ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    fic-krisyeol : TYPE A ผู้ชายของผม

    ลำดับตอนที่ #2 : CH02

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1K
      17
      4 เม.ย. 60

     





    CH02 

    ++++++++


    เช้ามืด เวลาหกโมงตรง เด็กก้นบาตรอย่างหย็องและโอตื่นแล้ว พวกเขาทั้งสองใช้น้ำฝนที่รองเอาไว้ในโอ่งเป็นตัวชำระล้างใบหน้าให้สร่างจากความง่วงงุน พร้อมกับเดินมารับย่ามสะพายแหล่งกันคนละอันที่หน้ากุฏิ สองมือก็ยกขึ้นพนมไหว้หลวงตาที่ยืนรอพวกเด็กวัดอยู่

    “เป็นไงล่ะ หลับสบายหรือเปล่า” หลวงตายิ้มผ่อนคลายให้เด็กทั้งสองที่เคยเห็นมาตั้งแต่บวชฤดูร้อนเมื่อหลายปีก่อน ความแสบสันเป็นที่เลื่องลือจนขนาดว่าโตเป็นหนุ่มแล้วก็ยังทำเรื่องอุตริให้ช่วยอยู่เสมอ อย่างเหตุการณ์เมื่อคืนวาน 

    “สบายดี จ่ะหลวงตา”

    “แล้วโยมฝรั่งคนนั้นล่ะ ยังไม่ตื่นหรือ” หลวงตาถาม 

    “จ่ะ คงจะไม่ชินกับการตื่นเช้ามั้งจ้ะ เห็นท่าทางหลับสบายๆก็เลยยังไม่อยากปลุก” 

    “เจริญพรนะโยมหย็อง การช่วยคนเป็นสิ่งที่ประเสิร์จเสียยิ่งกว่าทำบุญไหนๆนะรู้มั้ย” 

    “จ่ะ” 


    หย็องและโอหน้าบานรับบุญแต่เช้ารีบชันเข่าลงกับพื้นเพื่อก้มลงกราบ พอได้ฤกษ์อันดี เหล่าพระสงฆ์ก็ออกบิณฑบาตไปตามหมู่บ้านละแวกใกล้ๆ ชาวบ้านที่ยังไม่เริ่มออกทำงาน ก็ออกมาใส่บาตรรับพรกันไป แม้หน้าฉากของที่นี้จะเป็นเมืองสวรรค์คาวโลกีย์ เนื้อแท้แล้วพวกชาวบ้านก็ไม่ได้ต่างจากคนที่อื่น 


    พอกลับจากช่วยหลวงตาพวกเขาก็ขอตัวกลับ แต่ก่อนจะกลับพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะเดินเข้าไปปลุกพ่อฝรั่งที่เอาแต่นอนจนตะวันแยงตูด  

    “คุณๆ ตื่นได้แล้ว” หย็องเข้าไปจับไหล่แข็งๆนั้นแล้วเขย่าแรงๆสองสามที จนพ่อฝรั่งค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าที่ควรจะบวมเป่งตามภาษาคนตื่นใหม่ กลับไม่มีให้พบเห็นบนใบหน้าหล่อเหลาได้รูปนั้นเลย 

    “ที่นอนแข็งมากเลยคุณ” พ่อฝรั่งหันมาฟ้องพร้อมกับบิดขี้เกียจ ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าเป็นคนติดหรู แต่ที่ไม่งอแงและยอมนอนทั้งๆที่ไม่ใช่เตียงดับเบิ้ลคิงไซต์ที่ผ้าปูถูกตัดเย็บด้วยช่างฝรั่งเศส ก็เพราะคนที่เคยนอนข้างกันเมื่อคืน ที่ทั้งนุ่มทั้งหอม เป็นกลิ่นหอมที่แม้แต่น้ำหอมดิออร์กลิ่นที่เขาชื่นชอบไม่สามารถทดแทนได้  

    “แหงดิ นั่นมันเสื่อ” เด็กหนุ่มส่ายหัว หันไปพึมพำกับลูกกระจ๊อกที่ยืนขำอยู่ด้านหลัง 


    เมื่อปลุกพ่อฝรั่งให้ตื่นแล้วพวกเขาก็ออกจากวัด โดยที่หย็องไม่ลืมที่จะพาไปกราบหลวงตาก่อนเป็นการล่ำลา ระหว่างทางที่เดินผ่านตลาดเพิงเก่าๆ พ่อฝรั่งก็เอาแต่คุยจ้อ ชี้มือชี้ไม้ถามว่านั่นคืออะไร นั่นเรียกอะไร กินได้มั้ย จนเขาปวดหัว แล้วจะไม่ตอบก็ไม่ได้เพราะพอเขาเงียบก็ส่งนิ้วมาสะกิดยิกๆที่แขนแล้วส่งสายตาใสแจ๋วมาให้ จนเขาต้องยอมตามใจ 

    เดินมาได้สักหน่อยตัวปัญหาในกลุ่มก็เริ่มส่งเสียงประท้วงว่าหิว มื้อเช้าของพวกเราจึงจบลงที่ ร้านโจ๊กข้างทาง ที่มีโต๊ะเหล็กสีน้ำเงินกับแดงตั้งอยู่ไม่กี่โต๊ะ และแน่นอนว่ามื้อพ่อฝรั่งก็เป็นคนออกตัวว่าจะจ่าย จำนวนที่กินเข้าไปก็ใช่ว่าจะน้อย เล่นล่อไปห้าชามลองไม่จ่ายดูสิ เขาจะโบกให้เลอะเลือนเลยคอยดู 

    “เฮียๆ” 

    “ไร….” 

    “ไอ้พ่อฝรั่งเนี้ย เฮียจะเอาไงต่อ” ไอ้โอลูกสมุนเพียงหนึ่งเดียวของหย็องถาม ในขณะที่มันลากเขาให้เดินทอดน่องห่างออกมาเพื่อที่จะได้นินทาพ่อฝรั่งเขาได้สะดวกๆ ถึงแม้มันจะฟังไทยไม่ออก แต่คนมารยาทดีน่ะนะ จะให้ไปนินทาระยะข้างหูมันก็ไม่ใช่เรื่อง 

    หย็องยักไหล่ให้กับคำถามนั้น เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงต่อ แต่ที่แน่ๆอาจจะต้องพาไปหาหมอ เอ็กซ์เรย์ให้ดีว่าสมองมันกลับไปเป็นเด็กสามขวบรึเปล่า เพราะดูจากท่าทางการตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัวที่มันโคตรธรรมดานั้นก็ฟันธงได้เลยว่าประสาทกลับแน่ๆ  

    “เดี๋ยวเอาไปไว้บ้านให้ป้าหอมรีดไถก่อนนั่นล่ะมั้ง” 

    “โห เฮีย เขาออกจะน่าสงสาร”  

    “แล้วไง เสือกตามมาเอง” ได้ข่าวว่าไปแบกเขามานะหย็อง 



    พอใช้เวลาเดินกันมามากพอสมควร ไอ้โอก็ขอตัวแยกทางออกไปเพื่อที่จะกลับบ้านที่ตั้งอยู่หลังตลาด คณะเดินทางตอนนี้จึงเหลือเพียงเขาและพ่อฝรั่งสองคน 

    “ตอนนี้เรากำลังจะไปไหนกันเหรอคุณ” พ่อฝรั่งหันมาถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หน้าตาดูมีความสุขมากเลยนะแหม….

    หย็องยกมือขึ้นเกาหัว รู้สึกว่าปากที่เจือยแจ้วเป็นต่อยหอยอยู่ทุกวันจะใช้งานขัดข้องเอาก็วันนี้ ก็ดูหน้ามันดิ ยิ่งกว่าพระเอกหนังฮ่องกงสมัยหนุ่มๆที่ป้าชอบดูเสียอีก “ก็เดี๋ยวไปบ้านผม” 

    “บ้านคุณ!!” น่ะ ดูหน้ามัน จะดีใจอะไรขนาดนั้น!!

    หย็องพยักหน้าแล้วเลือกที่จะไม่ต่อบทสนทนากับพ่อฝรั่งอีก พวกเขาเดินเลียบไปตามถนนที่มีแต่ร้านนวด นวดฝ่าเท้า นวดตัว นวดไข่ นวดอะไรก็ว่ากันไปแล้วแต่อ๊อฟชั่นเสริมของผู้ให้บริการ จากนั้นก็เดินผ่านตลาดของแม่ไอ้โอ 

    “เนี่ย อีก 200 เมตรก็ถึงละ” หย็องบอกแล้วจัดการเดินนำหน้าไปตามทางที่ตัวเองใช้มันตั้งแต่เด็ก พอผ่านช่วงสองร้อยเมตรอย่างที่ว่าปุบก็เข้าสู่เขตย่านชุมชนแออัดที่เริ่มจะกลายเป็นสลัมไปแล้วด้วยจำนวนคนที่มากขึ้น ทั้งแรงงานก่อสร้างต่างด้าวต่างถิ่น ที่เข้ามาปลูกเพิงอาศัยกัน หย็องเดินลัดไปตามถนนที่กว้างประมาณสองฟุตกว่า ก้มๆเงยๆหลบสิ่งกีดขวาง ซึ่งคนไม่ชำนาญทางอย่างพ่อฝรั่งก็มีหัวโขกหัวชนไปตามระเบียบ 

    “ป้าหอมจ้ะ!!” แม้จะเห็นว่าหน้าประตูล็อคเอาไว้ด้วยแม่กุญแจตัวเบ้อเริ่ม แต่หย็องก็ยังคงหันซ้ายแลขวาเรียกชื่อของบุพการีคนที่สองที่อาจจะอยู่แถวนี้ แต่สิ่งที่ได้กลับมากลายเป็นคนเงียบ เขาเลยหยิบเอาดอกกุญแจที่วางอยู่ใต้กระถางโป๊ยเซียนออกมาไข กลิ่นกะทิและใบเตยลอยอบอวนไปทั่วบ้าน สงสัยป้าคงเอาขนมไปส่งเจ๊เกียวที่ตลาด ก็เลยไม่อยู่ 

    “นั่งตรงไหนก็นั่งนะคุณ เดี๋ยวเอาน้ำให้กิน” เด็กหนุ่มสั่ง เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเดินตามเขาไปที่ตู้เย็นหลังเก่าที่ตั้งอยู่กลางบ้าน หย็องเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำและแก้วที่อยู่ในถาดบนหลังตู้เย็น สายตาก็แอบไปสะดุดกับแบงค์ยี่สิบสองใบกับเหรียญสิบวางทับแถมข้างใต้ก็มีกระดาษฉีกขาดๆพร้อมตัวหนังสือเขียนเอาไว้ 

    ค่าขนม…. 


    นี่ป้าหอมลืมไปแล้วเหรอว่าเขาจบ มอ.หกแล้ว ไม่ไปโรงเรียนมาครึ่งเดือนแล้ว… 


    หย็องเดินเอาน้ำมาเสิร์ฟให้กับพ่อฝรั่งที่นั่งตัวลีบอยู่บนเก้าอี้พลาสติกของป้าหอม ที่ป้าใช้วางเท้าตอนดูละครช่วงค่ำ เด็กหนุ่มส่ายหัว ไม่น่าไปบอกว่าให้นั่งตรงไหนก็นั่งเลยให้ตายเถอะ 

    “นั่งพื้นสิคุณ ตัวก็ออกจะใหญ่ เก้าอี้ป้าผมหักขึ้นมาทำไง” หย็องบ่น แล้วสาธิตวิธีการนั่งกับพื้นให้พ่อฝรั่งได้ดู ผู้ชายตัวโข่งนั่งลงตามที่เขาบอก ในมือก็จับแก้วน้ำหมุนไปมา สายตาก็ระยิบระยับส่องตูดแก้วมองแล้วมองอีกอย่างกับว่าเกิดมาเพิ่งเคยเห็นแก้วลายสนู้ปปี้ที่ใช้แสตมป์แลกซื้อมาจากเซเว่นงั้นแหละ 


    “น่ารักดีนะคุณ” อืม หย็องพยักเพยิดตามนั้น ถึงจะขอก็ไม่ให้หรอกนะเว้ย อุตส่าห์เก็บแสตมป์ตั้งนาน แลกซื้ออีกตั้งสองร้อยแพงชิบหาย 

    “ไม่ต้องมาทำสายตาว่าอยากได้….เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่านะครับคุณ” 



    +++++++++++++++++++++

    “โว้ย!! ทำไมจำไม่ได้วะ!!” 

    เสียงร้องแผดลั่นบ้านเมื่อเขาพยายามเคี่ยวเข็ญความจริงจากปากอีกฝ่ายยาวนานถึงยี่สิบนาทีผลปรากฎว่าเจ้าตัวนึกไม่ออก แถมท่าทางก็อึกอักเหมือนกับพยายามนึกแล้วนะแต่มันนึกไม่ออก 

    “ผมขอโทษ ให้ผมอยู่ที่นี้สักพักนะครับ” ทำหน้าตาละห้อยรู้สึกผิดขึ้นมาล้านแปดจนคนมองต้องยอมอ่อนเสียงและแรงอารมณืลงเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็น แต่ยังไงก็ยอมไม่ได้อ่ะ จะมารับเลี้ยงเด็กโข่งตัวเท่าควายป่าแบบนี้ไม่ได้อ่ะ ป้าหอมได้แฉ่งหัวเขาแยกเป็นแฉกๆแน่

    “นิ คุณ บ้านผมไม่ใช่โรงทานนะครับ ไม่ได้!!” ไม่ต้องคิดให้มากความ ไม่ได้ก็คือไม่ได้  โอเค้

    “แต่ผม…..อ้อ ผมมีนี่นะครับ” น่ะ นั่นไง มีนี่นี้คือเงินใช่มั้ย

    หย็องมองกระเป๋าตังใบเดิมของพ่อฝรั่งที่เจ้าตัวล้วงออกมาโชว์ ด้านในยังคงอุดมไปด้วยธนบัตรสีเทาเบียดกันแน่นจนหายใจหายคอไม่ออก พ่อฝรั่งหยิบจำนวนเงินพวกนั้นออกมาแล้วยื่นส่งให้อย่างไม่นึกเสียดายพอๆกับตอนที่จ่ายค่าวินมอไซต์ไปสองพัน เด็กหนุ่มมองเงินก้อนใหญ่ที่เขาไม่สามารถหามันได้ง่ายๆในปีนึงแน่ๆ แค่ก่ะด้วยสายตาก็น่าจะเกือบถึงสามหมื่นได้ 

    ถ้าริบเอามาหมดก็เอาไว้ใช้จ่ายเป็นค่าเทอมเรียนต่อมหาลัยได้เลยนะเนี้ย…. 


    “คุณ….ว่าไงครับพอมั้ย” 

    “พอ….เอ้ย! ไม่ใช่!! ไม่ได้! ยังไงผมก็ไม่ให้คนอยู่” หย็องกอดอกยื่นคำขาด แม้ว่าสายตาจะตกกระทบอยู่กับเงินที่คาอยู่บนมือของอีกฝ่ายก็เถอะ มันก็ไม่ใช่น้อยๆนา แต่คนดีที่แบกศักดิ์ศรีเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนจะหวังแค่เงินสามหมื่นไม่ได้!!! พอเรื่องมันไม่ได้ดำเนินต่อจากนั้นเพราะต่างคนต่างเงียบ เด็กหนุ่มก็จัดการเปิดประเด็นใหม่ด้วยการแย่งกระเป๋าตังของพ่อฝรั่งมาค้นทันที  


    บัตรประชาชนที่แสดงตัวตนว่าเจ้าตัวเป็นคนแคนนาเดี้ยนโชว์อยู่บนบัตร ใบหน้าที่ไม่ได้ต่างจากตอนนี้แต่แค่อ่อนเยาว์กว่านิดหน่อยยืนยันได้ดีว่าพ่อฝรั่งเป็นเจ้าของแต่ไอ้ที่ไม่อยากจะเชื่อก็คืออายุอานามของพ่อแกนี่สิ  

    อะไรเนี้ยอายุ 33 แล้วเหรอวะ…. 


    กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เมื่อเห็นปีเกิดของพ่อฝรั่งชัดๆเต็มสองตา อีกไม่กี่เดือนก็จะเต็มสามสิบสี่แล้วแบบนี้ก็เรียกพี่ไม่ได้แล้วสิ ต้องเรียกคุณอาแล้ว…เพราะห่างจากเขาถึง 15 ปี!!

    “เออ คุณไม่ต้องเรียกผมว่า คุณก็ได้นะครับ” อ่อนน้อมขึ้นมาทันที เพราะป้าสอนให้เคารพผู้ใหญ่ แต่พ่อฝรั่งก็ยังคงขมวดคิ้วนิดๆ เหมือนกับกำลังไม่เข้าใจในภาษาอังกฤษที่เขาพยายามสื่อสาร หย็องเลยต้องพูดขยายความออกไปให้มากกว่าเดิม 

    “คือผมอายุแค่สิบแปด แต่คุณอายุสามสิบกว่าแล้ว มันไม่ดีเท่าไหร่ถ้าหากว่าคุณเรียกผมแบบนั้น คือคนไทยเขาถือน่ะครับ” 

    “คุณอายุสิบแปดเหรอ!!” คราวนี้ล่ะใบหน้าตกใจก็เข้ามาแทนที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามเมื่อครู่ เด็กน้อยก้มหน้าหงุดด้วยความเงอะงะ ก็ไม่รู้ว่าจะเขินกับใบหน้าหล่อคมที่แสดงอาการเจ้าเล่ห์ไม่เชื่อออกมาทางสายตานั้นได้อย่างไร 

    หย็องกวาดสายตาดูรายละเอียดบนบัตรก็พบว่าคุณอาคนนี้ชื่อ คริสโตเฟอร์ อู๋ ไม่มีชื่อกลางแบบฝรั่งทั่วๆไป และนามสกุลก็บ่งบอกว่าเป็นคนจีน สรุปแล้วพ่อฝรั่งคนนี้คงเป็นคนจากแผ่นดินใหญ่ที่มีสัญชาติอยู่ในประเทศแคนนาดา พอตรวจสอบข้อมูลบนบัตรอย่างถี่ถ้วนยิ่งกว่า ตม. สนามบินไทยแล้วก็เริ่มแกะแงะกระเป๋า ลากเอาบัตรนู้นนี่นั่นออกมาดูเพื่อหาข้อมูลอื่นๆที่พอจะสามารถส่งคืนผู้ชายคนนี้กลับคืนสู่ครอบครัวเขาได้ 

    “นามบัตร….อ่าว เห้ย!!!” ร้องด้วยความตกใจเมื่อมือเร็วกระชากนามบัตรที่เขาเห็นแวบๆว่ามีชื่อ คริสโตเฟอร์ อู๋ แปะเอาไว้ เป็นตัวหนา 

    “นั่นนามบัตรบริษัทที่ผมทำงานอยู่นี่นา ผมจำได้แล้ว!!” พ่อฝรั่งชูนามบัตรขึ้นท่าทางโอเว่อร์แอคติ้เหมือนกับว่าจำมันได้จริงๆ โอ้วววววว ดีเลย!! หย็องขยับเข้าไปใกล้พยายามชะโงกหน้าดู ดีใจแบบงงไปด้วย ไรวะ...แค่เห็นนามบัตรก็จำได้ขึ้นมาทันที 

    “คุณมีโทรศัพท์มั้ยครับ” 

    “อึ!! ไม่มีอ่ะ…..อ้อ เดี๋ยวแปบนึงนะ” หย็องที่พอนึกอะไรขึ้นได้ก็รีบกุลีกุจอหายเข้าไปในห้องที่เอาไม้มาตีกั้นฉากเอาไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว เด็กหนุ่มคุ้ยหาโทรศัพท์เครื่องเล็กที่หน้าจอกว้างไม่ถึงหนึ่งนิ้วออกมา เป็นซัมซุงฮีโร่เครื่องที่แลกซื้อจากเซเว่นอีกแล้วครับผม!!

    หย็องเดินออกมาจากห้องนั้นแล้วยื่นโทรศัพท์เครื่องเล็กไปตรงหน้าพ่อฝรั่ง “อ่ะ ไม่รู้ว่ามีตังพอโทรรึเปล่านะ ลองดูๆ” ว่าเสร็จก็จับยัดใส่มือ 

    พ่อฝรั่งนิ่งไปสักพัก แต่เพราะมีสายตาของเด็กน้อยจ้องมองอย่างเอาใจช่วย ชายหนุ่มก็เลยอดเอ็นดูไม่ได้ เขาตามใจเด็กคนนี้ด้วยการกดเบอร์โทรที่ไม่ได้มีอยู่บนนามบัตร ใช่!! เขาไม่ได้ความจำเสื่อมแม้แต่น้อย และกระเป๋ากางเกงด้านซ้ายของเขาก็มีโทรศัพท์ไอโฟนตัวเรือนสีแดงหุ้มด้วยเคสหนังจากอาวมานี่แบบสั่งทำพิเศษนอนนิ่งอยู่ 

    เสียงสัญญาณดังอยู่สักพักก็มีคนรับสาย เสียงทุ้มต่ำแบบฉบับของบอดี้การ์ดมาดขรึมอย่างคิมจงอินกรอกลงมาก่อนอย่างสุภาพ ด้วยความที่เบอร์ไม่คุ้น

    /สวัสดีครับ คิม จงอินรับสายครับ/

    “ฉันเอง…”กรอกเสียงทุ้มต่ำด้วยภาษากวางตุ้งลงไป ป้องกันการฟังรู้เรื่องของเด็กหนุ่มตรงหน้า    

    /คุณหนู!!!/ 

    “เออ ผมขอตัวสักครู่นะครับ” ไม่ต้องรอคำอนุญาต ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเต็มความสูงออกไปนอกบ้าน หามุมสงบๆเพื่อพูดคุยกับบอดี้การ์ดส่วนตัวที่กำลังตีโพยตีพายไปเรื่อยเปื่อยจนเขาต้องบอกให้ใจเย็นๆ เขาสั่งให้จงอินโทรกลับเพราะเกรงใจค่าโทรศัพท์ที่อาจจะแพงหูฉี่ได้หากใช้มันคุยธุระต่อจากนี้ ซึ่งไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่วางสาย จงอินก็โทรกลับมา 

    “นิ จงอินฟังฉันนะ!” ป้องปากมีลับลมคมในทันที สายตาก็พยายามจดจ้องมอง เพราะกลัวว่าเด็กน้อยคนนั้นจะออกมาพบเข้า 

    /คุณหนูคริสสบายดีใช่มั้ยครับ……….ตอนที่คุณท่านทราบข่าวว่าคุณหนูหายไป ท่านโกรธกริ้วหนักจนต้องสั่งให้เลขาจ้างนักสืบกับทหารรับจ้างพิเศษออกตามหาคุณหนู อีกสองชั่วโมงเครื่องจากอัฟกานิสถานจะลงที่สนามบินนะครับ ถ้าคุณหนูไม่อยากให้บ้านเมืองแตกตื่น ก็อยู่ที่นั่น อีกครึ่งชั่วโมงผมจะไปรับ/

    “เดี๋ยวๆ ฉันบอกให้นายฟังฉัน ไม่ใช่เอาแต่ฝอยนะคิม จงอิน” ชายหนุ่มถอนหายใจ 

    /ครับคุณหนู/


    “บอกพ่อนะให้ถอนกำลังบ้าบอนั่นออกไป ฉันสบายดี ไม่ต้องส่งคนมาตาม แล้วเดี๋ยวฉันจะบอกอีกทีว่าต้องทำไงต่อ” 

    /จะดีเหรอครับ/ 

    “บอกไปว่าฉันสั่ง” ชายหนุ่มยื่นคำขาด ไม่มีความล้อเล่นอยู่ในน้ำเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อย จนลูกน้องคนสนิทอย่างคิม จงอิน ต้องขานรับคำสั่งนั้นอย่างช่วยไม่ได้ 



    ชายหนุ่มหันหลังคุยธุระกับจงอินต่อจนลืมไปเลยว่าตัวเองต้องคอยระวังยัยหนูที่อาจจะทะเล่อทะล่าเข้ามาได้ยินเข้า แหง ล่ะเขาไม่ได้ความจำเสื่อม เขายังคงเป็นคริส ชายหนุ่มนักธุรกิจวัยสามสิบสามสุดร้อนแรงในฐานะนักธุรกิจหน้าใหม่ที่น่าจับตามองที่สุดในโลก 

    ก็ไม่ค่อยอยากจะคุย…. 



    “หย็อง ฝรั่งที่ไหนมายืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าบ้านป้าปุ๋ย” ป้าหอมที่เพิ่งกลับจากข้างนอกมา เห็นผู้ชายตัวสูงร่างกำยำยืนด้อมๆมองๆคุยโทรศัพท์ข้างบ่อปลาหางนกยุงหน้าบ้านป้าปุ๋ยที่ปิดบ้านกลับไปเยี่ยมลูกที่ต่างจังหวัด 

    “อ๋อ คือ…..” ปากเจ้ากรรมกำลังจะพูดออกไปแล้วเชียว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าวีรกรรมเมื่อคืนมันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเล่าออกไป เด็กหนุ่มจึงรีบเปลี่ยนมากุลีกุจอไปหยิบจับของที่ป้าหอมหอบมาเอาไว้แทน

    “เออ ไปติวให้เจ้าโอที่บ้านเป็นไงบ้าง” ป้าหอมถามเมื่อหลานชายเอาของไปเก็บในครัวแล้วเดินกลับเข้ามาหา 

    “ก็ดีป้า!!!” หลานชายตอบ ป้าหอมพยักหน้ารับแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่มีเบาะเก่าครึประจำตัววางอยู่ ป้าค่อยๆเอามันสอดรองใต้ก้น ทั้งๆที่แค่ลุกขึ้นขยับไปนั่งบนเบาะก็ได้แล้วป่ะ แต่ไม่ทำ หย็องที่นั่งขบคิดอยู่สักพักว่าควรจะบอกป้าดีมั้ย เรื่องที่จะมีแขกมาอาศัยที่บ้านชั่วคราว ก็ไม่ใช่แขกไหนอื่นไกล ก็พ่อฝรั่งที่ป้าเห็นยืนคุยโทรศัพท์อยู่นั่นล่ะ 

    “เออ ป้าจ้ะ” 

    “ไรอีกล่ะ” 

    “คือ พ่อฝรั่งที่ป้าเห็นยืนคุยโทรศัพท์อยู่น่ะ เขาจะมาพักที่บ้านเรานะป้า” 

    “แกพูดอะไร…” ป้าหอมชายตามองหลานตัวดีที่เริ่มคลานเข่าเข้ามาประจบ หน้าตาแชล่มแช่มช้อยค่อยๆวางเกยลงบนตัก มือที่ผ่านการทำงานมาแทบจะทุกประเภทแต่ยังคงความนุ่มนิ่มอยู่ ก็คอยบีบคอยนวดต้นขาที่เริ่มจะอ่อนแรงลงไปทุกวันอย่างรู้หน้าที่ 

    “คือ….พอดีหย็องไปเจอเขาถูกพวกนักเลงรุมตีกบาลมาน่ะ หย็องเลยช่วยไว้ เขากำลังติดต่อญาติอยู่ แต่ก็ต้องรออีกสักพักหนึ่งน่ะจ้ะป้าหอม” ขาที่กำลังถูกบีบนวดอยู่กระตุกจนหลานชายแทบจะปลิวไปตามแรงกระตุก หย็องหน้าหดเหลือสองนิ้วทันทีที่ป้าหอมจ้องกราดมือที่เคยวางไว้บนตักก็ยกขึ้นเตรียมจะตี 

    “แกไปช่วยมันมาทำไม มันมีเงินมั้ย ถ้าไม่มีก็ไล่ไปซะ เห็นบ้านเราเป็นสถานสงเคราะห์รึไง!! นี่ก็ใจอกใจดีไม่เข้าเรื่อง!!” 

    “โถ่ ป้า หย็องก็ไม่ได้คิดอยากจะช่วยหรอก แต่ป้าคิดดูดิ อยู่ๆป้าก็เห็นคนถูกทำร้ายใช่ป่ะ แล้วป้าต้องเดินผ่านคนๆนั้นอ่ะป้า คนๆนึงที่กำลังนอนหัวแตกเลือดอาบท่าทางใกล้ตายอยู่อ่ะ เป็นป้า ป้าช่วยป่ะ” 

    “ไม่ช่วยโว้ย!!” ป้าหอมตะคอกใส่หลานชาย จนเจ้าตัวดีสะดุ้ง ฉากการบรรยายแบบบิ้วอารมณ์สุดชีวิตถูกพับเก็บเข้ากระเป๋าทันทีเมื่อมันใช้กับป้าหอมไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าป้าเขาจะเป็นคนใจไม้ไส้ระกำแบบนี้ ขนาดที่ว่าเห็นคนใกล้ตายนอนพะงาบๆก็จะไม่ช่วย ใจร้าย!!

    ไม้เด็ดสุดท้ายที่หย็องจะพูดคือเรื่องเงินที่คุณอาฝรั่งคนนั้นมี แต่อีกใจก็รู้สึกเหมือนกับว่าที่บ้านเขาช่วยก็เพราะเห็นแก่เงิน ซึ่งมันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ตอนที่ช่วยมาก็ไม่ได้มีประสงค์จะยักยอกเงินหรือหลอกแดกฝรั่งคนนี้อยู่แล้ว แค่อยากจะช่วยๆไปให้มันจบๆไปก็เท่านั้น 

    “แค่คืนเดียวนะป้า ให้ที่ซุกหัวนอนฝรั่งนั่นคืนเดียว แล้วพรุ่งนี้หย็องจะไล่เขาออกไปเลย” สุดท้ายเด็กหนุ่มก็เลือกที่จะไม่พูดเรื่องเงินออกไป เขายกมือไหว้ก้มลงกราบตักคนที่เปรียบเสมือนแม่อีกคนของตัวเอง ท่าทางของป้าหอมดูจะเย็นลง เมื่อหลานชายออกปากขอขนาดนั้น หญิงอายุเข้าใกล้วัยชราจึงพยักหน้าส่งๆเป็นการอนุญาต 

    “คืนเดียว เข้าใจมั้ย เราไม่รู้มันมาดีมาร้าย เผลอๆเรานอนอยู่มันยกเค้าเราทำไง ฝรั่งสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะโง่ เราหลอกมันได้ มั้นก็หลอกเราได้ เข้าใจมั้ยหย็อง!!” ป้าหอมชี้หน้าสั่งสอนให้หลานชายเข้าใจ บางคนดีก็ดีไปบางคนเลวมาจากสันดารก็ช่วยไม่ได้ จะไปเหมารวมว่าเมืองนี้บ้านนี้มีแต่คนดีมันไม่ได้ มีแต่เราที่ต้องระวังตัว ทันเล่ห์เหลี่ยมคนพวกนี้ให้ทัน 

    “เข้าใจจ่ะป้า” 

    “เป็นคนดีน่ะเป็นได้ แต่ก็ต้องหัดร้ายบ้าง ไม่งั้นเขาจะเรียกเราว่าคนโง่!!” นิ้วโป้งแตกลายผลักหัวหลานชายแรงๆ เผื่อหวังว่าสิ่งที่สอนไปมันจะเข้าสมองไอ้หย็องบ้าง ลำพังตัวเองก็แก่ใกล้ลงโรงอยู่แล้ว นึกเป็นห่วงแต่มันที่ยังไม่โตพอจะเข้าใจว่าโลกเราโหดร้ายแค่ไหน 


    “ตกลงป้ายอมให้พ่อฝรั่งนั่นอยู่แล้วใช่มั้ยป้า” 

    “อืม….” 






    ++++++++++++++++++++++

    หลังจากที่พ่อฝรั่งเขาคุยธุระเสร็จก็เข้ามาเจรจาพาทีทันทีว่าอาจจะต้องขออยู่ที่นี้สักหนึ่งคืน ป้าหอมที่คุยกับเขาเอาไว้เเล้วก็ไม่ได้มีปัญหา แต่ยังคงซักไซ้พ่อฝรั่งอยู่อีกไม่กี่ประโยคและขอคอนเฟิร์มให้แน่ชัดว่าจะอยู่ที่นี้แค่วันเดียว พอป้าหอมได้คำตอบที่ถูกใจแล้วก็ออกไปทำธุระต่อ ธุระที่ว่าก็คือการออกไปเล่นแชร์กับกลุ่มของเจ๊เกียวที่ตลาดนั่นล่ะไม่มีธุระอื่นหรอก

           บ้านทั้งบ้านจึงเหลือเพียงหลานชายผู้เป็นเจ้าของและพ่อฝรั่งแขกกิตติมศักดิ์ พวกเขานั่งต้มมาม่ากินกันพร้อมกับดูทีวีที่มีแต่รายการตลกช่วงบ่าย นั่งดูไปมือก็สะบัดเสื้อไปด้วยทั้งเจ้าบ้านทั้งแขก หย็องหันไปมองพ่อฝรั่งเป็นระยะๆด้วยความสงสารนิดหน่อยเพราะดูท่าแล้วอากาศของประเทศไทยคงจะบ่อนทำลายสุขภาพของคุณเขาน่าดู เพราะถึงแม้จะมีเชื้อจีน แต่ก็คงไม่เคยได้สัมผัสความร้อนที่ใกล้เคียงนรกเช่นนี้แน่ๆ 

            “ร้อนมากป่ะคุณ” หย็องหันไปถามคนที่เอาแต่นั่งจ้องทีวี ทั้งที่ฟังไม่รู้เรื่อง 

    “ร้อนครับ” จะโกหกคงไม่ได้สินะ เหงื่อซกเชียว 

    “งั้นรอเดี๋ยว” ว่าแล้วก็ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินอาดๆเข้าไปในห้องที่มีตู้เสื้อตั้งอยู่ หย็องหยิบเอาเสื้อกล้ามตาห่านคู่สีเหลืองออกมา ความจริงมันก็เคยขาวนะ แต่มันโดนน้ำประปากัดกร่อนบ่อยเข้าๆก็เลยเป็นอย่างที่เห็น

    “ใส่นี่ก่อนนะคุณ แล้วเดี๋ยวจะไปซื้อเป๊ปซี่มาให้” เด็กหนุ่มยื่นเสื้อกล้ามคอย้วยให้พ่อฝรั่ง ไม่ได้มีจิตคิดอกุศลอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าเหงื่อที่มันชุ่มเต็มแผ่นหลังของพ่อฝรั่งมันคงทำให้ทรมานน่าดู 

    “ห้องน้ำอยู่ตรงนู้น เคยไปแล้วนิ เดินระวังๆนะ” 


      พ่อฝรั่งรับเสื้อกล้ามมาด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง แต่ก็ปฏิเสธน้ำใจและท่าทางใสซื่อของเด็กหนุ่มไม่ได้ เลยต้องรับมาแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป อย่างเสียมิได้ เวลาไม่นานนัก ใบหน้าที่เคยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็กลับมายิ้มระรื่นเช่นเดิม พร้อมกับออกปากขอบคุณเป็นการใหญ่ 

        แต่คนเจ้าของเสื้อตาห่านนี่สิ แทบจะพูดไม่ออก อยากจะกระโจนไปถอดแล้วให้พ่อฝรั่งกลับไปใส่เสื้อชุ่มเหงื่อตัวเก่า ไม่ใช่เพราะรับกับหุ่นของอีกฝ่ายไม่ได้ แต่เป็นเพราะอิจฉาในความเพอร์เฟคนั่นต่างหาก 

        ถ้าเกิดว่านี่คือหุ่นของนายแบบ คงเป็นนายแบบที่ฮอตที่สุดในโลก… 

       ความสูงที่มากกว่าเขาเกือบคืบ ถูกเสื้อโปโลกับกางเกงสามส่วนซ่อนรูปลักษณ์ที่แท้จริงเอาไว้อย่างแยบยล เมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือหุ่นของผู้ชายอายุสามสิบสาม แผงอกที่โผล่พ้นออกมาตามร่องคอเสื้อที่ยานย้วยช่างบาดตาบาดใจจนต้องคอยเหล่มองเป็นระยะๆ ไหนจะผิวที่ขาวจัดชนิดที่เขาเทียบไม่ติด แขนด้านบนก็มีแต่มัดกล้าม ยิ่งเวลาที่เจ้าตัวจับชายเสื้อกระพือไปมา ทำให้เห็นซิคแพคที่เบียดอัดกันจนคนมองอดที่จะหน้าร้อนเห่อไม่ได้ 

       หู้วววว แดดประเทศไทยทำไมมันแรงงี้นะ… 

     


         เมื่อพ่อฝรั่งเปลี่ยนเสื้อเสร็จก็กลับมานั่งจุมปุกที่เดิมข้างๆเขา หย็องที่ไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปวางไว้ไหนเลยตัดสินใจ ออกไปซื้อเป๊ปซี่กับน้ำแข็งที่ร้านโชว์ห่วยในซอย แม้ว่าฝ่ายนั้นจะขอตามออกมาด้วยแต่ก็ถูกเขาปฏิเสธและยื่นคำขาดให้รอที่นี้ไม่ดื้อไม่ซน

         ได้เป๊ปซี่กันคนละแก้วสองแก้วก็รู้สดชื่นขึ้น แต่ด้วยความที่ตื่นเช้าบวกกับอากาศที่ร้อนบรรลัยเลยเกิดอาการเพลีย เพลียชนิดที่ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหนและเมื่อไหร่ 


         เสียงทีวีที่ฟังไม่รู้เรื่องไม่สามารถเรียกความสนใจของชายหนุ่มให้หันไปจับจ้องได้อีกต่อไป เมื่อสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือเจ้าของบ้าน ที่กำลังนอนคดคู้หลับอยู่ข้างๆกัน แก้มนุ่มนิ่มที่เขาเคยคิดอยากจะบี้แรงๆก็กำลังบดไปกับหมอนที่เจ้าตัวใช้หนุน เครื่องทำลมร้อนที่ตั้งอยู่ตรงปลายเท้าก็ไม่ได้ช่วยให้เด็กน้อยที่นอนหลับอยู่ได้รับความเย็น เหงื่อที่ผุดออกมาจากหน้าผากจึงเป็นอะไรเซกซี่ที่สุด ในสายตาของเขา 

                  นั่งกอดเข่าทนกับความร้อนสักพัก ก็รู้สึกว่าตัวเองควรได้กำไรคืนจากตัวหนูน้อยตรงหน้าบ้าง การที่เขาต้องมานั่งอดทนกับความร้อนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆกับผู้ชายแบบเขา ถ้าเหตุผลของการลงทุนครั้งนี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุสิบแปดเขาก็คงไม่ยอมเอาตัวเองมาลงทุนแน่ๆ 

           คิดได้ดังนั้นก็แอบขยับตัวนอนราบข้างๆกัน เขาใช้ท้องแขนตัวเองเป็นหมอนรองหัว สายตาก็จดจ้องมองกลุ่มผมที่ส่งกลิ่นหอมออกมาทั้งๆที่เมื่อวานอีกฝ่ายก็ไม่ได้อาบน้ำสระผม คนบ้าอะไรไม่อาบน้ำเป็นวันแต่ตัวยังหอมจนน่าฟัดขนาดนี้ มองเพลินไปเสียหน่อยก็เลยเกิดอาการง่วง แขนอีกข้างที่ไม่ได้ถูกใช้งานก็เลยหาหน้าที่ให้มันเสียหน่อยด้วยการวางลงบนบั้นสะโพกอวบๆที่เด็กผู้ชายไม่ควรจะมี แล้วหลับตาลง 


           ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่รู้สึกว่าอึดอัดเหมือนถูกผีอำ อาการร้อนที่ไม่ชวนให้น่านอนเสียเท่าไหร่ก็ถูกเปลี่ยนเป็นลมพัดเอื่อยๆจนทำให้รู้สึกสบายตัว หย็องพลิกหน้าไปอีกฝั่งแล้วซุกเข้าหาความหอมที่แตกต่างจากนกแก้วก้อนเขียวที่เขาเคยใช้ กลิ่นมันสดชื่นพอๆกับกลิ่นน้ำหอมแนวสปอร์ต จนอดไม่ได้ที่จะซุกไซร้ดอมดม 


         “ว้าย!!! ตาเถร บัดสี ทำอะไรกัน!!!” 


     











    ==============================

    เขาทำอะไรกันคะแม่!!!

    บัดสี!! ที่สุด!!

    เรื่องนี้นะคะ พ่อฝรั่งของเราแกร้ายค่ะ 

    ส่วนหนูหย็องของเราก็แค่เห็นแก่เงินค่ะ แต่ตามอะไรพ่อเขาไม่ทัน

    พล็อตเรื่องจะไปทางสายเปย์  ตามสไตล์คนมีเงินเหลือใช้ค่ะ 

    ไม่มีดราม่า มีแต่ความไอเเอมเจอรี่ จั๊กกะจี้หัวใจค่ะ >///< 

    น่ารักใสๆ ให้คนไม่มี ผ..อิจฉาหย็องของเราเล่นๆ 

    ในเรื่องพระเอกนายเอกอายุห่างกัน 15 ปี 

    แต่...ไม่ใช่สไตล์โชตะค่อนอาหลานนะคะ 

    ก็แค่มีผัวแก่ กับ มีเมียเด็กเท่านั้น เขาไม่ใช่ญาติกัน!! 

    ตอนหน้ามี NC ไปตามหาแหล่งเอาเองนะ บายค่ะ





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×