ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    fic-krisyeol : TYPE A ผู้ชายของผม

    ลำดับตอนที่ #1 : CH01

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.4K
      24
      31 มี.ค. 60

     










     

     

    CH01

    ++++++++

     

                    “ไอ้หย็อง! เอาขนมสอดไส้ไปวางที่แผงเจ๊เกียวรึยัง” เสียงโวยวายแสบแก้วหูดังออกมาจากหลังบ้าน จนเด็กหนุ่มที่นอนเอกขเนกพร้อมในมือถือหนังสือปลุกใจเสือป่าอยู่ถึงกับสะดุ้งกระวีกระวาดลุกขึ้นเดินไปหา

                    “ไปแล้วจ่ะป้า”

                    “แล้วไหนตัง”

                    “เจ๊แกบอกแปะไว้ก่อนอ่ะ”

                    “บ้ะ แล้วเอ็งก็ให้แปะเหรอวะ ไอ้หย็อง!!” ตะหลิวอันเคืองถูกยกขึ้นเขกหัวทุยได้รูปของเด็กหนุ่มทันทีด้วยความโมโห ใบหน้าของหญิงร่างท้วมใกล้วัยชราหงิกจนน่ากลัว แต่คนถูกประทุษร้ายกลับทำเพียงแค่ยิ้มจืดๆแล้วเดินเข้าไปสวมกอดผู้เป็นป้าแทน

     

                    ป้าน่ะรักเขาจะตาย

     

                    “ยังๆ ยังจะมากอด ไปเลย รีบไปเอาค่าขนมที่เจ๊เกียวเดี๋ยวนี้!!!

     

     

     

                    จากเหตุการณ์ตอนต้นก็พอจะเดาได้แล้วว่า เด็กอายุสิบแปดรูปร่างผอมสูงอย่าง หย็องหรือหมูหย็องมีฐานะทางบ้านเป็นเช่นไร

                    ก็จนข้นแค้นน่ะสิถามได้….

     

                    ตั้งแต่เกิดจนจำความได้ ผู้ปกครองที่คอยดูแลเขามาตลอดจนถึงตอนนี้ก็คือป้าหอม ป้าหอมชอบเล่าว่าพ่อกับแม่เขาแยกทางกันตั้งแต่อยู่บนเตียงในร้านนวดแห่งหนึ่งที่แม่ทำงานอยู่ แล้วจากนั้นอีกสามเดือนแม่ก็รู้ตัวว่าท้อง นอนคิดอยู่หลายตลบว่าจะเอาเขาออกดีหรือไม่ดีเพราะตัวเองยังต้องใช้เรือนร่างหากินกับพวกแขกต่างชาติ ผลสุดท้ายป้าเลยต้องออกปากรับคำว่าจะเลี้ยงดูปูเสื่อผมแทน แม่ถึงไม่เอาเขาออกแล้วอุ้มท้องเขาจนคลอด

                    และนั่นก็เป็นสาเหตุให้เขาถูกกดขี่จนถึงทุกวันนี้ไงล่ะ….

     

                    ป้าหอมใช้เขาไม่ต่างจากแรงงานทาสตั้งแต่ขึ้น ป.สามทั้งให้เดินขายขนม ขายพวงมาลัยตามสี่แยกไม่ก็ส่งผักตามตลาดหยิบๆย่อยๆพอที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ ช่วงเวลาในวัยเด็กจึงไม่สวยหรูนัก ทั้งเสื้อผ้าของลงของเล่นขนงขนมแบบเด็กทั่วไปอย่าได้คิดว่าจะมีให้ใส่ให้กิน แต่ยังดีที่ป้าเมตตาให้เขาได้ร่ำเรียนจวบจนจบมัธยมหก

                    ส่วนชื่อของเขา ได้มาจากตอนที่แม่ท้องแล้วชอบกินแต่หมูหย็อง แม่เลยตั้งชื่อให้ก่อนที่ท่านจะเสียด้วยโรคมะเร็งปอด และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาได้จากแม่ นอกเหนือจากเลือดเนื้อเชื้อไข

     

                    “พี่กลอยโอเลี้ยงแก้ว” พอเดินๆไปแล้วชักจะคอแห้ง หย็องเลยหยุดซื้อโอเลี้ยงจากแผงน้ำของพี่กลอย สาวสวยประจำซอยร้านนวดที่เปิดเรียงกันเป็นตับ เจ้าหล่อนมองเขาด้วยสายตาหวานเยิ้ม มือก็หยิบจับกระบวยตักโอเลี้ยงใส่แก้วที่อัดน้ำแข็งไว้เต็ม อีกมือก็จับกระป๋องนมจืดราดลงไปชนิดที่ว่าแทบจะล้นทะลักพอๆกับนมสองเต้าอวบๆของพี่แก

                    “เท่าไหร่พี่” หย็องถาม

                    “พี่ให้หย็องฟรีเลยจ่ะ” เจ้าหล่อนยื่นแก้วส่งให้พร้อมลูบไล้ต้นแขนขาวผ่องของเด็กวัยสิบแปด เด็กหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมกับเริ่มดูดโอเลี้ยงในมือไปด้วย ความจริงที่มากินร้านพี่กลอยบ่อยๆก็เพราะว่าฟรีนั่นล่ะไม่มีเหตุผลอื่น และไอ้ที่ฟรีนี่ก็ไม่ต้องถามว่าเพราะเหตุผลอันใด

      

                    ก็เขาน่ะจัดอยู่ในประเภทหล่อเหลาได้เรื่อง ไม่ว่าจะเดินไปซอยไหนในเมืองพัทยา ก็แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก ไอ้หย็องคนนี้ ทั้งที่หลังบ้านเดินไปสามก้าวก็ถึงหาด วันๆอาบเหงื่อต่างน้ำ ตากแดดเป็นปลาหมึกแห้ง แต่ผิวพรรณก็ยังคงความขาวใสดุจนมแพะนมลา ไหนจะหน้าที่ผ่าเหล่าผ่ากอจากคนเป็นแม่กะป้า จนใครๆก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อของเขาเป็นใคร

     

                    หย็องเดินเลียบชิดกับถนนไปเรื่อยๆผ่านร้านรวงต่างๆ หยุดทักวินมอไซต์ที่เขาเคยมาส่งข้าวผัดให้บ้างอะไรบ้างก่อนจะตรงดิ่งเข้าตลาดเทศบาลที่เปิดให้บริการตั้งแต่เช้ามืดยันหัวค่ำ แต่เวลาเที่ยงคล้อยบ่ายแบบนี้คนจะซาหน่อย เพราะเป็นเวลาทำงานของพวกเช้าชามเย็นชาม จะคึกคักอีกทีก็ช่วงเย็นเพราะมาจับจ่ายซื้อกับข้าวสุกกัน

     

                    “เห้ย เฮียหย็องจะไปไหนครับ” ร่างสูงโปร่ง แลดูบอบบางหยุดยืนตรงหน้าแผงขายผัก ไอ้โอ ลูกเจ๊เกียวนั่งยิ้มแฉ่งในมือก็ถือขวดเจาะรูฉีดรดน้ำผักไปเรื่อยๆแลดูมีความสุข หย็องสอดส่ายสายตามองหาคู่กรณี แต่เมื่อไม่พบจึงหันมาเล่นงานไอ้โอลูกชายคนเล็กหัวแก้วหัวแหวนแทน

                    “แม่เอ็งไปไหนวะ”

                    “อ๋อแม่เดินไปเก็บค่าแผงลอยน่ะ เพิ่งไปเอง เฮียหย็องมีอะไรกับแม่โอเหรอ”

                    “เมื่อเช้าข้าเอาขนมมาวางที่แผงฝากแม่เอ็งขายแต่ไม่ได้เก็บตัง ป้าหอมบอกให้มาเอาอ่ะ” เด้กหนุ่มวัยสิบหกขมวดคิ้ว เกาหัวหยุบหยับแล้วบอกให้พี่ชายหัวโจกประจำแก๊งเสือสมิงที่ตัวเองตั้งขึ้นมาไว้หลอกพวกลูกคนมีตังที่โรงเรียน นั่งลงตรงแผงลอยที่ไม่มีใครเช่า

                    หย็องเองก็ยอมทำตามแต่โดยดีด้วยการกระโดดขึ้นไปนั่งห้อยขาต่องแต่ง จับจ้องมองผักนานาชนิดที่อยู่บนแผง ในใจก็นึกอิจฉาไอ้โอ ลูกกระจ๊อกตัวเองที่บ้านมีตลาดไม่พอยังมานั่งขายผักส่งผัก โรงเรียนก็เข้าเอกชนหรูหรา มีเงินใช้มีโทรศัพท์แพงๆเอาไว้เล่น แต่เขานี่สิแค่โรงเรียนวัดก็แทบจะไม่มีปัญญาจ่ายค่าชีทค่าทำนุบำรุงรายปี

                    “เฮียหย็องเสาร์นี้ว่างป่ะ มาติวภาษาอังกฤษให้โอทีดิ”

                    “ชั่วโมงสามร้อย มากกว่านั้นได้แต่ต่ำกว่านั้นไม่สอน”

                     “โห เฮียหย็อง แม่ผมจะจ่ายเหรอ ตั้งแพง สองร้อยได้ป่ะ สามชั่วโมง ได้หกร้อยเลยนะ” หย็องชายตามองเด็กหนุ่มที่กำลังทำตาละห้อย ที่มันบอกให้เขาไปติวนี่ไม่ใช่ว่าเขาเก่งกาจอะไรนัก แต่ก็แค่พอตัวและสอนมันเข้าใจ เพราะช่วงที่ต้องไปเร่ขายของปาหี่ตามสถานเริงรมย์ มันต้องใช้ภาษาอังกฤษ วันหนึ่งอย่างต่ำก็เกือบสี่ชั่วโมงที่ต้องใช้ภาษาที่สอง เขาทำแบบนี้ทุกวันตั้งแต่มอสี่ ตอนนี้ก็ยังไม่เลิก สกิลการพูดการเรียนภาษาอังกฤษเลยดีกว่าคนอื่นซึ่งถือเป็นพรสวรรค์และพรแสวงพิเศษหนึ่งเดียวในตัว

                    หย็องคิดอยู่สักพักก็ตกลง ถ้าเกิดยังวอแวจะเอาชั่วโมงสามร้อยคงได้อด อิหกร้อยนั่นแน่ๆ มักน้อยดีกว่ามักมากแล้วชวดล่ะวะ

                    “กี่โมงก็นัดมาละกัน”

                    “สามทุ่มเฮีย ที่ชูโรส”

                    “ห้ะ! สอนภาษาบ้าอะไรที่อ่างอบนวด” แม้ตัวเองจะจัญไรพอสมควรกับเรื่องคาวโลกีย์ แต่ไอ้เด็กอายุย่างสิบหกอย่างไอ้โอ ริหาญกล้าไปที่แบบนั้นได้ยังไง

                    “น่าๆ ถือเป็นค่าจ้างพี่ให้ไปกับผมไง" ไอ้โอกล่าว ส่วนคนฟังก็ตาลุกวาว แค่ไปเป็นเพื่อนเที่ยวก็ได้ตัง อะไรมันจะบุญหล่นทับไอ้หย็องขนาดนี้

                    “ตกลงจะให้ติวหรือให้ไปเที่วว เอาดีๆ” หย็องถามในขณะที่ก้นก็เริ่มนั่งไม่ติด เขาไม่มีปัญหาหรอกแต่ถ้าเกิดตำรวจเข้าตรวจเจอไอ้เด็กเปรตนี่ ใครซวยก็ต้องไอ้หย็องคนนี้แน่นอน

     

                    “โอจะบอกแม่ว่าไปเรียนบ้านเฮียหย็องไง” 

                    "จะดีเหรอ ไอ้โอ"

                    "ดีสิ เดี๋ยวเพิ่มให้อีกสี่ร้อยถ้าแม่จับได้ละพี่รับแทน ^^" 

                    “ไอ้เด็กเปรต!!

     

     

     

     

     ++++++++++++++++++++++++

                    เสียงเพลงบีทหนักๆเคล้าคลอไปพร้อมกับแสงสีชมพูอมม่วงแบบที่ร้านคาวโลกีย์แถบนี้ชอบใช้กัน ที่รู้ไม่ใช่ว่าเจนจัดกับสถานที่พวกนี้นัก เขาก็แค่เคยมาส่งข้าวส่งน้ำให้กับพวกเจ๊ๆที่ทำงานบริการช่วงค่ำ เพราะถ้าสั่งกับข้าวที่ร้านก็จะถูกชาร์ตแพงพอๆกับนักท่องเที่ยว ถ้าหากวันไหนมีแขกอ๊อฟก็จัดไปชุดใหญ่ แต่ถ้าวันไหนปากแห้งอดอยากก็ต้องพึ่งกะเพรากล่องแห้งๆราคาไม่กี่บาทไปตามระเบียบ

                    หย็องสอดส่ายสายตามองพวกผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยเดินตัวเอนไปกับแขกทั้งชาวเอเชียและฝรั่งตัวสูงใหญ่ แถวนี้เป็นที่รู้กันว่าราคาค่อนข้างสูง เลยมักจะมีแต่นักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักพอจ่ายไหวหรือจ่ายได้มาอั้นมาเที่ยว

                    พอมองเลยไปประมาณสองโต๊ะก็เจอกับไอ้เด็กเปรตกับเพื่อนมันอีกสองสามคนที่อายุไม่ถึงกันทั้งแก๊งนั่งจิบเบียร์กันคนละขวดพร้อมอาหารชุดใหญ่ เพื่อนมันน่ะตัวเลวๆทั้งนั้น ส่วนไอ้ลูกกระจ๊อกเขาก็ได้แต่นั่งตัวหดเหลือสองขีด เบียร์ก็ยกจิบนิดๆไม่ให้อายเพื่อนฝูงทั้งๆที่แดกไม่เป็น

     

                    เห็นแล้วแม่งหน้าเผ่นกบาลให้หายโง่…..

     

                    “เพื่อนแบบนี้จะคบไปทำไมวะ มีแต่พาล่มจม” หย็องพึมพำกับตัวเองแล้วส่ายหัว ขนาดเขาที่ว่าแก่กว่าพวกมันสองปียังเลือกที่จะดูดโอเลี้ยงของโปรดแทนอย่างไม่แคร์สื่อ แต่เอาเถอะมันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเด็กมันอยากลองเติบโตเป็นผู้ใหญ่ชั่วข้ามคืนก็เลยสนองนี้ดให้มันเสียหน่อย ส่วนเขาก็แค่มาเป็นผู้ติดตามดูเเลความปลอดภัยในชีวิตและล่ามภาษากิติมศักดิ์ เผื่อว่าถ้าเด็กมันเจอสาวที่หมายตาอย่างสาวเอเชียหรือเมกันเกิลก็จะได้เข้าไปช่วยเจรจาค่าที่หลับที่นอนให้

                    ที่นี้เป็นแหล่งมั่วสุม ไม่จำเป็นจะต้องมาอ๊อฟเด็กของร้านก็สามารถมาเจอคนถูกใจแล้วพากันไปออนอ๊อฟข้างนอกได้ เพราะข้างล่างเปิดเป็นบาร์ที่ไม่ตรวจบัตรแต่ถ้าตำรวจท่องเที่ยวเข้ามาตรวจยามตีสองตีสามพวกอายุต่ำกว่ายี่สิบก็ต้องหนีให้ทันซึ่งนั่นเป็นกฎของที่นี้ ส่วนชั้นสองขึ้นไปก็เป็นโต๊ะสนุ๊กบวกรับแทงพนันออนไลน์ครบสูตรของพวกส่งส่วยหนักและเป็นผู้มีอิทธิพลตำรวจปลาซิวปลาสร้อยเลยหลับหูหลับตาทำเป็นไม่เห็นกันไป ส่วนชั้นสามก็เป็นอ่างอบนวดแบบโลคอสส่วนชั้นสี่ห้าไปจนถึงหกก็เป็นห้องพักเอาไว้เปิดนอนในราคาถูกๆ

                   

                    สวรรค์ของชาวคาวโลกีย์ทั้งนั้น….

     

                    หย็องยังคงจับจ้องไปที่กลุ่มเด็กเห่อหมออ้อยตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง ที่ห่วงไม่ใช่เพื่อนเปรตหลอกแดกพวกนั้นของไอ้โอ เพราะไอ้เพื่อนมันน่ะหน้าตาจัดว่าขี้ริ้วเหลือบไปทางขี้เหร่แบบสุดๆ แต่สำหรับไอ้โอ ลูกกระจ๊อกมือขวาเขานี่สิ จัดว่าน่าฟัดน่าฟันไม่หยอก ความจริงมันก็ไม่ได้น่ารักบอบบางจ๋า มันยังคงมีความเป็นชายชาตรีอยู่ ด้วยขนาดส่วนสูงที่ใกล้จะเลยร้อยแปดสิบ กับไหล่ที่กว้างพอให้สาวๆซบสองคนเป็นอย่างต่ำ ซึ่งนั่นถือว่ามาดแมนแฮนพร้อมซั่มพอสมควร แต่ติดที่มันยังเด็กใบหน้าหล่อคมของมันจึงยังไม่ออกลายเสือให้สาวๆได้ลับคมเคี้ยวเล่น ถ้าเกิดโตกว่านี้สักห้าหกปีแบบอายุสักตอนยี่สิบต้นๆล่ะก็ หัวกระไดบ้านคงได้กลายเป็นน้ำตกฤดูน้ำหลากแน่ๆ

     

                    พวกเขานั่งไปเรื่อยๆ ดนตรีจากบีทหนักๆแต่ยังคงสไตล์เนื้อร้องเพลงคลาสสิกก็เริ่มเปลี่ยนเป็นทำนองอีดีเอ็มพร้อมแดนซ์ ซึ่งพอฟลอเปิด พวกนักเต้นเท้าไฟเท้าไม่ไฟก็เริ่มเดินออกไปโชว์ลวดลายรวมทั้งเพื่อนไอ้โอด้วยที่ลุกหายกันไปหมด เหลือไว้แต่ไอ้โอที่ยังคงนั่งตาแป๋วมองซ้ายทีขวาที บางครั้งก็แอบหันมาสบสายตาเขาแล้วส่งยิ้มให้

                    เที่ยงคืนล่วงเลยไปจนถึงตีหนึ่งพวกเพื่อนเวรทั้งหลายก็ได้เวลาทิ้งเพื่อนฝูง ด้วยการลากสาวสวยบ้างสวยในเงามืดบ้างออกไปต่อกันข้างนอก ทิ้งบิลค่าอาหาราคาแพงบวกค่าเหล้าให้ไอ้อ่อนโอเป็นคนจ่าย หย็องเดินไปหาเด็กน้อยที่ยังคงนั่งกำคอขวดเบียร์เอาไว้แม้ว่ามันจะเย็นชืดไปหมด เขาส่งสายตาเศร้าๆปนเห็นใจไปให้มัน แล้วก็ตบบ่าเป็นเชิงเข้าใจ

                    “กลับเหอะ กลับไปนอนอ่านปลุกใจเสือป่ากับข้าดีกว่า” หย็องเสนอวิธีให้เด็กน้อย

                    “บ้าน่าเฮีย ผมแค่ยังไม่เจอคนถูกใจ”

                    “ข้าเห็นเอ็งนกมาสองรอบแล้วไอ้โอ พอเหอะข้าง่วง”

                    “เฮียไม่เข้าใจวัยรุ่นว่ะ” ไอ้โอชักสีหน้าใส่แล้วยกเบียร์ขึ้นกระดกอึก อย่างไม่แคร์สายตาตกใจระคนเงิบแดกของเขาเลยสักนิด หย็องพยายามยื้อแย่งขวดเบียร์ออกจากปากของโอ จนสุดท้ายกลายเป็นการยื้อยุดไปมา แล้วก็…..โครม!!

                    ขวดเบียร์หลุดจากมือโอไปกระแทกหัวใครสักคนที่ดูจะนักเลวใช้ได้เข้าให้ ลุงหัวล้านสองแฉกพุงล้นหลามหันมามองอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะชะงัก ไอ้ตาลุงนั่นมันจ้องเขาเหมือนกับว่าเห็นปลาสวายกำลังแหวกไหว้บนหน้าเขาก็มิปาน

     

                    “สวย” เสียงมันไม่ดังแต่เขาก็พออ่านปากออก มันหันมาเต็มตัวแล้วรุกหนักทันทีด้วยการนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างไอ้โอ สายตาก็ไม่ได้หันไปมองที่อื่น มันยังคงจับจ้องมองเขา มองเหมือนพร้อมจะงาบเขาเข้าไปทั้งตัว

                   

                    หึ๋ยขนลุก

     

                    “กลับไอ้โอ” สั่งคำขาด แล้วลุกจากเก้าอี้กระชากข้อมือไอ้โอให้ออกจาตรงนั้น บริกรหนุ่มร่างผอมรีบวิ่งเข้ามาสกัดดาวรุ่งทันทีแล้วยื่นบิลค่าอาหารมาให้ หย็องได้แต่กรอกสายตาหลอกแหลกไปมา แล้วก็หันไปด่าไอ้น้องเลวให้รีบๆควักตังจ่ายค่าอาหารไปจะได้จบๆ

                    “เดี๋ยวป๋าออกให้นะจ๊ะ แต่หนูต้องอยู่กับป๊าก่อน” บัตรเครดิตถูกวางลงบนบิลแบบไม่ได้มีใครขอ ไอ้บริกรกุ้งแห้งไม่รอช้ารีบสะบัดตูดเดินหายไปหลังร้านเพื่อชำระเงินทันทีโดยไม่สนเสียงร้องประท้วงของเขา

                    “ไม่ ผมจะกลับบ้าน นี่ค่าอาหาร” เขาแอบเห็นราคาค่าอาหารแตะสองพันนิดๆในบิล ก็เลยจิ๊กกระเป๋าตังไอ้โอออกมาฉกธนบัตรใบเทาสองใบและใบแดงอีกสองสามใบคืนส่งให้ตาลุงหัวสองแฉก แต่มันเสือกไม่จับเงิน เสือกมาจับมือเขาแทนจนเจาต้องรีบสะบัดเหมือนต้องของร้อน

                    “เห้ย!! อะไรวะ เล่นตัวจังนะมึง” เสียงโวยวายดังพอควรทำให้ เพลงที่กำลังเปิดอยู่เบาเสียงลง ความดังของบทสนทนาหลายชนเผ่าก็เลยเงียบตามไปด้วย เหลือแต่สายตาที่หันมาจับจ้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น หย็องดึงไอ้โอมาไว้ข้างหลังเพราะตัวมันเริ่มโงนเงนอยู่ไม่สุข สายตาก็จับจ้องมองตาลุงคนนั้นอย่างเอาเรื่อง

     

                    เขาทำได้เพียงแค่วางเงินลงบนโต๊ะจะเอาไม่เอาก็เรื่องของแม่งเหอะ!!

     

                    “เห้ย!” เสียงร้องพร้อมกับเสียงฮือฮาเล็กๆ คนหมู่มากพร้อมใจกันตีวงออกห่าง เมื่อชายกำยำเป็นหมู่คณะหน้าตาอย่างกับโจรป่าค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ ว่าก็ว่าเถอะถึงเขาจะเป็นผู้ชายสูงร้อยแปดสิบนิดๆแต่ก็บางผอมยิ่งกว่ากระดาษทิชชู่ในห้องน้ำสาธารณะเสียอีก แถมข้างหลังยังกระเตงคนเมาไว้ แล้วจะเอาอะไรไปสู้

     

                    แต่คนฉลาดมักคิดหาวิธีเอาตัวรอดได้เสมอ….

     

                     แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่คนฉลาดมากนักเลยหยิบเอาขวดเบียร์เปล่าๆมาทุบกับขอบโต๊ะทำเป็นปากฉลามเพื่อใช้ป้องกันตัวเอง แต่ดูแล้วเหมือนจะเป็นการประกาศให้อีกฝ่ายรู้มากกว่าว่าเขาพร้อมแล้ว พร้อมจะมีเรื่องด้วยแล้ว

                    “เล่นตัวนักนะมึง แค่คุยกับป๊าเขาต่อไม่ได้รึไง”

                    “กูไม่ใช่กะหรี่เว้ย กูมาเที่ยวไม่ได้ต้องการเป็นเมียใคร” พูดไปงั้นเหอะ ทั้งๆที่เขาเองเป็นชายแท้ แต่ดูแล้วป๊านั่นคงไม่อยากเป็นเมียใครเท่าไหร่

     

                    หย็องเดินหันหลัง ยกขวดเบียร์ที่ตีเป็นปากฉลากขึ้นขู่ฟ่อๆ เสียงฮือฮาพร้อมกับพวกเนียนจะชักดาบไม่จ่ายกำลังจะเดินออกจากร้าน ทำให้พนักงานที่แอบดูสถานการณ์อยู่หลังร้านต้องรีบออกไปปิดประตูต้อนคนเข้ามาเสียอย่างนั้น หย็องที่ตาไวพอจะเห็นว่าอีแม่สาวใส่ชุดแซคสั้นจู๋กำลังยกโทรศัพท์แนบหูมือก็ป้องปากเป็นอันรู้ว่ากันว่ากำลังส่งสัญญาณให้ตำรวจเข้ามาเคลียร์ 

                    สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายยิ่งกว่าประเทศชาติเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เสียอีก ลองคิดดูว่าถ้าแม่ไอ้โอรู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไม่ได้ไปติวภาษาอังกฤษกับไอ้หลานแม่ค้าขายขนมล่ะก็จะเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาที่แทบจะไม่มีแบคหลังอะไรเลยเพราะป้าคงตัดหางปล่อยวัดให้เขานอนกินข้าวแดงในคุกเผลอๆอาจจะดีใจด้วยซ้ำที่หมดภาระ

     

                    ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ยิ่งเครียดสมองก็ยิ่งประมวลหาทางออก ถ้าหนีประตูหน้าไม่ได้ก็ต้องออกประตูหลัง แต่จะหนีไปยังไงเขาก็ยังคิดไม่ออก

                   

                    “เห้ย!! ไอ้แก่นกเขามึงแทบไม่ขันแล้ว กูว่ามึงควรนอนปั่นอยู่บ้านดีกว่านะ” หย็องปั่นประสารทตาลุงผมน้อยทันทีจนมันหน้าแดง มันพยักหน้าส่งสัญญาณให้ลูกสมุนขยับตัวเข้าใกล้ เป็นโอกาสให้เขาได้วาด กวาดปากฉลามขู่ เสียงร้องโวยวายดังขึ้นเมื่อเห็นเขาทำเช่นนั้น บวกกับเสียงเชียร์ของพวกฝรั่งขี้นกที่เริ่มเมาแล้วขาดสติจนเห็นคนตีกันเป็นเรื่องสนุก

                    “ซ่านักเหรอมึง!!” เสียงหัวหน้าลูกสมุนดังขึ้น พร้อมกับเท้าที่ถีบลองเชิงเข้ามา เด็กหนุ่มตกใจจนมือที่กำปากฉลามสั่น มันร่วงลงไปบนพื้น พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ

                    ถึงเขาจะซ่า ทำตัวกร่างแต่ก็ทำได้แค่กับหมาคนชราและคนท้องเท่านั้นเอง กับไอ้พวกนักเลงที่ไม่รู้ว่ามีอิทธิพลค่ำฟ้าขนาดไหนนี่เขาไม่กล้าจะแหยมด้วยจริงๆ แล้วที่ทำไปเมื่อครู่ก็เพราะคาบศักดิ์ศรีเอาไว้ในปากมากไปหน่อย

     

                    หย็องเหวี่ยงร่างไอ้โอไปอีกมุมหนึ่งที่มีแต่กลุ่มฝรั่งผมทอง พวกนั้นรับร่างคนเมาเอาไว้แล้วใช้สายตาปกป้องเด็กนั่น แถมยังข่มขู่ช่วยเขาที่กำลังจะพลาดท่าอีกด้วย

     

                    เก้าอี้ในร้านตัวแรกถูกเหวี่ยงมาจากมุมไหนของร้านสักมุม และนั่นก็กลายเป็นการปิดประตูให้แมวตีกัน ร้านทั้งร้านมีแต่พวกขาดสติเพราะน้ำเมา ต่างคนต่างหยิบจับของข้างตัวโยนใส่อีกฝ่าย ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เสียงเอะอะโวยวายทำให้เขามีเวลาหลบเลี่ยงพาตัวเองเข้าไปหาไอ้โอ นาทีทองเเห่งการหนีเริ่มขึ้นแล้ว!!~.

                    เสียงเป่านกหวีดดังมาจากหน้าร้าน ตำรวจยืนเขย่าประตูที่ล็อคจากด้านในพร้อมส่งสายตาละห้อยเพราะไม่สามารถเข้ามาจับพวกนักเที่ยวพวกนี้ได้ หย็องเห็นท่าไม่ดีก็เลยจับโอแบกขึ้นหลังวิ่งผ่า ออกไปทางหลังร้าน อย่างชำนิชำนาญ ภาวนาให้พรุ่งนี้ไม่มีภาพกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุทะเลาะวิวาทโชว์หราลงข่าวทีวีเถอะ ไม่งั้นเขาโดนป้าตีตายแน่ๆ

     

                    “โอ้ย!! เหี้ยไรเนี้ย” สบถออกไปด้วยความหงุดหงิดเมื่อถูกร่างของผู้ชายตัวใหญ่ล้มครืนใส่ขณะที่เขากำลังจะวิ่งพ้นออกไปยังประตูหลังร้าน

                    “เห้ย!! เหี้ยเลือด” ชายหนุ่มหน้าตาดีแต่ถูกเลือดกลบเต็มใบหน้ากำลังหยีตาขึ้นมองเขา ดูยังไงก็เป็นพวกชาวต่างชาติที่เสือกซวยโดนลูกหลง แถมท่าทางถ้าเขาไม่พาออกไปด้วยอาจจะตายกลายเป็นผีเฝ้าประตูหลังร้านนี้ก็ได้

                    “คุณไหวมั้ย” ถามออกไปด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงไทย

     

                    “ไหว แต่ช่วยที รู้สึกมึนๆสงสัยดื่มเยอะไปหน่อย” แดงเถือกขนาดนี้ไม่น่ามึนเพราะเหล้านะ หย็องคิดในใจ เมื่อผู้ชายคนนั้นตอบกลับมาด้วยภาษาเดียวกันแต่สำเนียงชัดเป๊ะฟังง่ายโคตร….เดี๋ยว.....นี่ไม่ใช่เวลาจะมาชื่นชมสำเนียงภาษาใคร เวลานี้ต้องหนีสิ ต้องหนีเอาตัวให้รอดก่อน

     

                    พอนึกได้ก็พยายามแบ่งบ่าทั้งสองข้างให้สามารถแบกผู้ชายสองคนได้ถนัดด้วยสกิลการหาบเข่งผักมานานการแบกคนสองคนจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหนือบากกว่าแรง หย็องวิ่งขาสับออกไปจากร้าน ใช้ทางลัดที่เป็นตรอกขี้ยาที่ตอนนี้คงนอนพี้อยู่ในบ้านไม่ออกมาวิ่งราวเขาแน่ๆ หย็องพาคนเมากับคนใกล้ตายเลี้ยวผ่านเขตก่อสร้าง ผ่านวินมอไซต์โซนที่ค่าจ้างแพงโคตรๆไป เสียงโวยวายตกใจของลุงเบอร์เก้าที่นั่งตบยุงอยู่บนเครื่องมือทำมาหากินไม่ได้ทำให้ฝีเท้าของหย็องหยุด เพราะกลัวว่าจะมีตำรวจตามออกมาจับเพราะพวกประปรายไม่กี่คนที่น่าจะหนีออกมาทางเดียวกันกับเขาวิ่งหน้าตั้งตามมาติดๆ

                    “เห้ย ไอ้หนู ขึ้นรถ!!” เสียงแหบแอบทุ้มของลุงเบอร์เก้าพร้อมกับรถดรีมดำเจ็ดสิบกระบังหน้าซีดกรอบ จอดติดเครื่องอยู่ข้างตัว หย็องไม่รอช้า รับคว้าน้ำใจของลูงเอาไว้มั่น เขาจับไอ้โอลูกสมุนเวรขึ้นนั่ง ก่อนจะตามด้วยผู้ชายปริศนาที่ไม่รู้จักแต่ก็หล่อดีให้คร่อมเบาะตามๆกันไปและปิดท้ายด้วยตัวเองที่ต้องนั่งที่จับแทนเบาะหนังแข็งๆ

     

                    เสียงเครื่องดรีมแทบจะไอออกมาเป็นน้ำมันเครื่อง เพราะน้ำหนักที่แบกเอาไว้มากเกินทำให้ความเร็วมันคงที่อยู่ที่ประมาณยี่สิบกิโลเมตรต่อสามชั่วโมง ให้ตายเหอะวิ่งยังจะเร็วกว่าอีก

                    รถดรีมเลี้ยวตัดโค้งออกมาจากถนนใหญ่ หย็องบอกจุดหมายปลายทางให้ลุงเบอร์เก้า แค่พ้นออกมาจากซอยนั่นได้ก็ถือว่ารอดแล้ว รอดน่ะหมายถึงของคืนนี้นะ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ค่อยคิดอีกทีละกัน

     

                   ไม่นานนัก รถจักรยานยนต์ก็จอดเทียบท่าอยู่หน้าวัดแห่งหนึ่งที่เปิดไฟเอาไว้เพียงดวงเดียวตรงหน้ากุฎิ หมาตัวผอมแห้งสีน้ำตาลท่าทางหิวโซออกมาต้อนรับพวกเขาที่โทรมพอๆกับมัน  เพราะดูแต่ละคนตอนนี้ไม่ต่างจากหมาข้างถนน แต่ถึงสภาพไอ้โอมันก็พอพากลับบ้านได้หรอก แต่ไอ้ผู้ชายที่เขาหิ้วมาด้วยนี่สิจะเอาเข้าบ้านได้ยังไง

                    “ขอบใจมากนะลุง ค่าวินเท่าไหร่เหรอ” ลุงอุตส่าห์เป็นฮีโร่ออกตัวช่วยขนาดนี้จะนั่งฟรีก็ดูจะหน้าด้านไปหน่อย 

                    “200

                    “ห้ะ!!!” ร้องห้ะด้วยความตกใจ กับราคาค่าโดยสาร รู้งี้ตีเนียนหน้าด้านชักดาบดีกว่า 

                     ก็รู้หรอกนะว่าค่าครองชีพแถวนี้มันแพง แต่ก็ไม่คิดว่าจะแพงขนาดที่ขึ้นแท็กซี่คงถูกกว่า

                    “ค่ารถน่ะ 60 บาท ที่เหลือค่าหยุกยาพ่อฝรั่งนั่นต่างหาก เดี๋ยวลุงจะไปแวะเซเว่นหน้าปากซอยให้” ลุงบอกด้วยใบหน้าเคร่งเครียดจัด ความจริงเราก็เพิ่งเจอกันวันนี้เป็นวันแรก และไม่คิดจะเชื่อถือลุงเลยแม้แต่น้อย คิดจะพูดเอาหน้าแล้วชิ่งเงินสองร้อยเข้ากลีบเมฆเสียมากกว่าล่ะไม่ว่า

     

                    “เขาว่าไง” เสียงทุ้มต่ำติดจะแหบพร่า เรียกความสนใจของหย็องได้ถนัด เด็กหนุ่มตอบคำถามของพ่อฝรั่งคนนั้นไป แล้วอยู่ๆกระเป๋าตังหนังสีน้ำตาลเข้มก็ถูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงสามส่วนสีครีม มันพองตุงเหมือนกับว่ายัดธนบัตรเอาไว้เต็มเอี๊ยด และนั่นก็เป็นตามที่เขาสันนิษฐาน เงินสดที่มีแต่แบงค์สีเทาอัดแน่นชนิดที่ว่ากระเป๋าแทบฉีก

                    จากสองร้อยเพิ่มมูลค่าเป็นหนึ่งพันบาททันที ทั้งเขาทั้งลุงเบอร์เก้าตาโตเมื่อเห็นว่าคนบาดเจ็บไม่มีทีท่าว่าจะยี่หระใดๆทั้งสิ้นกับเงินหนึ่งพันบาท

                   

                    ลุงเบอร์เก้าขี่มอไซต์หายลับไปแล้ว ส่วนหย็องก็ได้แต่ภาวนาว่าลุงจะซื้อยามาให้พร้อมกับเงินทอนอีกแปดร้อยบาทไม่ขาดไม่เกิน

                    “คุณเป็นไงบ้าง” หย็องที่พาคนเมาและคนเจ็บมานั่งพักที่ศสลาไม้หลังเก่า ก็ได้เวลาไถ่ถาม พ่อฝรั่งยกแขนขึ้นเช็ดหยดเลือดที่เริ่มแห้งเกาะตรงหางตา ยิ่งนั่งตะคุ่มๆแบบนี้ หน้าอาบเลือดด้วยใครเดินผ่านมาคงมีวิ่งป่าราบกันบ้าง

                    “ไม่เท่าไหร่ คุณล่ะ”

                    “โอ้ย ผมไม่เป็นไรเลย อย่าห่วง” ตอบโชว์พาวไปงั้น ทั้งๆที่มือโคตรจะสั่น 

                    “ผมเห็นคุณมีเรื่องกับคนพวกนั้น ที่เมืองไทยเป็นแบบนี้บ่อยงั้นเหรอ” หย็องยักไหล่ จะตอบว่าบ้านเมืองตัวเองเถื่อนแบบนี้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาก็ดูจะเป็นการขายชาติ เขาเลี่ยงที่จะไม่ตอบประเด็นนั้นแล้วเริ่มสอดส่ายสายตาหาก๊อกน้ำพอเจอ ก็หันไปคลำๆหาผ้าเช็ดหน้าที่ไอ้เจ้าโอมันชอบเอาติดตัวไว้ออกไปรองน้ำที่ไหลผ่านออกมาจากก๊อก ขยี้ๆพอมันเปียกและบิดให้หมาดๆแล้วเดินกลับมาหาพ่อฝรั่งที่นั่งจ้องเขาตาไม่กระพริบ

                    “คุณค่อยๆเอาผ้าเช็ดเลือดออกนะ ว่าแต่หัวเลือดหยุดไหลรึยัง” หย็องส่งผ้าเช็ดหน้าชุ่มน้ำไปให้ ตาฝรั่งหัวดำที่หน้าตาค่อนไปทางจีนมากกว่าก็รับไปเช็ดเงียบๆ 

                    “ไม่แล้วนะ แต่ก็ปวดๆ”

                    “ผมขอโทษนะ ที่ทำให้คุณต้องเจ็บตัว คุณคงรวยมากคงไม่ต้องให้ผมรับผิดชอบอะไรใช่มั้ย ถ้ายังไงพรุ่งนี้เช้าก็ค่อยไปหาหมอเช็คสมองดีๆเผื่อเป็นอะไร” เด็กหนุ่มว่าตามที่ตนรู้สึก ใบหน้าหวานดูหม่นหมองลงเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ ชายหนุ่มที่นั่งเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าได้แต่จับจ้องมองด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปจากทีแรก

     

                    ตอนมีเรื่องกันในร้านเขาก็พอเห็นหน้าเด็กคนนี้แบบวับๆแวมๆ บวกกับแสงที่มันมืดๆมัวๆก็เลยตัดสินไม่ได้ แต่ตอนนี้แม้จะมีแค่ไฟกิ่งจากด้านนอกสาดเข้ามาแล้วยังได้นั่งจ้องพิจารณาเครื่องหน้าที่แสนจะลงตัวนั้นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ว่ามันช่างงดงามเสียจริง

                    จมูกโด่งปลายแทบจะทิ่มลงพื้นปากอมชมพูแบบคนสุขภาพดี ไหนจะพวงแก้มย้วยยุ้ยทั้งสองข้างที่ตอนนี้เห่อร้อนเพราะเพิ่งผ่านสมรภูมิดุเดือดมาจนเลือดในกายมันสูบฉีดพลุ่งพล่าน แต่สิ่งที่ตรึงเขาไว้มากที่สุดจนเผลอไผลตามเด็กคนนี้มาถึงที่นี้ได้ คงเป็นดวงตาคู่สวย มันสุกใสแวววาวอย่างกับคริสตัลเนื้อดี รูปตาแบบสองชั้นพร้อมกับหางตาที่ยาวงอนขึ้นไป ถ้าหากว่าเปรียบเทียบความงามนี้คงค่อนไปทางน่ารัก น่ารักกว่าน้องชายแท้ๆของเขาเสียอีก 

     

                    “คุณคุณ!!

                    “ครับ!

                    “ผมเรียกตั้งนาน เหม่ออะไร” หย็องดีดนิ้วป้อกแป้กไปตรงชายหนุ่มที่เอาแต่จ้องเขาไม่วางตา ไอ้ไม่วางตาก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่มือก็ช่วยเช็ดคราบเลือดออกไปด้วยนิดนึงก็ยังดี เพราะตอนนี้แม่งยิ่งมองก็ยิ่งหลอน

                    “มีอะไรเหรอ”

                    “รีบๆเช็ดหน้าได้มั้ย ไม่ก็ไปล้างหน้าที่ก๊อกตรงนู้น ผมกลัว” หย็องพูดออกไปตามตรง เขาทนดูผู้ชายตัวโตนั่งนิ่งๆหน้ามีแต่คราบเลือดแบบนี้ไม่ไหวแล้ว

                    “ก๊อก ก๊อกคืออะไร”

                    “ไอ้นั่นไง” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่ก๊อกน้ำที่เอาไว้ต่อกับสายยางไว้รดน้ำต้นไม้ข้างกุฎิ

                    “มัน มันใช้ยังไง”

                    “เออ….” หย็องนึกถึงวิธีใช้ออกมาเป็นภาพในสมองแต่ไม่สามารถอธิบายให้พ่อฝรั่งตรงหน้าเข้าใจได้ คือจะอธิบายยังไงล่ะ ก็แค่เดินไปนั่งยองๆ โยกวาล์วน้ำสีแดงๆให้ันมาตรงกับหน้าตัวเอง เออ ช่างแม่งเหอะ….

                    “เชื่อเขาเลย” เด็กหนุ่มบ่นพึมพำออกมา แล้วกระชากผ้าเช็ดหน้าในมือพ่อฝรั่งไปถือไว้แล้วจัดการเช็ดคราบเลือดออกไปจากใบหน้า เขาทำแบบนั้นอยู่สามรอบ จนใบหน้าที่เคยแดงเถือกกลับมาใสกิ๊ง จนเห็นความหล่อเหลาที่ทำเอาผู้ชายอกสามศอก หอกยาวสามวาอย่างเขาถึงกับใจแกว่งเป็นโล้ พอเช็ดหน้าให้พ่อฝรั่งเสร็จก็หันมาง้วนกับคนเมาที่กำลังป่วงหนัก 

     

                    พวกเขารอนานกว่าครึ่งชั่วโมงจนแอบถอดใจว่าลุงเบอร์เก้าคงกลับไปนอนตีพุงพร้อมค่าวินหนึ่งพันบาท แต่ที่ไหนได้ลุงแกเล่นไปร้านขายยาซื้อของมาให้เหมือนกับว่าจะเอาไปเลหลังขายต่อไหนจะขนมนมเนยไว้รองเท้าอีกบานเบอะอย่างกับว่าจะกักตุนไว้กินเป็นเดือน หย็องจัดการดูแผลว่ามันกว้างเกินกว่าจะทำแผลเองมั้ย แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้มากมายจนต้องส่งโรงพยาบาลด่วน เด็กหนุ่มจัดการล้างแผลให้ และทำแผลจนเรียบร้อย ยังดีที่ไม่ต้องไปเย็บ เพราะไม่งั้นผมสีดำขลับคงหายไปหลายหย่อม

     

                    พอทำแผลเสร็จพวกเขาก็ขอหลวงตาอาศัยกุฎิเป็นที่หลับนอน เพราะตอนนี้ก็ปาไปตีสองกว่าแล้ว ส่วนลุงเบอร์เก้าก็ได้ค่าวินไปอีกสองพันเพราะพ่อฝรั่งเขาเต็มใจจะให้ ตอนแรกจะควักเป็นฟ่อน แต่เขาเบรกเอาไว้ก่อน


                 เห็นแล้วใจบ่อดีเลย.......                 

     

     

     

     

                   

     

     

     

                    ++++++++++++++++++++++++++


                    นิวยอร์ค..... 

                           /พวกผมทำงานสะเพร่าปล่อยให้คุณชายหายตัวไปครับ/

                    “พวกนายทำงานภาษาอะไรกัน!!” เสียงแผดดังลั่นออกมาตามสาย นักธุรกิจวัยห้าสิบต้นๆ อารมณ์เดือดดาลทันทีที่คนสนิทของลูกชายโทรข้ามน้ำข้ามทะเลมาบอกว่าลูกชายเขาหายตัวไปหลังจากเกิดตะลุมบอลกันในผับ ทั้งๆที่เขาบอกเอาไว้แล้วว่า ประเทศไทยน่ะมันเมืองคนเถื่อน ไอ้ลูกชายตัวดีก็ยังดื้อด้านบอกอยากจะไปเที่ยวให้ได้

                    ไงล่ะ ดื้อจนได้เรื่อง…..

     

                    แม้คริสจะเป็นมวย ฉลาดเอาตัวรอดไม่ตกเป็นเหยื่อใครง่ายๆ แต่เขาก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจ จึงต้องสั่งให้เลขาส่วนตัวไปจัดการจ้างนักสืบและจ้างหน่วยทหารรับจ้างพิเศษของอเมริกาเกือบห้าสิบนายเพื่อตามหาตัวลูกชายทันที หากภายในสิบแปดชั่วโมงถ้าเขายังไม่เจอลูกชายล่ะก็ เห็นทีว่าเขาจะต้องขอเข้าพบนายกประเทศไทยเป็นการด่วน….

                    “ไปจัดการให้เรียบร้อย ถ้าลูกชายฉันเป็นอะไรแม้แต่รอยแมวข่วน พวกนายถูกไล่ออกไปอยู่ปากีสถานแน่!!

     

                   

                    















    ==============================

    ลูกชายหายก็ต้องออกตามหาคนมันรวยจะทำอะไรก็ได้.... 

    ขอไปนอนคิดชื่อแฮชแทค สัก 2 เดือนนะ ไว้ได้เเล้วจะมาบอก 

    =======

    ฟิคเรื่องนี้ ใสๆ ไม่มีดราม่าแน่นอนจ้า มีแต่อ้าซ่า เดี๋ยว!! อะไรคืออ้าซ่า 

    ความยาวจะไม่เกิน 12 ตอน ออกแนวฟิคไม่ประเทืองปัญญาแบบ Orgasm นั่นล่ะฮับ 

    จบเร็วไม่ยืดเยื้อ ฉาก cut จะมาตามสกิลการหวีด 

    สามารถรีเควสมาได้นะฮับรี้ดทุกท่านว่าอยากได้เเบบไหนกัน 

    รถ อ่าง หน้าผา บลาๆ ว่ากันไป 


    แต่ตอนนี้เสพตอนแรกไปก่อนนะฮับ รักทุกคน!!! 

    เม้นด้วย!! จุบุ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×