ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    fic-krisyeol : TYPE A ผู้ชายของผม

    ลำดับตอนที่ #4 : CH04

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 891
      16
      8 เม.ย. 60

     










    CH04

    ++++++++

     

     

      

     

                    “คุณหนูครับ” สูทเนื้อดีที่สั่งตัดจากช่างในเกาะอังกฤษถูกยื่นมาไว้ตรงหน้าของชายหนุ่ม คริส หรือ คริสโตเฟอร์ อู๋ รับมันมาจากมือของเลขาคิม จงอิน เพื่อสวมทับเชิ้ตสีขาวปักลายของกุชชี่เวอร์ชั่นปี 2017

                    “เดี๋ยวตามแม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาดด้วยนะ” ชายหนุ่มสั่งเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อคมคายกวาดมอง เศษซากปรักหักพังบนพื้น ทั้งจาน ทั้งแจกัน จนอดคิดถึงสภาพของคนที่นอนหลับบนเตียงหลังใหญ่ไม่ได้ว่าจะยับเยินแค่ไหน

                    เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเอ่ยปากขออีกรอบไปกี่ครั้งกับเด็กน้อย รู้แค่ว่าเศษซากพวกนี้เกิดจากการท่องเที่ยว เปลี่ยนบรรยากาศของพวกเขาไปเรื่อยๆ ตั้งแต่บนเตียงหลังใหญ่ โต๊ะทานข้าวขนาดสิบที่นั่ง โซฟาหนังตัวยาวหน้าโฮมเธียเตอร์ ห้องน้ำในอ่างจากุชชี่ หรือจะเป็นห้องนอนเล็ก และห้องครัว บวกกับบาร์คอกเทลตรงด้านหน้าติดกับประตูทางออก 

                    คิดแล้วก็ยิ้ม.....

     

                    ส่วนเขาที่นึกขึ้นได้ว่าต้องทำงานตรวจคุณภาพโรงแรมที่เป็นสาขาลูกของที่นี้ต่อ ก็เลยจัดการเรียกให้เลขาส่วนตัวอย่าง คิม จงอิน มาหาพร้อมกับนำชุดทางการมาให้เปลี่ยน สายตาของจงอินที่มองมายังเขาที่นั่งอยู่กลางห้องรับแขก ตกใจจนแทบเป็นลม แต่พอเขาเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ฟังก็หายสงสัยและไม่ถามอะไรอีก

                    “จะให้ทำความสะอาดในห้องนอนด้วยมั้ยครับ”

                    “ไม่ต้อง เดี๋ยวจะไปรบกวนคนนอนเปล่าๆ” สั่งกำชับ เพราะไม่อยากให้เด็กน้อยตื่นขึ้นมาปั้นหน้าบูดตอนที่เขาไม่อยู่ เอาจริงๆก็ไม่คิดว่าหย็องจะตื่นขึ้นมาได้ในช่วงเช้าหรือช่วงเที่ยงที่จะถึง อย่างน้อยๆก็อาจจะเป็นช่วงมื้อค่ำนั่นล่ะถึงจะตื่นขึ้นมาได้

     

                    ก็เมื่อคืนเล่นซะสลบเหมือดคาอกเขาเลยนี่นา.....หุ๊หุ๊

     

                    “บอร์ดบริหารมาแล้วใช่มั้ย” คิดเรื่องลามกมากไปจนต้องกลับมาคิดถึงเรื่องงานต่อ คริส ถามเสียงราบราบขณะที่ผูกเนคไทอยู่หน้ากระจกบานสูงเท่าตัวที่ทางโรงแรมจัดการหามาให้

                    “ครับรออยู่ที่ห้องประชุมหมดแล้วครับคุณหนู”

                    “ดี

     

                   

                   

                    โรงแรมระดับเจ็ดดาวสไตล์ยุโรปกลาง บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่ใจกลางเมืองท่องเที่ยวของประเทศไทยกำลังวุ่นวายไปหมด เมื่อผู้บริหารระดับสูงบางคนต้องบินตรงมาจากต่างประเทศ บางคนไปตากอากาศตีกอล์ฟต่างจังหวัด ก็จำเป็นต้องบินมาประชุมด่วนในเช้าวันสุดสัปดาห์แบบนี้ หลายๆคนหัวเสียหนักแต่พอรู้ว่าถูกเรียกประชุมชี้เป็นชี้ตายจากผู้บริหารสาขาใหญ่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากขัดอีกเลย 

                    “เออ คุณหนูครับ ห้องประชุมอยู่ด้านนี้ครับ” เลขาส่วนตัวผู้มีเอกลักษณ์เป็นใบหน้าง่วงงุนเเละผิวสีแทน เอ่ยเตือนผู้เป็นนายที่กำลังจะเดินไปยัง ลิฟต์ คริสชะงักฝีเท้า ก่อนจะเอี้ยวตัวหันมามองเลขาหนุ่มแล้วยิ้มละมุนละไม

                    “ก็ปล่อยให้รอไปสิ”

                    “คุณหนูจะไปไหนเหรอครับ”

                    “ไปซื้อโจ๊กให้คนป่วยน่ะ”

     

     

     

                    ใบหน้าของคุณหนูตอนจ้อเรื่อง คนป่วยที่นอนซมอยู่ในห้องมันช่างสดใส โดยที่เจ้าตัวไม่สามารถรู้ชะตากรรมของตัวเองได้เลยสักนิดว่ากำลังจะได้เจอกับอะไร จงอินได้แต่ฟังคุณหนูพูดไปเรื่อยๆจนเดินมาถึงชั้นล็อบบี้ พนักงานในระดับแผนกต้อนรับส่วนหน้าแทบจะออกมายืนเรียงกันเป็นขบวนเพื่อทักทายเขา

     

                    ผู้บริหารใหญ่จากสาขานิวยอร์คเดินผ่านไปโดยไม่ได้ใส่ใจกับคนเหล่านั้น ชายหนุ่มยังคงพูดเรื่องของเด็กผู้ชายที่ชื่อหย็องจนกระทั่ง เดินมาหยุดที่ผู้จัดการของแผนก ใบหน้าที่ซีดอมม่วงอมเขียวฉีกยิ้มประจบทันที คำทักทายแรกช่างอ่อนนุ่ม กว่าเมื่อตอนที่พบกันครั้งแรกเสียอีก

                    “พนักงานคนนั้นไปไหนล่ะ ไม่เห็นจะเห็นเลย”

                    “เออทางเรากำลังพิจารณาพฤติกรรมอยู่ครับ ระหว่างนี้คงต้องพักงานไปสักระยะ” คริส พยักเพยิดหน้าเป็นอันเข้าใจ ก่อนจะเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง สายตาคู่คมก็จับจ้องมองผ่านเลยไปยังพนักงานคนอื่นๆ ที่ยืนเรียงรายกันหลบหน้าเขากันเป็นแถว

                      “ทำไมต้องพักล่ะ เขาทำอะไรผิด” ใบหน้าเหรอหราจากผู้จัดการเรียกรอยยิ้มอบอุ่นจากชายหนุ่มได้ในทันที พนักงานที่เห็นต่างยิ้มตามด้วยความโล่งใจ มีเพียงแต่เลขาส่วนตัวที่ยืนอยู่ข้างนายตัวเองเท่านั้น ที่รู้ว่านี่มันรอยยิ้มซาตาน

                    “เออคือ ทางเราจะปรับปรุงคุณภาพของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากว่า...”

                    “ไม่ต้องพักงาน ไล่ออกไปเลย นี่คือคำสั่งของผม” ชายหนุ่มพูดเสียงราบเรียบแล้วหุบยิ้มฉับ ความดีใจในหน้าตาของพนักงานหดหายไปหมดเลย จนน่าสงสาร ร่างสูงโปร่งของผู้บริหารสาขาใหญ่เดินออกไปแล้ว เหลือเพียงคุณเลขาหนุ่มที่กวาดสายตามอง เหล่าชายฉกรรจ์ ในชุดรปภ ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้วเพื่อส่งซิ้กว่าให้อยู่เฉยๆ

                    คุณหนูของเขาเพิ่งประกาศศักดาออกไป จะทำให้คุณหนูเสียหน้าไม่ได้…..

     

     

     

                    พอออกไปซื้อโจ๊กซื้อยาเสร็จ ก็กลับมาประชุมต่อเอาตอนสิบโมงครึ่ง โดยประเด็นของการประชุมครั้งนี้ช่างเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อได้ยินหัวข้อ แต่พอถูกแจกแจงออกไปเป็นวงกว้าง แม้แต่คณะบริหารบางคนถึงกับเหงื่อตก เพราะกลัวหลุดจากเก้าอี้ตำแหน่ง

                    นักธุรกิจหนุ่มจบการประชุมที่แสนเคร่งเครียดด้วยการรื้อระบบโรงแรมที่แสนอีลุ่ยฉุยแฉกแห่งนี้ใหม่ ทั้งๆที่กฎระเบียบจากสาขาแม่ก็มีให้ปฏิบัติตาม แต่ไหงกลับกลายเป็นว่าทำตามได้ไม่ถึงครึ่ง ส่งผลให้กำไรสาขาที่ประเทศไทยน้อยลงๆ เป็นเพราะพนักงานขาดความใส่ใจในการบริการนั่นเอง

                    คริส อู๋ เป็นคนใส่ใจในรายละเอียดทุกๆอย่างของชีวิต ตั้งแต่พิถีพิถันเรื่องเครื่องแต่งกาย อาหารการกิน ไลฟ์สไตล์ การงานอาชีพ และรวมไปถึงความรัก ทุกอย่างชายหนุ่มมองว่าเป็นการลงทุน มันจึงต้องเพอร์เฟคพลาดไม่ได้ไม่เช่นนั้นอาจขาดทุนป่นปี้ แม้เนื้อในของเขาจะเป็นพวกอยากได้แบบไหนก็ต้องได้ อยากทำอะไรก็ทำ อยากรักใครก็รัก

     

                    นั่นคือสิ่งที่ผู้ชาย ที่ชื่อ คริสโตเฟอร์ อู๋ เป็น……

     

     

      

                    “ฉันต้องการเพ้นท์เฮาส์ที่กรุงเทพสักที่ ยังไงนายก็ช่วยจัดการให้ฉันทีนะ อ่อ ขอบ้านโครงการหรูๆติดทะเลแถวพัทยาด้วย ฉันว่าจะซื้อให้คุณป้าของหย็อง”

                    “เออ ขอโทษนะครับ หย็องที่คุณหนูว่านี่….

                    “แฟนฉันเอง ทำไมเหรอ” หันมาถามเลขาหนุ่มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสดใส คิม จงอินพยักหน้ารับช้าๆ ให้ตายเถอะตอนทำงานนี่ดุอย่างเสือ ตอนพูดถึงแฟนอย่างมากก็ดุเท่าแมว

     

                    “คุณหนูแน่ใจแล้วเหรอครับว่าคนนี้ใช่ ผมไม่เห็นคุณหนูจะทำอะไรแบบนี้กับใครมาก่อนเลย” คริส ถอนหายใจแล้วหยุดเดิน เขาหันหลังกลับไปเกี่ยวคอของเลขาให้เข้ามาในวงแขน จ้องเข้าไปในดวงตาตื่นนิดๆของจงอิน พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเกรดสิบ เป็นเพื่อนกันมากกว่าที่จะเป็นเจ้านายลูกน้อง จงอินคงรู้ล่ะว่าสิ่งที่เขากำลังทำมันดูผิดปกติ

                    “ก็ถูกแล้วนี่คนนี้คนแรกที่ฉันจะทำอะไรให้......จงอิน ความรักก็คือการลงทุนอย่างหนึ่ง แล้วนี่ฉันก็ลงทุนทั้งตัวทั้งใจไปหมดแล้ว จะเหลือก็แค่เงินนี่ล่ะ นิดๆหน่อยๆเองน่า ฉันไม่ได้คิดจะซื้อประเทศนี้ให้หย็องเสียหน่อย” ว่าเสร็จก็หัวเราะสบายอารมณ์กลับไปที่ห้องสวีทเจ็ดดาวของตัวเอง จงอินถอนหายใจ ถ้าหากว่าเจ้านายของเขาต้องการเช่นนั้น เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้ 



    ประตูบ้านไม้สีเข้มสนิท ถูกดันออกด้วยฝ่ามือหนาของชายหนุ่ม คริส อู๋ ที่กำลังพูดจ้อไม่หยุดอยู่หลังบานประตูชะงักทันทีที่เข้ามายืนจังก้าอยู่ภายในห้อง คิ้วที่เคยเรียบตึงค่อยๆขมวดเข้าหากัน สายตาของเขาจ้องกราดไปที่หน้าของบอดี้การ์ดนับสิบในชุดสูทด้วยความไม่ชอบใจ

                    “นี่มันอะไร คิม จงอิน” เวลาที่หงุดหงิด ชื่อเต็มของเลขาส่วนตัวมักจะถูกเรียกออกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ คิม จงอิน ก็ไม่เคยชินกับมันเสียที โดยเฉพาะใบหน้าเรียบนิ่งที่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยอารมณ์ใดๆแสดงออกมา

                    “นายท่านสั่งมา ให้คุณหนูกลับนิวยอร์ควันนี้ครับ”

                    “ไม่” คริส อู๋ ประกาศเสียงเรียบ ในขณะที่เดินถอดสูทตรงดิ่งเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่เพิ่งเก็บกวาดเสร็จ ใบหน้าของชายสองวัยกำลังสบจ้องกัน ก่อนจะเป็นฝ่ายผู้พ่อที่เบือนหน้าไปสบกับซิกก้าข้างตัวที่คีบมันเอาไว้

                    “พ่อ” 

     

                    “อะไร” เสียงทุ้มต่ำขานรับเมื่อลูกชายเรียก สายตาคู่คมที่ถอดแบบกันออกมากลับไปจ้องมองลูกชายคนโตตัวดี ความน่ากลัวดุดันของสองพ่อลูกแทบจะกินกันไม่ลง “ไม่มีกระเป๋าต้องเก็บใช่มั้ย”

                    “ก็ไม่ได้จะไปไหนทำไมต้องเก็บ” ลูกชายนั่งลงแล้วพูด มือเรียวสีขาวซีดยกขึ้นโบกสองสามทีเพื่อเรียกให้บอดี้การ์ดข้างดัวหยิบยกวิสกี้เข้ามาตั้งที่โต๊ะตัวเล็กตรงหน้าพร้อมเสิร์ฟให้เสร็จสรรพ  ชายหนุ่มจับแก้วคริสตัลขึ้นหมุนเพื่อให้น้ำแข็งเจือไปกับวิสกี้รสดีแล้วค่อยยกขึ้นดื่ม ส่วนผู้เป็นพ่อก็ทำเพียงแค่ยกซิกก้าขึ้นสูบแล้วพ่นควันออกมา จนคลุ้งไปหมด

     

                    มันเหมือนกับฉากในหนังสักเรื่องหนึ่ง ที่มาเฟียสองแก๊งค์กำลัง พูดคุยเรื่องธุรกิจด้านมืด พร้อมกับบอดี้การ์ดนับสิบที่ยืนกันอยู่ทั้งสองฝั่ง พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันเท่าไหร่นัก จนกระทั่งเมื่อวิสกี้รสดีไหลผ่านลงไปยังลำคอของชายหนุ่มจนหมดแก้ว

                    “หายเหนื่อยก็ลุกได้แล้ว” ร่างสูงใหญ่ของชายวัยเฉียดหกสิบลุกขึ้น ซิกก้าในมือถูกบดลงบนจานทองเนื้อดีเพื่อดับไฟของมันให้มอดลง

                    “ผมไม่ไป

                    “แกอย่ามาขัดคำสั่งฉันนะ”

                    “ผมโตแล้วนะพ่อ!! อายุสามสิบสาม ไม่ใช่สิบสาม” ชายหนุ่มหัวร้อนทันที เมื่อพ่อทำตัวอย่างกับว่าเขาอายุสิบสามเมื่อสองวันก่อน เขาเป็นถึงนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของโลก ทำงานมาตั้งแต่อายุสิบแปดจนถึงตอนนี้ เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และแน่นอนว่าเขาโตแล้ว

                    “คนที่โตแล้วจะไม่ทำอะไรให้ตัวเองเสี่ยง”

                    “ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

                    “อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าแก ไปติดเด็กบาร์โป๊เปลือยจนต้องเอาชีวิตไปแลก แกหายไปสิบแปดชั่วโมงกับอีกยี่สิบเจ็ดนาที ทั้งที่ฉันพยายามโทรหาแกสิบสามสายแต่แกไม่รับ อย่าลืมว่าถ้าแกเป็นอะไรไปธุรกิจครึ่งโลกนี้จะเจ๊งไม่เป็นท่า จำเอาไว้ด้วย”

                    “ผมอยู่ตะวันออกกลางหายไปยี่สิบสองวันพ่อก็ไม่เห็นจะว่าอะไรนี่”

                    “ตอนนั้นแกมีจงอินอยู่ด้วย”

                    “ตอนนี้ผมก็มีจงอิน”

                    “แต่แกไม่มีจงอิน….กี่ชั่วโมงตั้ง

                    “ผมก็ติดต่อจงอินแล้วนี่!! ผมไม่ใช่ลูกแหง่แล้วนะพ่อ ผมต้องมีเมียมีครอบครัว ลงหลักปักฐานกับใครสักคนบ้าง”

                    “กับเด็กโป๊เปลือยที่นอนเป็นผักเพราะถูกแกเล่นเมื่อคืนนั่นน่ะเหรอ”

                    “พ่อ! นี่พ่อเข้าไปดูเมียผมเหรอ ทำไมพ่อทำแบบนี้” คนเป็นพ่อกรอกตา ยกมือขึ้นโบก เมื่อลูกชายคนโตเริ่มที่จะงอแงหยุดกระทืบเท้าปึงปังต่อหน้าลูกน้องเสียที เนี้ยน่ะเหรอผู้ชายอายุสามสิบสามที่มันชอบพูดเอาไว้นักหนา เอาแต่ใจ ดื้อ ไม่โตเสียที!!

     

                    คนเป็นพ่อนั่งลงตรงโซฟาตัวเดิมแล้วถอนหายใจ เนคไทที่เคยรัดถึงคอถูกคลายออกเมื่ออากาศร้อนระอุด้านนอกแผ่กระจายเข้ามาถึงด้านในห้องสวีทแห่งนี้ ยังไงวันนี้เขาก็ต้องพาเจ้าลูกชายตัวดีกลับไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นอย่ามาเรียกเขาว่าพ่อมันอีก!!

                    “ขอเวลาอีกสองอาทิตย์ เพราะนี่มันช่วงพักร้อนของผม” คริส อู๋ ลอยหน้าลอยตาพูด เวลาทำงานเขาก็เต็มที่ เวลาพักผ่อนเขาก็เลยอยากเต็มที่กับมันด้วย ปีหนึ่งมีตั้งสามร้อยกว่าวัน กว่าจะได้พักแค่สิบสี่วันนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

                    ต้องเอาให้คุ้ม…..

      

                    “มันเลยกำหนดพักของแกแล้วคริส”

                    “แต่อยู่นี่ผมก็ทำงานได้”

                    “ด้วยการยุ่งกับงานของน้องตัวเองน่ะเหรอ ร้อยวันพันปีล่ะไม่เคยเห็นจะเข้าไปจัดการ ทีกับไอ้สาขากระจ้อยร่อยนี่ถึงกับต้องเรียกประชุมด่วน” คนเป็นพ่อเหน็บแนมเข้าให้

                    “ก็” คริส อู๋ ยกนิ้วขึ้นแสกผมกลางหัว ไม่รู้จะพูดอะไรเลยเงียบไว้ก่อน เอาจริงๆก็ใช่ล่ะ เขาไม่เคยคิดจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับงานธุรกิจระดับเด็กเล่นขายของของน้องชายเท่าไหร่นัก

                    “เล่นสนุกมามากพอแล้ว กลับบ้านกันได้ละ”

                    “นี่เราพูดกันไม่รู้เรื่องเหรอครับ พ่อก็รู้ว่า” ชายหนุ่มผายมือไปยังประตูห้องนอนใหญ่ตรงฝั่งตรงข้าม พ่อเสือตัวน้อยของเขากำลังไม่สบายและเขาจะต้องพูดเรื่องอนาคตกับหย็องอีกตั้งหลายอย่าง ถ้าหากว่าเขากลับไปตอนนี้ คงได้ถูกครหาว่าเป็นไอ้พ่อฝรั่งช่างฟันกันพอดี

     

                    “ก็พาไปด้วยซะสิ ยากอะไร”

                    “พ่อ…..

                    “เพราะเจอกันแค่สองวันแล้วมีเซ็กกันชั่วข้ามคืนน่ะเหรอ”

                    “คนนี้ผมจริงจังนะพ่อ”

                    “แกก็พูดแบบนี้กับแม่สาวคัพดีทุกคนที่นอนเตียงเดียวกับแกนั่นล่ะ” ผู้เป็นพ่อชูสองนิ้วขยับไปมาเพื่อล้อเลียนลูกชายที่เอาแต่ทำหน้าจริงจังจนน่าหมั่นไส้ ไอ้พ่อคนคาสโนว่าที่มีปัญหากับเด็กผู้หญิงตั้งแต่เกรดสิบสองอย่างมันน่ะเหรอ ที่คิดอยากจะตั้งรกรากกับใครสักคน ทั้งๆที่ก่อนมาก็เพิ่งจะบินไปเวเนเพื่อเชยชมแม่มิสแกรนด์คนสวยก่อนบินมาไทยอยู่เลย ทำไมคนเป็นพ่อจะไม่รู้

                    “เชื่อผมเหอะ คนนี้ไม่เหมือนใคร ขอเวลาผมสองอาทิตย์แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย” คริส ที่ไม่อยากจะเถียงคนเป็นพ่ออีกแล้ว เลยยื่นคำขาด ร่างสูงเตรียมตัวจะสาวเท้าไปใกล้ประตูห้องนอน แต่กับถูกร่างบึกกำยำของบอดี้การ์ดเข้ามาขวางกั้นตรงหน้า

                    “อะไรถอย”

                    “แกก็รู้ว่าถ้าฉันอยากได้อะไรก็ต้องได้ และตอนนี้แกกำลังทำให้ฉันรำคาญนะคริสโตเฟอร์” นิสัยที่ถอดแบบออกมาทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าผู้เป็นพ่อไม่ได้พูดเล่นเลยสักนิด แล้วไอ้รอยยิ้มร้ายมุมปากช่างอบอุ่นนั่นก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่ปรารถนาดีเท่าไหร่นัก

                    คริส ยังคงดึงดันจะเดินผ่าร่างบึกใหญ่ที่สูงพอๆกับเขา เพื่อให้ได้เข้าใกล้บานประตูไม้บานนั้น แต่ดูเหมือนว่าคำสั่งถอยของเขาจะใหญ่ไม่พอ เลยทำให้ยักษ์ทั้งสองยังคงปักหลั่นอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน

                    “ก็บอกให้ถอย!!” ซัดเข้าให้ไปเต็มเหนี่ยวจนเจ็บกระดูกมือไปหมด ชายหนุ่มสบถหัวเสีย เขาไม่อยากจะใช้แรงมากเกินความจำเป็นแต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือก็โทษเขาไม่ได้

     

                    สายตาคู่คมส่งซิกไปให้เลขาหนุ่มส่วนตัวของลูกชายเพื่อดำเนินแผนขั้นต่อไป ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงสแลคเนื้อดีพร้อมด้วยหลอดยาสีขุ่น จงอินหยดสารระเหยนั้นลงไปบนผ้า ก่อนจะสาวเท้าตรงเข้าไปหาผู้ชายที่ได้ศักดิ์เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านาย

                    ผ้าที่มียาสลบถูกโปะเข้าที่จมูกโด่งเป็นสัน ของชายหนุ่มร่างสูงดีดดิ้นไปมา ในขณะที่ร่างกายก็ถูกจับตรึงลงกับบานประตู ใช้เวลาไม่ถึงสามสิบวิร่างที่เคยออกแรงสุดกำลังก็ยุบร่วงลงไปบนพื้น

     

                    “รู้งี้จัดการตั้งแต่แรก……แบกลงไปที่รถ เราจะกลับนิวยอร์คกันตอนนี้”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ++++++++++++++++++++++++

                    ไม่รู้ว่าหลับนานไปเท่าไหร่ แต่รู้ว่าข้างนอกมืดจนไม่เห็นแสงตะวันแล้ว หย็องที่เพิ่งรู้สึกตัว เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนัง มันตีบอกเวลาสี่ทุ่มกว่า

                    “อ้ากกกกก โอ้ยยยยย” ร้องโหยหวนทันทีที่ริอาจจะขยับตัวเปลี่ยนท่านอนให้หายเมื่อยขบ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบคลำบั้นท้ายของตัวเองที่ทั้งปวดทั้งแสบ พอความเจ็บทำให้สติเข้าที่เข้าทาง สายตาที่เคยพร่ามัวก็เริ่มชัดสว่างขึ้น

     

                    เขายังคงอยู่ที่เดิม….

     

                    “เห้ย!” ร้องเห้ยด้วยความตกใจ เขาอยู่ที่นี้ตั้งแต่วันไหน วันนี้วันที่เท่าไหร่

                    “คุณ! คุณอยู่ไหน” พอหันไปไม่เจอคนข้างตัว ก็ส่งเสียงสั่นๆตะโกนออกไปเผื่อว่า จะมีคนเดินเข้ามา หย็องนอนนิ่งรออยู่บนเตียงนานถึงสิบนาที ปากก็ร้องหาจนมันสั่นไปหมด ความกลัวแล่นเข้ามาจับจิตทันที แอร์ที่เย็นฉ่ำพอกำลังทำให้เหงื่อของเขาผุดขึ้นตามขมับซ้ายขวา

     

                    เพราะไม่รู้ว่าสลบเหมือดไปกี่วัน โดนทำอะไรกับร่างกายไปแล้วบ้าง แถมตอนนี้เขายังมานอนอยู่ในห้องชุดสวีทระดับเจ็ดดาวที่แพงพอๆกับค่าธรรมเนียมเข้าเรียนของเขา หย็องน้ำตาร่วงทันที ที่รู้ว่ากำลังโดนหลอก เด็กหนุ่มสะบัดผ้าห่ม ก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในชุดคลุมสีขาว เนื้อตัวสะอาดสะอ้านจนอดคิดไม่ได้ว่าสะอาดเกินไปหรือเปล่า

                    เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าว่าพวกฝรั่งที่เข้ามาในไทยหลอกฟันทั้งชายทั้งหญิงก็เพื่อที่จะเอาอวัยวะหรือเพื่อที่จะร่วมหลับนอนแล้วถ่ายคลิปไปเป็นวิดีโอหนังผู้ใหญ่ ความคิดร้อยแปดแสนติดลบลอยเคว้งเข้ามาในหัวของเขาเรื่อยๆ จนต้องแหกปากร้องไห้ปล่อยความเครียดให้ไหลไปกับน้ำตา

     

                    แต่แล้วอยู่ๆประตูห้องนอนก็เปิดออก ผู้ชายตัวสูงผิวสีเข้มหน้าตาค่อนไปทางเอเชีย ในชุดสูทก็เดินเข้ามา สายตาติดง่วงงุนจ้องมาที่เขา พร้อมกับที่ผู้ชายคนนั้นค่อยๆเดินเข้ามานั่งลงตรงขอบเตียง

                    “หลับสบายดีมั้ยครับ”

                   

     

     

     

     

     

     

     

                    3 วันผ่านไป…..

                    ความคิดของหย็องดูจะไม่เข้าร่องเข้ารอยเลยนับตั้งแต่วันนั้น วันที่ต้องเดินกระเผกเรียกรถสองแถวกลับบ้าน แถมยังต้องมาโดนป้าตีด้วยเหตุผลที่ไม่ยอมบอกว่าหายไปไหนข้ามวันข้ามคืน

                    เด็กหนุ่มนอนซมไข้อยู่แต่บนฟูกนานถึงวัน โดยที่ไม่ได้ออกไปช่วยป้าทำงานหาเงิน รู้สึกผิดและแอบนอนน้ำตาไหลพรากๆ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ป้านึกสงสารเขาเท่าไหร่ ป้ายังคงทำงานแต่เช้ากลับค่ำและบ่นเป็นหมีเหมือนเดิม แต่ในใจลึกๆก็แอบคิดว่าป้าก็ยังคงเป็นห่วงเป็นใยถึงได้ต้มโจ๊กซองให้เขากินพร้อมกับยาไม่ขาดจนเขาหายดี

     

                    วันนี้หย็องที่เริ่มเดินเหินสะดวกและปลอดไข้ก็ออกมาทำงานตรากตรำเช่นทุกครั้งที่เคยทำมา ตั้งแต่ส่งผักตอนหกโมงเช้า จนมาถึงตอนเย็นย่ำเช่นนี้ หย็องเดินลากอีแตะไปบนถนนพร้อมกับในมือที่ถือถุงใส่กล่องข้าวเอาไว้เต็มเอี๊ยดตามออเดอร์ที่ได้รับมา เด็กหนุ่มโปรยยิ้มหวานขณะยื่นกล่องข้าวส่งให้สาวน้อยสาวใหญ่ที่กำลังรอบริการแขกอยู่ตรงหน้าร้านนวดต่างๆ มือไม้ที่ถูกลวนลามทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งเผลอกลัวจนต้องชักมือกลับ

     บริการระดับไฮคลาสจากเด็กส่งข้าวจบลงเมื่อเขายื่นกล่องกะเพราเนื้อไข่ดาวส่งให้แม่สาววัยสามสิบตรงหน้า หย็องรับเงินมาแล้วนั่งนับมันตรงนั้นเพื่อดูว่าขาดเหลือใครไปมั้ยที่ยังไม่ได้เก็บ พอจำนวนเงินตรงกับจำนวนกล่องข้าว หย็องก็จับมันยัดใส่กระเป๋าโบกมือลาบวกคำทักทายอวยพรแล้วเดินจากมา

    เขาเดินผ่านร้านคาวโลกีย์ที่กลับมาเปิดร้านตามปกติ เรื่องการทะเลาะตบตีกันกลายเป็นเรื่องที่ร้านในละแวกนี้พบเจอกันได้บ่อยๆ ทั้งจากแขกเมาแล้วพาล ไปจนถึงสาวอกไซส์เกินมือที่ตบตีแย่งลูกค้ากัน

    พอเดินมาได้หน่อยก็แวะไปเข้าร้านโชว์ห่วยเพื่อซื้อน้ำอัดลมดื่มระหว่างทางกลับบ้าน ในใจก็แอบคิดไปถึงเรื่องที่เขาเคยฝันเฟื่องเอาไว้เมื่อสามวันก่อน มันเป็นฝันที่เหี้ยพอๆกับฝันว่าโดนถีบให้ตกลงมาจากตึกชั้นที่ร้อยกว่า ตกลงมาบนพื้นถนนร้อนๆที่มีรถขับสวนไปมาเหยียบทับร่างของเขาจนแบนแต๋ดแต๋

     

    “เอ่าๆ หกหมดแล้วไอ้หนู” เสียงเตือนจากเจ๊ร้านขายของบอกทำให้หย็องดึงสติกลับมา เด็กหนุ่มขอโทษขอโพยที่ทำให้พื้นร้านเปียกชุ่มไปด้วยน้ำหวาน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะที่กำลังถึงเรื่องบัดซบนั้น เขากำลังบีบขวดน้ำอัดลมจนมันล้นออก

    “เฮีย!” เสียงเรียกดังมาจากที่ไกลๆจนหย็องต้องหันรีหันขวางหาต้นเสียง พอจับทิศทางได้เขาก็เห็นไอ้โอกำลังวิ่งเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

    “เออ ว่าไง” ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะคุยเล่นกับใครจริงๆ

    “หายไปไหนมาอ่ะ ป้าตามหา แล้วนี่ได้กลับบ้านยัง”

    “อืม นี่ออกมาส่งข้าว” หย็องตอบ เท้าก็เดินย้ำไปเรื่อยๆ

    “เฮีย….จริงรึป่าว ที่เฮียไปเป็นเด็กให้ฝรั่งนั่น” คำถามไม่ชวนเข้าหูทำให้หย็องต้องหันไปชักสีหน้าใส่ เท้าที่เคยเดินไปเรื่อยๆก็หยุดลงแทบจะในทันที อะไรนะ!! เด็กใครนะ

    “แกเอาเรื่องนี้มาจากไหน”

    “เขาพูดกันให้แซ่ดทั้งตลาดเลยอ่ะเฮีย ว่าเฮียไปยืนจูบกับพ่อฝรั่งที่ริมหาด แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ผมไม่เชื่อหรอก เฮียแมนจะตาย” ไอ้โอพูดแล้วปั้นสีหน้าดุดันกลับแล้วเริ่มบ่นหงุงหงิงไปเรื่อยๆตามภาษาของมัน แต่คำบ่นของมันทำให้หน้าของหย็องสลดหดเหลือแค่สองนิ้ว

    ลองคิดดูว่าคนที่ได้ยินแบบนั้นทุกๆวันที่ตลาดคือ ป้า เขาก็แทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ไม่สิ ป้าต้องได้ยินแบบนั้น ได้ยินว่าหลานชายตัวเองไปเป็นเด็กขายน้ำให้ฝรั่งตามริมหาดเพื่อหวังชุบตัว แบบนั้นทุกวันแน่ๆ

    “ใครมันพูด ข้าจะไปเลาะฟันออกจากปากมัน” หย็องโยนขวดน้ำอัดลมทิ้งลงพื้นแล้วเตะมันปลิ้วไปโดนสังกะสีข้างทางที่กั้นเขตพื้นที่ก่อสร้างเอาไว้ สายตาของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดกำลังเกรี้ยวกราด มือขาวๆนั่นก็กำจนมันขึ้นข้อขาวซีด

     

    “ใจเย็นๆ เฮีย ผมกับป้าก็พูดแก้ให้แล้ว คนพวกนั้นก็แค่หาเรื่องมานินทาค่าเวลานั่นล่ะ”

    “ป้าหอมได้ยินแบบนั้นทุกวันเลยเหรอวะ” หย็องหันไปถาม

    “อื้ม ก็บอกแล้วไงว่าผมกับป้าอ่ะช่วยกันพูด เวลาได้ยินใครนินทาเฮียนะ….อ้าวเฮีย เฮีย!! จะไปไหนอ่ะเฮีย” เสียงร้องจากไอ้โอไม่สามารถหยุดฝีเท้าที่เริ่มออกตัววิ่งของเขาได้ หย็องวิ่งหลบรถไปเรื่อยๆทั้งๆที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ

    เขาเป็นหลานที่แย่ทำตัวเหลวแหลกให้ป้าต้องเสียใจ

     

     

     

    เสียงวิ่งตึงตังหยุดลงตรงหน้าบ้าน พร้อมกับร่างสูงโย่งของหลานตัวแสบ ป้าหอมที่กำลังจัดสำรับข้าวอย่างพวกผัดเหลือๆก้นกระทะอย่างกะเพราลงจาน ก็ได้แต่เงยขึ้นมองด้วยความสงสัย แต่พอเห็นว่าหลานตัวดีน้ำตานองหน้า มือที่หยิบจับตะหลิวอยู่ก็รีบเช็ดเข้ากับผ้าถุงทันทีแล้วรีบเดินเข้าไปหา

    “เป็นอะไรของเอ็งวะไอ้หย็อง” ถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

    เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมด้วยยกมือขึ้นพนมแนบอก นาทีนี้เขาไม่รู้สึกว่าต้องแคร์สายตาใครอีกแล้ว ในเมื่อคนที่เขาแคร์มากที่สุดกำลังยืนอยู่หน้า หย็องค่อยๆลงกราบกรานบนฝ่าเท้าสีดำคล้ำแห้งแตกเพราะทำงานหนักตั้งแต่หญิงสาวจนแก่ ปากก็พูดพร่ำขอโทษ ด้วยความรู้สึกละอายใจที่ทำตัวไม่รักดี

    “ป้า….หย็องขอโทษ”

     

    คนเป็นป้าได้แต่ยืนมองหลานที่เลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด หลังที่ใช้การได้ไม่ค่อยดีมานานมากแล้ว ค่อยๆโค้งงอลงไปหาหลานชายแล้วยื่นมือลงไปลูบลงบนกลุ่มผมนุ่มนิ่ม เธอรู้ว่าเด็กมันไม่ประสีประสา มันอาจจะรักจนเผลอหลงไปกับคารมยิ่งพ่อฝรั่งนั่นก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่ แถมยังทำตัวสปอร์ตใจดี ในแบบที่หย็องมันไม่เคยพบเจอที่ไหน

    ก็สมแล้วที่เด็กมันจะหลงผิด….

     

    “ถ้าจะโทษก็โทษข้ากับไอ้ฝรั่งนั่นเถอะ”

    “ไม่! หย็องผิดเอง” เด็กหนุ่มเถียงขณะเงยหน้าขึ้นปาดน้ำมูกด้วยหลังมือ ใบหน้าที่เคยดุ ค่อยๆอ่อนสีลงแล้วเผยรอยยิ้มขบขับ

    “เออ อยากผิดก็ผิดไป ผิดแล้วรู้สึกตัวว่าผิดข้าก็ไม่ว่าเอ็งหรอก ไปกินข้าว ข้าน่ะตักมันหมูให้พวกนั้นแล้วเก็บเนื้อไว้ให้เอ็งเลยนะจะบอกให้” ป้าหอมพูด ขณะประคองหลานชายที่พันอุลุงตุงนังอยู่ตรงเอวไม่ปล่อย

     

    กับข้าวมื้อนี้พิเศษเสียยิ่งกว่ามื้ออาหารไหนๆ แม้ว่าจะมีแค่กะเพราจานเดียวที่วางอยู่บนสำรับ กับข้าวสวยร้อนๆคนละจาน หย็องเปิดใจพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เล่าเป็นตุเป็นตะว่าได้พบเจออะไรไปบ้าง แต่ก็ยังพอมีศีละรรมมากพอที่จะข้ามช่วงลามกจกกระเปรตไป

     

     

    พอกินข้าวเสร็จก็อาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวเข้านอนเพื่อเริ่มงานในเช้าวันใหม่ หย็องที่ยังคงนอนกับป้าแม้จะอายุสิบแปดแล้ว ค่อยๆขยับตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนนุ่มนิ่มที่มีกลิ่นหอมแบบน้ำอบ

    “ขอกอดหน่อยนะจ้ะป้า”

    “ร้อน ไอ้นี่!” ถึงจะบ่นแต่ก็ยังคงกระชับกอดหลานให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เสียงหายใจเริ่มนิ่งเป็นจังหวะ ทำให้ป้าหอมรู้ว่าหลานของตนนั้นหลับไปแล้ว

     

    หญิงเข้าใกล้วัยชรานอนมองเพดานไม้ใกล้ผุพังตรงหน้า ในสมองนึกถึงแต่เรื่องอนาคตของหลานชาย เงินเก็บที่มีอยู่ไม่มากในบัญชีถูกตั้งเอาไว้เป็นค่าเล่าเรียนของมัน มันยังเด็กโลกที่มันเคยอยู่ถึงจะกว้างและมีส่วนที่มืดดำ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอให้เด็กมันได้เรียนรู้ เธออยากให้หลานชายของเธอทันคนมากกว่านี้ เหตุการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้ายจะได้ไม่เกิดขึ้นกับมันอีก

                    แค่มันถูกล้อว่ามีแม่เป็นกะหรี่ก็น่าเจ็บปวดพออยู่แล้ว….

     

     




















    ==========================
    ทำไมคุณพ่อทำแบบนี้ล่ะคะ 
    ทำไมต้องทำร้ายกันถึงเพียงนี้้ ฮือออออออ

    สำหรับตอนหน้า เรามาดูวิธีง้อหย็องของพ่อฝรั่งกันค่ะ 
    จะหน้าหมันไส้แค่ไหน อย่าลืมติดตามนะ 

    แฮชแทค คิดไม่ออกอ่ะ มาหวีดและให้กำลังใต
    กันในนี้ดีกว่าเนอะ 




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×