ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) DARK HORSE | chanbaek hunbaek

    ลำดับตอนที่ #12 : EPISODE 10 | MADLY

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.18K
      20
      19 ม.ค. 60





        
                
                
         
         



        DARK HOUSE

        間違えている箇所もあります。

        ….

        
        

         t e n

        madly



         

         

         

         

         

         

         

         

                

              

        แด่ความรักที่บ้าคลั่ง

        และลึกจนสุดใจ

            

                 












        “ถ่ายแบบ?”

         

         

        ในการประชุมที่บริษัทครั้งล่าสุด ดาร์คฮอร์สได้รับงานใหม่ที่พวกเขาควรจะต้องเจอ ถ้าพูดในฐานะนักดนตรีบ้านนอกธรรมดาๆแล้ว ไม่มีใครคาดคิดเรื่องที่จะต้องไปอยู่บนหน้านิตยสาร แอ็คท่าหล่อๆด้วยเสื้อผ้าราคาห้าล้านวอนมาก่อน แน่ล่ะ ขนาดคิมจุนมยอนที่แน่ใจว่ารักการแต่งตัวที่สุด การจะซื้อเสื้อผ้าราคาห้าหมื่นวอนสักตัวเขายังต้องเจียดเงินจากการทำงานพิเศษด้วยใจที่คิดแล้วคิดอีกเป็นสิบรอบเลย แต่นี่พวกเขากำลังจะได้สวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง เผลอๆยังอาจได้กลับมาสักตัวสองตัวเพื่อใส่เป็นพรีเซนเตอร์ทางอ้อมด้วย จุนมยอนรักวงการนี้เหลือเกิน

         

         

        “ใช่ ปกติแล้วแกลมเมอร์จะไม่ค่อยมีศิลปินวงได้ขึ้นปกนักหรอกนะ เพราะกลุ่มเป้าหมายมันคนละกลุ่มกันเลย นายแบบนางแบบส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงหรือว่าพวกไอดอล”

         

         

        “...”

         

         

        “โอกาสนี้หมายถึง... ดาร์คฮอร์สกำลังถูกจับตามอง”

         

         

        ทั้งสี่คนตั้งใจฟังควอนโบอาพูดอย่างดี ในหัวก็พยายามนึกภาพตามไปด้วย คยองซูพอจะรู้จักแบรนด์นี้อยู่บ้าง มันเป็นอย่างที่โบอาพูด คนที่จะได้ขึ้นปกของแกลมเมอร์นั้นไม่เพียงแต่ต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่ว่าต้องอยู่ในกระแสด้วย

         

         

        “ฉบับเดือนสิงหาคมเหรอครับ” เซฮุนถาม แต่โบอาส่ายหน้า อีกสามคนไม่เข้าใจนักว่านั่นหมายความว่าอย่างไร “หมายความว่า...”

         

         

        ครีเอทีฟมาร์เก็ตติ้งสาวรุ่นพี่อมยิ้ม “ฉบับเดือนกันยายน”

         

         

        “หมายความว่ายังไง” จุนมยอนเขย่าแขนน้องเล็กของวง งงกับสิ่งที่เซฮุนและโบอาเข้าใจกันอยู่สองคน แต่ที่เหลืองงเป็นไก่ตามแตก

         

         

        “ก็เดือนกันยายนน่ะสำคัญที่สุดแล้ว” เซฮุนอธิบาย เนื้อเสียงสั่นเครือเล็กน้อยจากความตื่นเต้น “เหมือนเป็นไคลแมกซ์ของปี ผมจะอธิบายยังไงดีนะ”

         

         

        แค่นั้นก็พอจะเข้าใจได้แล้วว่ามันสำคัญ นี่คือโอกาสที่ก้าวหน้าไปอีกขั้นของดาร์คฮอร์ส ของพวกเขาสี่คน ก่อนการเดินสายโปรโมตจะเริ่มขึ้นก่อนออกซิงเกิลที่สอง แบคฮยอนบอกว่าเขียนเนื้อเพลงใกล้เสร็จแล้ว จากนั้นจึงจะนำให้จงแดนำไปใส่ทำนอง เป็นการแต่งเพลงที่เปลี่ยนขั้นตอนไปจากปกติ แต่ก็นับว่าไม่ใช่วิธีที่แปลกใหม่เท่าไรนัก

         

         

        “แต่ว่า” โอ พวกเขาไม่อยากให้มีข้อแม้เกิดขึ้นเลย ครีเอทีฟมาร์เก็ตติ้งควอนโบอาทำน้ำเสียงสงบนิ่ง พูดราวกับสิ่งที่จะออกมาจากปากต่อไปนี้เป็นเรื่องแสนธรรมดา “ถ่ายกับอาร์คนะ”

         

         

        เท่านั้น บยอนแบคฮยอนที่เงียบฟังอยู่นานก็เหมือนมีฟ้าผ่าลงกลางใจ

         

         

        “ไม่ได้มีแค่เราสี่คนหรอกหรือครับ” จุนมยอนถาม อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองบุคคลผู้มีปัญหาที่สุดในวงเพียงแค่เป็นเรื่องของอาร์ค พวกเขาเกาะกระแสของวงนี้มาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ข่าวการประกวดร็อคไรซิ่ง ไลฟ์เซสชั่น จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่พ้นเงาของวงอดีตสมาชิกเสียที มันทำให้คิดว่าต่อไปและต่อๆไป ดาร์คฮฮร์สจะสามารถไล่ตามอาร์คทันอย่างที่ได้ถูกปรามาสเอาไว้จริงหรือ

         

         

        โบอามองนักร้องนำของวงที่นั่งเงียบ หากประกายในดวงตานั้นแข็งกร้าวจนปิดสายตาเฮสเทียเรคคอร์ดอย่างเธอไม่มิด หลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทั้งเธอ จงแด หรือว่าทีมงานคนอื่นๆก็ใช่ว่าจะดูไม่ออกเสียทีเดียวว่าสองวงนี้คงกำลังมีปัญหาภายในกันอยู่เป็นแน่ แต่ตัวเธอเองก็ไม่รู้จะเปิดปากถามอย่างไร แม้แต่ตอนที่คุยกับจงแดแล้วโปรดิวเซอร์หนุ่มอาสาจะหาจังหวะถามให้ จนถึงตอนนี้เฮสเทียก็ยังไม่ได้คำตอบเสียที ตามหลักแล้วเธอมีสิทธิ์ถามใช่หรือไม่

         

         

        “มีอะไรหรือเปล่า พอเป็นเรื่องของอาร์ค พวกเธอดูแปลกๆไปทุกที”

         

         

        ทุกคนต่างเงียบ คยองซูและจุนมยอนอาจจะกล้าตอบ แต่ต้องไม่ใช่แบคฮยอนที่กำลังทำหน้าถมึงทึงอยู่แน่ รวมถึงขออย่าให้โอเซอุนร้องโพล่งขึ้นมาว่าอยากจะรีบไปถ่ายแบบกับวงในดวงใจจนตัวสั่นด้วยเถอะ

         

         

        “ไม่มีอะไรหรอกครับ” คยองซูถอนหายใจ เซฮุนทำมันจริงๆ “ก็แค่เรื่องคู่แข่งทางสายอาชีพ เพราะอาร์คอยู่จุดสูงสุดใช่ไหมล่ะครับ”

         

         

        เพียงแต่ไม่ใช่ในแบบที่แบคฮยอนคิด ทุกคนคิด เสียงทุ้มแหบที่แตกหนุ่มนั้นราบเรียบ ริมฝีปากที่เหยียดยิ้มไร้ความจริงใจ เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่นักร้องนำเข้าใจเรื่องที่เซฮุนบอกว่าจะเป็นอย่างที่ทุกคนอยากให้เป็น

         

         

        “เราก็แค่อยากชนะเท่านั้นเอง”

         

         

        อาจไม่ใช่รูปลักษณ์ การแต่งตัว ท่วงท่าเดิน หรือว่าลักษณะนิสัย หากแต่เป็นบางสิ่งบางอย่าง... อะไรสักอย่างในตัวโอเซฮุนที่คนทั้งวงตระหนักว่ามันเปลี่ยนไป

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

        แบคฮยอนกลับมาจากการวิ่งออกกำลังกายตอนเย็น เป็นหนึ่งในวิธีการบริหารให้เขามีพลังปอดที่ดีขึ้น จงแดบอกว่าการร้องเพลงที่ดีจะมีแค่พลังเสียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่การควบคุมให้มั่นคงและไม่แกว่งไปมาเหมือนอย่างที่เคยเป็นย่อมสำคัญไม่แพ้กัน มือเล็กบิดเปิดฝาขวด กระดกน้ำเปล่าแบบไม่เย็นเข้าปาก ตั้งใจว่าไปถึงห้องเมื่อไหร่จะลองแหกปากวอร์มเสียงสักเพลง

         

         

        ช่วงต้นเดือนที่จะถึงพวกเขามีถ่ายแบบกับอาร์ค ระหว่างนั้นก็คงเป็นช่วงเดียวกับที่ต้องขึ้นรถกระจกเพื่อเปิดมินิคอนเสิร์ตย่อมๆ จนไปหยุดอยู่ที่ฮงแด คิมรยออุคบอกว่าการโปรโมตแบบนี้ให้ทำแค่ในโซล พวกเขาต้องการแค่กระแส ส่วนภูมิภาคอื่นๆ ก็อาศัยคลิปออนไลน์ผ่านช่องทางของเฮสเทียเพื่อให้คนร่วมเสพเอา

         

         

        ยอดขายของดาร์คฮอร์สไม่น่าเป็นห่วงสักเท่าไรนัก พวกเขาทำได้เจ็ดหมื่นก็อปปี้ในช่วงสัปดาห์แรก แต่หลังจากนั้นมันก็เริ่มหยุดนิ่ง เพลงไต่ขึ้นชาร์ตตามปกติแต่ปีนไปไม่ถึงที่หนึ่ง ถึงแม้ทางเฮสเทียจะค่อนข้างพอใจในผลงานของวงน้องใหม่ แต่สำหรับแบคฮยอนแล้ว เป้าหมายของเขาไกลกว่านั้น เขาเข้าวงการมาด้วยไฟลุกโชน หวังสูง และทะเยอทะยาน ดังนั้นการที่ได้รู้ว่าวงของตัวเองยังห่างชั้นกับราชาอย่างอาร์คมากก็มีแต่จะยิ่งเจ็บใจกับความจริง หรือแม้แต่ปาร์คชานยอลที่เคยเดินทางมาด้วยกัน บัดนี้ยังทิ้งห่างเขาไกลไม่เห็นฝุ่น

         

         

        นักร้องนำเปิดประตูเข้าไปในห้องพัก ไม่แน่ใจว่านอกจากคยองซูแล้ว จุนมยอนกับเซฮุนจะอยู่ที่ห้องหรือเปล่า มือกลองออกจากห้องไปพร้อมกับเขาก่อนจะแยกย้ายกันเมื่อถึงหน้าตึก บอกว่าจะไปร้านหนังสือเพื่อหาอะไรมาอ่านแก้เครียดในช่วงนี้สักหน่อย คยองซูเป็นคนอ่านหนังสือเยอะ แบคฮยอนคิดว่ามันคงเป็นวิธีที่เจ้าตัวใช้สร้างสมาธิและความหนักแน่น ซึ่งคิดๆไปแล้วก็ดูเป็นหมอนั่นดี ถ้าวันนั้นเซฮุนไม่เดินเข้าหลังเวทีมารบเร้าขออยู่เกลย์ เขาก็คงใกล้ได้มีเพื่อนเรียนกฎหมายเต็มทีแล้ว

         

         

        คิดอะไรไปเพลินๆก็ได้ยินเสียงกีต้าร์ดังออกมาจากในห้องนอน เป็นห้องของเขาเองนั่นแหละ เดาได้ไม่ยากว่าถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นเซฮุน เจ้าน้องเล็กที่หลังๆชักจะปลีกกล้าขาแข็ง ชอบออกไปไหนมาไหนเองคนเดียวโดยไม่บอกใคร ทำตัวเชี่ยวชาญเมืองหลวงกว่าทุกคนในวงเสียอีก ลึกๆแล้วเขาเองก็ยังคาใจกับเรื่องวันนั้น วันที่เซฮุนร้องไห้ ขึ้นเสียง พูดจาประชดประชันให้ร้อนใจว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องเขากับชานยอลแล้วหรือเปล่า แต่พอเช้าขึ้นมาเซฮุนก็กลับเป็นปกติ ไม่พูดเรื่องเดิมซ้ำ กินข้าว ดื่มนม คุยกับจุนมยอนด้วยน้ำเสียงสดใส เป็นอย่างนั้นแบคฮยอนจะทำอะไรได้นอกจากไหลไปด้วยตามน้ำ เพิ่มการเอาอกเอาใจและดุน้อยลงอีกหน่อย เซฮุนก็คล้ายจะเป็นคนเดิมอย่างที่ว่าไว้ได้จริงๆ

         

         

        เมื่อเข้าไปดูในห้อง ก็เห็นน้องเล็กในชุดกางเกงยีนส์ขายาวแบบเดียวกับที่ใส่ออกไปข้างนอก นั่งดีดกีต้าร์ฮัมเพลงที่เขาไม่คุ้นเคยอยู่บนเตียง ส่วนใกล้ๆกันนั้นเป็นกระดาษกับดินสอที่เต็มไปด้วยลายมือขยุกขยิก ดูแล้วเดาเอาได้ทันทีว่ากำลังแต่งเพลง

         

         

        มีอะไรที่แปลกประหลาดออกไปบนตัวเซฮุน แบคฮยอนขมวดคิ้ว

         

         

        “กีต้าร์ใหม่หรือ” เขาถามทันทีที่เซฮุนหยุดเล่น ซึ่งเซฮุนก็เลิกคิ้ว พยักหน้าตอบอย่างไม่ยี่หระแล้วง่วนสนใจอยู่กับกระดาษแต่งเพลงต่อ

         

         

        ในมืออีกฝ่ายไม่ใช่ไอบาเนซสีขาวตัวเดียวกับที่ใช้มาเกือบสองปี แต่เป็นสีดำ-น้ำตาล หรืออาจจะออกทองก็ได้ มีลายทางคล้ายลายไม้พาดขวางตลอดตัวกีต้าร์ ทั้งที่คอยังมีลายนกบินประดับยาวเป็นลูกเล่นอีก ถึงคนเป็นนักร้องที่เล่นกีต้าร์แค่พอถูไถอย่างเขาจะไม่ได้รู้สึกเรื่องพวกนี้มากนัก แต่แบคฮยอนจำได้ จำได้ดีเชียวล่ะถึงแบรนด์ที่ปาร์คชานยอลก็เคยชอบเปิดดูบ่อยๆ หนำซ้ำมันยังเป็นตัวที่เขาเคยออกปากชม สมราคาแบรนด์แพงกระเป๋าฉีก

         

         

        เมื่อเห็นว่าถูกมองไม่วางตา เซฮุนก็ยอมเงยหน้าขึ้นมาคุย “พอลรีดสมิธ แมคคาร์ตี้ ห้าเก้าสี่”

         

         

        อีกฝ่ายตอบคำถามหน้าตาเฉย ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่แบคฮยอนอยากรู้เทียบเท่ากับที่เขากำลังจะออกปากถามอีกรอบ “เอาเงินจากไหนไปซื้อ”

         

         

        “ก็เงินค่าเซ็นสัญญา ค่าขึ้นเวที บวกกับเงินเก็บอีกนิดหน่อย”

         

         

        ให้ตายเถอะ ถึงจะจำราคาที่แน่นอนไม่ได้ แต่แบคฮยอนก็รู้ว่ามันห่างไกลกับคำว่านิดหน่อยมากแน่ๆ อย่างต่ำก็สามล้านวอน! แล้วเงินที่พวกเขาได้มาจากค่าเซ็นสัญญาและขึ้นไลฟ์ก็ยังไม่ได้มากมายขนาดนั้น ขนาดจุนมยอนที่อยากได้เบสตัวใหม่ยังต้องอดใจรอส่วนแบ่งค่าอัลบั้ม แต่นี่... โอเซฮุนก็แค่แต่งตัว ออกไปซื้อ และกลับมาทำเหมือนกับเพิ่งช็อปปิ้งเสร็จเนี่ยนะ

         

         

        “พี่มาก็ดีแล้ว ผมอยากให้มาลองร้องเพลงที่ผมเพิ่งแต่งให้หน่อย”

         

         

        เซฮุนไม่สนใจหน้าเหวอๆของเขา หรือก็อาจจะแค่แกล้งทำไม่เห็นเพราะว่านั่นเป็นเงินและความพอใจของเจ้าตัว มือแกร่งของหนุ่มเต็มตัวยื่นกระดาษมีลายมือขยุกขยุยมาตรงหน้า  โชคดีว่าอีกด้านของมัน เนื้อเพลงถูกเขียนเรียบเรียงแยกกับคอร์ดกีต้าร์เรียบร้อยแล้ว

         

         

        “ผมยังคิดชื่อเพลงไม่ออก แต่คิดว่าถ้าเสร็จอาจจะเอาไปให้พี่จงแดดู”

         

         

        “จะใส่ในอัลบั้มหน้าหรือ”

         

         

        “ไม่รู้สิ” คนอ่อนกว่ายิ้ม “อาจจะขอแทรกๆไปในมินิอัลบั้มที่กำลังจะออกก็ได้มั้ง ถ้ามันดีพอ”

         

         

        

        One ok Rock – Taking off

         

         

        แล้วมือนั้นก็เริ่มดีดกีต้าร์ ส่งทำนองขึ้นมาก่อนจะพยักเพยิดบอกว่าต้องเริ่มร้องที่ตรงไหน แต่พอเขาทำกระอักกระอ่วน ตั้งใจจะปล่อยท่อนแรกผ่านไปเปล่าๆเพราะไม่รู้ต้องร้องอย่างไร เซฮุนก็ส่งเสียงไกด์นำขึ้นมา

         

         

         

        Stuck in the same routine

        ยังคงติดอยู่ในกิจวัตรเดิมๆ

        Living an empty dream

        ใช้ชีวิตโดยไร้ซึ่งความฝัน

        When am I gonna wake up

        เมื่อฉันกำลังจะตื่นขึ้น

        Thought we had it right

        คิดว่าเราเคยมีมันอยู่

        Now it's an endless night

        ตอนนี้มันกลายเป็นค่ำคืนอันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด

        Where is it gonna take us

        แล้วมันจะพาเราไปที่ไหนกัน

         

         

         

        แบคฮยอนฟังเพลินๆ เซฮุนมีสไตล์การแต่งเพลงที่ไม่เหมือนเขาสักเท่าไรนัก แต่อิทธิพลจากการที่อยู่ด้วยกันมาถึงสองปีก็ทำให้มันใกล้เคียง เพลงนี้ถ้าถูกนำไปเล่นจริงๆ คงจะเร้าอารมณ์น่าดู จะว่ามันส์ก็ไม่เชิง มันบีบหัวใจอย่างประหลาด

         

         

         

        Realizing, everything I love is slowly killing me

        รับรู้ได้ว่าทุกอย่างที่ฉันรักกำลังจะฆ่าฉันช้าๆ

         

         

         

        แล้วดนตรีก็หนักขึ้น

         

         

         

        I know I know

        ฉันรู้ ฉันรู้

        We're taking off together

        เราออกมาด้วยกัน

        Even though we always crash and burn

        แม้ว่าเราจะโดนกระแทกหรือแผดเผาอยู่เสมอ

        Tonight you and I will fall from the sky

        คืนนี้ทั้งเธอและฉันร่วงหล่นจากท้องฟ้า

        Drag me all the way to hell

        ดึงฉันดำดิ่งสู่หุบเหวนรก

        'Cause I'm never gonna let it go

        เพราะฉันไม่เคยปล่อยมันไปได้เลย

         

        I know I know

        ฉันรู้ ฉันรู้

         

         

         

        เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจมองคอร์ดเพลงเลย ตาคู่นั้นมองเขา ดำดิ่งดังเนื้อเพลงคล้ายจะดึงให้เราตกนรกไปด้วยกัน แบคฮยอนไม่อยากหลอกตัวเองว่าเขาไม่รู้ ทั้งที่รู้แก่ใจทุกอย่าง รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมาเขาก็แค่แกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เซฮุนแกล้งเมินเฉย ทุกอย่างคือสภาวะปกติจอมปลอมมาตลอด

         

         

         

        Don't lie, you know everything you do is killing me

        อย่าโกหกเลย เธอรู้ทุกอย่างว่าสิ่งที่เธอทำกำลังฆ่าฉัน

         

         

         

        โอเซฮุนหยุดทำทุกอย่าง ปล่อยทั้งห้องให้ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้และบดริมฝีปากลงบนปากของเขา แบคฮยอนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ขัดขืน ไม่แม้แต่จะมีอารมณ์ร่วม ความรู้สึกบางอย่างกลายเป็นเหมือนยาชาที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งใจ

         

         

        เด็กหนุ่มวางกีต้าร์ราคาแพงไว้ที่พื้น ก่อนจะยกขาสองข้างขึ้นมาคุกเข่าร่วมเตียงกับเขา ผลักร่างทั้งร่างให้นอนราบ ขึ้นคร่อม ใช้ดวงตาสีเข้มกดมองราวกับว่านั่นมีส่วนทำให้แบคฮยอนหายใจไม่ออก คนพี่หลับตานิ่ง รู้ว่าจูบที่สองอาจจะเริ่มต่อจากนี้ไม่ช้า เซฮุนไม่เคยหยุด -- ไม่กลางครัน ตราบใดที่เขาไม่ร้องห้ามว่ามันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่

         

         

        ทว่าบยอนแบคฮยอนกลับได้ยินแค่เสียงลมหายใจ ชัดใกล้ใบหู แล้วเสียงที่เพิ่งร้องเพลงให้เขาฟังเมื่อครู่ก็เอ่ยบอกอะไรบางอย่างเสียงเรียบ

         

         

        “ผมรู้เรื่องของพี่กับปาร์คชานยอล รู้ทุกอย่าง”

         

         

        “...”

         

         

        “พี่อยากได้ยินอย่างนี้ใช่ไหม”

         

         

        เขาลืมตาขึ้นทันที เห็นเซฮุนที่ผละออกไปเพื่อค้างอยู่ในท่าคร่อมทับ มองตอบเขาด้วยดวงตาหนักแน่นและชัดเจนว่าคงไม่มีเด็กโข่งผมทองจอมงอแงคนนั้นอีกแล้ว

         

         

        และเซฮุนก็ทำมัน

         

         

        จูบอย่างลุ่มลึก แทบลืมหายใจ -- และบ้าคลั่ง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    โดคยองซูมักจะบอกใครต่อใครว่าถ้าให้เลือกเรียนต่อ เขาก็คงเรียนนิติศาสตร์ตามคำบอกของแม่ ครอบครัวเขาเคยเปิดสำนักงานกฏหมายเล็กๆในบ้านเกิด เมืองที่ทั้งเล็กและสุดแสนธรรมดาเกินกว่าจะมีคนเดือดร้อนหาทนายความรายวัน เดือนบางเดือน เรื่องใหญ่ที่สุดก็แค่ปรึกษาค่าปรับการทำร้ายร่างกาย หรืออย่างดีหน่อยก็เป็นเรื่องการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ทั้งหมดนี้คยองซูเห็นมันมาครึ่งค่อนชีวิต ตั้งแต่ที่พ่อลาออกมาเปิดสำนักงานเพื่อเป็นเจ้านายตัวเองโดยมีแม่คอยสนับสนุน

     

     

    พอล่วงเข้าวัยสิบสามปี เสาหลักของครอบครัวโดก็เสียชีวิตจากโรคร้ายที่เขาในตอนนั้นไม่เข้าใจเท่าไรนัก การอยู่ในบ้านที่ไม่มีพ่อช่างทรมาน เขาจึงหาทางออกให้ตัวเองเรื่อยๆเพียงจะใช้เวลาให้สิ้นเปลืองที่สุด ทั้งอ่านหนังสือ ดูการ์ตูน เตรียมตัวสอบเข้ามัธยมปลาย แต่ก็ไม่มีอะไรที่ชะงักความเศร้าเสียใจเอาไว้ได้เลย

     

     

    เขาเข้าชมรมดนตรีด้วยความเหงาโง่ๆที่ว่าไม่อยากกลับบ้าน ถามหาเครื่องดนตรีที่เล่นแล้วสะใจที่สุด ในตอนแรกคนอื่นอ้ำๆอึ้งๆว่าจะให้เล่นกีต้าร์ แต่คยองซูเกิดสนใจเสียงไม้ที่ฟาดลงไปบนแผ่นหนังหน้าตาคล้ายๆกันแต่เกิดผลลัพธ์ที่หลากหลาย เขาจึงเริ่มเล่นกลอง และใช่ มันดึงเอาความสนใจและทำลายความเศร้าในช่วงเวลาแย่ๆของเขาแบบไม่เหลือชิ้นดี

     

     

    และช่วงมัธยมปลายที่บ้าคลั่งที่สุดในชีวิต เขามอบชีวิตหลังสอบไม่ติดให้กับกลอง ให้ผู้ชายวัยใกล้เคียงยืนล้วงกระเป๋ามองมาทั้งชุดไปรเวท จุนมยอนกับชานยอลเข้ามาให้ความสนใจหลังจบการแสดงในผับที่เขาไปเป็นมือกลองสำรองให้วงอื่น ดวงตาเป็นประกาย เอ่ยชวนโดคยองซูให้ตกหลุมความฝันไปด้วยกัน ซึ่งเขาในตอนนั้นก็ตอบตกลงให้กับความฝันใหม่ เก็บเอาการเรียนต่อมหาวิทยาลัยลงกระเป๋าไปพร้อมๆ กับความฝันของครอบครัว

     

     

    ริมฝีปากรูปหัวใจแย้มรอยยิ้มออกมาเมื่อแม่ส่งภาพตัวเองถ่ายคู่กับอัลบั้มของดาร์คฮอร์สมาให้ทางแอพพลิเคชั่นแชท แถมยังอวดอีกว่ากำลังไปไล่เปิดให้คนในชุมชนได้ฟัง อยากให้ซีดีเพลงของพวกเขาขายได้เยอะๆ ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่มีแม่ยอมรับในทุกๆการตัดสินใจ ถึงแม้ว่าลึกๆแล้วสำนักทนายความทิ้งร้างที่ชั้นหนึ่งของบ้านจะรอให้เขากลับไปเปิดมันอีกครั้งก็ตามที

     

     

    เขาพิมพ์ตอบแม่กลับไปก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกง หันมาให้ความสนใจหนังสือกฏหมายที่ถือค้างไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ ครึ่งหนึ่งในหนังสือเล่มนี้คยองซูจำได้ทั้งหมด เขาใช้เวลาเป็นปีในการท่องจำประมวลกฎหมายควบคู่ไปกับการเล่นดนตรี แต่ท้ายแล้วก็ตัดสินใจทิ้งโอกาสสอบเข้าครั้งที่สองในวันที่โอเซฮุนเดินเข้ามาหลังเวที และเกลย์ตัดสินใจที่จะเดินหน้าอย่างจริงจังอีกครั้ง เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถทุ่มเทให้ทั้งสองอย่างพร้อมๆกันได้ แม่คงอยากมีลูกชายเป็นทนายมากกว่ามือกลองเป็นไหนๆ แต่เขาก็เลือกความฝันแรกของตัวเองก่อนสิ่งอื่น

     

     

    แม้แต่ในเวลาว่างที่ไม่มีซ้อม คยองซูก็ยังชอบอ่านหนังสือ มันกลายเป็นงานอดิเรกอย่างที่สองนอกจากฟังเพลง เป็นสิ่งที่ฝึกสมาธิให้เขารัวกลองได้อย่างหนักแน่น คยองซูไม่กล้าคิดถึงวันที่มือเขาจะไม่มีแรง เขากลัวการหมดพลัง กลัวว่าการตัดสินใจครั้งใหญ่จะพังลงด้วยเหตุผลอื่นนอกจากจิตใจของตัวเอง

     

     

    หากภวังค์ความคิดตั้งแต่อดีตถึงอนาคตก็เป็นอันต้องชะงัก มองทะลุไปยังชั้นหนังสืออีกฝั่ง ชายหนุ่มคิดว่าเขากำลังสบสายตาอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่มองมาอย่างตื่นตระหนก ท่าทางเลิกลั่กของเธอก็คุ้นตา แต่คยองซูนึกไม่ออกในแวบแรก เขาต้องใช้เวลาทบทวนกระทั่งเธอเดินอ้อมมายืนในช่องเดียวกัน ในมือมีสมุดกับปากกาพร้อม ใบหน้าขาวๆแดงก่ำยามที่รวบรวมแรงที่มีเพื่อเปิดปากถาม

     

     

    คะ -- คยองซูดาร์คฮอร์สใช่ไหมคะ”

     

     

    คยองซูว่าจะแกล้งจำไม่ได้ แต่เขาก็ปากไวกว่าสมองของตัวเองโดยไม่รู้ตัว “ครับ คุณคือคนที่ส้นสูงหักเมื่อวันนั้น”

     

     

    เขายื่นมือออกไปรับสมุดและปากกามาถือไว้ นึกขันนิดหน่อยกับท่าทีตกใจหนักกว่าเก่าของคนตรงหน้า วันนี้เธอก็อยู่ในชุดพนักงานออฟฟิศ รองเท้าส้นสูงที่น่าจะเป็นคู่ใหม่ ซ้ำผมดัดลอนสีน้ำตาลก็ยุ่งกว่าเช้าวันนั้นเล็กน้อย

     

     

    “บังเอิญจังนะครับ เจอกันอีกแล้ว” คนถูกทักไม่ตอบ ก้มหน้างุดระหว่างฟังเสียงปากกาขีดหวัดๆบนแผ่นกระดาษ ทำให้อดไม่ได้ที่เขาจะลองพูดแซวประสาแฟนคลับกับศิลปินดูสักครั้ง “หรือว่าไม่ใช่?”

     

     

    “เปล่านะคะ” คราวนี้เธอรีบบอก ก่อนเสียงจะแผ่วลงในประโยคต่อมา “บังเอิญจริงๆค่ะ... แล้วฉันก็ดีใจมาก คือ... ปกติฉันจะแวะที่นี่ตอนเลิกงาน แต่เป็นครั้งแรกที่เจอ...”

     

    คยองซูหัวเราะเบาๆ “ครับ ผมทราบ ผมเองก็เพิ่งมาที่นี่แค่สองครั้ง”

     

     

    “ฉันเป็นแฟนคลับของดาร์คฮอร์สค่ะ... แล้วก็ชอบการเล่นกลองของคยองซูมาก”

     

     

    เขาเซ็นเสร็จแล้ว แต่ก่อนจะส่งคืนให้เจ้าของ ในหัวก็คิดอะไรขึ้นได้

     

     

    “คุณชื่ออะไรครับ”

     

     

    “คะ?” มือกลองวงดาร์คฮอร์สใช้ปลายปากกาเคาะลงบนสมุด ก่อนจะชี้ไปที่คนตรงหน้า “ปะ -- ปาร์คโซจินค่ะ”

     

     

    คนได้รับคำตอบแค่อมยิ้ม ขยับมือเขียนลงไปโดยไม่ได้พูดอะไร แต่พอเงยหน้าจะส่งคืน เสียงแชะจากกล้องโทรศัพท์มือถือก็ทำเอาเขาหยุดชะงัก ไม่ใช่จากเครื่องเจ้าของสมุดเล่มนี้ แต่เป็นของนักเรียนมัธยมปลายสามคนที่ยืนเกาะกลุ่มกันตรงมุมชั้นหนังสือไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่ พวกหล่อนชนไหล่และพากันดันเพื่อนในกลุ่มให้กล้าเข้ามาทางนี้ ปากก็พูดเถียงจนลูกค้าคนอื่นๆ ภายในร้านเริ่มจะให้สนใจ

     

     

    “เห็นไหม บอกแล้วว่าใช่ดาร์คฮอร์ส! เขาเซ็นให้คนนั้นด้วย!

     

     

    หลังจากนั้นก็มีคนอื่นอีก คนอื่นที่ให้ความสนใจโดคยองซูในฐานะศิลปิน ชายหนุ่มคืนหนังสือและยิ้มแห้งๆให้ปาร์คโซจิน ก่อนจะรีบสาวเท้าออกไปนอกร้านเพราะกลัวว่าจะเป็นต้นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย

     

     

    หากเย็นวันนั้นเขาก็ต้องเสียเวลาพักใหญ่อยู่หน้าร้านหนังสือไปกับเหตุการณ์การแจกลายเซ็นย่อมๆและตอบคำถามถึงสมาชิกในวง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    การขึ้นแสดงบนเวทีเคไลฟ์ดำเนินมาถึงครั้งที่สี่ หรือก็คือสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ดาร์คฮอร์สยังต้องขึ้นแสดงสัปดาห์หน้าอีกหนึ่งครั้งตามที่ทางค่ายแจ้งไว้ จากนั้นภายในสามเดือนพวกเขาจึงจะออกซิงเกิลใหม่และมาเยือนเวทีนี้อีกครั้ง โปรดิวเซอร์คิมจงแดกำลังอยู่ในขั้นเรียบเรียงทำนอง ผลสำเร็จของคลอคสไตรค์ทำให้เฮสเทียยกเลิกแผนที่จะจ้างนักแต่งเพลงชื่อดังเพราะเชื่อในคำว่ามนต์เสน่ห์แบบดาร์คฮอร์สอีกครั้ง แบคฮยอนยังไม่ได้ตั้งชื่อเพลง เสร็จจากไลฟ์วันนี้พวกเขาก็ต้องเข้าไปที่ห้องอัดเพื่อคุยกันเรื่องนี้อีกครั้ง

     

     

    และหลังจากเอ็มแคปติเวทเมื่อต้นเดือน อาร์คก็ไม่ได้มายุ่งกับดาร์คฮอร์สสักเท่าไรนัก อาจด้วยตารางงานและการสัมภาษณ์ที่รัดตัว หรืออาจจะเพราะว่าสิ่งที่แบคฮยอนรู้ดีแก่ใจว่าเขาทำร้ายชานยอลไปด้วยทิฐิที่ยังเหลืออยู่ ทั้งๆที่คืนก่อนหน้านั้นเราเพิ่งจะมีเซ็กส์กันด้วยซ้ำ เขาเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง เกลียดถ่านไฟเก่าที่ยังปะทุเป็นลาวาร้อนๆอยู่ในใจทุกเมื่อ ใช่ บยอนแบคฮยอนอาจจะยังรักปาร์คชานยอลอยู่ แต่เขาคงไม่ให้อภัยตัวเองแน่ถ้าจะกลับไปสานสัมพันธ์กับคนทรยศพรรค์นั้น ถึงแม้ว่าเหตุผลล้านแปดที่จุนมยอนช่วยคุยเพราะหวังให้เพื่อนรักกลับไปคืนดีกันจะพอฟังขึ้นในแง่ของดนตรี แต่สำหรับด้านจิตใจแล้ว แบคฮยอนรับไม่ได้เลย

     

     

    แล้วจากที่คิดว่าดีเหลือเกินที่ไม่ค่อยเจออาร์คจังๆ สี่คนนั้นก็เดินมารอเซ็ตอัพที่ข้างเวทีเร็วกว่ากำหนดเวลาอย่างกับรู้ใจ

     

     

    แบคฮยอนรีบเบือนสายตาหนีไปทางอื่นเพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้าของมือกีต้าร์ซึ่งเดินรั้งท้ายสุด แต่ก็ทันเห็นคิมจงอิน มือกลองโบกมือไหวๆทักทายดาร์คฮอร์สที่ก็คงจะจำเพาะเจาะจงเฉพาะเซฮุนนั่นแหละ เพียงแต่ถ้าอีซึงฮวาน ผู้จัดการวงคนใหม่ที่ทางเฮสเทียส่งมาคอยดูแลตารางงานของพวกเขาไม่ได้ถามขึ้นเสียก่อน

     

     

    “เซฮุนไปไหนแล้วล่ะ อีกห้านาทีจะต้องขึ้นเวทีซ้อมแล้วไม่ใช่หรือ”

     

     

    จุนมยอนและคยองซูเองก็เหลียวมองไปรอบๆ ก่อนมือเบสของวงจะชี้ให้ซึงฮวานดูน้องเล็กของวงที่เดินเข้ามาพร้อมซงซึงฮยอน มือกีต้าร์ของบลันเชตต์ เจ้าของรางวัลอันดับหนึ่งในร็อคไรซิ่งคอนเทสต์ที่ได้เซ็นสัญญากับเมโลดิก้าและออกซิงเกิลเปิดตัววันที่เจ็ดเดือนเจ็ดชนกันจังๆ แบคฮยอนแทบลืมคู่แข่งตัวฉกาจอีกวงไปแล้ว ใจเขามุ่งแต่กับอาร์ค มุ่งแต่กับชัยชนะที่ไกลสุดเอื้อมโดยลืมวงใกล้ตัว ถึงจะมียอดขายในสัปดาห์เปิดตัวแพ้ดาร์คฮอร์ส แต่เพลงเลิฟซิคก็แซงคลอคสไตรค์ขึ้นไปเป็นที่สามบนชาร์ตมาจนถึงตอนนี้

     

     

    “ไปไหนมา”

     

     

    “สูบบุหรี่ครับ”

     

     

    ซึงฮวานถามเซฮุนที่เดินเข้ามาหยิบกีต้าร์ขึ้นสะพายหน้าตาเฉย ผมสีทองถูกตัดสั้นขึ้นรับสันกรามเด่นชัด เซฮุนโตขึ้นมาก ยิ่งหลังจากจูบในวันนั้น แบคฮยอนรู้สึกเหมือนกับว่าโอเซฮุนอาจเป็นอีกคนที่จะไกลหนีเขาออกไปอย่างไรอย่างนั้น

     

     

    เซฮุนรู้แล้ว แบคฮยอนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้มาจากไหน เพราะแม้แต่จุนมยอนหรือคยองซูก็ยังไม่เคยเอะใจในความสัมพันธ์ของเขากับผู้ชายคนนั้น มันเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่สองคน ซึ่งถ้าจะมีคนที่สาม ก็ไม่พ้นว่าชานยอลเป็นคนบอก -- ซึ่งไม่มีทาง ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย คนอย่างหมอนั่น...

     

     

    แล้วจะมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกเล่า เขาเพิ่งนึกออกว่าตัวเองก็ไม่ได้รู้จักปาร์คชานยอลดีสักเท่าไร

     

     

    ตาเรียวรีเหลือบมองไปทางอาร์คที่ยังคุยกันหัวร่อต่อกระซิก มีทีมงานกำลังเซ็ตกล้องและคอยซับหน้าให้ เข้าใจได้ทันทว่าที่ออกมาจากห้องแต่งตัวเร็วก็คงเพราะมีสัมภาษณ์ ถ่ายรูป หรืออะไรสักอย่าง มือกีต้าร์กำลังคุยอยู่กับมือเบสอย่างอู๋อี้ฟาน และในทันใดนั้น ดวงตาคมปลาบของปาร์คชานยอลก็หันมาสบกับเขา

     

     

    ลมหายใจของแบคฮยอนสะดุด แต่แล้วชานยอลก็หันกลับไปมองคู่สนทนาตามเดิม ไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้อาลัยอาวรณ์หรือปั่นประสาทกันอย่างที่เป็นมาก่อนหน้านี้เลย

     

     

    “ผมเอาน้ำมาให้”

     

     

    คราวนี้เขาสะดุ้ง เหตุจากเสียงแหบทุ้มที่เข้ามากระซิบข้างหูเพื่อเบนความสนใจนักร้องนำให้หันกลับมาทางเวทีตามเดิม ในมือแบคฮยอนมีน้ำเปล่าอยู่แล้วขวดหนึ่ง เขาแน่ใจว่าคนตรงหน้ารู้ ถึงกระนั้นโอเซฮุนก็แย่งขวดน้ำไปจากมือเขาก่อนจะยัดขวดใหม่ที่ถือติดมือเข้ามาให้แทนหน้าตาเฉย การทำไม่รู้สึกรู้สาอย่างนั้นทำให้บยอนแบคฮยอนปั่นป่วน เขารู้สึกผิด แล้วก็คิดว่าการที่ต้องทุ่มเทความสนใจให้เซฮุนยามที่เจ้าตัวต้องการมันคือสิ่งถูกต้อง

     

     

    แบคฮยอนไม่กล้าถามตัวเองว่าทำไม อาจเพราะนั่นทำให้เขาต้องทำใจยอมรับว่าเคยหลอกใช้ความจริงใจของเด็กคนนี้ปลอบประโลมตัวเองมาตลอดก็เป็นได้

     

     

    “ขอบใจ” เขาตอบ “แล้วไปรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อไร”

     

     

    เซฮุนเลิกคิ้ว แต่แล้วก็นึกได้ว่าแบคฮยอนชวนเขาคุย หรืออาจจะนึกสงสัยขึ้นมาจริงๆเรื่องบลันเชตต์ “เจอกันทุกอาทิตย์ ไม่เห็นแปลกเลย”

     

     

    คนพี่คิ้วขมวด รู้ว่าถูกน้องเล็กกวนประสาทเข้าให้ เห็นอย่างนั้นเซฮุนถึงได้ยิ้ม ชอบใจจนต้องยื่นนิ้วมานวดตรงรอยย่นบนหัวคิ้วให้เบาๆ

     

     

    “เจอกันที่ร้านเหล้าน่ะ ร้านที่ชอบไปนั่งก็เป็นร้านประจำของพวกนั้น”

     

     

    น่าหนักใจกับความจริงที่ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาออกไปดื่มแทบทุกคืน ทั้งก้นบุหรี่ที่ทิ้งไว้ในขวดน้ำตรงระเบียงก็มากเสียจนแบคฮยอนนึกเป็นห่วงเซฮุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะทั้งบ่นทั้งห้าม ทำอย่างไรก็ได้ที่จะปิดประตูขังเซฮุนเอาไว้ในหอไม่ให้หนีไปเที่ยวที่ไหน แต่ความอึดอัดและมึนตึงจากหลายเรื่องกลับทำให้เขาเป็นตรงกันข้าม เซฮุนเป็นฝ่ายหนีความอึดอัดระหว่างเรา ใช้ชีวิตปลีกวิเวกจากคนในวงตอนกลางคืน กลับมาถึงก็ใกล้เช้า นอนจนถึงเวลาซ้อม หรือต่อให้คืนไหนอยู่ห้องก็จะง่วนกับการดีดกีต้าร์แต่งเพลงอยู่ตรงระเบียง ไม่สนใจออกมาแย่งโซนหน้าโทรทัศน์กับจุนมยอนเหมือนเคย

     

     

    “อายุถึงแล้วหรือไง” เมื่อปีที่แล้วเซฮุนยังปรากฏตัวในชุดมัธยมปลาย ตามกฏหมายแล้วร้านกลางคืนพวกนั้นต้องอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบถึงจะเข้าได้ ที่ผ่านมาเซฮุนไปทำงานกับพวกเขาในฐานะนักดนตรีมาตลอด แต่ถ้าไปในฐานะนักดื่มธรรมดา แบคฮยอนคิดว่าเด็กนี่คงจะถูกจับเข้าสักวันแน่ “เพลาๆบ้างเถอะ”

     

     

    “เป็นห่วงเหรอ”

     

     

    คนอ่อนวัยกว่าถาม พอดีกับที่สต๊าฟของเคไลฟ์เรียกให้ดาร์คฮอร์สขึ้นเวทีได้ จุมยอนกับคยองซูนำขึ้นไปก่อน จากนั้นซึงฮวานจึงหันมาดันหลังพวกเขาให้ตามขึ้นไปไม่รอช้า ก่อนจะเข้าสู่กรอบของแสงสปอตไลท์บนเวที เซฮุนกระซิบบอกเขาจากข้างหลังระหว่างขึ้นบันได เสียงค่อยทว่าชัดเจน

     

     

    “ผมเป็นได้ทุกอย่างที่พี่อยากให้เป็น แต่พี่ก็รู้ว่าแบบไหนผมถึงจะอยากอยู่ แบคฮยอน”

     

     

    เมื่อมีพื้นที่มากขึ้นบนเวที แบคฮยอนเหลียวมองน้องเล็กเพียงเพราะแปลกใจกับคำพูดเมื่อครู่ หาเซฮุนก็แค่ปั้นยิ้มเหมือนอย่างก่อนหน้า ดีดกีต้าร์คอร์ดดีเช็กเสียงทั้งที่ยังมองเขาไม่วางตา

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังการให้สัมภาษณ์สั้นๆลงนิตยสาร พวกเขาก็ต้องออกมาข้างเวทีไวกว่าที่ควรเพราะทีมงานแจ้งว่าไม่อยากได้ภาพถ่ายประกอบบทความเป็นโลเกชั่นห้องแต่งตัว แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ปาร์คชานยอลจะได้มีโอกาสดูดาร์คฮอร์สแสดงสดบนเวที ถึงเป็นช่วงซ้อม แต่ทุกคนก็ทำเต็มที่เหมือนมีคนดูหลายร้อยอยู่จริงๆ

     

     

    “ชานยอลรบกวนมองกล้องด้วยครับ”

     

     

    เจ้าของชื่อละสายตาจากบนเวทีมามองเลนส์กล้อง กล่าวขอโทษโดยไม่ออกเสียง เบี่ยงตัวเข้ายืนขนานกับลู่หานที่อยู่ข้างๆก่อนจะเหยียดริมฝีปากวาดเป็นรอยยิ้มบางๆตามที่ช่างกล้องบอกในช็อตต่อมา อาร์คมีตารางงานแทบไม่เว้นวัน พวกเขาต้องขึ้นแสดงบนไลฟ์ทุกสัปดาห์และเดินสายโปรโมตเป็นระยะเวลาสองเดือน หลังจากนั้นตารางงานก็ยังอัดแน่นไปจนถึงสิ้นปี ไม่มีวันหยุดติดกันเกินสี่วันให้พอกระดิกตัวไปไหนได้ แต่นั่นก็มากพอสำหรับทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่ลู่หานออกปากชวนเร่าๆ ไม่ใช่ว่าอาร์คจะแค่ร้องเพลงกับดื่มเหล้าเป็นอยู่สองอย่างเสียเมื่อไร

     

     

    “ขอบคุณมากนะคะ” ทีมงานจากนิตยสารโค้งศีรษะขอบคุณ หลังเวทีค่อนข้างวุ่นวาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรที่มีกองถ่ายย่อมๆมาตั้งกินพื้นที่ส่วนหนึ่งในเมื่อพวกเขาคืออาร์ค เพราะรู้อย่างนั้น มินซอกถึงได้คุยกับทางนิตยสารว่าอยากให้รีบถ่ายเสร็จไวๆเพื่อจะไม่ต้องรบกวนทีมงานเคไลฟ์ หลังเซ็ตกล้องและไฟเสร็จ พวกเขาใช้เวลาถ่ายไม่ถึงสิบนาที พอดีกับที่ดาร์คฮอร์สใช้เวทีเสร็จและเดินลงมา บลันเชตต์ขึ้นซ้อมต่อ จากนั้นจึงจะเป็นอาร์ค

     

     

    ถึงจะไม่ได้ให้ความสนใจ แต่ชานยอลก็รู้สึกได้ว่าเด็กที่กระดี๊กระด๊าเอาอัลบั้มพร้อมลายเซ็นมายื่นให้เขาถึงมือเมื่อวันนั้น บัดนี้เฉยชาต่อการมีอยู่ของอาร์คเพียงไร หลังจากเอ็มแคปติเวทสัปดาห์แรก ชานยอลไม่ได้เข้าไปยุ่งกับดาร์คฮอร์สตรงๆอีก เขาเพียงแชทคุยกับจุนมยอน ถามไถ่เรื่องคนในวง ค่อนข้างแน่ใจว่าอดีตรุ่นพี่ร่วมวงกับคยองซูก็ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางตามเคย

     

     

    ดาร์คฮอร์สจำต้องเดินผ่านตรงนี้ แบคฮยอนนำลิ่วมาหน้าสุด อาจด้วยเพราะต้องการเลยพวกเขาไปไวๆจะได้ไม่ต้องมีใครสร้างเรื่องสานสัมพันธ์ขึ้นมาอีก สาบานเลยว่าเขายังอยากคุยกับอีกฝ่ายใจจะขาด อยากเข้าไปวุ่นวายทางคำพูดและการกระทำเป็นรอบที่ร้อยจนกว่าแบคฮยอนจะใจอ่อนและยอมรับว่าเรื่องคืนนั้นของเราไม่ใช่การเผลอใจแบบเก่าๆอย่างที่เจ้าตัวอ้าง เพียงแต่เขาไม่มีโอกาส ไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปฉุดกระชากลากถูให้เลี่ยงไปคุยกันได้สองต่อสองเหมือนอย่างเคย อี้ฟานจับตามอง มินซอกก็จับตามอง อาร์คเบื่อเต็มทีกับการปล่อยให้วงน้องใหม่มาโหนกระแสความดังด้วยเพราะมือกีต้าร์ของวงเคยมีอดีตร่วมกับทางนั้น ชานยอลไม่รู้ว่าเนเบอร์พูดอะไรมาหรือยัง แต่เขาก็ต้องเริ่มระวัง รักษาท่าทีและไม่โผงผางจนต้องคิดบทสัมภาษณ์จอมปลอมออกมาช่วยชีวิตตัวเองกับวงเก่าอีก

     

     

    คิดยังไม่ทันขาดช่วง สมอง หัวใจ และสายตาของเขาก็ทำงานโดยอัตโนมัติ สายไฟระโยงรยางค์บนพื้นบนพื้นอาจถูกเหยียบ ถูกดึงผิดเส้น หรือด้วยเพราะอะไรก็ตามแต่ที่ชานยอลไม่เห็น แต่มันเป็นต้นเหตุดึงให้ไฟแอลอีดีหนักๆเอียงตามแรงกระชาก ดึงเอาทั้งไฟและขาตั้งที่ติดอยู่ด้วยกันให้เอนล้มลงมา พอดีกับที่แบคฮยอนกำลังจะรีบเดินผ่านตรงนี้เพื่อหลบหน้าเขา ไม่รู้ว่ากำลังเอาแต่คิดอะไรอยู่ แบคฮยอนถึงไม่เห็นอันตรายที่กำลังล้มลงใส่ตัวเองในเวลาไม่กี่วินาที

     

     

    ท่ามกลางความตื่นตกใจ นักร้องนำของดาร์คฮอร์สเซไปด้านข้างเล็กน้อย หากแบคฮยอนไม่รู้สึกเจ็บปวด เว้นเสียแต่แรงกระชับแน่นที่แขน กลิ่นโคโลญจน์คุ้นเคย และการพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของปาร์คชานยอลที่เห็นแค่เพียงเสี้ยวหน้าเท่านั้น ร่างสูงใหญ่บังเขาเอาไว้ ใช้ท่อนแขนภายใต้แจ็กเก็ตหนังสีดำรับน้ำหนักของขาตั้งไฟได้ทันท่วงที

     

     

    ทันทีที่เห็นว่าแขนอีกฝ่ายกระแทกกับตัวขันเกลียวล็อกแบบเหล็ก แบคฮยอนก็รู้สึกเจ็บแทนขึ้นมาเสียดื้อๆ เขายังต้องอยู่ท่านั้น อยู่ภายในอ้อมกอดเพื่อช่วยเป็นแรงยึดให้ชานยอลรับน้ำหนักขาตั้งไฟเอาไว้จนกว่าทีมงานจะช่วยยกมันกลับไปตั้งตามเดิมจนเสร็จ และยังไม่ทันจะได้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเจ็บตัวตรงไหนบ้าง คนในวงก็พาเขากลับไปยังห้องแต่งตัวตามคำสั่งผู้จัดการวง โดยซึงฮวานเป็นฝ่ายโค้งศีรษะขอบคุณอาร์คครั้งใหญ่แทน

     

     

    คงเพราะทุกคนรู้... ว่าถ้าจะให้บยอนแบคฮยอนเปิดปากขอบคุณปาร์คชานยอลแล้วล่ะก็ สู้ยอมให้หิมะตกหน้าร้อนคงจะง่ายกว่ากันมาก

     

     

     

     

     

     

     












        ________________________________________

        
                
        หายไปนานมาก จนหวังว่าจะไม่ลืมกัน
                 

        #ficdarkhorse
                
                
                
               


     PUAL REED SMITH : MCCARTY 594

               
                
                
            
                
                
                 



    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×