจจะช่วยแบ่งเบาความหนักอึ้งในหัวใจของปลายเมฆได้บ้าง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่แทนไทไม่รู้ก็คือหัวใจของปลายเมฆแบกรับความหนักอึ้งไว้มากแค่ไหน
“เมฆ”
“อืม” คนข้างกายตอบรับในลำคอ แทนไทมองตามไปยังสายตาของเพื่อนและสายตาของปลายเมฆหยุดอยู่ตรงข้างหน้า ตรงกำแพงสีขาวที่ว่างเปล่า
เป็นความว่างเปล่าที่น่าเห็นใจ
“อยากกลับไปหามันหวานมากใช่ไหม” ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบของเพื่อนสนิทเป็นอย่างดี
“อืม มาก”
“...”
“แต่กลับไปไม่ได้ ไม่มีที่เหลือให้ยืนแล้ว”
แทนไทมองเพื่อนสนิทที่ละสายตาจากพนังกำแพงสีขาวมาเป็นปลายเท้าของตัวเอง เขาส่งมือไปลูบไหล่คนข้างกายเบาๆหวังให้เป็นการปลอบประโลมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แม้จะไม่รู้เลยว่ามันเคยเยียวยาบาดแผลในใจของเพื่อนสนิทได้บ้างไหม
“มึงยังไม่ให้อภัยตัวเองอีกหรอวะ”
แทนไทไม่รู้หรอกว่าระยะเวลาที่คนเราสมควรได้รับบทลงโทษมันต้องนานแค่ไหน เขารับรู้เพียงว่าเขาทนไม่ไหวที่ต้องเห็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวเป็นแบบนี้ตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ปลายเมฆเหมือนเป็นหุ่นยนต์สักตัวที่ใช้ชีวิตเพื่อรักษาคนไข้โดยไร้ซึ่งหัวใจในแต่ละวัน
เหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งระบบให้ทำได้เพียงเท่านี้ รู้สึกได้เพียงเท่านี้ เพราะถ้ารู้สึกหรือกระทำอะไรเกินกว่าที่ระบบตั้งกำหนดตัวเองจะกระเด็นกระดอนมากกว่าที่เคย
และสิ่งที่แทนไทรู้อย่างถ่องแท้คือตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้นจนกระทั่งวันนี้ ปลายเมฆยังโทษตัวเองอยู่ในทุกๆวัน ความผิดไม่เคยถูกโยนให้ม่านฝน ไม่เคยเจียดไปให้ใคร ปลายเมฆรับมันไว้เพียงคนเดียว อดทนกับผลกระทำของตัวเองอยู่ฝ่ายเดียวตรงนี้
แบกรับความผิดพลาดของตัวเองจนไหล่ที่เคยแข็งแกร่งทั้งสองข้างนั้นลู่ลง นั้นคือสิ่งที่แทนไทกำลังเห็น
“ให้อภัยตัวเองไม่ได้เลยหรอวะเมฆ”
“มันหวานยังไม่ให้อภัยเลย”
“...”
“แล้วจะกล้าให้อภัยตัวเองได้ยังไง”
หรือบางทีก็อาจจะมีแต่เด็กคนนั้นเพียงคนเดียวที่จะปลดล็อคความรู้สึกผิดของเพื่อนเขาได้ แทนไทก็หวังว่าจะมีสักวันที่มันหวานจะยอมให้อภัยกับความผิดที่เพื่อนเขาก่อ
แม้จะแอบเข้าข้างเพื่อนตัวเองไปหน่อยก็ตามว่าความผิดเพียงครั้งเดียวที่ปลายเมฆทำมามันไม่สามารถให้อภัยกันได้เลยน่ะหรอ
แทนไทไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เด็กมันหวานจะเป็นยังไงกับเส้นทางที่ตัวเองเลือก เส้นทางที่ปิดกั้นเพื่อนของเขาไม่ให้เฉียดเข้าไปใกล้ แทนไทรู้แค่ว่าถ้าหากมันหวานกำลังมีความเจ็บที่กำลังต่อสู้อยู่ อย่างน้อยมันหวานก็ยังคงมีแฟนของตัวเองคอยแบ่งปันที่อาจจะทำให้รู้สึกดีขึ้น หรือความเศร้านั้นมีความเจือจางลง แต่ปลายเมฆเพื่อนของเขาไม่มีใคร
ไม่มีใครเลยสักคน
“แทน”
“เออ”
“จำหนังเรื่องแฟนฉันที่เคยดูได้ไหม”
“จำได้”
หนังในความทรงจำที่ดูกี่รอบๆก็ไม่เคยเบื่อ แทนไทชอบการดำเนินเรื่อง ชอบความรู้สึกของตัวละคร เป็นหนังในวัยเด็กที่ทำให้รู้สึกดีและทำให้รู้สึกละเอียดอ่อนในการทำความเข้าใจของเนื้อหาที่ไม่เคยเข้าใจในวัยเด็กได้ดีมากขึ้นเมื่อก้าวผ่านหลายๆช่วงเวลามา
“ถ้าวันนั้นเจี๊ยบไม่ตื่นสาย เจี๊ยบก็จะไปทันน้อยหน่าใช่ไหม” ปลายเมฆเอ่ยถาม
ฉากเด็กหัวเกรียนที่ตัดยางเพื่อนผู้หญิงฉายขึ้นมาในภาพความคิด เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องการการยอมรับจากเพื่อนจนกล้าทำในสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องราว แต่ฉากที่ปลายเมฆถามไม่ใช่ฉากนั้นเพราะตอนนี้แทนไทเห็นฉากที่เจี๊ยบวิ่งจนรองเท้าหลุดกระเจิงเพื่อเร่งความเร็วของตัวเองให้ตามรถบรรทุกคันใหญ่ให้ทัน
แม้ว่าสุดท้ายเจี๊ยบก็ไม่เคยตามน้อยหน่าทันไม่ว่าจะเปิดหนังเรื่องนี้ดูกี่รอบก็ตาม
“กูไม่รู้หรอก เพราะกูไม่ใช่เจี๊ยบ และมึงก็ไม่ใช่เด็กที่ตื่นสายคนนั้นเหมือนกันเมฆ”
“เหมือนเห็นตัวเอง” แทนไทมองเพื่อนสนิทที่ยังคงก้มหน้ามองปลายท้าของตัวเองอยู่แบบนั้น “ถ้าเจี๊ยบไม่ตื่นสายก็คงตามน้อยหน่าทัน”
“ไม่เหมือนเลยสักนิด มึงไม่เหมือนเจี๊ยบเลยเมฆ”
แทนไทก้าวเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย เขาจับไหล่ที่หุ้มลงของเพื่อนสนิททั้งสองข้างไว้มั่นจนร่างสูงตรงหน้ายอมมองหน้ากันแทนปลายเท้าของตัวเอง
“เจี๊ยบมันพยายามแค่วันนั้นกับเรื่องของน้อยหน่า มึงจำได้ไหมว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันมันก็ร่าเริงกับกลุ่มเพื่อนของตัวเองเหมือนเดิมโดยที่เรื่องของน้อยหน่าก็ค่อยๆจางลงไป”
“...”
“แต่มึงไม่ใช่เลย มึงไม่ได้พยายามเพียงวันเดียวเหมือนที่เจี๊ยบทำ มึงไม่เคยปล่อยให้เรื่องของมันหวานจางลงเลยเพราะมึงเอาแต่เน้นย้ำว่ายังคงคิดถึงเด็กคนนั้นทุกวินาที มึงต้องการเขาทุกวัน ทุกเวลา”
“…”
“มึงก็พยายามอย่างมากเหมือนกันในเรื่องของเขาไม่ใช่หรอวะเมฆ”
“กู..”
“มึงพยายามจะเริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับเขาไม่ใช่หรอวะ มันหวานไม่ได้พยายามอยู่คนเดียวนะเมฆ มึงเข้าใจที่กูต้องการจะสื่อไหม”
ใครไม่เห็นความพยายามของเพื่อนเขา แต่แทนไทเห็น มันไม่ง่ายเลยนะที่ต้องเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนทั้งที่ไม่เคยต้องเริ่มรักใครใหม่มาเกือบสิบปี ปลายเมฆก็พยายามในส่วนของตัวเองแล้ว แต่มันดันมีอุปสรรคเข้ามา แล้วอุปสรรคนั้นดันเป็นอุปสรรคที่เป็นรักเดิมของปลายเมฆ
แต่แล้วยังไง ในเมื่อสุดท้ายแล้วเพื่อนของเขาก็เลือกที่จะรักเด็กคนนั้น จะยังรักแม้ว่าเด็กคนนั้นเป็นคนรักของคนอื่นไปแล้ว
แทนไทรู้ว่าปลายเมฆพยายามเซฟตัวเองที่สุดแล้วไม่ให้ก้าวก่ายอะไรกับมันหวานและเตวิณมากเกินไปทั้งที่ใจมันเรียกร้องว่าอยากได้คนของตัวเองกลับคืนมาจนแทบจะขาดใจ
เพื่อนของเขาพยายามน้อยไปกว่าใครตรงไหนกันหรอ
“แทน กูบอกกับมึงได้ไหมว่าตอนนี้กูรู้สึกยังไง”
“…”
“กูบอกกับมึงได้ไหม ว่าตอนนี้กูไม่ไหวเอาซะเลย”
“เมฆ”
“กูคิดถึงมันหวาน วันนั้นที่น้องเอากุญแจรถมาคืนให้ มึงรู้ไหมว่ากูดีใจมากแค่ไหนที่ได้ยินเสียงของน้อง”
แทนไทบีบไหล่เพื่อนตัวเองแน่น เขามองร่างสูงตรงหน้าที่ร่างกายสั่นเทาเพียงเล็กน้อย ปลายเมฆไม่ได้ร้องไห้ออกมา ดวงตาไม่ได้แดงก่ำแต่แทนไทกลับสัมผัสได้ว่ามันอัดแน่นไปด้วยความเสียใจและทรมานในม่านตาทั้งสองข้าง
“กูพยายามมากนะที่จะไม่เข้าไปกอด พยายามสุดใจเลยที่จะไม่รั้งน้องไว้ตอนที่เขากำลังจะเดินผ่านออกไป”
“...”
“ไม่ใช่ไม่อยากได้คืนกลับมานะแทน แต่ย้ำกับตัวเองตลอดว่ามึงไม่มีสิทธิ์นะปลายเมฆ มึงทำไม่ได้ เส้นของมึงอยู่ตรงนี้แอบมองเขาอยู่ห่างๆแล้วอย่าเสนอหน้าไปให้เขาเห็น”
“...”
“มึงรู้ไหมแทนไทว่ากูทำได้เพียงแค่แอบมองรอยยิ้มของมันหวานที่ยิ้มให้กับคนอื่น มึงรู้ไหมว่ากูอิจฉาเตวิณมากแค่ไหน”
“พูดออกมาเมฆ มึงพูดออกมา”
“กูอยากพูดมาตลอด” ปลายเมฆกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าคมก้มต่ำลง พลางปิดเปลือกตาลงและเค้นคำพูดที่แสนสั่นเทาของตัวเองออกมา
“...”
“กูรักมันหวาน รักมากเลยแทน”
“…”
“แม้มันจะมาช้ากว่าที่เขารู้สึก แต่ในวันนี้กูรักเขาแล้วนะ”
แทนไทคิดว่าผู้ชายตัวโตๆสองคนมายืนกอดกันดูน่าจะเป็นเรื่องพิลึกไปสักหน่อย แต่ตอนนี้เขาเลือกจะปาความพิลึกนั่นทิ้งและคว้าเพื่อนตัวโตของตัวเองมากอดเอาไว้ ไม่ได้โอบกอดเต็มสองแขนหรอกแค่ใช้มือข้างหนึ่งตบแผ่นหลังที่สั่นเทาเบาๆและปล่อยให้ปลายเมฆทิ้งศีรษะลงมาที่ไหล่ของเขา
แทนไทไม่รู้เลยว่าเขาควรจะใช้คำพูดแบบไหนให้เพื่อนของตัวเองดีขึ้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ปลายเมฆยอมพูดออกมาหมดเปลือกว่าในใจของตัวเองกำลังคิดอะไร และก็อย่างที่แทนไทคาดคิดไว้ว่าความรู้สึกของปลายเมฆมันหนักอึ้งมาตลอดจนวันนี้ที่ได้พูดออกมามันถึงทะลักทะล้นออกมาไม่หยุดแบบนี้
“ทำไมวะแทน ทำไมมันถึงสาหัสกับกูขนาดนี้กับการอยากจะรักใครใหม่”
“เพราะมึงไม่ได้เริ่มรักใครใหม่มานานแล้วไงเมฆ”
แทนไทเริ่มพูดต่อหลังจากปลายเมฆยอมละศีรษะหนักๆของตัวเองออกจากลาดไหล่ โชคดีไปที่เพื่อนเขามันไม่ได้อ่อนไหวจนทิ้งน้ำตาไว้บนเสื้อผ่าตัดของเขา
“มึงคบมันม่านฝนมาสิบปี มึงไม่เคยต้องเริ่มรักใครใหม่เพราะมึงมีความรักเดิมๆที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ใช้มันซ้ำๆในตลอดสิบปีนั้น”
แทนไทพูดออกมาช้าๆ เขาพูดมันออกมาตามที่เขาได้เห็นมาตลอด ความรักสิบปีของปลายเมฆและม่านฝน
“แล้วคนที่ไม่คิดว่าจะต้องมาเริ่มรักใครใหม่มันจะไม่เกิดการลังเลได้ยังไงวะ”
จะไม่ลังเลได้ยังไง จะไม่กลัวเจ็บอีกได้ยังไง ใครจะรับประกันว่ากับรักครั้งใหม่มันจะไม่จบด้วยคำว่าเสียใจอีก แม้ว่าใครอีกคนที่เข้ามาใหม่จะแสนดีเพียงไหน แต่ใครก่อนหน้านั้นก็เข้ามาจากความแสนดีเหมือนกันไม่ใช่หรอกหรือ แล้วเพื่อนของเขาผิดมากมายขนาดไหนกันที่จะสับสน ที่จะพลาด ที่จะอยากรักครั้งใหม่ แต่รักครั้งเก่ากลับเข้ามามีอิทธิพลจนรักครั้งใหม่เกิดช่องว่าง
สิบปี มันสิบปีเลยนะความรักในครั้งนั้น มันแทบจะเป็นอีกครึ่งชีวิตของเพื่อนเขาเลยไม่ใช่หรอ
ห้วงเวลาหนึ่งมันเคยเกิดการเปรียบเทียบ จนปลายเมฆไม่กล้าเอาตัวเองออกมาจากความรู้สึกเดิมๆ ไม่กล้าพอจะเอาตัวเองออกมาจากรักเดิมๆที่แตกสลายไปแล้ว แต่สุดท้ายเพื่อนของเขาก็พาตัวเองออกมาจากความรู้สึกเดิมๆได้แล้วไง
ปลายเมฆพาตัวเองออกมาแล้วกับความรักครั้งใหม่ ถึงจะช้า แต่ปลายเมฆก็กล้าจะรักอย่างเต็มหัวใจแล้วไม่ใช่หรอ
แม้มันจะช้าอย่างที่ปลายเมฆบอก แต่เพื่อนของเขาก็ยอมเลือกรักในครั้งนี้แล้วไม่ใช่หรอวะ
ถึงแม้คืนนั้นจะพลาดไปอย่างไม่น่าให้อภัย ถึงรักครั้งใหม่ที่มาพบเจอจะแตกสลายจนหนีหาย แต่ปลายเมฆก็ลงโทษตัวเองมาตลอดนับจากวันนั้น
ลงโทษขนาดที่ไม่ยอมให้ตัวเองพูดคำว่ารักกับคนที่ตัวเองก็รักชิบหายอยู่แล้ว
“มึงไม่ต้องโทษตัวเองขนาดนั้นหรอกนะเมฆ กูพูดจริงๆว่าถึงมึงจะเริ่มต้นเป็นฝ่ายที่ผิดแต่มึงไม่จำเป็นต้องตอกตะปูความผิดฝังไว้ในร่างกายของมึงจนไม่กล้าดึงออกขนาดนั้น
“ไม่รู้สิ ก็ตั้งแต่มันหวานเดินออกไปจากห้องความผิดก็ตั้งอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ถ้าวันนั้น..”
“เมฆ มึงทิ้งเรื่องวันนั้นไป วันนั้นมันจบไปแล้ว วันนี้ต่างหากที่อยู่ตรงหน้าของมึง”
แทนไทอยากให้เพื่อนของเขาออกมาจากความผิดในอดีตให้ได้ก่อนเพราะดูเหมือนยิ่งพูดคุยปลายเมฆยิ่งพาตัวเองกลับเข้าไปในอดีตซ้ำๆ
“อืม กูดูอ่อนแอมากไหม น่าสมเพชไปหรือเปล่า” ปลายเมฆถามเสียงแผ่ว
“อ่อนแอบ้างเถอะไอ้เหี้ย จะเข้มแข็งห่าอะไรนักหนา มึงก็คนไหมวะ” แทนไทไม่ได้อยากโมโหเลยนะแต่การต้องเห็นเพื่อนแสร้งทำเป็นว่าโอเคดี กูไม่เป็นไรเลย สบายดีมากๆทั้งที่รู้ว่าทุกอย่างมันฝืนแบบนี้ก็ไม่ไหวไหมล่ะหัวอกของคนเป็นเพื่อนน่ะ
“ขอบคุณมึงนะ ที่อยู่ข้างๆกูตลอด” ปลายเมฆเอื้อมมือมาตีไหล่เพื่อนตัวเองเบาๆ
“เออๆ ยังไงมึงก็เพื่อนกู มึงเจ็บกูก็เจ็บ ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บมึงเท่ากูแล้วมั้ง”
“ก็คงอย่างนั้น” แล้วเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มทั้งสองก็ดังขึ้นเบาๆก่อนที่แทนไทจะหันไปมองนาฬิกาเรือนโตบนผนังกำแพง
“พักก่อนไหม ตอนนี้มึงดูไม่ไหวเลยสองทุ่มมีผ่าตัดอีกไม่ใช่ไง?” แทนไทพูดพาเปลี่ยนเรื่องเพราะคิดว่าแค่นี้ก็หนักพอสำหรับเพื่อนของเขาแล้ว กลัวสมองแตกตายก่อนจะได้ผ่าตัดคนไข้
“ใช่” ปลายเมฆรับคำ
“เออ งั้นไปพัก กินข้าวกินปลาซะ” ว่าจบก็ดันไหล่เพื่อนตัวดีให้ออกเดินนำไปข้างหน้า แทนไทเดินไปบีบไหล่ให้เพื่อนไปหวังบรรเทาความเหนื่อยล้าจากทั้งร่างกายและหัวใจให้ปลายเมฆได้บ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะบรรเทาได้ไม่นานเมื่อใครบางคนยืนรออยู่ตรงหน้าห้องพักของเพื่อนเขา
“เตวิณ” ปลายเมฆหยุดฝีเท้า เขามองผู้ชายร่างสูงตรงหน้าที่กำลังมามองเช่นกัน ก่อนที่คนเด็กกว่าจะขยับเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยจุดประสงค์ของตัวเองออกมา
“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”
“กับผม?” ปลายเมฆขมวดคิ้ว เขาถามออกไปเพื่อความแน่ใจเพราะไม่ว่าจะคิดยังไงเตวิณก็ไม่น่าจะมีธุระอะไรกับเขา
“ครับ รบกวนเวลาไม่นาน”
“งั้นเชิญ แทนไว้คุยกัน” ประโยคหลังเอ่ยบอกเพื่อนสนิทก่อนที่มือหนักของแทนไทจะตบลงบนบ่าของเขาเบาๆและเดินจากไป
ปลายเมฆเดินนำคนเด็กกว่าเข้ามาในห้องพักส่วนตัวก่อนจะตรงไปยังเสื้อกาวน์ที่แขวนเอาไว้ เขาสวมทับเสื้อผ่าตัดสีน้ำเงินเพื่อให้มันดูเรียบร้อยขึ้น
“เชิญนั่งครับ” เอ่ยบอกก่อนที่อีกคนจะนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “คุณมีธุระอะไร หรือว่ามันหวานเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ปลายเมฆพ่นคำถามทันทีที่เด็กหนุ่มนั่งลง เขามองใบหน้าคมเข้มที่กระตุกยิ้มเพียงนิดก่อนจะส่ายหน้าตอบรับ
“มันหวานสบายดี ถ้าจะมีใครแย่คนนั้นอาจจะเป็นผม”
“ยังไง?” ปลายเมฆไม่เข้าใจ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันมองใบหน้าของเตวิณที่ดูเหมือนจะไม่ได้แย่ตามที่ปากพูด
“เราเลิกกันแล้ว มันหวานกับผมน่ะ”
“…”
“พูดจริง” เตวิณย้ำเมื่อเห็นคุณหมอตรงหน้านิ่งเงียบไป ไม่รู้เพราะไม่เชื่อหรือว่าอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินกันแน่
“เกิดอะไรขึ้น” ปลายเมฆพยายามเอ่ยถามอย่างใจเย็นแม้ว่าตอนนี้อัตราการเต้นในหัวใจของเขาจะไม่ได้เย็นตามเลยสักนิด
เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับคำบอกนั้นของเตวิณ
ไม่แน่ใจว่าเขาสามารถดีใจได้ไหมด้วยซ้ำ
“เราไม่ได้รักกัน ไม่สิ” เตวิณว่าก่อนจะเว้นช่วงไปสักพักแล้วค่อยเอ่ยต่อประโยคให้สมบูรณ์มากขึ้น “มันหวานไม่ได้รักผม”
ปลายเมฆสบแววตาสีเข้มของคนอ่อนกว่าและเขาเห็นความเสียใจในนั้นแม้ว่าเตวิณจะพยายามเลี่ยงสายตาตอนเอ่ยประโยคหลังให้กันฟังก็ตาม
‘มันหวานไม่ได้รักผม’ อย่างนั้นน่ะหรอ? แล้วที่เขาเห็นมาตลอดสามเดือนนั้นคืออะไร ที่มันหวานยิ้ม หัวเราะ ตัวติดกับเตวิณแทบตลอดเวลาที่เขาไปแอบมองนั่นล่ะ?
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ของเขาทั้งสามคนกันแน่
“แล้วที่คุณมาที่นี่เพื่อต้องการจะบอกผมแค่นี้หรือเปล่า” ปลายเมฆเอ่ยถาม
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง” เตวิณตอบ
“แล้วส่วนที่เหลือ?”
“ผมแค่อยากมั่นใจว่าคนที่มันหวานเลือก เขาจะต้องการมันหวานจริงๆ”
“คนที่มันหวานเลือก?” ปลายเมฆทวนคำนั้น และถึงแม้ว่าตรงนี้จะมีแค่เขากับเตวิณแต่ปลายเมฆก็ไม่กล้าเข้าข้างตัวเองขนาดนั้นหรอก
“คุณยังไม่เจอมันหวาน?”
“ไม่” ปลายเมฆตอบรับพลางส่ายหน้าเบาๆ
“ผมเลิกกับมันหวานมาได้สองวันแล้ว และผมคิดว่าเขาน่าจะมาหาคุณ”
แต่เหมือนเตวิณจะคิดผิดเพราะดูคุณหมอตรงหน้าจะไม่ได้เจอมันหวานและไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลยจริงๆ ก็ตั้งแต่วันที่เตวิณและมันหวานจบความสัมพันธ์กันลงมันหวานก็แค่เก็บข้าวของของตัวเองออกจากห้อง พวกเขากอดลากันครั้งสุดท้ายที่หน้าประตูและมันหวานก็เป็นฝ่ายบอกลาโดยไม่ให้เขาไปส่งขึ้นแท็กซี่ด้วยซ้ำ และถ้านับวัน วันนี้ก็วันที่สองแล้วที่เลิกลากันแต่มันหวานกลับไม่มาหาหมอปลายเมฆแบบที่เขาคาดคิด
“ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยถ้าคุณไม่ได้มาบอก”
“ก็เห็นชอบไปแอบมอง ก็คิดว่าน่าจะรู้” ประโยคของเด็กตรงหน้าทำให้ปลายเมฆชะงักกึก เขามองดวงตาสีเข้มที่ฉายแววขบขันอยู่ในนั้น
เตวิณรู้อย่างนั้นหรอกหรอ?
“คุณรู้?”
“จะว่าอย่างงั้นก็ถูก”
“ผมว่าผมก็เนียนแล้วนะ”
“งั้นผมคงเก่งมากเกินไป” จบประโยคนั้นเตวิณก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งปลายเมฆกำลังไม่เข้าใจว่าเตวิณรู้ได้ยังไงเพราะตลอดเวลาที่พอมีเวลาว่างไปแอบดูมันหวานก็ไม่เห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะมีท่าทีรู้เลยสักนิดว่าเขาแอบมองอยู่
หรือคงจะจริงอย่างที่เตวิณว่า ‘เก่งมากเกินไป’ หรือไม่ก็เป็นเขาเองที่ ‘โง่มากเกินไป’
“ตลอดเวลาสามเดือนที่ผ่านมาคุณทุกข์มากไหม” เตวิณเปลี่ยนเรื่องถาม
“…”
“รู้สึกแย่มากไหมที่เห็นคนที่ตัวเองรักอยู่กับคนอื่น”
ประโยคคำถามที่มาพร้อมกับความอึดอัดในหัวใจปนความเจ็บเสียดที่ปลายเมฆเผชิญมาตลอดสามเดือนถูกเอ่ยออกมา
ทุกข์ไหม? ทุกข์สิ มันเป็นความจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้หรอก มันไม่สนุกที่เห็นคนที่เรารักไปเริ่มใหม่กับคนอื่น แต่ถามว่าตอนนั้นทุกข์แล้วทำอะไรได้ไหม? ก็ไม่ เพราะถ้าทำอะไรได้มากกว่าการแอบมองปลายเมฆคงลองทำไปนานแล้ว
ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นไอ้ตัวขี้แพ้แบบนี้หรอก
“ความรู้สึกแบบนั้นแหละที่มันหวานต้องเจอตอนที่คุณอยู่กับผู้ชายคนนั้น” เตวิณไม่ได้รอให้ปลายเมฆเปิดปากพูดใดๆ เขาก็สวนประโยคถัดไปทันที และใบหน้าเรียบนิ่งที่เตวิณเห็นชัดว่าดวงตาคู่นั้นที่กำลังฉายความรู้สึกออกมา มันทำให้คำตอบในใจของเตวิณไม่ได้ผิดพลาดไปสักเท่าไร
ผู้ชายตรงหน้าเขาเจ็บปวดและคงจะเป็นความเจ็บปวดที่หยั่งลึกน่าดู
เตวิณไม่ได้อยากจะซ้ำเติมกับเรื่องอดีตที่ผ่านมาก็แค่อยากให้หมอปลาเมฆได้รู้ว่าในวันนั้นมันหวานรู้สึกยังไง
“ผมรู้สึกผิดกับสิ่งที่ผมเคยทำและผมตระหนักได้แล้วว่ามันหวานเคยรู้สึกยังไง” ปลายเมฆเอ่ยพูดหลังจากเงียบไปสักพัก
“....”
“อดีตที่เคยเกิดขึ้นผมไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว”
“...”
“ผมถึงได้อยู่กับปัจจุบันเพื่อรับบทลงโทษในแต่ละวัน ผมคงไม่ต้องบอกคุณว่าผมเผชิญกับความสาหัสอะไรมาบ้าง”
“มองสภาพคุณตอนนี้ผมก็พอรู้” เตวิณยกยิ้มพลางสำรวจคนตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน
ใบหน้าที่ดูซีดเซียว แววตาที่หม่นหมอง ไหล่งอหุ้ม ช่างต่างจากหมอปลายเมฆคนนั้นในวันที่เขาได้เจอครั้งแรก
ความเสียใจที่เกิดจากความรักมันก็เล่นงานคนเราหนักขนาดนั้นนั่นแหละ แต่เตวิณไม่ได้อยากจะนึกสงสารหรอกเพราะที่ผ่านมามันหวานก็เป็นเช่นนั้น
“อืม มันรุนแรง เป็นพิษของความผิดพลาดที่รุนแรงมากจริงๆ” ปลายเมฆแค่นยิ้ม เขาไม่คิดว่าจะต้องมาบอกความน่าสมเพชของตัวเองให้กับคนตรงหน้าฟังด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะพูดมันออกไป อาจจะเพราะว่าเตวิณมองออกทั้งหมดว่าตอนนี้เขามันก็แค่ผู้ชายเฮงซวยที่โคตรน่าสมน้ำหน้าคนหนึ่ง
และถึงแม้ว่าเตวิณจะไม่ได้มองแบบนั้นแต่เขาก็ยอมรับกับสภาพของตัวเอง
มันไม่ได้ดี ไม่ได้ดีเท่าไรเลยจริงๆ
“แต่ตอนนี้มันหวานไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมแล้ว”
“...”
“คุณจะทำยังไงกับโอกาสที่ผมเสนอหน้าเอามาให้”
“ผมไม่แน่ใจว่าโอกาสที่คุณเอามาให้ผมสามารถใช้มันได้ไหม เพราะผมจำได้ว่ามันหวานเคยพูดเอาไว้ว่าระหว่างเขากับผมมันมาถึงจุดที่สายไปแล้ว”
ปลายเมฆยังจำได้ดี ในสายสนทนาปนเสียงสะอื้นในคืนนั้น ‘มันไม่ทันแล้ว’
“มันก็แค่คำพูดของคนที่กำลังเสียใจ”
“...”
“ผมรู้ เพราะผมฟังเสียงมันหวานร้องไห้ในห้องนอนทุกคืน”
ไม่ได้อยากจะนึกไปถึงช่วงนั้น ช่วงที่ตัวเขาเองต้องนอนนิ่งๆอยู่บนโซฟาแล้วฟังเสียงร้องไห้ของคนตัวเล็กกว่าติดกันหลายๆคืนแบบนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่ตลอดสามเดือนก็ตามแต่ แต่แค่เท่านั้นมันก็ทำให้เตวิณรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันหวานต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน
และที่เจ็บปวดก็เพราะยังคงรู้สึก แล้วคนที่มันหวานรู้สึกมันก็ไม่ใช่เขา
ไม่เคยเป็นเขาตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายที่เดินแยกจากกัน
“มันหวานไม่เคยหยุดรักคุณ ไม่เคย” พูดเองก็เจ็บเอง แต่เตวิณก็จำเป็นต้องพูดเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่คนยังรักแบบเขาจะทำให้กับมันหวานได้
“แล้วคุณรู้ไหม ว่าผมก็รักเขา” ปลายเมฆเอ่ยกลับบ้าง
“รู้สิ รู้ก่อนตัวคุณด้วยซ้ำมั้ง” เตวิณนึกไปถึงวันนั้นวันที่มีการเลี้ยงสายรหัสที่ร้านเหล้า วันที่เขาและหมอตรงหน้าเกือบจะต่อยกันที่ห้องน้ำเพราะความไม่ชอบขี้หน้ากัน
ทำไมเตวิณจะมองไม่ออกว่าในวันนั้นหมอปลายเมฆหวงมันหวานมากแค่ไหน มันแสดงออกมาทั้งสายตา คำพูด และการกระทำ เป็นใครใครก็มองออกทั้งนั้นแต่ก็ดูเหมือนคุณหมอคนเก่งจะโง่ไปสักหน่อยกับการทำความเข้าใจในความรู้สึกของตัวเอง
และนอกจากจะทำความเข้าใจได้ช้าแล้วยังนำไปใช้อย่างผิดวิธีอีกต่างหาก
“ตลกดี ทุกคนรู้ ยกเว้นผม” ปลายเมฆหัวเราะเบาๆ เขารู้แย่กับตัวเองเป็นบ้าที่รับฟังเสียงของหัวใจตัวเองช้าขนาดนั้นทั้งที่คนอื่นที่อยู่ไกลกับหัวใจของเขากลับรับรู้มันได้เร็วกว่า
“ผมจะไม่ซ้ำเติมคุณหรอกนะ ไม่อยากเป็นคนไม่ดีขนาดนั้น” เตวิณนั่งกอดอกเขาพิงหลังกับพนักเก้าอี้มองคนอายุมากกว่าที่ส่ายหัวน้อยๆกับคำพูดของเขา
“ผมขอโทษ” คำขอโทษที่ถูกเอ่ยออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เตวิณชะงักกึก เขามองหน้าของคุณหมอตัวสูงที่กำลังสบตากันด้วยความแน่วแน่แต่ขณะเดียวกันมันก็แฝงถึงความรู้สึกผิดเอาไว้จริงๆ
“ขอโทษที่เคยไม่ชอบคุณ”
“...”
“ผมไม่รู้เลยว่าคนที่ผมไม่ชอบขี้หน้าในวันนั้นจะกลายมาเป็นคนที่ดีกว่าผมในวันนี้”
ปลายเมฆเคยคิดว่าเขาก็เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง เป็นคนที่มีความคิดในหลายๆเรื่อง แต่สามเดือนที่ผ่านมามันทำให้เขารู้ว่าเขาก็เป็นแค่ผู้ชายโง่ๆคนหนึ่งที่แค่ความรักของตัวเองก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ เป็นผู้ชายที่พูดไม่เคยคิดให้ถี่ถ้วน เป็นเพียงคนที่น่าด่าว่าโง่งมวันละหลายๆหน เป็นคนที่ไม่ได้ดีเด่อะไรเลยสักนิด
และบางทีก็แอบคิดว่าเขาเป็นคนที่สมควรได้รับความรักจากใครๆจริงๆน่ะหรอ
เขาเป็นคนที่ควรจะถูกรักจากใครสักคนจริงๆใช่ไหม
ซึ่งต่างจากเตวิณ แม้ว่าดูผิวเผินจะเป็นคนที่ดูห่ามๆไม่น่าเข้าใกล้ แต่ใครจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้นี่แหละที่เป็นที่พักพิงให้กับใครบางคนที่กำลังเจ็บปวดได้ เป็นที่พักพิงที่น่าไว้ใจ และเตวิณทำมันได้ดีมาตลอด
เป็นคนที่ทำให้ปลายเมฆละอายใจ
“ผมไม่ได้ดีไปกว่าคุณและไม่ได้ดีเกินกว่าใคร ผมเป็นเพียงผม”
“...”
“เป็นผมที่ทำในสิ่งที่อยากทำและสมควรจะต้องทำ” เตวิณเอ่ยพลางถอนหายใจออกมา “ผมไม่รู้หรอกว่าคุณทำให้มันหวานเจ็บเรื่องอะไรบ้าง เพราะมันหวานไม่เคยบอก เขาไม่เคยพูดด้านแย่ๆของคุณให้ผมฟัง”
“เขาแสนดีเสมอ” แสนดีจนปลายเมฆอยากจะหยิบตะปูแห่งความผิดมาตอกเข้าที่ใจของตัวเองอีก
“ใช่ เขาแสนดีและนั่นทำให้ผมรักเขา”
“...”
“แต่อาจจะไม่เท่าคุณ”
ชายหนุ่มสองคนมองหน้ากัน มันไม่ได้มีความอึดอัดในความรู้สึก ตอนนี้เหมือนเป็นตอนที่พวกเขาทั้งคู่มานั่งเปิดใจคุยกัน พูดถึงเรื่องที่ผิดพลาด ตอกย้ำให้เข้าใจ และชี้หนทางที่ควรจะเป็นไปตั้งแต่คราแรก
มันก็ช่วยไม่ได้ ที่ต้องเป็นแบบนี้เพราะเขาทั้งสองกำลังรักคนคนเดียวกัน
“ผมบอกกับเขาว่าความรักสำหรับผมคือการครอบครอง” เตวิณนึกไปถึงวันนั้นวันที่เขาได้เอ่ยบอกให้มันหวานลองตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายและถ้าตัดสินใจไปแล้วหากเกิดความผิดพลาดเขาก็จะไม่มีวันปล่อยมันหวานไปอีก
“...”
“คุณอาจจะมองผมในตอนนี้ว่าผมเป็นคนที่ดี แต่ไม่เลยเพราะผมก็เห็นแก่ตัว”
ปลายเมฆนิ่งเงียบ เขาทำเพียงแค่ปล่อยให้เด็กหนุ่มพูดในสิ่งที่อยากพูด
“ผมรั้งเขาให้ขยับไปไหนไม่ได้ด้วยคำว่าแฟนที่เขาเป็นคนสร้าง มันหวานไม่รู้ตัวหรอกเพราะผมพยายามยัดเยียดตัวเองเข้าไปในความรู้สึกของเขาด้วยความแนบเนียน”
“...”
“ใช้วันเวลาในแต่ละวันใกล้ชิดกับเขาให้ได้มากที่สุด พยายามให้ตัวเองอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลาเพื่อที่จะไม่ให้เขาหันไปสนใจอย่างอื่นได้นอกจากผมที่อยู่ตรงหน้าทั้งที่รู้ว่าเขาอึดอัดก็ตาม ผมทำแบบนั้นหวังเพียงให้รู้ว่าผมต้องการเขา ทำดีให้มากๆเพื่อสร้างความหวังให้เขาไม่กล้าเอ่ยปากออกมาว่าไม่ต้องการผมอีกแล้ว”
“…”
“ถ้าผมเป็นคนดีจริงๆผมจะปล่อยให้เขากลับไปรักกับคุณเหมือนเดิมไม่ใช่กักขังเขาไว้อยู่กับตัวเองมานานขนานี้ เพราะยังเห็นแก่ตัว ยังอยากดึงรั้งเขาไว้ทั้งที่รู้ว่าได้แต่ตัวแต่ผมก็ยังเลือกที่จะทำ”
“....”
“แต่สุดท้ายมันก็เท่านั้น เพราะผมไม่ได้อะไรจากมันหวานเลย”
ถึงแม้ว่ามันหวานจะบอกกับเขาว่าตัวเองก็รู้สึกบางอย่างต่อกัน แต่เตวิณรู้ว่ามันไม่ได้มากพอ มันอาจจะเบาบางแบบที่ลมพัดเพียงนิดก็ปลิวหายไป
เตวิณเสยผมตัวเองขึ้นหลังจากพูดจบ เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง ความจริงที่เขารู้อยู่แก่ใจถูกเล่าให้คนตรงหน้าฟังจนหมด
เตวิณเป็นผู้ชายที่มีความต้องการ และเขาเคยอยากเอาชนะผู้ชายตรงหน้าด้วยการเข้าไปอยู่ในใจของมันหวานให้ได้ เขาพยายามในทุกๆวันแม้จะรู้ดีว่ากับบางเรื่องมันหวานก็ไม่ได้ต้องการ
เหมือนกับที่เขาจูบมันหวานในวันนั้นแม้จะรู้ดีว่าหลังจากมันหวานฝืนยิ้มให้กันและเดินกลับเข้าไปในห้องนอน อีกคนจะต้องร้องไห้ออกมา
เตวิณรู้ทุกอย่าง รู้แต่ก็เลือกที่จะลงมือทำ
สัมผัสทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้เต็มใจน่ะมันแย่ที่สุดเลย
“คุณไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกเตวิณ” ปลายเมฆเอ่ยพูดบ้าง เขาเลื่อนสายตามองแววตาที่หม่นลงเล็กน้อยของเด็กหนุ่มตรงหน้า “สิ่งที่คุณมีในวันที่ผมไม่มีคือความชัดเจน”
“...”
“นั่นเป็นสิ่งที่มันหวานต้องการ และคุณมีให้เขาก่อนผม คุณไม่ผิดอะไรที่อยากจะครอบครองทั้งตัวและหัวใจของมันหวานเพราะผมก็เป็นเช่นเดียวกันกับคุณ”
“...”
“และผมคิดมาตลอดว่าคุณทำมันสำเร็จในวันที่รอยยิ้มของมันหวานตกเป็นของคุณในตอนที่ผมทำได้เพียงแค่แอบมอง” ปลายเมฆจำได้ดี ภายรอยยิ้มหวานๆที่ยังติดตา รอยยิ้มของมันหวานที่ไม่ได้เป็นของเขา
ทำได้เพียงแค่แอบมองเหมือนคนขี้ขโมย
“แต่มันก็แค่นั้น” เตวิณเอ่ย
“ไม่หรอก มันไม่ใช่แค่นั้น มันตั้งขนาดนั้นต่างหาก” ปลายเมฆยิ้ม
“อืม”
“…”
“แล้วสำหรับคุณ มันหวานเป็นความรักแบบไหน” เตวิณรู้สึกว่าการที่มันหวานรักผู้ชายตรงหน้ามากมายขนาดนั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่ซื้อใจมันหวานได้ บางอย่างที่เขาไม่มี
เตวิณไม่เคยทำความรู้จักกับหมอปลายเมฆอย่างเป็นจริงเป็นจัง เขามองผู้ชายคนนี้อย่างผิวเผินและมาหนักตรงที่รู้ว่าเป็นผู้ชายย่ำแย่ที่ทำให้มันหวานเสียใจ
แต่ถ้าไม่รักตั้งขนาดนั้นก็คงไม่เสียใจไปตั้งขนาดนั้นเช่นกัน
เตวิณถึงอยากจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีอะไรดีถึงได้ทั้งหัวใจของมันหวานไปครอบครอง
“มันหวานเคยถามผมว่าความรักคืออะไร และในวันนั้นผมตอบเขาไปว่า ความรักของผมคือการพาคนที่รักข้ามสะพานลอยมากกว่าข้ามถนน เป็นความรักที่เขาจะต้องปลอดภัยที่สุดเวลาเราอยู่ด้วยกัน” ปลายเมฆจำได้ว่าในวันนั้นเขาเอ่ยตอบคำถามของมันหวานด้วยหัวใจที่แผ่วลงเพราะตอนนั้นเขานึกถึงแต่หน้าของม่านฝน
แต่ในตอนนี้มันเปลี่ยนไป
“แต่สำหรับผมตอนนี้ ความรักคือบ้าน”
“...”
“เป็นบ้านที่เรารู้ว่าจะมีใครบางคนยืนอยู่หลังบานประตูและรอให้เราเปิดมันเข้าไปเพื่อจะเจอกับรอยิ้มของใครบางคน อ้อมกอดอุ่นๆแทนการต้อนรับพร้อมกับคำถามที่ว่าเหนื่อยไหม กินอะไรมาหรือยัง”
“...”
“ความรักที่ทำให้เรารู้สึกว่า อืม.. เรามาถึงบ้านแล้วนะ เราไม่ได้อยู่คนเดียว มีใครบางคนที่อยากจะหลับและตื่นไปพร้อมๆกัน ใครบางคนที่ทำให้เราอยากพูดคำว่าฝันดีและอรุณสวัสดิ์ให้ฟังในทุกๆวัน”
“...”
“และผมอยากกลับบ้าน บ้านที่มีมันหวานยืนรออยู่หลังประตู”
และมันหวานคือความรักแบบนั้นสำหรับเขา ความรักที่เรียกว่าบ้าน
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็กลับบ้าน” เตวิณเอ่ยพลางยิ้มบาง
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมันหวานถึงรักผู้ชายคนนี้ อาจจะไม่เข้าใจทั้งหมดแต่การที่ใครบางคนยกใครคนหนึ่งให้เป็นอะไรที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเองอย่างเช่นบ้าน มันก็อาจจะบอกได้มากพอแล้วว่าเขารักใครคนนั้นได้มากขนาดไหน
บ้านไม่ได้สร้างกันได้ง่ายๆ และบ้านที่สมบูรณ์แบบแบบที่หมอปลายเมฆเอ่ยถึงก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเช่นกัน
มันหวานก็คงเป็นแบบนั้นสำหรับหมอคนนี้ บ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น สัญลักษณ์ที่บรรจุความอบอุ่นและความปลอดภัยเอาไว้
สัญลักษณ์ของคำว่าครอบครัว
“ผมจะกลับไป” ปลายเมฆไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไงกับโอกาสสุดท้ายที่เตวิณหยิบยื่นมาให้ แต่เขาคงจะโง่เง่ามากกว่าเดิมถ้าหากไม่คว้ามันไว้
ความรู้สึกผิดมันยังไม่หายไปไหน มันยังคงอยู่ที่เดิมในจิตใจของเขาถ้าหากมันหวานยังไม่ให้อภัยต่อกัน
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดแต่เขาก็อยากมีมันหวาน
เขาอยากกลับบ้าน
ปลายเมฆอยากกลับบ้านมากจริงๆ
มันเดียวดายมากเกินไปเมื่อเขาเลิกงานและกลับไปที่คอนโดเพื่อเจอกับความว่างเปล่าภายในตัวห้อง ความเงียบสงบและกลิ่นชื้นๆของอากาศที่เขาไม่พิศวาสเลยสักนิด
มันเป็นบ้านที่ไม่สมบูรณ์แบบ
ปลายเมฆไม่อยากอยู่บ้านแบบนั้นอีกแล้ว
“ผมต้องขอบคุณแขกอย่างคุณมากนะ และขอโทษด้วยที่ต้อนรับไม่เคยดีเลย” ปลายเมฆว่าพลางขำออกมาเบาๆ เขามองหน้าเด็กหนุ่มที่แยกเขี้ยวใส่กัน
“ผมไม่ชอบคุณเลยว่ะ” เตวิณว่า เขารู้สึกหมันไส้ไม่น้อยกับคำว่าแขกที่ออกมาจากปากของอีกฝ่าย
แขกที่แวะเข้ามาแล้วก็ต้องกลับไปน่ะไม่ชอบเลยสักนิด แต่ก็ต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ผมก็ไม่ได้พิศวาสคุณเท่าไรหรอกครับ” ปลายเมฆสวนกลับก่อนที่เขาทั้งคู่จะหลุดยิ้มออกมาพร้อมกัน
“มีอะไรจะขออย่างหนึ่ง” เตวิณเอ่ย
“อะไรครับ?”
“ขอต่อยทีหนึ่งได้ป่ะ แค้นว่ะ”
ประโยคนั้นของเด็กหนุ่มทำให้คนแก่กว่าหน้าเหวอไปชั่วขณะก่อนที่ปลายเมฆจะดึงสติของตัวเองกลับมาได้ เขามองเตวิณที่กำลังทำสีหน้าจริงจัง
“โอเค” ปลายเมฆพนักหน้ายอมรับคำขอ เขาคิดว่ามันคงไม่หนักหนาอะไรถ้าแลกกับความขุ่นเคืองที่เตวิณมีให้กันได้ “แต่อย่าหนักมากไปนะผมมีผ่าตัดคนไข้อีก”
“อืม แต่ว่าผมก็อยากจะเป็นคนที่ดีในสายตาของมันหวานอยู่ดี” เตวิณลุกขึ้น เขาหักข้อนิ้วมือของตัวเองดังกร๊อบแกร๊บก่อนจะส่งมือไปปัดเสื้อกาวน์ของคนตรงหน้าเบาๆ “ถ้าเกิดหน้าคุณมีแผลมันหวานอาจจะไม่พอใจผมได้”
“แล้ว ถ้างั้น..”
“โทษนะหมอ แต่เจ็บนิดหนึ่ง”
“อั่ก!”
ยังไม่ทันที่ปลายเมฆจะได้ถามจบประโยคว่าถ้าไม่ต่อยหน้าแล้วจะต่อยที่ไหน และก็ยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ หมัดหนักๆก็กระแทกเข้าที่หน้าท้องของเขาอย่างจัง
มันไม่ได้แรงมากไปจนทำให้กระอักเลือดหรอกแต่มันก็แรงมากพอที่ทำให้ปลายเมฆจุกจนต้องยกมือกุมหน้าท้องพร้อมกับยันตัวเองไว้ที่โต๊ะให้ทรงตัวไม่ล้มไปกับพื้น
“พอใจละ” เตวิณยิ้มขำ เขาตบไหล่ปุๆของคุณหมอหนุ่มที่หน้าเหยเกไม่หาย “ระหว่างเราทั้งคู่ก็หายกันแค่นี้ละกันนะ ผมไม่ชอบยืดเยื้อ”
“อ่า...” ปลายเมฆอยากจะพูดอะไรออกมาสักคำแต่ตอนนี้สิ่งที่เขารับรู้คือความจุกอย่างเดียว
“ต่อไปนี้ก็อยู่ที่ความสามารถของคุณว่าจะตามมันหวานกลับมาได้ไหม แต่คุณควรรู้ไว้อย่างนะ”
“...”
“บ้านไม่เคยเคลื่อนที่ไปไหนหรอก มันอยู่ที่เดิมตลอดนั่นแหละ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่รู้ว่ะ เอาจริงเป็นคสพที่ยุ่งเหยิงมาก ถ้าเป็นชีวิตจริงคงไม่งี้หรอก รักก็รักแหละ อาจจะผูกพันด้วย ก็เหมือนกับที่ปลายเมฆเป็นแรกๆ อย่างที่พ่อปลายเมฆบอกว่า แก้วที่แตกไปแล้วอะ ความเชื่อใจมันก็คงกลับมาไม่ได้ง่ายๆอยู่ดี ถ้าตัดจบแต่ประมาณตอน22 มันก็เหมือนกลับไปเริ่มเรื่องใหม่กับติณอะ กรณีนี้ม่านฟ้าก็รักปลายไม่ต่างจากที่ปลายรักมันหวานเลยอะ ฮือ เราก็ดีใจนะที้ได้กลับมารักกัน แต่ความรู้สึกมันหวาน ความเชื่อใจของมันหวานอะ แง้ เราสับสน
แล้วก็หมอปลาย กับเตวิณ
พี่หมอ พาน้องกลับมาให้ได้นะ สู้ๆ