ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) DARK HORSE | chanbaek hunbaek

    ลำดับตอนที่ #11 : EPISODE 9 | DEEPLY

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 59






        
        
        
         



        DARK HOUSE

             間違えている箇所もあります。

        ….

        n i n e

         

         
        
        
        
        
         

         

         

        สิ่งที่เปลี่ยนตัวเรา

        คือตัวเราเอง

         

         

         

         

         
        
        
        
        
        
         

         

         

         

         

         

         

        บยอนแบคฮยอนตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัว เขาจำต้องเอนแผ่นหลังราบบนเตียงอีกครั้ง มือขวายกขึ้นกางนิ้วบีบนวดเบาๆบนสองขมับ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าความว่างเปล่าในเช้าวันนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน

         

         

        เด็กโข่งเจ้าของเตียงอีกคนไม่ได้กลับมาห้องอย่างที่บอกเมื่อเย็นวาน บรรยากาศแปลกๆก่อตัวขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่สตูดิโอของเอ็มแคปติเวท ใช่ แบคฮยอนพอจะเดาได้ แต่เขาขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับมันตรงๆและพูดออกไป ตราบใดที่เรื่องระหว่างเขากับปาร์คชานยอลไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาฉันท์ใด โอเซฮุนก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้

         

         

        ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ออกแรงยกตัวเองขึ้นยืนโงนเงนบนพื้นไม้โอ๊ค จากนั้นจึงพาร่างเดินไปถึงประตูเพื่อหวังพึ่งยาแก้ปวดที่อาจมีติดห้องพักไว้บ้าง หากสิ่งแรกที่เห็นก็คือเจ้าของเรือนผมสีแดงสั้นกำลังนั่งจิบกาแฟชงอยู่ตรงโต๊ะติดหน้าต่าง โดคยองซูเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมวง ก่อนจะคาดเดาในหัวทันทีว่านี่ไม่ใช่อาการของคนสบายดีแน่นอน พวกเขาเบื่อหน้าค่าตากันเกินกว่าจะอยากพูดทักทายยามเช้า ถึงอย่างนั้นคยองซูก็ทำมัน เมื่อเห็นนักร้องนำที่แก่กว่าตัวเองเกือบปีกำลังรื้อหาบางอย่างในตู้ติดผนังเหนือเคาน์เตอร์ครัว

         

         

        “หาอะไร”

         

         

        คนป่วยเหลียวกลับมาหาต้นเสียง ท่าทางงุ่นง่านและคิ้วที่ขมวดมุ่นเพราะอาการปวดหัวเรียกความเป็นห่วงจากอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ “ยาแก้ปวด”

         

         

        คยองซูขานรับแบบไม่มีเสียง เมื่อนึกจนแน่ใจสักพักก็บอกออกไปเสียงเรียบ “ฉันกินสองเม็ดสุดท้ายเข้าไปเมื่อคืนนี้ ปวดหัวมากหรือ?”

         

         

        “ไม่เป็นไร อีกสักพักก็คงหายปวดเอง” แบคฮยอนคิดว่าตัวเองคงเหมาะกับความทรมานจริงๆ เขาพยุงตัวเองไปทิ้งตัวลงนั่งตรงข้าม มองนาฬิกาก็เห็นว่าตอนนี้เพิ่งจะเจ็ดโมงเศษ ขนาดเมื่อวานกลับมาถึงค่ำ คยองซูก็ยังอุตส่าห์ตื่นเช้าที่สุดได้

         

         

        มือกลองกดปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ลุกเดินไปเก็บแก้วในอ่างล้างจาน ก่อนจะสางผมสีแดงลวกๆแล้วเดินเลยโต๊ะตัวเดิมไปถึงถึงหน้าโซฟา คนมองไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะออกไปไหนอีก ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกแย่มากกว่าจะอยากรู้ คยองซูจึงเป็นฝ่ายเอ่ยบอกแทนขณะสวมรองเท้าแตะแบบหนังคู่โปรด

         

         

        “เดี๋ยวจะไปซื้อยาที่มินิมาร์ทมาให้ ทนรอสักพักแล้วกัน”

         

         

        ประตูห้องปิดลงแล้ว เหลือแค่คนที่ยังนอนหลับอุตุอยู่ในห้องอย่างจุนมยอน ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะตื่นในเร็วๆนี้ แบคฮยอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เมื่อไม่มีแรงจะทำอะไร สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในช่วงเวลาเช่นนี้ก็คือการคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างเช่นเมื่อหลายนาทีก่อนออกมาเจอคยองซู

         

         

        เขาไม่สามารถลืมคืนนั้น ต่อเนื่องมาจนถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่ปาร์คชานยอลต้องการคืนสร้อยจี้กุญแจให้ ไม่ว่าจะคิดหาทางหลีกหนีจากความรู้สึกที่เฝ้าวนเวียนถึงแต่คนรักเก่ามากเท่าไร ปลายทางก็ยิ่งดำมืดและดิ่งลงสู่หุบเหว โดยที่มีเซฮุนร้องขอติดสอยห้อยตามลงไปด้วย

         

         

        แบคฮยอนรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เขาผิดเองที่เลี้ยงความรู้สึกของเด็กคนนั้นมาจนถึงจุดที่เราต่างไม่มีที่ให้ถอยกลับ เซฮุนคว้าเอาความดีงามทั้งหมดที่เหลืออยู่ในชีวิตเฮงซวยของเขาเอาไว้ หากจะให้คิดว่าไม่เคยหวั่นไหวเลย นั่นคงเป็นคำโกหกที่ร้ายกาจเกินไปสำหรับคนอ่อนแอที่อยู่ตรงนี้

         

         

        ตรงกันข้ามกับใครอีกคนที่ได้แปรสภาพเป็นลวดหนามบีบหัวใจให้เจ็บเจียนตาย ความรักในตอนนั้นยังตายไม่สนิท และยิ่งคนโง่เง่าอย่างบยอนแบคฮยอนเกิดเผลอไผลไปกับแรงคิดถึงในคืนนั้นด้วยแล้ว หนามยอกอกก็ยิ่งขยายตัวเสียดแทงจนพรุนไปทั้งตัว มันขุดเอาเรื่องเมื่อหลายปีก่อนให้แล่นวนดังฟิล์มม้วนเก่า ทั้งพร่าเลือน ไม่ชัดเจน แต่ก็อิ่มด้วยความรู้สึกเฉกเช่นมนต์ขลัง

         

         

        เขารู้สึกกับปาร์คชานยอลเช่นไร มีหรือตัวเองจะไม่รู้

         

         

        และเพราะรู้ แบคฮยอนถึงได้โกรธตัวเองรุนแรงขนาดนี้ ทั้งรักและเกลียดแบ่งสัดส่วนในใจอย่างชัดเจน มันผลัดกันแย่งชิงเพื่อขึ้นเป็นที่หนึ่ง หากเจ้าของกลับถือหางฝั่งเกลียดมากกว่าเสียด้วย แต่ทำไมแค่ช่วงเวลาสั้นๆจากคนๆเดียว ทั้งเขาและหัวใจกลับพ่ายแพ้ย่อยยับ ปล่อยให้น้ำตาที่เป็นเหมือนธงขาวไหลออกมาอย่างสุดกลั้น ได้แต่หวังว่าความเด็ดขาดที่สู้กัดฟันตอบเมื่อวานจะทำให้ชานยอลยอมตัดขาดจากกันเสียที

         

         

        ความเหินห่างและทิฐิคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้ เพราะอย่างนั้น แบคฮยอนจึงไม่คิดทิ้งมันเช่นที่เคยถูกใครอีกคนทิ้งมาก่อน

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

        โดคยองซูมองรายการของที่ซื้อบนเคาน์เตอร์คิดเงิน ยาแก้ปวดสองแผง เครื่องดื่มชูกำลัง แล้วก็ข้าวอีกสามกล่อง ก่อนจะนึกหงุดหงิดในใจที่ไม่มีแบงค์พันวอนติดตัวมาเลย เขาจำใจต้องหยิบแบงค์ห้าหมื่นออกจากกระเป๋า ทนให้แคชเชียร์ลุงแก่ๆมองหน้าด้วยความหงุดหงิดไม่แพ้กัน ก่อนจะได้แบงค์พันกลับมาฟ่อนใหญ่จนทำเอากระเป๋าสตางค์พับปิดไม่ลง

         

         

        มือกลองปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อสวนกับกลุ่มนักเรียนมัธยมปลายหน้าร้านสะดวกซื้อ พวกเธอจำเขาได้ แต่ก็ดูลังเลจะเข้ามาขอลายเซ็นกระทั่งคยองซูเดินผ่านไป ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด หัวใจเต้นโครมครามเพราะคงไม่รู้จะทำอย่างไรถ้ามีใครทำเหมือนเขาพิเศษขึ้นมา แน่ล่ะ คยองซูรู้ว่าผลพลอยได้ของการเป็นศิลปินก็คือชื่อเสียงเงินทอง แต่ถึงอย่างนั้นเขายังเป็นคนธรรมดาที่มีความกล้าแค่อยู่หลังกลองชุด ลองให้ใครมาล่วงรู้ความคิดของหนึ่งในดาร์คฮอร์สอย่างนี้ มีหวังคงอยากหัวเราะจนตาย

         

         

        ขณะเดินคิดเรื่องชีวิตใหม่เรื่อยเปื่อย ทั้งร่างก็ต้องสะดุ้งเบาๆเพราะเสียงร้องดังมาจากด้านหลัง เป็นผู้หญิงคนที่เพิ่งวิ่งสวนเขาไปนี่เอง หล่อนนั่งยองๆในท่ากุมข้อเท้า กระเป๋าสะพายและถุงผ้าใส่เอกสารวางนอนอยู่ที่พื้นข้างกัน เมื่อลองเดินเข้าไปดูใกล้ๆ คยองซูถึงได้เห็นว่าปัญหาเกิดจากเจ้ารองเท้าส้นสูงที่แบ่งตัวออกเป็นสองส่วนได้อย่างน่ากลัว

         

         

        “คุณครับ” เขาเอ่ยเรียกเสียงเบาหวิว ชั่งใจว่าดีแล้วหรือเปล่าที่เสนอน้ำใจช่วยเหลือ “ให้ช่วยอะไรไหมครับ”

         

         

        เธอละสายตาจากส้นรองเท้าที่หลุดออกมาก่อนจะหันมาหาต้นเสียง พลันดวงตาก็เบิกโพลงด้วยความตระหนก “ว้าย” หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืนสุดตัว จัดแจงชุดพนักงานออฟฟิศให้เข้าที่เข้าทางเพราะกลัวจะไม่สุภาพ หากแต่คยองซูไม่เข้าใจนักว่าทำไมเธอถึงมีท่าทีแบบนั้น

         

         

        “เอ่อ...” เขายืนเก้ๆกังๆ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ ถามซ้ำอีกครั้งหรือรีบเดินหนีไปไกลๆ

         

         

        “คะ -- คยองซูดาร์คฮอร์สใช่ไหมคะ” หล่อนถาม ทำเอาเจ้าของชื่อใบหน้าเห่อร้อนเหมือนโดนนึ่ง อันที่จริงคยองซูก็เพิ่งจะคิดเรื่องนี้ไปเมื่อสักครู่ แล้วพอมันเกิดขึ้นจริง ประสบการณ์การเป็นศิลปินหนึ่งสัปดาห์กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย

         

         

        “ครับ”

         

         

        คนตรงข้ามยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีข้าวของวางเกลื่อนพื้นที่รอการรวบเก็บ เธอมัดผมยาวไว้เป็นหางม้าทางด้านหลัง จากนั้นจึงรีบก้มจัดการสัมภาระด้วยท่าทางงกๆเงิ่นๆ ตาก็สลับมองไปมาระหว่างกระเป๋าและหนุ่มมือกลอง เธอยิ้มขอบคุณที่เขาอยู่รอ มือควานหาของในกระเป๋าผ้าสะพายข้างอย่างร้อนรน คยองซูเห็นว่าสิ่งที่ถูกหยิบออกมาเป็นสมุดเล่มหนึ่ง หน้าว่างถูกกางมาตรงหน้า เป็นครั้งแรกอีกนั่นแหละที่โดคยองซูนึกเสียใจในสภาพชุดวอร์มและถุงสะดวกซื้อที่ถือติดมา

         

         

        “ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ” สาบานได้ว่าหนึ่งในสมาชิกดาร์คฮอร์สไม่มีปัญหาเลย ทว่าเขาไม่มีปากกาติดตัว และดูท่าเธอก็รีบเต็มแก่

         

         

        “คือ... ผมไม่มีปากกา”

         

         

        “ตายจริง” หญิงสาวอุทาน ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อควานหาปากกาสักแท่ง แต่ยังไม่ทันจะเจอ เวลาที่เห็นบนนาฬิกาข้อมือก็ทำเอาสาวเจ้าตกใจจนแทบบ้าอีกรอบ ถ้าให้เดาจากชุดพนักงานออฟฟิศ คยองซูคิดว่าเธอสายแล้ว

         

         

        “ถ้าไม่รังเกียจ” ให้ยืนต่อไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้คงเสียเวลา ถ้าเธอเป็นแฟนคลับของดาร์คฮอร์สจริง การแสดงความใส่ใจก็คงไม่เลวนัก “ไว้เจอกันครั้งหน้า ผมจะเซ็นให้นะครับ”

         

         

        เธอมองเขาอย่างตื่นๆ ทั้งใบหน้ากลายเป็นสีแดงเรื่อตัดกับผิวขาว

         

         

        “ถ้าตอนนั้นคุณยังอยากได้อยู่”

         

         

        โดคยองซูมองหญิงสาวที่โค้งให้เขาจนสุดตัวก่อนจะหันหลังกลับเพื่อวิ่งไปให้ทันป้ายรถประจำทาง มองดูท่าวิ่งทุลักทุเลอันเกิดจากส้นรองเท้าหลุดแล้วก็รู้สึกลำบากแทนไม่น้อย นอกจากเอาใจช่วยแล้ว เขาคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าภาวนาให้เธอไปถึงที่ทำงานโดยปลอดภัย ไม่ขาเคล็ดขาแพลงไปเสียก่อน

         

         

        หากเมื่อหันกลับมาทางเดิมบ้าง เรียวขาก็ชะงักกึกอีกครั้ง เพียงเพราะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปแล้วอย่างไร มือข้างที่ว่างยกขึ้นเป็นกำปั้นปิดปาก ความรู้สึกขนลุกซ่านอย่างประหลาดแล่นวาบไปทั่วร่างกาย

         

         

        ตอนนี้ ดาร์คฮอร์สได้กลายเป็นศิลปินแล้วจริงๆ

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

        โอเซฮุนสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศสลัว อาการปวดหัวเพราะแอลกอฮอลล์เล่นงานสมองทั้งลูกจนปวดตุบ ไม่รู้วันเวลาว่าตัวเองหลับไปนานเท่าใดแล้ว กระทั่งเห็นแดดวับแวมตามชายขอบผ้าม่านกรองแสง จึงแน่ใจได้อย่างหนึ่งว่าตอนนี้คงจะเข้าสู่วันอาทิตย์ ครั้นมองไปรอบห้องก็ยิ่งยืนยันว่าคงเป็นอย่างที่คิด นี่ไม่ใช่ห้องนอนที่เซฮุนคุ้นเคย

         

         

        ผ้าห่มบุนวมสีเทาเข้มทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นเขามาตลอดทั้งคืน ร่างสูงโปร่งค่อยๆขยับตัวลงจากเตียงทั้งร่างกายเปลือยเปล่า เห็นชุดลำลองไม่คุ้นตาแขวนอยู่กับราวหน้าประตูตู้เสื้อผ้าพร้อมโน้ตแถบกาวแผ่นเล็กๆ ดวงหน้าเด็กหนุ่มกลายเป็นสีแดงซ่าน ความขลาดอายเข้าเล่นงานเมื่อรู้ว่าเมื่อคืนเขาอ้วกแตกอ้วกแตนเลอะเสื้อผ้าตัวเองจนเละแค่ไหน ลู่หานเขียนไว้ว่านี่เป็นชุดที่จงอินทิ้งไว้ที่นี่เผื่อนอนค้าง ซึ่งถ้าวัดจากขนาดตัวแล้วน่าจะพอดีกว่าของอี้ฟานหรือชานยอล เซฮุนถอดชุดจากไม้แขวนมาพาดไว้บนแขน รีบบึ่งเข้าห้องน้ำทันทีก่อนเจ้าของบ้านจะเข้ามาเจอภาพอุจาดซ้ำสอง ให้ตายเถอะ เขาคงเมาเละน่าดูถึงได้มีแต่ความทรงจำต่างๆสะเปะสะปะไปหมด โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่อยากเชื่อ

         

         

        มือเรียววักน้ำเย็นจากก๊อกขึ้นลูบใบหน้า เนื้อตัวมีแต่กลิ่นเหล้าคละคลุ้งกับกลิ่นอาเจียนจางๆ เป็นไปได้เซฮุนอยากอาบน้ำ หากเขาก็ชั่งใจว่าควรรบกวนห้องของลู่หานมากไปกว่านี้ดีหรือไม่ แต่ท้ายแล้วกลับทนกลิ่นตัวเองไม่ไหว โอเซฮุนใช้เวลาราวสิบนาทีกับฝักบัวและน้ำอุ่นๆในยามเช้า ก่อนจะใส่ตัวเองเข้ากับเสื้อผ้าของคิมจงอินที่แทบจะใส่ไซส์เดียวกันได้พอดิบพอดี

         

         

        เซฮุนหยุดมองตัวเองที่หน้ากระจกอีกครั้ง นึกสมเพชดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้เมื่อคืนนี้ สติที่เริ่มตื่นตัวเต็มที่พากันแยกแยะความจริงออกจากความฝัน กระทั่งเห็นสิ่งที่อยู่ในถังขยะใต้อ่างล้างหน้า ตาก็พลันเบิกโพลงด้วยความตื่นตกใจกับความจริงข้อสุดท้าย ถุงยางอนามัยใช้แล้วนอนนิ่งอยู่ในนั้น ทำเอาหัวคิ้วเซฮุนขมวดมุ่น ความกระดากอายเข้าครอบงำจนไม่กล้าพาตัวเองเดินออกไปเจอใครบางคน

         

         

        โอเซฮุนไม่รู้จะทำอย่างไร ในหัวเขาร้อนซ่านและตื้อตัน  ร่างโปร่งสูงสะโหลสะเหลเดินกลับเข้ามาในห้อง คว้าเอากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์แบตหมดตรงหัวเตียงใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด มองลูกบิดประตูอันเป็นหนทางเดียวสำหรับการออกไปจากที่นี่

         

         

        “ตื่นแล้วเหรอ”

         

         

        เด็กหนุ่มปล่อยให้ทั้งร่างชาวาบ ชะงักฝีเท้าก่อนจะเดินไปถึงชั้นวางรองเท้าเพื่อหันไปสบตาตอบคนที่นอนเอกเขนกกินซีเรียลอยู่บนโซฟา ตอนนี้ปาเข้าไปเที่ยงครึ่งแล้ว ดูจากสิ่งที่คาดว่าจะเป็นมื้อเช้า ลู่หานคงตื่นก่อนไม่นาน

         

         

        “ครับ” เซฮุนยืนตัวแข็ง เกร็งจนทำอะไรไม่ถูกเพราะเริ่มจดจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้แม่นยำจนครบทุกฉาก อาการปวดหัวที่เพิ่งจะหายไปเริ่มก่อฤทธิ์อีกครั้ง มันขมวดระบบความคิดภายในหัวเด็กหนุ่มให้ยับบู้บี้ขณะอยู่ในบทสนทนากับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้สองวัน

         

         

        “เที่ยงแล้ว กินอะไรก่อนไหม” ลู่หานถามส่งๆทั้งที่ยังจับจ้องเรื่องราวของครอบครัวซิมป์สันส์ในจอโทรทัศน์ เซฮุนไม่เคยดูการ์ตูนเสียดสีวิถีชนชั้นกลางของอเมริกันเรื่องนี้ แต่ก็พอรู้จักมาอยู่บ้าง และมันคงจะสนุกจริงๆเพราะลู่หานเคี้ยวคอนเฟล็กซ์ดังกรุบโดยไม่วางตา

         

         

        “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ค่อยหิว”

         

         

        คนถูกถามตอบปัด มองหาลู่ทางหนีปัญหาการเผชิญหน้าในระยะสั้นเท่าที่พอทำได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่านักร้องนำของอาร์คจะโง่เสียทีเดียว เมื่อเห็นอย่างนั้น ลู่หานก็เอื้อมไปวางชามอาหารเช้าลงกับโต๊ะกระจกเตี้ย จากนั้นจึงเอี้ยวตัวหันมามองคู่สนทนาด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างจากบทสนทนาเรื่องลมฟ้าอากาศ

         

         

        “เป็นอะไร” เขาถามเซฮุน มองเด็กหนุ่มตัวขาวที่ได้แต่เม้มริมฝีปากจนบางเฉียบขณะคิดหาคำพูดดีๆ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วมันค่อนข้างตลก “คิดเรื่องเมื่อคืนเหรอ” ถ้าเซฮุนหันมาปรบมือกับเขาแล้วร้องว่าถูกเผงคงดีกว่านี้ แต่เพราะมันไม่ใช่ ความยุ่งยากถึงก่อตัวตามมาเป็นลำดับเมื่อมีใครสักคนให้ค่ากับมัน

         

         

        นักร้องนำถอนหายใจ เด้งตัวลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะลากแขนคนอายุน้อยกว่าให้ตามไปด้วยกันที่โซนครัว แล้วจัดแจงเทซีเรียลแบบเดียวกันลงชามพลาสติกสีเขียว เลื่อนไปวางไว้บนโต๊ะบาร์ตรงหน้าเด็กที่เอาแต่ทำสีหน้าปั้นยากเสมือนทั้งโลกพังทลาย ลู่หานพยักเพยิดให้เซฮุนกิน และค่อนข้างจะเป็นแกมบังคับเมื่อไอ้หนูดาร์คฮอร์สยังนั่งนิ่ง

         

         

        “ได้โปรดเถอะโอเซฮุน เดี๋ยวมันจะนิ่มแล้วไม่อร่อย”

         

         

        ได้ยินอย่างนั้นเซฮุนก็จำใจต้องตักคอนเฟล็กซ์ใส่นมป้อนเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆทั้งที่ท้องไม่ได้ร้องหาอาหารเอาตอนนี้ แต่ก็จริงที่เขาควรกินอะไรรองท้อง เพราะถ้าขืนยังดื้อแพ่งไม่เข้าเรื่อง มีหวังกระเพาะคงได้ร้องหาความทรมานเป็นเพื่อนหัวที่ปวดตุบๆเพราะแฮงค์เหล้าเป็นแน่

         

         

        “คุณไม่เป็นไรเหรอครับ” เขาถาม มือเคลื่อนไหวไวขึ้นเมื่อเริ่มอยากอาหาร

         

         

        “ไม่เป็นไรเรื่องไหนล่ะ” ลู่หานที่เพิ่งปิดตู้เย็นเอ่ยถาม มือก็ยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นกรอกปากเติมคาเฟอีนยามเที่ยง หากท่าทางไม่ยี่หระกลับทำให้เซฮุนลำบากใจ เขาไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่กลัดกลุ้มกับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ “ถ้าหมายถึงเรื่องที่ฉันนอนกับนายล่ะก็ ไม่เป็นไร”

         

         

        ร่างผอมเท้าแขนลงกับโต๊ะบาร์ มองโอเซฮุนด้วยรอยยิ้มยืนยันว่าหมายความตามที่พูด

         

         

        “แต่ถ้าอีกเรื่อง ฉันไม่ปฏิเสธ”

         

         

        พวกเขาได้แลกความลับกันอย่างที่ลู่หานพูด เซฮุนมีโอกาสได้พร่ำเพ้อเรื่องคนสำคัญในชีวิตทั้งสองออกมาเหมือนรีดหัวใจ ในขณะที่กลับกันแล้ว ลู่หานแค่พูดออกมาหน้าตาเฉยว่าตัวเองชอบปาร์คชานยอล ซึ่งก็น่าตลกดีอีกแล้วที่แม้แต่ในเวลาแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นยังกระทบกระเทือนโลกทั้งใบได้รุนแรงกว่าตัวเขามากนัก หรืออันที่จริงเซฮุนอาจจะไม่มีค่าพอให้ใครใส่ใจจริงๆก็ได้

         

         

        “ครับ งั้นก็ดี” เด็กหนุ่มพูดตอบ “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับนะครับ ขอบคุณสำหรับซีเรียล”

         

         

        เซฮุนผุดลุกจากเก้าอี้ทรงสูง โค้งให้ศิลปินรุ่นพี่ต่างวงตามมารยาทแล้วจึงพาตัวเองเดินลิ่วผ่านโซฟามาจนถึงชั้นวางรองเท้า มือจัดการผูกเชือกที่หลุดลุ่ยเสียใหม่ นึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรทิ้งไว้จึงยืดตัวขึ้นหาคนที่น่าจะยังอยู่ตรงโซนครัว แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเจ้าบ้านยืนกอดอกพิงสะโพกกับพนักโซฟา

         

         

        “คือ... แล้วเสื้อผ้าผม --”

         

         

        “ทิ้งไว้นี่แหละ ส่งซักให้แล้ว” นั่นไม่ใช่ประเด็น จริงๆแล้วจะทิ้งไปเลยเขาก็ไม่โกรธ หากลู่หานยังคงนิสัยช่างเย้าแหย่ได้แม้จะเป็นตอนที่ควรรู้สึกกระอักกระอ่วนแบบนี้ “ยังมีโอกาสให้เจอกันอีกเยอะ”

         

         

        อีกแล้วที่เซฮุนไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร เขาก้มหน้าผูกเชือกรองเท้าอีกข้าง ใจก็คิดทบทวนบทสนทนาบ้าๆระหว่างคืนที่โต้ตอบกับอีกฝ่าย เดาได้ยากว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร บางทีชีวิตการเป็นศิลปินของเขาอาจขมวดปมรุนแรงขึ้น เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ความรักของตัวเองราบรื่นแล้ว ยังโยงลู่หานเข้ามาในกระดานได้อย่างไม่น่าอภัย

         

         

        แล้วก็นั่นแหละ บอกแล้วว่าเขาไม่ใช่เด็กที่อ่านใจยากเลย

         

         

        “แล้วก็อีกเรื่อง” เสียงนักร้องนำรั้งไว้ก่อนบานประตูจะถูกเปิด ลู่หานไม่ได้ขยับตัวออกจากโซฟา ซ้ำสีหน้ายังไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เซฮุนนึกปรามาสเอาไว้ “อย่าสำคัญตัวเองว่าจะสร้างความยุ่งยากให้ใครได้ ฉันไม่สนเรื่องที่เรานอนด้วยกันเลยเซฮุน และนายก็ควรคิดแค่เรื่องของตัวเองก็พอ”

         

         

        เด็กหนุ่มคิดว่าเขากำลังมองดูปีศาจบนเวทีตัวนั้น ลู่หานเฉยชาได้น่ากลัวเกินไป

         

         

        “ครับ เข้าใจแล้ว”

         

         

        เซฮุนออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

        “ให้ตายเถอะเพื่อน เมื่อคืนนายเมาเละเลยว่ะ”

         

        คิมจงอินทักเขาด้วยประโยคแรกของวันที่ไม่น่าพิสมัยนัก ซึ่งก็คงจะไม่ได้โกหก เพราะด็อกเตอร์มาร์ตินสีน้ำตาลนอนแอ้งแม้งอยู่ใต้ชั้นวางได้อย่างไร้ระเบียบ แถมด้วยถุงเท้าคู่โปรดที่ชานยอลไม่กล้าจะนึกถึงกลิ่นของมันนัก คอนโดมิเนียมของจงอินทำให้เขารู้สึกขลาดอายนิดหน่อย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเผลอทำอะไรทุเรศๆลงไปบ้างเมื่อคืนนี้ หนำซ้ำยังเป็นเขาที่ตื่นมาบนเตียงขนาดหกฟุตแทนที่จะเป็นเจ้าบ้าน ถึงแม้จะจงอินจะชอบอวดนักหนาก็เถอะว่าโซฟาเบดของตัวเองนอนสบายมากเท่าไร

         

        “ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป ทีหลังหิ้วฉันทิ้งไว้หน้าประตูห้องตัวเองก็พอไหว” เขาเสนอแบบไม่อ้อมค้อม ได้ยินอย่างนั้นมือกลองผิวแทนก็หัวเราะร่า

         

        “พูดจริงหรือเปล่าเนี่ย” จงอินเก็บน้ำเปล่าขวดลิตรเข้าตู้เย็น ก่อนจะหยิบน้ำส้มคั้นสำเร็จรูปแบบกล่องออกมาเทใส่แก้วเพื่อยื่นให้เพื่อนร่วมวงดื่มแก้แฮงค์ “ไปมาแล้ว แถมเกือบจะทำอย่างที่นายว่าด้วย”

         

        คนฟังเลิกคิ้ว

         

         

        “กุญแจห้องนายหายไปไหนล่ะชานยอล ลองหาดูสักหน่อยไหม”

         

         

        ได้ยินอย่างนั้น ปาร์คชานยอลก็แทบจะหลุดสบถคำหยาบคายสั้นๆเป็นเสียงออกมา เขาล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเอง เมื่อไม่เจออะไรจึงผละลุกกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อหากุญแจห้องจากทุกกระเป๋าในแจ็กเก็ต ทั้งเดินวนไปมาสอดส่องตามพื้น แล้วก็กลับมาที่รื้อผ้าห่มบนเตียงขึ้นจนเห็นแค่รอยยับโง่ๆ เอาเป็นว่าไอ้คนที่เมาเหมือนหมาเมื่อคืนนี้ดันโง่ซ้ำสองด้วยการหาเรื่องให้ตัวเองกลับบ้านไม่ได้เสียแล้ว

         

         

        เห็นสีหน้ามือกีต้าร์ของวงเดินออกมาอย่างหัวเสีย จงอินก็พอจะเดาได้ เพราะไอ้สิ่งที่ชานยอลทำน่ะเขาทำหมดแล้วเมื่อคืนนี้ จนไม่มีทางเลือกแล้วถึงต้องหิ้วคนตัวใหญ่กว่ากลับมาค้างที่ห้องตัวเอง ไม่รู้ป่านนี้ลู่หานจะเป็นอย่างไรบ้าง หมอนั่นก็เมาไม่แพ้กัน หวังว่าโอเซฮุนจะมีน้ำใจช่วยดูแลให้ ไม่ใช่พากันระเบิดห้องจนเละไปเสียก่อน

         

         

        คนที่กำลังจิบน้ำส้มด้วยหน้าบูดๆนี่ก็อีก ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำตัวแบบที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเต็มใจจะทำ อย่างเช่นการมานั่งจับกลุ่มดื่มแล้วเมาหัวราน้ำกับเพื่อนร่วมวง สงสัยอาร์คคงสมควรได้ตำแหน่งวงขี้เมาแห่งปีจริงๆแล้ว เพราะเหตุผลในการฉลองชักจะงี่เง่าขึ้นทุกที อย่างเช่น เฮ้ เราได้ร้องเพลงกันด้วยล่ะ!

         

         

        จงอินคว้าเอาขนมปังสไลด์สีเหลืองเกรียมหลังมันเด้งขึ้นจากเครื่องปิ้ง “รีบเมารีบสร่าง เดี๋ยวบ่ายสองครึ่งก็ต้องรีบออกแล้ว”

         

         

        อาร์คมีนัดถ่ายทอดสดตอนสองทุ่มครึ่ง แล้วดูนาฬิกาตอนนี้เถอะ บ่ายโมงแล้ว แถมยังเป็นบ่ายโมงที่ปาร์คชานยอลยังตาฉ่ำและสะบัดหัวเรียกสติตัวเองอยู่เนืองๆ จงอินเห็นด้วยกับอี้ฟานว่าเราทุกคนควรจะลดๆเรื่องดื่มลงบ้าง อย่าให้ถึงขั้นที่ต้องถูกเข้าใจผิดในรายการว่าพี้กัญชา ทั้งที่จริงๆก็แค่ปล่อยให้ตัวเองเมาทั้งที่รู้ว่ามีงานรออยู่ในวันรุ่งขึ้น

         

         

        “ฉันไปออฟฟิศทั้งชุดนี้ไม่ได้” ชานยอลพูดถึงกลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งบนเสื้อยืดร็อคแอนด์โรล เอาเป็นว่าจงอินเห็นด้วย ผสมความเป็นห่วงอยู่หน่อยๆที่อีกฝ่ายปฏิเสธมื้อเช้าอย่างง่ายของเขาเพราะความรู้สึกที่เหมือนจะอาเจียน

         

         

        “แน่ล่ะ นายเป็นพระเอกของวงนี่หว่า” ซึ่งก็นั่นแหละ เป็นหน้าที่เจ้าบ้านว่าควรจะหาเสื้อไซส์หลวมสักตัวและกางเกงขายาวที่ซื้อมาช่วงน้ำหนักขึ้น บวกที่ยังไม่ได้ตัดขาเข้าไปด้วย ภาวนาให้คิมจงอินพอมีรายการที่ว่ามาทีเถอะ “ฉันให้นายยืมห้องน้ำใช้ได้ แต่ห้ามยุ่งกับฟองน้ำขัดตัวแล้วกัน”

         

         

        เขาพูดติดตลก มองคนตัวสูงที่ลุกเดินสะโหลสะเหลออกไปหลังจากดื่มน้ำส้มจนหมดแก้ว

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

        จะว่ามีแค่ปาร์คชานยอลที่ผิดปกติก็คงไม่ถูก เพราะวันนี้ลู่หานสมาธิสั้นกว่าเคย อี้ฟานเริ่มจะหัวเสียนิดหน่อยแต่ก็ยังเก็บอารมณ์ หัวหน้าวงไม่สบายใจสักเท่าไรที่การซ้อมเล็กๆก่อนออกอากาศไม่ได้ง่ายเหมือนทุกครั้ง หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมันง่าย แต่คนของอาร์คต่างหากที่พากันผิดปกติยังกับนัดล่วงหน้าเอาไว้ และถ้าลู่หานยังรวบรวมสมาธิได้ไม่ดีพอ พวกเขาก็คงไม่มีทางหลีกเลี่ยงความขายหน้าในรายการสดคืนนี้ได้

         

        ไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือเกิดอะไรขึ้นกับแก๊งขี้เมาเมื่อคืนนี้ เหมือนทุกทีที่อี้ฟานโทษแอลกอฮอล์ไว้ก่อน หันไปถลึงตาใส่จงอินที่รู้ทันจนแสร้งเบือนหน้าหนี หนำซ้ำชานยอลก็ไม่มีคำตอบดีๆสำหรับการโซโล่ผิดท่อนเมื่อสักครู่นี้ด้วย

         

        “ฉันชักจะปวดหัวขึ้นมาจริงๆแล้ว”

         

        “โคตรเลย” ลู่หานสบถเห็นด้วยกับอี้ฟาน แต่เชื่อเถอะว่าเขาไม่มีสิทธิ์

         

        “ลองมาคุยกันสักหน่อยดีไหมว่าพวกนายเป็นบ้าอะไรไปกันหมด ชวนกันพี้ยามาหรือไง” หัวหน้าวงถอดเบสวอร์วิกลงวางพิงกับลำโพงแอมป์ ร่างสูงชะลูดยืนกอดอกตั้งแง่ มองหน้าสมาชิกวงเรียงตัว ซึ่งก็มีแต่จงอินนั่นแหละที่ทำหน้าทำตาไร้ลับลมคมในที่สุด อย่างน้อยหมอนี่ก็ไม่ได้ตีกลองผิดจังหวะเหมือนอย่างชานยอลที่ผิดไปทั้งท่อน หรือลู่หานเกิดลืมเนื้อร้องขึ้นมากะทันหัน

         

        พวกเขาไม่ชอบกดดันกันเองนัก (ถึงแม้จะเกิดขึ้นอยู่เสมอๆก็ตามที) แต่มันไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นสักเท่าไรหรอก ซ้ำยังมีคนหัวเสียขึ้นมาเพราะโดนดุกลายๆอีกต่างหาก

         

        “ขอสิบนาทีกับกาแฟสักแก้ว เดี๋ยวกลับมา!

         

        อี้ฟานมองนักร้องนำของวงปิดประตูห้องซ้อมดังปัง จากนั้นจึงหันไปหาจงอินเพื่อบ่นทิ้งท้ายว่า “ดีเลย มีแววถูกเล่นข่าวเรื่องเลทตลอดกาลอีกแล้ว”

         

        ลู่หานอยากได้กาแฟจริงๆ เขาเดินผ่านกลุ่มทีมงานที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของและตรวจตราสัมภาระอยู่ในห้องประชุมเล็ก ชายหนุ่มโบกมือปัดๆก่อนจะเลี้ยวเข้ามาในเลาจน์เพียงลำพัง เขามีแก้วมัคใบโปรดที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ลู่หานวางมันใต้เครื่องชงกาแฟ กดปุ่ม แล้วจึงทิ้งสะโพกเอนพิงเคาน์เตอร์ข้างๆแล้วถอนหายใจออกมาจนหมดลม

         

        เขากังวล แถมยังมีปัญหาเรื่องการควบคุมตัวเองในสถานการณ์ที่ตั้งตัวไม่ถูก ใครจะไปคิดล่ะว่าเมื่อคืนนี้คนเมาจะทำอะไรลงไปบ้าง อย่างเช่นว่าการนอนกับเด็กผู้ชายสักคนโดยเลือกเอาจากวงคู่แข่งอะไรแบบนี้ ซึ่งใช่ นั่นอาจเป็นบ่อเกิดจากปัญหา เพียงแต่ถ้ามันจะไม่มีอะไรอย่างที่ได้ปากเก่งใส่โอเซฮุนเอาไว้เมื่อตอนเที่ยง เขากับเด็กนั่นก็แค่ลืมๆ คิดเสียว่ามันเป็นฝันร้าย พิลึกพิลั่น แถมยังแก้ขัดให้คนอกหักได้ดีอีกต่างหาก

         

        มือเรียวเลื่อนไปกดปิดเครื่องกาแฟในท่าที่เหมือนแย่งกดปุ่มตอบคำถาม ลู่หานไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไปอีกแล้ว กาแฟปริ่มแก้วขนาดนี้แค่เทครีมเทียมครึ่งห่อลงไปก็คงล้น

         

        หากคิดกลับกันอีกทาง ไก่อ่อนในตัวเขามันคงกังวลมากเกินไปหน่อย เอาเข้าจริงลู่หานก็เพิ่งได้รู้จักพวกดาร์คฮอร์สแค่สองวัน ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องเข้าไปคลุกคลีให้เรื่องแดง ต่อให้เซฮุนจะเข้าหน้าเขาไม่ติด นั่นก็คงไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลย ผ่านแล้วเลยไป แค่นั้น

         

        นักร้องนำเอี้ยวตัวหลบลูกคู่ตัวยงที่เดินแทรกเข้ามาในเคาน์เตอร์เล็กๆ จงอินมองกาแฟปริ่มแก้วของเขาพลางทำหน้าเหย ราวกับกาแฟร้อนเยอะขนาดนั้นคงจะช่วยให้ตาค้างได้สักครึ่งปี

         

        “อี้ฟานหัวเสียน่าดู”

         

        ลู่หานไหวไหล่ มองดูจงอินที่จัดการชงกาแฟดำของตัวเองขณะเปิดปากคุยกับเขาไปด้วย เมื่อคืนลู่หานตอบรับบรรยากาศจากจงอินได้ไม่ดีนัก แถมมือกลองที่มีดีกรีเป็นถึงซี้ในวงก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดจะดูไม่ออกว่าอาร์คกำลังแปลกประหลาดแค่ไหน หนุ่มผิวแทนแค่กำลังมองหาตัวแปร ที่คงไม่ใช่ความกดดันจากอัลบั้มรีแพคเกจหรือว่าวงน้องใหม่ที่ทำยอดขายได้ไม่ถึงครึ่งของอาร์ค

         

        “ถ้าร้องสดเพี้ยนในรายการนี้ มีหวังนายโดนสับเละแน่”

         

        “ฉันไม่ฆ่าตัวเองแบบนั้นหรอกน่า” คนโดนขู่เบ้หน้าให้รสชาติกาแฟห่วยแตกจากความเลินเล่อของตัวเอง “ก็แค่เมาค้าง เดี๋ยวก็ตื่นแล้ว ดูสีหน้าฉันเถอะ”

         

        จงอินยิ้มรับ เก็บเรื่องที่ตั้งใจจะถามเอาไว้กระทั่งเจอจังหวะที่เหมาะสม อย่างเช่นการที่ทั้งคู่มองสบกันแล้วรู้ว่าต่างคนต่างมีอะไรในใจ “นายคิดจะทำยังไงกับดาร์คฮอร์สล่ะ”

         

        “หืม”

         

        “ที่ว่าจะขยี้ คงไม่ใช่แค่ปากเก่งไปอย่างนั้นใช่ไหม”

         

        ได้ยินอย่างนั้นลู่หานก็หัวเราะ จงอินรู้ใจเขาตลอดนั่นแหละ และเพราะรู้ ถึงได้เฮละโลทำตัวเป็นคนเข้าถึงง่ายอย่างการที่จะคุยเรื่องกลองกับใครก็ได้ หรือแม้แต่ไม่คัดค้านตอนลู่หานออกปากชวนเด็กน้อยโอเซฮุนให้ไปดื่มต่อด้วยกันตั้งแต่วันแรก จะว่าเขาสองคนมนุษยสัมพันธ์ดีจัดก็ถูกแค่กึ่งหนึ่ง

         

        “จริงๆแล้วฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าไม่นับเรื่องที่ยั่วโมโหนายหน้าบูดคนนั้น” นักร้องนำแน่ใจว่าจงอินรู้โค้ดลับของเขา เพียงแต่อาจจะไม่ได้มองบยอนแบคฮยอนไปไกลถึงขั้นศัตรูหัวใจอย่างที่ลู่หานกำลังรู้สึก และแน่นอน ความลับระหว่างเขากับชานยอลก็ยังเป็นความลับ ชายหนุ่มไม่คิดจะทำตัวเองให้ดูขี้แพ้อย่างเช่นประกาศยอมรับว่าแอบชอบเพื่อนร่วมวงข้างเดียว เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะดูแย่ ซ้ำยังเสียสิทธิ์ในการคอยป่วนประสาทชานยอลไปโดยสิ้นเชิง

         

        “แล้ว?” จงอินมองอีกคนวางกาแฟทิ้งบนเคาน์เตอร์เพื่อแสดงออกว่าไม่คิดจะดื่มมันต่อ โอเค เข้าใจได้ว่านี่คงเป็นภาษาลับว่าขอเปลี่ยนเรื่องไปก่อน “แล้วเมื่อคืนเป็นยังไง เด็กเซฮุนนั่นกลับไปกี่โมง”

         

        ลู่หานเงียบ ครั้งนี้เป็นภาษาที่มือกลองแปลไม่ออก กระทั่งคนถูกถามถอนหายใจออกมาอีกรอบเพื่อบอกกลายๆว่าตัดใจได้แล้ว เอาเป็นว่ากำลังจะพูด แต่ขอทำใจก่อน

         

        “ไม่ได้กลับ” ลู่หานปล่อยให้เพื่อนผิวแทนเลิกคิ้ว “ฉันนอนกับเซฮุนไป”

         

        แล้วก็ไม่ต่างจากภาพที่คาดเดาเอาไว้นัก จงอินสำลักกาแฟดังพรวด ดวงตาเบิกโพลงมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา คงกำลังชั่งใจว่าจะตกใจเรื่องใดก่อน ระหว่างนักร้องนำของอาร์คนอนกับผู้ชาย หรือว่าผู้ชายคนนั้นคือโอเซฮุนที่กำลังใหม่สุดๆ

         

        ขอให้มือกลองหนุ่มเป็นคนทะลึ่งตึงตังไม่เข้าเรื่องทีเถอะ “นอนที่ว่านี่คงไม่ได้หมายถึงน็อคหลับแล้วนอนไปเฉยๆใช่ไหม -- นั่นแหละ นายจะอำใครก็ช่าง แต่คนๆนั้นไม่ใช่ฉัน”

         

        ลู่หานยิ้มแหย ถ้าสลับกันให้จงอินเป็นคนพูดว่าไปนอนกับเซฮุน เขาก็คงหัวเราะท้องคัดท้องแข็งก่อนพิจารณาเรื่องจริงไม่จริงเหมือนกัน “ตรงตัว เซ็กส์

         

        “สปาร์คกันหรือไง”

         

        “แค่เมา แถมไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย” เขาตอบไปตามจริง “คงเพราะฉันมัวคิดถึงใครสักคนมากกว่า หมอนั่นก็สภาพเดียวกัน”

         

        คิมจงอินยอมเสียเวลานึกย้อนกลับไปหนึ่งคืน แล้วก็ไม่น่าล่ะ เขาถึงรู้สึกว่าวงดื่มเมื่อคืนนี้ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แปลกๆ ไม่ว่าจะเรื่องคนที่มานั่งดื่มด้วยหรือว่าบรรยากาศ ถ้าพวกนี้ชวนเขาเมาแล้วแจ้งคอนเซปท์ล่วงหน้ากันสักหน่อย จงอินจะได้ประกาศหาสาวสวยสักคนมาช่วยหักอกเขาคืนนั้นเลย

         

        “แล้ว...” เขากระแอมเบาๆ อยู่ดีๆก็นึกกังวลถึงเวลาสิบนาทีที่ลู่หานขอไว้ขึ้นมาดื้อๆ “นายจะเอายังไงต่อ”

         

        “หือ”

         

        “ก็เรื่องเซฮุนไง”

         

        “ก็ไม่ต้องทำไง” นักร้องนำพูดตอบหน้าตาเฉย “มันเกิดไปแล้ว ฉันต้องทำอะไรด้วยหรือ”

         

        หลังประโยคนั้น จงอินคิดว่าเขาคงจะมองเพื่อนคนนี้ไม่เหมือนเคย -- รวมถึงโอเซฮุนด้วย

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

        ปาร์คชานยอลรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง บางอย่างอยู่เหนือการควบคุมของเขา

         

        ชายหนุ่มจับจ้องอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือหลังจากที่เห็นว่าจุนมยอนแอดเขาในแอพพลิเคชั่นแชท หลังจากกดแอดกลับและชั่งใจว่าควรพูดความต้องการออกไปดีไหม แรงตบเบาๆที่บ่าก็ช่วยตัดสินใจว่าควรเก็บมันเอาไว้ก่อน อี้ฟานส่งสายตาย้ำว่าอยากให้มือกีต้าร์หนุ่มมีสมาธิเป็นพิเศษในวันนี้ ชานยอลเข้าใจว่าในการซ้อมนั้นเขาทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย มันเคยเป็นแค่เรื่องหมูๆที่ไม่ยากไปกว่าเก่า แต่ถึงอย่างนั้นเขากับลู่หานก็ดันงี่เง่าที่แยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากการทำงานไม่ได้ แน่นอนว่าอี้ฟานมีสิทธิ์หัวเสีย ซึ่งน่ากลัวว่ามันจะส่งผลไม่ค่อยดีนักเมื่อถึงเวลาอาร์คถูกสัมภาษณ์สด

         

        เขากดปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนจะยัดมันไว้ในกระเป๋าเป้ พี่มินซอกเป็นคนถือกุญแจห้องเตรียมตัวของอาร์คเอาไว้เหมือนทุกที ทรัพย์สินในห้องนี้รวมกันก็น่าจะมากโข วัดจากแค่รองเท้าสนีกเกอร์ของจงอินหรือว่าเงินสดในกระเป๋าอี้ฟาน

         

        “โค้กหน่อยไหม” ลู่หานยื่นน้ำอัดลมกระป๋องเย็นๆมาให้ ชานยอลแค่พยักหน้าขอบคุณก่อนจะจัดการเกี่ยวเอาวงแหวนบนฝาจนเกิดเสียงเปิดดังซ่า ระหว่างนั้นก็มองคนข้างตัวที่ใช้สองมือตบข้างแก้มตัวเองเบาๆเพื่อถามหาสมาธิ

         

        จงอินขึ้นไปช่วยเซ็ทกลองระหว่างรอถึงคิวแสดงแล้ว เสียงพิธีกรดำเนินรายการสดยังคงดังอยู่ภายในฮอลล์ท่ามกลางเสียงฮือฮาเมื่อแฟนคลับสังเกตเห็นคิมจงอินแวบไปมาอยู่ระหว่างหลังกลองชุดและฉาก ส่วนไอบาเนซและวอร์วิกขึ้นไปนอนรออยู่ที่ขาตั้งบนเวทีแล้ว ชานยอลไม่อยากนึกภาพตัวเองตอนพลาดเล่นเพี้ยนเลยจริงๆ เพราะมันคงเปลี่ยนอาร์คจากปีศาจให้กลายเป็นตัวตลก

         

        เขาสูดลมหายใจลึก ใบหน้าของใครบางคนยังคงเด่นชัดแทนที่คอร์ดกีต้าร์ แล้วก็ตลกดีที่เพลงสตอร์มกลับดังขึ้นในหัวอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา

         

         

         

        

         

         

         

         

        ว้าว ดูนายสิชานยอล หาเรื่องโชว์เทพในไลฟ์เฮาส์เดือนหน้าหรือไง

        ใช่ ใครมันจะไปเล่นเพลงเดิมๆได้ทุกโชว์

        ขี้เบื่อจริงๆ แบบนี้สถานะของฉันจะอันตรายไหม

        ติงต๊องน่า สำหรับฉัน นายน่ะโคตรเป็นอะไรที่มั่นคงที่สุดแล้วแบคฮยอน

        โม้ว่ะ

        พิสูจน์ดูสิ อีกสักสิบปีก็จะยังรักให้ดู

        ฮ่าๆๆๆ โคตรเลี่ยนเลย!’

         

         

         

         

        เขาหลุดยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้นึกถึงมันขึ้นมาเสียได้ เอาเข้าจริงตั้งแต่ที่ได้เจอกันอีกครั้ง ปาร์คชานยอลก็แทบลืมไปแล้วว่าเราเคยคุยกันได้อย่างสนิทสนมปานนั้น คำพูดคำจาตอนหยอกล้อกันช่างฟังดูตลกปนน่ารัก ไม่คาดคิดว่าเราทั้งคู่จะมีวันที่สาดทอคำพูดห่างเหินใส่กันได้เจ็บปวดถึงเพียงนี้

         

        บ่อยครั้งที่ชานยอลมองแผ่นหลังของลู่หานและจินตนาการว่านี่คือเกลย์ ศิลปินร็อคที่ดังที่สุดแห่งยุค แถมยังมีเพลงโซโล่กีต้าร์เท่ๆอย่างสตอร์มเป็นเพลงสร้างชื่อเสียด้วย เกลย์ทัวร์คอนเสิร์ตไปทั่วเอเชีย ใส่เสื้อยืดวงสีดำสกรีนลายพังก์ร็อค ไฟบนเวทีปะทุขึ้นสู่ฟ้าจนไม่รู้ว่าหยาดเหงื่อที่ไหลโทรมอยู่ตามเนื้อตัวนี่เป็นเพราะความเหนื่อยหรือร้อนกันแน่ แบคฮยอนสะบัดไมค์ออกจากขาตั้งจนสายไมค์เต้นระบำ เบื้องหน้าคือฝูงชนจำนวนมหาศาล บางทีอาจจะมากกว่าคนทั้งสนามฟุตบอลโลกก็ได้

         

        เขาดีดกีต้าร์พลางโยกหัวอย่างเมามันส์ หมุนตัวไปรอบๆก่อนจะหันไปยิ้มให้กับจุนมยอนที่ย้อมผมเป็นสีเขียวเช่นที่เคยโม้ไว้ คยองซูตีกลองจนหัวจะหลุด ส่วนแบคฮยอนหยิบขวดน้ำขึ้นมาราดตัวหลังจากลากเสียงร้องยาวออกไปท้ายท่อนฮุค

         

        เพลงของเกลย์ดังติดชาร์ตจนขึ้นชื่อว่าเป็นวงผีดิบ เราจะไม่ยอมลงจากอันดับจนกว่าจะมีใครเอาปืนมายิงให้ตาย ความเปลี่ยนแปลงของแต่ละคนเด่นชัด คยองซูซื้อไนกี้แอร์แมกซ์ได้เป็นคอลเลคชั่นเพื่อใส่แค่สีละครั้ง แถมผมยังตัดเกรียนเพราะรำคาญที่จะต้องทุนร้อนทุกๆกลางปี ส่วนจุนมยอนหัวเขียวไม่ได้ดูคล้ายโจ๊กเกอร์ในแบทแมนเลยสักนิด ชานยอลนึกขอบคุณเมื่ออีกฝ่ายตอบว่าใครจะบ้าเอาลิฟท์แดงทาปาก ถึงแม้โจ๊กเกอร์จะเท่สุดๆเลยก็เถอะ

         

        ส่วนแบคฮยอนทำผมสีน้ำตาลซอยสั้น ใบหน้าชุ่มเหงื่อหันมายิ้มให้เขาท่ามกลางเสียงกรี๊ด แจ็คเก็ตสีแดงนั่นเป็นตัวเดียวกับในอินเทอร์เน็ตที่เราเคยดูด้วยกัน แบคฮยอนโอดครวญว่าอยากได้แต่ราคาช่างไกลปัญญาซื้อ เราเลยใช้เงินแก้เก้อด้วยการซื้อโซฟาสีเลือดหมูมือสองมาใช้นั่งเล่นไปก่อน แต่ตอนนี้แบคฮยอนได้ใส่แจ็คเก็ตตัวนั้นแล้วจากเงินที่เราทำได้ในปีนี้

         

        ส่วนเขา --

         

         

         

        ปาร์คชานยอลนิ่งไป เสียงดนตรีในคอนเสิร์ตใหญ่ค่อยๆเงียบลงทุกขณะ แสงสปอร์ตไลท์ส่องผ่านไปมาตรงหน้า แยงใส่ตาจนพร่าเลือนและว่างเปล่า อา... ชานยอลไม่เห็นตัวเองในตอนนั้นเลยสักนิด เขาอยากได้กระจกสักใบเพื่อส่องว่ามือกีต้าร์ของเกลย์เป็นอย่างไร ตัดผมทรงไหน ใส่เสื้อลายพังก์ร็อคเหมือนคนในวงหรือเปล่า เมื่อสิ้นแสงจ้า ใบหน้าของลู่หานที่กำลังยืนเลิกคิ้วมองก็เด่นชัดขึ้นมา

         

        “เหม่ออะไร เดี๋ยวก็ต้องขึ้นแสดงแล้วนะ”

         

        ชานยอลก้มลงมองแจ็คเก็ตบัลแมงสีดำบนตัว ใบหน้าครึ่งล่างร้อนนิดหน่อยเพราะหน้ากากปีศาจที่สวมไว้ ชายหนุ่มหันไปมองตัวเองในกระจกว่าตอนนี้เขาดูเป็นอย่างไร ผมสีเทาซอยสั้นถูกเซ็ทเสยเป็นทรงเปิดหน้าผาก มันเริ่มจะออกสีเขียวน้ำตาลแล้ว บนต้นแขนขวามีผ้าสีน้ำเงินผูกเอาไว้เป็นคอนเซปท์ชุดของวันนี้ ทุกคนในอาร์คมีส่วนสีน้ำเงินเหมือนๆกัน โดยเฉพาะแจ็คเก็ตของลู่หานที่ดูคล้ายกับแจ็คเก็ตของแบคฮยอนในมโนความคิดของเขาอย่างน่าเหลือเชื่อ

         

        จงอินกำลังคุยกับพี่มินซอกเรื่องสนีกเกอร์รุ่นลิมิเตดที่สั่งพรีออเดอร์ไปแล้ว แต่ก็ถูกดุกลับไปและบอกให้ตั้งสมาธิกับการแสดงเข้าไว้ ส่วนอี้ฟานยังไว้ผมทรงอันเดอร์คัทสีดำหาใช่สีเขียวแต่อย่างใด หนำซ้ำยังขมวดคิ้วใส่เมื่อถูกเขาจ้องเสียด้วย

         

        อา -- ใช่ นี่เขาเป็นบ้าอะไรไป

         

        สต๊าฟเรียกให้อาร์คขึ้นไปบนเวทีของรายการแล้ว เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มเพื่อตอกย้ำว่าจะไม่มีการผิดพลาดในถ่ายทอดสดโดยเด็ดขาด ชานยอลหยิบเอาไอบาเนซสีดำบนขาตั้งขึ้นมาสะพายเฉียงบนตัว นัยน์ตาจับจ้องฮอลล์ขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยแฟนคลับที่คลั่งไคล้อาร์คยิ่งกว่าสิ่งใด ความจริงที่ไม่ใช่ฝันลมๆแล้งๆเกิดขึ้นจริงตรงนี้แล้ว

         

        ภายใต้หน้ากากปีศาจที่น่าเกรงขาม ชายหนุ่มแค่นยิ้มให้ตัวเองในฐานะสมาชิกวงอาร์ค หัวใจของเขาบีบตัวแน่นจนมวนไปด้วยความเจ็บปวดอันน่ารำคาญ สาเหตุที่เขานึกภาพตัวเองในมโนภาพนั้นไม่ออกมันชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด ทำไมถึงไม่เข้าใจสักทีนะ

         

        ปาร์คชานยอลไม่ใช่เกลย์อีกต่อไปแล้ว

         

        และถ้าจะมีสิ่งใดทำให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวลไปได้ สิ่งนั้นก็คือการยอมรับในทางเลือก ความเป็นจริงที่เขาไม่ลังเลใจเลยตอนเดินออกมาจากห้องในเช้ามืดวันนั้น การตัดสินใจที่ว่าจะยอมกลายเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวที่ทิ้งพวกพ้องและความรักสุดหัวใจเอาไว้ ณ ซอกมุมของแผ่นดินอันกว้างใหญ่แห่งนี้

         

        ใครที่บิดเบือนความฝันของเกลย์ เขาเอง

         

        ใครกันที่เปลี่ยนปาร์คชานยอลให้กลายเป็นมือกีต้าร์ไร้หัวใจคนนั้น เขาเอง

         

        แม้จะผ่านมาถึงสองปีทุกคนก็ยังคนเหมือนเดิม รวมถึงบยอนแบคฮยอนที่เชิดใบหน้าอันโกรธแค้นใส่เขาด้วยทิฐิ ใกล้เคียงทุกครั้งที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องแรงๆจนเกือบเลิกรา แต่เหมือนวันที่จากกันไม่มีผิด

         

         

         

        ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลย ยกเว้นตัวเขาเอง

         

         

         

        พลันเสียงดนตรีดังกระหึ่มก็แจ่มชัดเต็มสองหู เสียงลู่หานตะโกนทักทายคนในห้องส่งด้วยความฮึกเหิมและสัญญาณจากสต๊าฟในหูฟังที่นับถอยหลังสี่ สาม สอง โลกทั้งใบกลายเป็นดินแดนของปีศาจแสนร้อนแรง เสียงเบสและกลองดันสอดประสานเสียงกีต้าร์หนักหน่วง บรรเลงเรียกทุกคนให้ดีดดิ้นบนสมรภูมิเพลิง

         

        หัวใจของชานยอลพองโตด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมบางอย่าง ร่างกายเริ่มโยกไปตามจังหวะขยับนิ้ว เรี่ยวแรงที่หายไปกลับคืน ความสับสนก็พลันจัดการตัวเองจนเด่นชัด เขาถอยหลังกลับไปไม่ได้แล้ว ที่ทำได้มีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าพร้อมๆกับคนบนเวทีเดียวกันนี้ ในหัวเขามีแต่คอร์ดกีต้าร์ ดนตรี เนื้อเพลง และอาร์ค

         

         

         

         

        มันนานเกินไปแล้วนะชานยอล เราให้เวลานายคิดมานานเกินไปแล้ว

        เชื่อในสิ่งที่นายเป็นสิ เหมือนอย่างที่นายพูดวันนี้

        แล้วก็เชื่อพวกเราด้วย

         

         

         

         

        อาร์คไม่ต้องรออีกต่อไปแล้ว

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

        “อันดับสี่!

         

        คิมจุนมยอนร้องขึ้นมาลั่นห้องหลังจากที่ได้ยินรายการเพลงในวิทยุพูดถึงอันดับบนชาร์ต โดยมีคลอคสไตรค์ไต่ขึ้นไปกอดเลขสี่เอาไว้ได้อย่างรวดเร็วในสัปดาห์แรก พี่ใหญ่ของวงรีบลุกขึ้นไปชนกระป๋องเบียร์กับคยองซูและแบคฮยอนที่อาการดีขึ้นบ้างแล้ว

         

        “แถมยอดวิวของเอ็มวีก็ทะลุแปดแสนแล้วด้วยนะ” คยองซูเสริมโดยการหันโน้ตบุ๊คมาให้ดู

         

        ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการโปรโมตแบบไวรัลฝีมือควอนโบอาและความคิดเรื่องไลฟ์เซสชั่นจากคิมจงแดเลยที่สร้างกระแสความสนใจให้ดาร์คฮอร์สได้อย่างดีเยี่ยม อ้อ บวกกับข่าวกิสซิปนิดๆหน่อยๆจากการพึ่งชื่ออาร์คก่อนหน้านั้นด้วย พวกเขามีโอกาสพิสูจน์ฝีมือและทำมันได้สวยงามเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ โปสเตอร์ภาพโปรโมตใบใหญ่บนผนังเป็นเสมือนเชื้อไฟที่จะได้ตื่นมาเห็นทุกเช้า

         

        เป็นครั้งที่สี่ที่จุนมยอนตั้งใจจะออกปากถามว่าน้องเล็กหายไปไหนถึงไม่ได้อยู่ฟังความสำเร็จครั้งนี้ด้วยกัน เซฮุนออกไปดื่มตามคำชวนของอาร์คตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แต่ปาเข้าไปหัวค่ำของอีกวันแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ หนำซ้ำยังติดต่อไม่ได้ พรุ่งนี้พวกเขามีซ้อมเพื่อเตรียมเดินสายโปรโมตอัลบั้มอีก แล้วก็ไม่มีใครในวงที่นึกอยากให้เซฮุนเหลวไหลตั้งแต่เพิ่งได้เป็นศิลปินเต็มตัวแรกๆแบบนี้

         

        “นายคิดว่าแผนโปรโมตจากนี้จะได้ผลจริงๆเหรอ” แบคฮยอนถามขึ้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ตัดฉับความสนใจของจุนมยอนที่อยากถามถึงเซฮุนไปเสียดื้อๆ

         

        “ที่ว่าจะให้เปิดคอนเสิร์ตบนรถน่ะนะ”

         

        คยองซูนึกถึงภาพสเก็ตซ์ของรยออุคและคำอธิบายจากโบอา พวกเขาจะเปิดคอนเสิร์ตย่อมๆอยู่บนสตูดิโอเคลื่อนที่ที่มีลักษณะเป็นตู้กระจกขนาดใหญ่บนรถ มีวิวทิวทัศน์เป็นถนนโซลยามค่ำคืน ถ่ายทอดเสียงเพลงผ่านลำโพงออกไปนอกคันให้ทุกเส้นทางที่เคลื่อนผ่านได้ยินเสียงดนตรีสดเพื่อดึงความสนใจ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ฮงแดเพื่อเริ่มคอนเสิร์ตย่อมๆอีกครั้งเต็มรูปแบบ เพลงในอัลบั้มจะถูกนำมาร้องหลายต่อหลายเพลง รวมถึงเพลงพิเศษที่เกลย์ใช้ร้องในร็อคไรซิ่งคอนเทสต์อย่างดีซิสชันด้วย

         

        “ก็คงไม่แย่หรอกมั้ง” จุนมยอนตอบแบบไม่แน่ใจนัก

         

        “ฉันก็ว่าอย่างนั้น ถ้าเราจะสามารถเชื่อยอดขายได้น่ะนะ” คยองซูยิ้มอย่างมีความหวัง ยอดขายวันแรกของพวกเขาไม่ขี้เหร่ ถึงกับประสบความสำเร็จเหนือบลันเชตต์ วงชนะประกวดของร็อคไรซิ่งด้วยซ้ำไป

         

        “อยากให้ดีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเลย ให้ตายเถอะ” จุนมยอนภาวนา เรียกรอยยิ้มจากนักร้องนำให้เริ่มมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้ในที่สุด

         

        แบคฮยอนอยากได้พลังและความหวังมากกว่านี้ เขาอยากโด่งดัง มีชื่อเสียง รวมถึงเอาชนะอาร์คได้อย่างที่หวังมาตลอดสองปี ถึงแม้ว่าสิ่งที่อาร์คขยี้ดาร์คฮอร์สด้วยกระแสกลางรายการเคไลฟ์นั่นจะทิ้งห่างจากกันจนน่ากลัวก็เถอะ เขาจำสายตาของลู่หานได้ แล้วก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าถึงวันที่ดาร์คฮอร์สเป็นฝ่ายรุกบ้าง เจ้าคนน่าหมั่นไส้นั่นจะยังยิ้มเยาะได้อยู่ไหม

         

        เขาใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการดูผลงานของอาร์คตั้งแต่สมัยเดบิวต์ไล่มาจนถึงตอนนี้ และยอมรับโดยสัตย์จริงเลยว่าคนพวกนี้คงเกิดมาเพื่อเป็นแนวหน้าของวงการเพลงโดยแท้จริง แต่คิดว่าบยอนแบคฮยอนจะกลัวหรือ เปล่าเลย เลือดในกายของเขาพลุ่งพล่าน นึกอยากให้ถึงวันที่จะมีโอกาสได้ปะทะกันไวๆ

         

        มือกดหยุดคลิปวีดีโอเมื่อหน้าของใครบางคนโผล่ขึ้นมาในมิวสิกวีดีโอ แบคฮยอนบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ปาร์คชานยอลกำลังทำให้เขารู้สึกอย่างไร โกรธแค้น เศร้าเสียใจ หรือคิดถึงวันคืนเก่าๆที่ได้นั่งเล่นกีต้าร์ด้วยกัน ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นเป็นจังหวะประหลาดเมื่อคิดได้ว่าทุกอย่างคงจะจบลงจริงๆเสียแล้วหลังจากเขาพูดตัดรอนเช่นนั้นออกไป เรากลายเป็นคนอื่น เป็นคู่แข่ง เป็นสิ่งที่ห่างเหินเกินกว่าจะหาคำจำกัดความมาเรียกมัน

         

        ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปๆเรื่อยก็ถูกต้องแล้ว นี่แหละทางที่เขาเลือก

         

         

         

        

         

         

         

        ประตูห้องเปิดออกขัดบทสนทนาเรื่องแผนโปรโมต โอเซฮุนกลับมาในเสื้อผ้าชุดใหม่ทั้งใบหน้าสะโหลสะเหล ริมฝีปากวาดออกเป็นรอยยิ้มฝืนๆตามมารยาทก่อนจะพาร่างสูงโปร่งหายเข้าไปในห้องนอนโดยไม่พูดไม่จา คยองซูอยากให้แบคฮยอนตามเข้าไปในนั้น  อาจเพราะเขาเป็นคนที่มีสิทธิ์ใช้ห้องร่วมกับโอเซฮุนหรือเหตุผลอื่น และจากทีท่าลังเลของนักร้องนำก็ทำให้รู้ว่าคยองซูคิดผิด

         

        เมื่อวานเขากับเซฮุนแยกจากกันได้ไม่ดีสักเท่าไร แถมเหตุผลก็ยังคลุมเคลือและงี่เง่าเกินกว่าที่จะนำมาใช้ประเมินสถานการณ์ระหว่างคนทั้งคู่ในตอนนี้ แต่ท้ายแล้วเราคงไม่มีทางให้หลีกเลี่ยงกันมากนัก บยอนแบคฮยอนจึงสูดลมหายใจลึกก่อนจะลุกขึ้นยืนทำใจเป็นครั้งสุดท้าย ในหัวมีบทสนทนาเริ่มต้นเป็นเรื่องบ่นจุกจิกที่ไม่กลับห้อง ซึ่งถึงจะฟังดูเฮงซวย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย

         

        ชายหนุ่มเปิดและปิดประตูห้องโดยทิ้งเพื่อนร่วมวงอีกสองคนเอาไว้ด้านนอก สายตามองไปยังคนที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงทั้งกางเกงยีนส์ขายาว เซฮุนดูอิดโรยแม้จะผ่านไปแค่วันเดียว ซึ่งนั่นคือเรื่องน่าเป็นห่วงอย่างแสนสาหัสตราบใดที่ดาร์คฮอร์สยังอยู่ในช่วงควรดูแลกันเป็นพิเศษอย่างนี้

         

        “เซฮุน”

         

        เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นแต่ไม่มองสบเขา บางทีนี่คงเป็นการสานต่อเหตุการณ์ผิดปกติต่อจากเมื่อวาน ซึ่งจะทำให้แบคฮยอนเหนื่อยใจและนึกอยากปวดหัวหนักๆอีกรอบก็เป็นได้

         

        “เมื่อคืนเมามากหรือ” เขาแกล้งลืมๆมันไปและทำใจดีสู้เสือ “แล้วทำไมกลับเอาป่านนี้ เราติดต่อนายไม่ได้ เป็นห่วงแทบแย่”

         

        บางทีแบคฮยอนอาจจะตาฝาดที่เห็นเซฮุนแค่นหัวเราะ เขาไม่เคยเห็นเด็กน้อยในมุมนี้ แถมยังนึกไม่ออกแม้กระทั่งการที่สายตาคู่นั้นจงใจเบือนไปทางอื่นราวกับอยากหลบกันอย่างเห็นได้ชัดด้วย เอาเป็นว่าเขาไม่อยากเดาสาเหตุ สู้คิดไปก่อนว่าเซฮุนก็แค่โกรธเรื่องงี่เง่าเมื่อวานเย็นคงจะดีกว่า

         

        ถึงแม้ไม่เก่งเรื่องการเซ้าซี้ แต่แบคฮยอนก็รู้อีกว่าเขาควรพยายามทำมัน “นี่ โอเซฮุน”

         

        ครั้งนี้เซฮุนยอมหยัดตัวเองลุกขึ้นนั่ง ถอดเสื้อยืดบนตัวออกเพราะความร้อนภายในห้องแล้วโยนมันลงตะกร้าเตรียมซักได้เฉียดฉิว บนคอว่างเปล่า ไม่มีสร้อยเส้นที่คว้าติดมือไปต่อหน้าเขาครั้งล่าสุด เรือนผมสีทองถูกเสยลวกๆจนยุ่งเหยิง เซฮุนค้างมือเอาไว้บนศีรษะ ริมฝีปากบิดเบี้ยวเล็กน้อยจากการเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มขณะขบคิดบางอย่างเงียบๆ และเพราะไม่เคยถูกแสดงท่าทีเช่นนี้ใส่มาก่อน แบคฮยอนจึงทำตัวไม่ถูกและไม่ดีมากไปกว่าการแสร้งเป็นปกติ

         

        “ครับ” เซฮุนขานรับเสียงทุ้มต่ำ ซ้ำยังทำราวกับว่าการมองตาเขามันลำบากเหลือทน

         

        ตอนนี้แบคฮยอนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว เขากลืนคำบ่นส่งๆที่เตรียมเอาไว้ลงคออย่างยากเย็น ชั่งใจว่าควรลุกหนีไปข้างนอกก่อนดีหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะยิ่งแสดงให้เซฮุนเห็นว่าเขาพร้อมอยู่ในสถานการณ์คารังคาซัง แล้วก็ไม่ยี่หระถ้าจะต้องอมความอึดอัดเอาไว้เพื่อรอให้อีกฝ่ายระเบิดออกมาก่อน

         

        “เรื่องเมื่อวาน” เขากลั้นใจ “มีอะไรจะพูดกันไหม”

         

        ถ้าเซฮุนถามอะไร แบคฮยอนก็จะคิดหาคำตอบดีๆให้ในตอนนี้ มันคงเป็นเรื่องยากถ้าความสัมพันธ์ระยะยาวมีแต่ความลับซ่อนเต็มไปหมด เมื่อเดินไปข้างหน้า กับดักนั้นก็จะโผล่ออกมาทิ่มแทงให้ชะงักงันทุกทีไป แน่นอนแบคฮยอนคงไม่พูดเรื่องที่เขานอนกับชานยอลอีกครั้ง แต่ถ้าเป็นก่อนหน้านั้นล่ะก็เขาจะพยายาม

         

        ทว่าเซฮุนไม่พูดอะไรเลย เด็กหนุ่มยินยอมให้ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมพวกเขาทั้งคู่ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผิดไปจากเคยมากๆในเมื่อคนตรงหน้าเขาคือโอเซฮุน เด็กโข่งจอมอ้อล้อและพูดมากคนนั้น แบบนี้มันรับมือยากกว่าเวลาถูกเอาแต่ใจหลายเท่า

         

        นักร้องนำยื่นมือไปตรงหน้า บีบเข้าที่กรามได้รูปแล้วจับหันมาเผชิญหน้าโดยใช้กำลังบังคับ เขาทำสำเร็จเพราะเซฮุนไม่ทันตั้งตัว และผลตอบแทนนั้นช่างเจ็บแสบ เมื่อภาพตรงหน้าคือดวงตาสั่นไหวของเด็กน้อยที่เขาเคยรู้จัก ก่อนมันจะเลือนหายไปเพราะเซฮุนเลือกปัดมือพี่ร่วมวงทิ้งแล้วเบือนหน้าหนีอีกครั้ง

         

        แบคฮยอนไม่เคยเห็นเซฮุนร้องไห้มาก่อน อย่างนั้นเขาจึงรู้สึกว่านี่มันยากกว่าที่คาดคะเนเอาไว้ตั้งหลายเท่า

         

        “ขอโทษ ฉัน --”

         

        “ผมไม่อยากรู้แล้ว” เสียงทุ้มต่ำสวนขึ้น เซฮุนนั่งขัดสมาธิเท้าศอกไว้บนตัก สองมือประสานกันโดยที่นิ้วโป้งไม่เคยหยุดนิ่ง “ขอร้องล่ะครับ ปล่อยผมไว้อย่างนี้ก่อน เดี๋ยวอีกสักพักผมออกไป”

         

        เซฮุนพูดปัดๆ น้ำเสียงหนักแน่นแต่เจือไปด้วยความเจ็บปวด คนเป็นพี่เห็นจมูกและใบหูนั้นแดงก่ำ เห็นกระทั่งว่าอีกฝ่ายพยายามจะหันหน้าหนีแค่ไหนเมื่อรู้ตัวว่าเขากำลังมอง แบคฮยอนไม่อยากตอบตกลงง่ายๆเลย เขาแค่คิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ คิดว่าตัวเองจะมีสิทธิ์มีเสียงให้โอเซฮุนเป็นไปอย่างที่อยากให้เป็น แต่ความดีงามของเขากำลังเจ็บปวด และแบคฮยอนคิดว่าสาเหตุก็อาจจะไม่ใช่ใครที่ไหนเลย

         

        “เราจะไม่คุยกันใช่ไหม” เขายอมดื้อดึงต่ออีกสักหน่อย ไม่บ่อยครั้งอีกนั่นแหละที่บยอนแบคฮยอนอยู่ในสถานะแบบนี้

         

        “พี่อยากให้ผมเป็นปกติ เป็นเด็กน้อยเหมือนทุกทีใช่ไหม” เด็กหนุ่มยอมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงหน้านั้นหันกลับมาแล้ว หันมาให้เห็นน้ำตาที่คลออยู่จนแววตาสั่น เห็นจมูกแดงๆที่พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อคงน้ำเสียงปกติเอาไว้ “ผมบอกว่าขอเวลาไง แล้วผมจะเป็นเหมือนเดิม”

         

        “...”

         

        “เป็นแบบที่ทุกคนอยากให้เป็น”

         

        บางทีแบคฮยอนควรจะลุกขึ้นได้แล้ว ลุกก่อนที่เด็กตรงหน้าจะโพล่งอะไรออกมามากกว่านี้

         

        “อีกสักพักนะครับ ไม่นานหรอก” เซฮุนแค่นยิ้มฝืน “ขอเวลาให้ผมหน่อย ผมไม่ถนัดแกล้งทำจริงๆ”

         

         

         

         

        สิ้นประโยคนั้น บยอนแบคฮยอนก็ส่งตัวเองก้าวฉับๆออกมาจากห้องได้ในที่สุด เขารู้สึกเหมือนโดนตอกจนหน้าชาโดยที่ไม่แน่ใจนักว่าเซฮุนจงใจหรือเปล่า ตาเหลือบมองคยองซูและจุนมยอนที่หันมาหาจากโซฟาหน้าโทรทัศน์เพื่อจะเอาถามหาคำตอบ ซึ่งแบคฮยอนไม่มีให้ หนำซ้ำจุดดำในใจยังขยายตัวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดพร้อมๆกับความสงสัย

         

        เขาอยากรู้จริงๆหรือ -- ว่าเซฮุนรู้อะไรมา

         

         

         

         

         

         

         

         

        
        
        
        
        
         

        ________________________________________

         
        
        สะ สะ สะ สตั๊นนนนนนนนนนนนนนท์
        ความไม่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอนค่ะ เพราะนี่ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลย--
        
        ชอบไม่ชอบยังไง คอมเมนท์หรือติดแท็กเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ

         

        #ficdarkhorse
        
        
        
        
        
        
        
        SPECIAL VIDEO : Introducing 'ARCH'
        
        
        
        
        SPECIAL VIDEO : Introducing 'DARK HORSE'
        
        
        
        
         



    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×