ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    fic-krisyeol : TYPE A ผู้ชายของผม

    ลำดับตอนที่ #5 : CH05

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 863
      16
      8 เม.ย. 60








     




    CH05

    ++++++++

     

     

     

                    “ช่วงนี้หน้าตาโยมหย็องดูไม่ค่อยมีความสุขเลยนะ เป็นอะไรรึ” เสียงทักเมื่อหลวงตาเห็นเด็กวัดเก่าอย่างเจ้าหย็องคลานเข่าเข้ามาใกล้ ใบหน้าที่เคยสดใสไร้ริ้วรอยแห่งความเศร้าฉีกยิ้มอ่อนๆ อย่างยอมรับว่าในจิตใจของตนเองนั้นกำลังรู้สึกเป็นทุกข์

                    “ช่วงนี้ชีวิตโดนราหูอมน่ะจ่ะหลวงตา”

                    “ฮ่ะๆ เลยต้องมาหาอาตมาที่นี้เลยงั้นเหรอ” 

                    “หนีมาพักเหนื่อยเท่านั้นล่ะจ่ะหลวงตา” หย็องกล่าว ดวงตาคู่สวยหลุบลงมองตักของตัวเอง การที่เขามาหาหลวงตาก็ไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากรู้สึกทุกข์ใจ และไม่สบายหู วันนี้ทั้งวัน…..ไม่สิทั้งอาทิตย์ที่ผ่านเลยดีกว่า ที่เขาต้องได้ยินสิ่งปฏิกูลเสียๆออกมาจากปากของยัยแม่ค้าแผงปลาแผงผัก ไอ้นินทาลับหลังน่ะเขาไม่ซีเรียสหรอก แต่ไอ้พูดลอยๆให้เข้าหูตอนเขาเดินผ่าน ตอนส่งผัก แล้วทำอะไรพวกแก่ใกล้ลงโรงไม่ได้นี่สิ มันถึงได้น่าทุกข์ใจอยู่แบบนี้  

                    แม่งอายุเท่าป้า ตบไปก็กลัวบาป….

     

                    “มีโอวัลตินซองอยู่ตรงนั้น ไปชงดื่มสิ จะได้เย็นลง”

                    “โถ่ หลวงตาหย็องไม่ได้เห็นแก่กินนะจ้ะ” เด็กหนุ่มบ่นใส่หลวงตาเฉย แต่พอหลวงตาเร่งรัด คนไม่อยากกินก็เลยจำใจต้องลุกไปชงใส่แก้วสแตนเลส พอได้ปุบก็เดินตุบๆมานั่งลงตรงข้ามหลวงตา แล้วซดฮวบเข้าปาก

                    “เดี๋ยวปากก็พองพอดี” หลวงตาปรามด้วยความเอ็นดู นึกถึงสมัยที่ยังตัวเท่าเอว เวลาถูกโยมป้าตีมาก็จะวิ่งแจ้นร้องไห้ขี้มูกโป่งมาขอโอวัลตินซองที่วัดชงกินบ่อยๆ

                    “เห้อ ขอบใจนะจ้ะหลวงตา” หย็องวางแก้วในมือลงแล้วก้มกราบ พร้อมกับกล่าวขอบคุณสำหรับโอวัลตินร้อนหนึ่งแก้วและความสบายใจที่เพิ่มขึ้นมากโข

     

     

                    พอได้รับความสงบในจิตใจแล้ว เด็กหนุ่มก็กลับมาทำงานเช่นเดิม ตั้งแต่ช่วงบ่ายยาวยันเย็น พอตกมืดก็ขอป้าหอมออกมาเดินชมทะเลยามค่ำคืน ที่หาดหลังบ้าน ขบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องในอนาคตและเรื่องในอดีต

                    เด็กหนุ่มนั่งลงตรงโขดหินใกล้ร้านอาหารหรู ที่ปูโต๊ะเอาไว้ตรงริมทะเลเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวและผู้มีอันจะกิน ดวงตาคู่สวยจดจ้องมองอาหารบนโต๊ะที่ครั้งหนึ่งเขาเคยลิ้มลองรสชาติของมัน ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปมองยังโต๊ะตัวเก่าที่เขาเคยใช้นั่ง โต๊ะขนาดเล็กถูกต่อยาวออกไปอีกสองโต๊ะเพื่อรองรับครอบครัวใหญ่

                    หย็องถอนหายใจด้วยความปลงตก ทั้งๆที่เรื่องนี้ก็ผ่านมาเกือบจะสองอาทิตย์แล้ว แต่ในหัวเขาก็ยังคงวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องบ้าๆพวกนี้

     

                    “ไข่ปิ้งมั้ยจ้ะพี่” เสียงแหลมเล็กของเด็กชายผิวคล่ำเอ่ยขึ้นพร้อมด้วยกลิ่นไข่ปิ้งหอมๆที่โชยมาเตะจมูก หย็องหันไปมองก่อนจะฉีกยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เด็กน้อยก็ยังคงยืนค้ำหัวเขาอยู่แบบนั้นแถมยังใช้สายตาอ้อนวอนชนิดที่เขาต้องยอมแพ้แล้วควานหาเศษตังในกระเป๋า  

                    “เอาไม้เดียวนะ พี่มีแค่นี้” หย็องยื่นเศษเหรียญราวๆยี่สิบบาทให้กับเด็กน้อย เขารู้ล่ะว่ากว่าจะขายได้มันต้องใช้เวลา เดินตากลมตากทรายตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทั้งที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบเวลาแบบนี้มันควรจะเป็นเวลานอนของเด็กไม่ใช่ออกมขายของ ถ้าเขารวยก็อยากจะเหมาทั้งแผงอยู่หรอกนะ  

     

                    บอกลาเด็กน้อยด้วยการเดินเลี่ยงมานั่งที่พื้นทรายตรงชายหาด พอหาทำเลเหมาะๆได้แล้วก็ลงมือแกะเปลือกไข่วางไว้บนถุง มือที่เปื้อนทรายก็ยกขึ้นเช็ดกับกางเกงบอลลวกๆ แล้วยัดไข่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ แทนอาหารเย็นที่ยังไม่ตกถึงท้อง สายตาก็มองออกไปยังทะเลสีมืดตรงหน้าที่เห็นเพียงทุ่นน้ำลอยเท้งเตงอยู่ไกลลิบๆ

                    “ขอโทษนะครับ ขอนั่งด้วยได้มั้ย”

     

     

                    เสียงอังกฤษสำเนียงเพราะหูเอื้อนเอ่ยอยู่ทางด้านหลัง ยังไม่ทันที่หย็องจะเอี้ยวตัวหันไปปฏิเสธ เจ้าของเสียงก็หย่อนก้นลงข้างตัวแล้วหันมาส่งยิ้มให้

                    “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงเอกลักษณ์คือผิวสีแทนสุขภาพดี ส่งคำทักทายแรกหลังจากผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ให้ หย็องที่กำลังเคี้ยวไข่ปิ้งในปากเหลือกตาตั้งด้วยความตกใจ เสียยิ่งกว่าเห็นผี

                    “คุณ!!

                “คุณตัดสินใจได้หรือยังครับ”

                “ผมขอตัว” เด็กหนุ่มกระชากตัวลุกขึ้นเตรียมวิ่งหนีผู้ชายที่เคยแนะนำตัวว่าชื่อจงอิน แต่กลับถูกจับข้อแขนยึดรั้งเอาไว้จนหน้าเขาแทบคว่ำจ้ำลงไปกับพื้นทราย

                “คุณหนูคริสให้ผมมาบอกว่าหมดเวลาตัดสินใจแล้วนะครับ” 

                   

     

     

     

    สองอาทิตย์ก่อนหน้านี้….

     

                    เสียงทักทายพร้อมกับรอยยิ้มนุ่มนวลนั้นทำให้หย็องตกใจไม่น้อย เตียงซีกขวาที่ค่อยๆยุบตัวลงทำให้เขาต้องพยายามถอยกรูดจะลงจากเตียง

                    “ไม่ต้องกลัวผมนะครับ ผมคิม จงอิน เป็นเลขาของคุณหนูคริส”

                    “แล้วแล้วเขาไปไหนครับ” ทำไมต้องส่งเลขามา แล้วตัวพ่อฝรั่งคนนั้นหายไปไหนอ่ะ….

                    “คุณคริสเดินทางกลับนิวยอร์คไปได้สักพักแล้วครับ” คำอธิบายที่เหมือนกับเอาถาดฟาดหน้าเขาจนหัน ตบด้วยน้ำเย็นราดกระทบหัวจนขนลุกซู่เกรียวกราวไปหมด คำว่ากลับไปแล้ววนเวียนอื้ออึงอยู่ในสมอง เด็กหนุ่มทวนถามซ้ำอีกครั้งก็ได้กลับมาเป็นคำตอบเดิม

                    “ทางเราจัดการเรื่องเพ้นท์เฮาส์ที่กรุงเทพและบ้านโครงการXXX ที่พัทยาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ขาดเหลืออะไรคุณสามารถบอกผมได้ทุกเมื่อ”

                    “มันคืออะไรครับ ผมไม่เข้าใจ”

                    “บ้านใหม่ของคุณและคุณป้าคุณครับ”

                    “ผมไม่ต้องการ!! ผมไม่ใช่คนขายบริการนะ!” สิ่งที่เด็กหนุ่มยินถูกตีความไปในทิศทางที่เขาเข้าใจในทันที สิ่งแรกที่เขาต้องการคือการตื่นขึ้นมาแล้วยังเจอพ่อฝรั่ง ไม่ได้ต้องการที่จะได้ยินว่าบินกลับบ้านตัวเองแล้ว โดยจ่ายค่าตัวเขาเป็นเพ้นเฮาส์และบ้านหรูๆสักหลัง

                    เขาไม่ได้ขายเนื้อหนังเพื่อสิ่งของเสียหน่อย

     

                    “งั้นทางเราอาจต้องให้เวลาคุณตัดสินใจ สองอาทิตย์พอมั้ยครับ”

                    “ไม่!! ผมไม่ต้องการ เอาของคุณคืนไปเถอะ แล้วบอกคุณหนูอะไรนั่นของคุณด้วยว่า ผมไม่ได้ขาย ค่าตัวผมไม่ใช่เพ้นเฮาส์หรือบ้านหรูๆพวกนั้น ผมมีค่ากว่านั้น!!!” เด็กหนุ่มไม่ประสีประสาแต่มีศักดิ์อัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยม ทุบอกตัวเองดังปัก เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขามีค่ามากกว่านั้น มากจนมันประเมินค่าไม่ได้ต่างหาก  

                    “คุณต้องการมากกว่านั้นเหรอครับ”  จงอินเลิกคิ้วถาม เขาจัดการเรื่องแบบนี้ให้คุณหนูมามาก ส่วนใหญ่ก็จะร้องไห้ฟูมฟายเพื่อต้องการสิ่งที่มันมากกว่านั้นอย่างเช่น ที่ดิน บ้าน รถ หรือแม้แต่หุ้นในบริษัทไหนสักบริษัทของตระกูลอู๋ แต่สำหรับผู้ชายตัวผ่ายผอมคนนี้กลับได้สิ่งที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาจัดการมา ทั้งบ้าน ทั้งรถและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะตามมาอีกนับไม่ถ้วน

                   

                    หย็องที่ได้ยินเช่นนั้นแทบจะขาดอากาศหายใจตายด้วยความโมโห หมอนนุ่มที่ใช้หนุนมายาวนานตลอดวันถูกฟาดใส่หน้าคุณเลขา ที่ยังคงส่งสายตาเป็นคำถามมาให้อย่างหน้าไม่อาย

                    “บ้า!!

     

     

     

     

     

     

     

     

                    หย็องที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นหน้าคุณเลขาคนนี้อีก ถึงกับรีบสะบัดข้อมืออย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะหนีจากการเกาะกุมนั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังเอาแขนตัวเองไปงัดกับคีมเหล็ก ที่ใช้ไฟตัดก็คงไม่ขาด

                    ส่วนจงอิน ก็ได้แต่ส่ายหัว รู้สึกเหนื่อยกับเด็กผู้ชายคนนี้จนต้องรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรหาเจ้านายที่คงจะเดินวนเวียนเป็นหนูติดจั่นตามหาบ้านของเด็กน้อยคนนี้อยู่แน่ๆ ขณะที่กำลังรอปลายสายรับ ร่างผ่ายผอมของเด็กหนุ่มก็เป็นอิสระในตอนที่เขาเผลอผ่อนแรงบีบ ขายาววิ่งล้มลุกคลุกคลานอย่างกับหนีตำรวจไปทันที

                    “บ้าเอ้ย!!” จงอินสบถแล้วกดตัดสาย นี่เขาต้องมาใส่สูทวิ่งตามเด็กอายุสิบแปดที่พลังเหลือเฟือแบบนั้นน่ะเหรอ ให้ตายเหอะ

     

                   

     

     

                    อีกด้านผู้ชายตัวสูงในชุดทำงานเดินด้อมๆมองๆหาบ้านไม้หลังเล็กในตรอกซอยแคบๆ ที่อยู่ที่จงอินหามาให้ไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าบ้านหลังไหนเป็นของหย็องเพราะเขาหาเลขที่บ้านไม่เจอแถมหน้าตาของบ้านแต่ละหลังก็เหมือนกันไปหมด โทรศัพท์ที่ดังครืดคราดอยู่ในกระเป๋าถูกชายหนุ่มล้วงออกมากดรับสาย แต่ยังไม่ทันจะกรอกเสียงลงไปเขาก็ได้ยินทางนั้นสบถเป็นคำหยาบใส่แล้วกดวาง พอจะโทรกลับไปก็กลายเป็นว่าไม่รับอีก

                    คริส ที่รู้สึกว่าเดินวนไปวนมาตามซอยเล็กๆหลายรอบแล้ว หยุดลงตรงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่ยังคงเปิดประตูอ้าซ่าเอาไว้พร้อมกับเสียงโทรทัศน์ที่ดังลอดออกมา เมื่อเช้าเขาเข้ามาที่นี้รอบนึงก่อนจะกลับออกไป เพราะส่วนใหญ่จะปิดบ้านออกไปทำงานกันและกลับมาพักผ่อนในช่วงเย็น เดินวนเวียนไปมาด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าใช่มั้ย สุดท้ายก็ไม่แน่ใจอยู่ดีก็เลยออกไปตามหาซอยอื่น  

                    สภาพภายในบ้านคุ้นตาจนเขาต้องหยุดมองแล้วเพ่งไปยังร่างอวบเข้าขั้นอ้วนที่นอนดูทีวีจอเล็กอยู่กลางบ้าน ผู้หญิงอายุประมาณห้าสิบลุกขึ้นไปเปิดเครื่องทำลมตรงหน้า และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกเขาทั้งสองสบสายตากัน

                    ป้าของหย็อง…..

     

     

                    “คุณป้า” ความสำเร็จไม่เคยทรยศคนที่มีความตั้งใจอย่างแรงกล้า ผู้ชายอายุสามสิบสามที่มีลูกน้องบริวารหรือเงินจ้างนักสืบดีๆมากมาย ค่อยๆฉีกยิ้มกว้างให้กับความพยายามที่ลงแรง ลงทุนเดินตามหาบ้านของเด็กน้อยที่ชื่อหย็องด้วยตัวเองในทันที

                    เป้ง!!

     

                    หม้อสแตนเลสใบเคืองถูกโยนออกมาจากในบ้านจนคนที่กำลังยืนยิ้มเหงือกแห้งแทบจะหลบไม่ทัน คริสพยายามพูดขอร้องให้อีกฝ่ายหยุด แต่ดูเหมือนว่ามันจะไปเพิ่มอารมณ์ให้กับป้าของหย็องแทน

                    “ออกไป เกดเอ้า!!” ภาษาอังกฤษง่ายๆ ออกเสียงแปลกๆ ทำให้คริสต้องเงี้ยหูฟังด้วยใบหน้าที่ยุ่งเหยิง เสื้อผ้าที่ติดจะชื้นเหงื่อไปหมด ทำให้สภาพของเขาดูไม่จืดและดูน่าขบขันเป็นที่สุด  

                    ไม่รัก….ไม่ยอมลงทุนทำขนาดนี้แน่ๆ 

     

                    เขาต้องใช้เวลาเคลียร์งานของทั้งเดือนภายในสามวัน เพื่อที่จะบินกลับมาไทย มาตามหาหัวใจดวงน้อยๆที่ทำหล่นปุไว้แถวพัทยา แต่ดูเหมือนว่าการมาตามล่าหาหัวใจคนตัวเล็กมันจะต้องเจออุปสรรคชิ้นใหญ่ ใหญ่จนหลบแทบไม่ทั้ง ทั้งหม้อเอย หนังสือเอย หมอนเอยอะไรจิปาถะเต็มไปหมด

    เขารู้ว่าหย็องและคุณป้าของหย็องจะต้องโกรธเอาการมากแน่ๆ ที่เขาหายตัวไปแบบที่ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ แถมจงอินยังบอกว่าตอนที่จงอินไปยื่นข้อเสนอทั้งบ้านทั้งเพ้นท์เฮาส์ให้เมื่อสองอาทิตย์ก่อนก็ทำหย็องโกรธมาก เพราะคิดว่าเขาซื้อหย็องด้วยของพวกนั้น เขาถึงต้องมาอธิบายด้วยตัวเอง

     

    “ป้าอย่า! พอแล้วเดี๋ยวของพัง!!” เสียงร้องปรามพร้อมกับร่างสูงผอมวิ่งเข้าไปในบ้าน รวบร่างอ้วนๆของผู้หญิงวัยใกล้ชราเอาไว้ ชายหนุ่มฉีกยิ้มหล่อทันทีที่เห็นว่าใครเข้ามาหามคนเป็นป้าเอาไว้

    แต่สายตาที่จ้องกลับมา ทำให้เขาต้องหุบยิ้มลงทีละนิด มันน่ากลัวกว่าไอ้พวกหม้อไหที่ขว้างปาออกมาเสียอีก

     

    “คุณฟังผมก่อน” คริสเอ่ย

    “ไม่ฟัง!! กลับไปซะไอ้ฝรั่งขี้นก!” หย็องตะโกนด่าออกไปเป็นภาษาไทยทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นยุ่งเหยิงไปมากกว่าเดิมเพราะแปลไม่ออก

    “ช่วยพูดให้ผมเข้าใจได้มั้ย ได้โปรดที่รัก

    “ใครที่รักมึง ไอ้สัส!!” สาดคำด่าออกไปเป็นภาษาไทยด้วยความโมโห แต่ดูเหมือนว่าคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านจะเข้าใจมันว่าเป็นคำพูดตัดพ้อไปเสียอย่างนั้น

    “ผมขอโทษที่รัก ผมมีเหตุจำเป็น จงอินไม่ได้บอกคุณเหรอครับหืม” ใบหน้าหล่อหงอลงเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นได้เวลาพูด ท่าทางดูจะอ่อนน้อมถ่อมตนจนคนมองรู้สึกหมันไส้ เหตุจำเป็นบ้านแกสิไอ้ฝรั่งขี้นก!! ใครเชื่อก็โง่แล้ว

     

    “กลับไปได้ละ ผมไม่ต้องการให้คุณมารับผิดชอบ มาอธิบายอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องเอาบ้านหรูๆ เพ้นท์เฮาส์แพงๆพวกนั้นมาซื้อผม ผมไม่ใช่อีตัว!!” สาดเข้าไปอีก ด่าเป็นภาษาฝรั่งแล้วหัวมันไม่หายร้อนเท่าไทยเลย

       

     “เมื่อกี้แกว่าอะไรนะหย็อง” คนเป็นป้าที่ยืนฟังหลานชายพ่นภาษาไทยใส่ไอ้พ่อฝรั่ง ก็ถึงกับต้องเงี่ยหูไปขอฟังใหม่อีกครั้ง เมื่อกี้มันว่าอะไรหรูๆนะ

    “กลับไปได้ละ!!” หย็องเดินปึงปังไปหมายจะปิดประตู ไม้แบบบานพับที่เปิดทิ้งเอาไว้กึ่งหนึ่งใส่หน้าไอ้พ่อฝรั่ง แต่มือแกร่งก็จับยึดเอาไว้พร้อมส่งสายตาอ้อนวอนมาจนอยากยกเท้าขึ้นลูบเล่นให้มันหายแค้น 

    “เดี๋ยว….เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะหย็อง! กลับมาพูดใหม่สิ” คนเป็นป้ากวักมือเรียกหลานชายหย็อยๆ

     

    “บอกป้าคุณไปสิว่าผม ต้องการจะยกบ้านที่พัทยาให้ ส่วนเพ้นท์เฮาส์ที่ว่าผมต้องการซื้อเอาไว้อยู่กับคุณเวลาที่เรามาต่างอากาศที่นี้” ได้ทีก็รีบพูดใส่หูสวยๆของเด็กน้อยเป็นการเอาใจ ใบหน้าบูดบึ้งจ้องกราดกลับมาพร้อมกับดวงตาคู่สวยที่ดุจนตัวเขาแทบสั่น ชายหนุ่มพยายามจะขอเข้าบ้านแต่เด็กน้อยของเขาก็เอาแต่กัดฟันขู่ฟ่อ ห้ามไม่ให้แม้แต่จะให้เขาก้าวเท้าเข้าไปเหยียบพื้นขอบไม้

    “ก็บอกแล้วไง ฟังไม่รู้เรื่องอ๋อ ผมไม่อยากพูดกับคนขี้โกหกแบบคุณนะ!!

    “ผมไม่ได้โกหก ผมจริงจัง”  คำพูดหนักแน่นจนคำฟังถึงกับชะงักแรงที่พยายามดันประตูปิด เด็กน้อยช้อนสายตาคู่คมที่ยังเจือไปด้วยความดุดันขึ้นมอง

     

    “คนอย่างคุณมันเชื่อไม่ได้ คุณทำให้ชีวิตผมย่ำแย่ คุณมันเป็นความซวยที่สุดในชีวิตผม จำไว้!!” ว่าเสร็จก็ผลักอกแน่นๆที่เคยใช้หนุนพักเหนื่อยตลอดคืนเมื่อสองอาทิตย์ก่อน จนร่างนั้นกระเด็นเซออกไป หย็องใช้จังหวะนี้ปิดประตูลงกลอนแน่นหนา โดยไม่สนใจเสียงขูดประตูวอแวหนักด้านนอกเลยแม้แต่น้อย

     

    “เมื่อกี้แกสองคนพูดอะไรกัน” ป้าหอมถามทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น คนเป็นหลานก็ได้แต่ทอดถอนลมหายใจ

    “ป้าไม่ต้องรู้หรอก ก็แค่คำพูดลมๆแล้งๆ มันก็แค่คำโกหกอ่ะป้า รู้ไปก็เสียหูหมด” หย็องเลือกที่จะตอบตามที่ตนคิด ถึงจะเห็นว่ารวยพอพาไปเลี้ยงมื้ออาหารแพงๆ เปิดห้องหรูๆนอนก็จริง แต่ถึงขนาดซื้อเพ้นท์เฮาส์ซื้อบ้านให้ เขาไม่มีทางจะเชื่อเด็ดขาด

    “รวยนักรึไงไอ้บ้า” เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง แล้วเลือกที่จะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่าเข้านอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาเริ่มงานตั้งแต่เช้า

     

     

     

     

     

     

    เช้าวันใหม่อากาศสดใสพิกล เมื่อปลายเท้ามีพัดลมเปิดอัดเบอร์สามเอาไว้ แถมข้างกายก็ไม่เห็นร่างอ้วนท้วมของป้าหอมนอนอยู่ ความอึดอัดร่วมคืนถึงหายไป ทุกทีเขากับป้าจะตื่นพร้อมกันเพื่อที่จะออกมาช่วยกันเตรียมของทำขนมขายส่วนเขาก็ต้องออกไปรับจ้างเข็นผักในตลาด แต่วันนี้ด้วยเหมือนว่าป้าคงจะมีแรงดีดมากพอสมควรก็เลยปล่อยให้เขานอนพักผ่อน เด็กน้อยกลิ้งตัวไปมาบนฟูกแข็งๆขนาดห้าฟุต ก่อนจะหยิบเอานาฬิกาตั้งโต๊ะที่หาซื้อได้ตามตลาดนัดขึ้นส่องดูเวลา

    ตีห้าแล้ว….

     

    วันนี้เขาไม่ต้องไปส่งผักก็เลยสามารถตื่นสายได้อีกหน่อย เพราะกว่าจะออกไปส่งขนมให้ป้าหอมก็เกือบแปดโมง ส่งข้าวให้คนงานก่อสร้างก็ตอนสิบเอ็ดโมง ไปล้างจานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวก็เป็นตอนบ่าย

    เพราะฉะนั้น นอนต่อได้….

     

    นึกแพลนของตัวเองเสร็จสรรพก็จัดการฟุบหน้ามุดลงกับหมอนเน่าๆ หลับต่ออีกสักสองชั่วโมงแล้วตื่นขึ้นมาตามเสียงนาฬิกาปลุกตอนเจ็ดโมงเป๊ะ  

    เด็กน้อยงัวเงียจากที่นอน กดปิดนาฬิกาเสร็จก็เอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพาดไหล่ ก้มหน้าก้มตาแคะนู้นแคะนี้ ก่อนออกจากห้องไปโวยวายเสียงดังเพื่อทักทายป้าหอมที่คงกำลังจัดขนมลงถาดแบบที่เป็นทุกๆเช้า

     

    “เห้ย!! อะไรวะ พวกคุณเป็นใคร” ร้องเสียงหลงพร้อม ชี้นิ้วสั่นๆไปยังกลุ่มก้อนสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่เคยพบเห็น ที่ไม่เคยพบคือไม่เคยเห็นหน้าและไม่เคยรู้จักมาก่อนแน่ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวจากนอกโลกอะไรหรอก

    ป้าหอมที่ได้ยินเสียงโวยวายของหลานชายก็รีบออกมาจากหลังบ้าน เดินยิ้มหน้าแป้นเข้ามาหาหลานชายสุดที่รัก ที่ยังยืนงงอยู่กับกลุ่มแรงงานข้าทาสที่ค่อยๆหันมาส่งยิ้มทักทายยามเช้าแบบโนสนโนแคร์

    “ไม่ต้องตกใจ คนพวกนี้ พ่อฝรั่งเขาส่งมาช่วยป้าทำขนม” พูดไปก็กลั้นยิ้มไป นี่มันยังไงกันล่ะป้า!!

     

    “สวัสดีค่ะ คุณหย็อง” เอาล่ะ มนุษย์ผู้หญิงในชุดสูทที่เคยนั่งรวมกลุ่มอยู่กับพวกข้าทาสใช้แรงงานปั้นแป้ง ลุกขึ้นมาทักทายเขา ความไทยแท้บนใบหน้านั้นทำให้หย็องต้องยกมือไหว้ เจ้าหล่อนยกตอบกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ไทยประดิษฐ์

    “คุณคริสโตเฟอร์บอกให้ดิฉัน พาคุณหย็องไปที่โรงแรมXXX หลังจากที่คุณหย็องทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วค่ะ” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงใสกิ๊ง มีจังหวะจะโคน

    “แต่แต่ผมต้องเอาขนมไปส่ง”

    “เราเตรียมทีมงานจัดส่งไว้แล้วค่ะคุณหย็อง รวมทั้งเชฟจากโรงเรียนสอนทำขนมที่จะช่วยคุณป้าของคุณหย็อง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เชิญคุณหย็องจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยดีกว่านะคะ” เสียงนุ่มนวล แต่ทรงพลังพอจะทำให้เด็กหนุ่มพยักหน้ารับช้าๆ ป้าหอมก็เอาแต่ดันหลังหลานชายให้เข้าไปในห้องน้ำผุๆ เพื่อที่จะได้ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยตามที่ผู้จัดการหญิงคนนี้บอก

     

    “เออ ว่าแต่ว่า ขนมพวกนี้” พอดันหลังหลานชายให้เข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาหันมาคุยเรื่องธุรกิจธุรกรรมกับผู้จัดการหญิงที่ยืนยิ้มละไมอยู่ หล่อนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในความหมายของป้าหอม เธอเดินไปหยิบเอาซองกระดาษสีขาวหนาเป็นปึกออกมาแล้วเดินกลับมายื่นส่งให้

    “นี่ค่ะ ค่าขนมทั้งหมด คุณคริสต้องการซื้อไว้จัดให้กับลูกค้าที่โรงแรม เดี๋ยวยังไงทางเราจะส่งผู้จัดการแผนกอาหารมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่อง เมนูขนมและค่าใช้จ่ายนะคะ”

                    “ด่ะๆ เดี๋ยวนะหนูนะ คือ ป้าต้องทำขนมส่งโรงแรมหรือ”

                    “ใช่ค่ะ ต่อจากนี้ ขนมทุกชิ้นของคุณป้าจะต้องทำส่งให้โรงแรมในเครือของเราเท่านั้น ซึ่งเรากำลังจัดเตรียมสถานที่ไว้ให้แทนที่นี้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทางเราจะเป็นคนจัดการ รายได้ที่ได้จากค่าขนมทั้งหมดจะเป็นของคุณป้าค่ะ….โอ้ะ คุณป้าคะ!! ใครมียาดมขอยาดมด้วยค่ะ!!

     

            

     

     

                   

                    หย็องที่นั่งตัวลีบอยู่ในรถตรงเบาะหลังสุดส่ายหน้าปฏิเสธกล่องนมจืดรสธรรมชาติที่คุณผู้จัดการหญิงยื่นมาให้ หล่อนถามว่าเขาต้องการน้ำอย่างอื่นมั้ย

                    “ม่ะ ไม่ครับ” ตอบด้วยเสียงอ่อนๆ อย่างถ่อมตัว หล่อนยิ้มมาให้แล้วบอกให้เขาผ่อนคลาย ถึงจะบอกว่าให้ผ่อนคลายก็เถอะ ใครมันจะไปทำได้วะ!!

                    “เรากำลังจะไปไหนกันเหรอครับ” ถามออกไปเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศให้ผ่อนคลายขึ้น ผู้จัดการหญิงหันมายิ้มให้เขาแต่ไม่พูดอะไร นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มอยากรู้เข้าไปอีก

                    “ตอบผมหน่อยสิครับ”

     

                    “ถึงแล้วค่ะ” สิ้นเสียงรถลีมูซีนสีขาวมุกก็จอดสนิทไม่เคลื่อนไหว ประตูด้านซ้ายของเขาเปิดออกก่อน พร้อมด้วยพนักงานที่สวมชุดสูทดูดี ก้มลงมาพูดคุยกับเขา

                    “เชิญครับ คุณคริสรออยู่”

     

                    นี่ต้องรวยขนาดไหนถึงสั่งคนพวกนี้ได้ หย็องได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ มีเพียงแค่เหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดพรายขึ้นบนขมับขณะเดินผ่านล็อบบี้ที่ปูด้วยหินอ่อนและแปะทองคำตามเสาอย่างโอ่อ่ารโหฐาน ขนาดขึ้นลิฟต์ก็ยังต้องใช้ลิฟต์ส่วนตัว ที่ไม่ใช่ลิฟต์ขนผักขนปลาหรือของแขกที่มาเขาพัก มันค่อยๆเคลื่อนตัวเองขึ้นไปยังชั้น เจ็ดสิบแปดอันเป็นชั้นที่อยู่บนสุดของโรงแรม

     

                    เสียงติ๊งของมันเหมือนเป็นเสียงบ่งบอกเส้นตายของเด็กหนุ่ม เหงื่อที่เคยผุดอยู่บนขมับไหลย่อยลงไปตามแก้ม จนผู้จัดการหญิงข้างตัวต้องยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้

                    “คุณคริสรออยู่ในห้องประชุมค่ะ”

                    “ผมต้องเข้าไปเหรอ คนเดียวเหรอ”

                    “ค่ะ” เธอยังคงยิ้มอย่างมีมารยาทและขอตัวแยกออกไปกับพี่บอดี้การ์ดตัวบึ้ก ทิ้งไว้แค่เขาเพียงเดียวที่ยังยืนหลังงออยู่หน้าประตูไม้สักเนื้อดี อยากจะเดินกลับไปที่ลิฟต์ แล้วก็ออกไปจากโรงแรม เดินตกทะเลตายไปซะให้พ้นๆสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ แต่พอนึกถึงใบหน้าของป้าหอมที่ยิ้มหน้าบานแล้วบานอีกก็อดสงสารไม่ได้

     

                    สงสารตัวเองนี่ล่ะ!!

     

                    มือเรียวผลักประตูเข้าไปก่อนจะพบกับพ่อฝรั่งที่นั่งปั้นหน้าดุอยู่ที่เก้าอี้บุนวมสีดำชั้นดี ระยะห่างของพวกเขาเรียกได้ว่าไกลลิบ และนั่นก็เป็นการดีมากจริงๆ เพราะถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้หนีทัน

                    พ่อฝรั่งกวักมือเรียกหย็อยๆอยู่ตรงหัวโต๊ะ เด็กหนุ่มก็ส่ายหน้าปฏิเสธเตรียมตัวจะหนีเพราะกลัว กลัวว่าอาจจะถูกยิงตายห่าในห้อง ส่วนศพก็เอาไปโยนทะเลให้ปลาฉลามมันกิน โทษฐานที่เขาทำตัวเกเรท้าทายอำนาจมืดพ่อฝรั่งเขา

                    “ไม่มีฉันเดินเข้าไปหานะ” ไม่ต้องรอคำตอบแม่งก็ลุกจากเก้าอี้ กลัดกระดุมเสื้อสูทสีกรมท่าแล้วก้าวขายาวๆไม่กี่ฉับก็มาถึงครึ่งโต๊ะ หย็องรีบหันหน้าเตรียมตัวจะเปิดประตูวิ่งหนี

                    ล็อค!!

     

                    เขย่าประตูด้วยความเก่าจับจิต จำได้ว่าเคยฉี่รดกางเกงครั้งสุดท้ายก็ตอนอนุบาลสอง นี่ถ้าจะต้องมาฉี่ราดอีกคงได้เดินตกทะเลตายของจริงก็คราวนี้แน่

                    “คิดถึงจังเลย”  เสียงทุ้มต่ำดังอยู่ข้างหูพร้อมกับคางแหลมๆที่เกยลงมาบนไหล่ ยังๆ ยังไม่หมด ยังมีมือปลาหมึกที่กำลังรุ่มร่ามอยู่ตรงเอวของเขาอีกตั้งสองแขน

                    “อย้า!” ดิ้นหนีด้วยความจั๊กจี้ หัวใจก็เต้นแรงจะอยากจะจับมันโยนออกไปนอกหน้าต่างให้พ้นๆ

     

     เด็กน้อยที่ไม่ประสีประสากับความรู้สึกเช่นนี้ถูกจับไหล่ให้หันไปสบสายตากับผู้ใหญ่อายุสามสิบสามที่จ้องกลับมาอย่างมีความหมาย ใบหน้าหล่อคมคายไม่เปลี่ยน ก้มลงฉกฉวยริมฝีปากนิ่มของเด็กหนุ่มขบเม้มมันเบาๆ แล้วเคลื่อนไปกดจูบกลางกระหม่อมแล้วเคลื่อนมาที่สันจมูกโด่งได้รูป เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มรักและความสำคัญยัยหนูตรงหน้ามากแค่ไหน

    “พอแล้ว” เสียงสั่นๆ พร้อมใบหน้าแดงเถือกเรียกเสียงหัวเราะของคริสได้ จนเด็กหนุ่มต้องชักสีหน้า ไม่ชอบใจที่ถูกล้อ เอวบางที่ยังไม่ถูกปลดปล่อย ก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอด กระชับมันแน่นขึ้นจนเจ้าของ แทบอึดอัด คริสพาร่างบางบอบนั่งลงบนตัก มือที่เคยรัดเอวบางก็คลายออกแล้วปล่อยวางไว้อยู่แบบนั้นหลวมๆ  

    “หอมเหมือนเดิมเลยนะครับ ใช้อะไรถูตัวนะ” สูดดมเสียงดังออกมาจนดูเหมือน ตาแก่โรคจิต หย็องดันใบหน้าหล่อคมออกไปโดยไม่มีความปราณีใดๆทั้งสิ้น

    “ผมขอโทษๆ ผมไม่ได้คิดที่จะทิ้งคุณ คุณพร้อมจะฟังผมแก้ตัวมั้ยครับ”

                     “ไม่ ผมจะกลับบ้านครับ” หย็องเบะปาก ท่าทางดื้อดึงที่เห็นเกิดจากความเขินอายทั้งสิ้น ขนาดว่าอยู่ในชุดไปรเวทบ้านนอกก็ยังดูดีจนแทบล้ม แต่วันนี้กลับแต่งตัวมาดนักธุรกิจเต็มยศ ฉีดน้ำหอมแนวสปอร์ตอีกพูดจาท่าทางอีก คนมองที่ไหนจะไม่เขินบ้าง เขาคนหนึ่งล่ะที่โคตรเขิน….

     

                    “ไม่ให้กลับ เมื่อวานยุงกัดด้วยนะ เพราะคุณไม่ให้ผมเขาบ้าน ผมไม่อยากให้คุณกลับไปอยู่บ้านที่มีแต่ยุงเลย” ว่าแล้วก็ยกแขนที่มีพาสเตอร์แปะเอาไว้ขึ้นโชว์ เด็กน้อยก็ขมวดคิ้วทันทีแล้วลอกมันออก ตุ่มแดงที่เป็นแผลเพราะถูกเกา ผุดขึ้นเป็นตุ่มเล็กๆอยู่แบบนั้น ใบหน้าของเด็กหนุ่มสลดทันทีที่เห็น หย็องงึมงำๆปากก่อนจะรีบแปะกลับคืน

                    ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าแค่โดนยุงกัดต้องปิดพาสเตอร์อ่ะ….

                    เลยดึงออกแม่ม….

     

                    “ขอโทษครับ”

                    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ว่าคุณนะ ผมว่ายุง” โอ้ยยยยยย คนบ้าอะไรเนี้ย!!

     

                    หย็องเม้มปากแน่น ใบหน้าเห่อร้อนหนักจนรู้สึกว่าอุณหภูมิทั่วร่างมันจะเพิ่มขึ้นด้วย ปวดหัวไปหมดแล้ว หายใจหายคอก็ไม่ค่อยจะคล่องแล้ว

                    “ทานข้าวมารึยังครับ”

                    “ยังเลย”

                    “งั้นลงไปทานข้าวกัน ดีมั้ย” ชายหนุ่มดันตัวเด็กน้อยให้ลุกขึ้นยืน เพื่อที่จะได้ลงไปทานข้าวเช้าช่วงสิบโมงด้วยกันที่ห้องอาหาร แต่ดูเหมือนว่าเด็กจะขืนตัวไม่ยอมลุก เขาเลยต้องเอียงหน้าไปถาม

                    “กินที่นี้ได้มั้ยอ่ะ เลาไม่ค่อยอยากลงไป” เม้มปาก สายตาหลุกหลิกไปมามือที่เคยวางลงบนกางเกงยีนตัวซีดๆ ก็ลูบไปมาเหมือนกับกำลังกังวลอะไรบางอย่าง

                    “งั้นไปทานที่ห้องเรากันนะ โอเคมั้ย” หย็องพยักหน้าช้าๆ แบบนั้นล่ะถึงจะยอมลุกออกจากตักแข็งๆที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของชายหนุ่ม

                    ผู้ชายวัยสามสิบสามยิ้มเอ็นดู กับท่าทางอ่อนน้อมของเด็กตรงหน้า จนอดที่จะฉกฉวยความหอมจากแก้มยุ่ยนั่นไม่ไหว เด็กน้อยที่ถกขโมยแก้มไปหนึ่งฟอดก็หันมาส่งสายตาดุๆ แบบที่เคยทำเมื่อวาน พวกเขาสองคนลงลิฟต์มายังอีกชั้น มองๆไปก็คุ้นตาเสียจนรู้สึกว่า มันคือห้องเดิมกับที่เขาเคยมา

                    “ถามอะไรหน่อยสิ”

                    “หืม

                    “คุณเป็นใครกันแน่” เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย ท่าทางของชายหนุ่มคงไม่ใช่พวกรวยหลอกๆแน่ คงต้องมีบานะอยู่ระดับหนึ่ง ไม่ก็อาจจะเป็นนักธุรกิจที่มีทรัพย์มูลค่าพันล้านบาทเทียบเท่าพวกเจ้าสัวในเมืองไทยก็อาจเป็นได้

                    “อืม พูดเองก็คงไม่เชื่อ…..งั้นนี่ครับ ลองอ่านดู” นิตยสารไทม์ที่วางอยู่บนโต๊ะถูกยื่นมาให้ บนปกเป็นรูปของพ่อฝรั่งยืนเดี่ยวๆล้วงกระเป๋ากางเกงเนื้อดี สายตาแพรงพราวเจ้าเล่ห์แต่ก็หล่อคม นี่ถ้าหากว่าไปแผงหนังสือแล้วเห็นมันวางขายอยู่ล่ะก็ คงมีเหลี่ยวหรือยืนมองบ้างแน่ๆ

     

                    หย็องเปิดอ่านเนื้อความด้านใน ก่อนจะขมวดคิ้วไปเรื่อยๆ เปิดผ่านหน้าที่มีเนื้อหาไม่ตรงกับความต้องการของตัวเอง จนมาจบที่กลางนิตยสาร เป็นรูปของผู้ชายตัวสูงในชุดสูทสีดำยืนหันหลังให้กล้อง สายตากำลังจับจ้องออกไปยังวิวที่มีแต่ทะเลทรายและตึกอาคารทันสมัยด้านหน้า

                    “นักนักธุรกิจไฟแรงอันดับหนึ่งของโลก!! คริสโตเฟอร์ อู๋” อ่านออกเสียงด้วยความตกใจในความใหญ่ยิ่งของผู้ชายตรงหน้า พออ่านไปเรื่อยๆก็พบว่าเป็นถึงทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลอู๋ ตระกูลชาวจีนที่ขึ้นเป็นตระกูลที่รวยที่สุดในโลก ธุรกิจหลักของบ้านคือบ่อน้ำมันในประเทศแถบตะวันออกกลางเกือบทั้งหมดเจ็ดสิบเปอร์เซ็นเป็นของครอบครัวนี้ ไม่รวมไปถึงกิจการอสังหาริมทรัพย์ในเจ็ดรัฐของประเทศอเมริกา กับอีกสิบสองประเทศทั่วโลก รวมถึงบริษัทไอที บริษัทปิโตเลี่ยมผลิตกระแสไฟฟ้า พลาสติก เคมีภัณฑ์ เครือโรงแรมสามสิบเจ็ดแห่งทั่วโลก และบริษัทโซเชี่ยลมีเดียชื่อดังที่ฟันผลกำไรในไตรมาสที่สี่ไปสูงที่สุด แทบจะเป็นเจ้าของประเทศจีนเพราะอำนาจเงินและความทรงอิทธิพล

     

                    สรรพคุณบอกเบอร์เลยว่ารวยกว่าเจ้าสัวในไทยรวมกันสักห้าสิบคนได้ แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับรอยยิ้มร้ายๆที่ผุดขึ้นมาตอนที่เด็กหนุ่มเงยหน้าไปมองด้วยความอึ้งๆ

                    “คุณทำนิตยสารนี่ขึ้นมาเองเหรอ”   

      

      
























    =======================

    รักหลานเขาก็ต้องเข้าทางป้าน่ะถูกแล้ว 

    ทำดีมากค่ะ คุณคริส รีบกอบโกยคะแนนได้เเล้วนะคะ 

    ดราม่าต่อจากนี้ ไม่ค่อยมีแล้วค่ะ 

    มีแต่ความสัปดลของพ่อฝรั่ง ทั้งน้านนนนนนนนนน

    ...................

    สำหรับตอนหน้า มาเจอวิธีเปย์น้องง้อน้องกัน 

    ระดับพ่อฝรั่งไม่มีทางเล่นเล็กๆแน่นอน 

    แต่จะเป็นอะไรนั้น ต้องติดตามนะคะ 

    ส่วนแฮชแทคในทวิต ก็เข้าไปเทรนกันได้ที่

    #เมียฝรั่งky 

    ไปคุยกันสนุกๆ แถมทวีตได้เลยว่าอยากให้พ่อฝรั่งทำอะไรน้องบ้าง หุ๊หุ๊ 

    ถ้าไม่หลุดจากพล็อต 12 ตอนมาก ไรท์จะจัดเต็มให้แน่นอนค่ะ 




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×