ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TS8 (HKS) รักร้าว ในเงามาร

    ลำดับตอนที่ #10 : Chepter9: คนในหัวใจ

    • อัปเดตล่าสุด 18 ต.ค. 55



                    น้ำตาที่เอ่อออกมา มันเทียบกับความเสียใจที่เสียดแทงบาดลึกลงสุดความรู้สึกไม่ได้เลยสักนิด ผมเดินออกมาจากร้านอย่างไร้จุดหมาย ท้องถนนที่วุ่นวายไม่ได้ทำให้หัวใจผมฟื้นตื่นจากความบอบช้ำ ก้าวแต่ละก้าวมันช่างล่องลอยราวกับอยู่ในสุญญากาศ ทุกอย่างหยุดนิ่งแม้กระทั่งลมหายใจตัวเองผมยังไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้ เค้าใจร้ายเหลือเกิน ทำไมถึงเลือดเย็นมากขนาดนี้ คนไม่มีหัวใจทำร้ายกันซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมจะต้องทำยังไงกัน... อยากจะลืมเค้าให้หมดไปจากความทรงจำ แต่หัวใจมันถึงเรียกร้องหาแววตานั้น หรือนี่...คือสิ่งทุกคนเรียกกันว่า “รัก” แต่ทำไมมันไม่หอมหวานอย่างที่คนอื่นเค้าพูดกัน มันไม่แต่ความเจ็บช้ำขมขื่นจนแทบจะทนไม่ไหว

                    “เฮ้ยยยยยยยยยยยย!!!” เสียงโหวกเหวกทำให้ผมสะดุ้งหันไปมองตามต้นเสียง แสงไฟสาดเข้าตา ผมรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ร่างกายไม่สามารถขยับตัวได้ ผมได้แต่ยกมือปิดหน้าและยอมรับผลที่เกิดขึ้น

                    “โครม!!!” เสียงดังสนั่น แต่ผมกลับไม่มีความเจ็บปวด หรือว่าผมจะตายไปแล้วจริงๆ ผมค่อยๆลืมตามองอย่างหวดหวั่นในใจ ลูบเนื้อตัวตัวเองก็ไม่พบความบาดเจ็บใดๆ เห็นเพียงชายหนุ่มร่างสูงที่นอนกองกับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ผมรีบวิ่งไปดูทันที ร่างสูงนั้นค่อยๆถดหมวกกันน็อคเต็มใบออก

                    “อยากตายรึไงห๊ะ!!!” ใบหน้านั้นตวัดมองมาทางผม พร้อมตวาดอย่างหัวเสีย ผมชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะรู้สึกผิดที่ทำตัวไม่เข้าท่าจนทำคนอื่นเดือดร้อน

                    “ขอโทษครับ...คือผม---” ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง ร่างสูงนั้นโบกมือ

                    “แล้วเป็นอะไรมั้ย???” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนขึ้น ขณะที่คนถามค่อยๆยันกายลุกขึ้น ผมจึงปราดเข้าไปประคอง ใบหน้าขาวใสนั้นหันมามองหน้าผมจนผมต้องหลบตา สายตานั้นทำผมรู้สึกแปลกๆ

                    “แล้วค่าเสียหายผมจะ---”

                    “ไม่เป็นอะไรหรอก---แค่คว่ำนิดเดียว แล้วนี่จะไปไหนเนี่ย???” ร่างสูงขาวถามผมพลางยกรถคู่ใจตั้งขึ้น.... นั่นสิ นี่ผมกำลังจะไปไหน... ผมก้มหน้านิ่ง ผมควรจะไปทางไหนดี...

                    “ทะเลาะกับที่บ้านมาล่ะสิ...แต่มาเดินคนเดียวแบบนี้มันอันตรายนะรู้มั้ย???”

                    “ครับ... แล้วพี่เป็นอะไรรึเปล่า???” ผมก้มลงมองขาที่ดูกะเผลกๆ แต่ร่างสูงกลับส่ายหน้า

                    “เคยเจ็บกว่านี้มาเยอะ... รถก็ไม่เป็นอะไร ขึ้นมาสิ---จะไปส่งที่บ้าน”

                    “คือ----”

                    “ไม่ต้องมาคงมาคืออะไรแล้ว---ขึ้นมาเหอะน่า” ชายหนุ่มร่างสูงตัดบท ก่อนคว้ามือผมให้ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์อันใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...ผมถึงรู้สึกว่า...ร่างสูงนี้จะไม่ทำอันตรายผม มันเป็นความรู้สึกที่ไว้ใจตั้งแต่แรกเห็น ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้เมื่อหกปีก่อน พี่ชายที่ทำให้ผมคิดถึงมาตลอดในวันที่อ่อนล้า... ผมจึงเอาใบหน้าซบแผ่นหลังกว้างนั้น มันอาจจะดูไม่ดีนัก แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน..... ขอให้ผมได้พักทั้งตัวและหัวใจ เพราะไม่อย่างนั้นใจดวงนี้มันคงจะขาดตายลงที่ตรงนี้แน่นอน

                    ในที่สุดผมก็อยู่ที่หน้าบ้าน ผมยกนิ้วแตะออดอย่างอ่อนแรง ยามโผล่หน้ามามองก่อนจะเปิดประตูให้ ผมหันไปโบกมือลาร่างสูงที่ส่งยิ้มมาให้อย่างสดใส

                    “ชั้นไปแล้วนะ...แล้วเจอกัน” ว่าแล้วเจ้าตัวก็สตาร์ทรถขับออกไปทันที ผมสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน เส้นทางที่ทอดยาวสู่ตัวบ้านโออ่า ผมอยากให้มันยาวไกลหลายร้อยกิโล ไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับใครบางคน ไม่อยากรับรู้ว่าหัวใจตัวเองอ่อนไหวแค่ไหน ไม่อยากเห็นว่าความจริง “คนๆนั้น” มีเจ้าของหัวใจแล้ว.... ไม่อยากยอมรับความจริงว่าตัวเองเป็นเพียง “ของเล่น” คลายเหงา มีแต่เราเท่านั้นที่คิดจริงจังกับเกมส์บ้าๆนั่น ต่อไปนี้มันจะไม่เป็นแบบนั้น... เริ่มต้นการเดินของหัวใจใหม่อีกครั้ง อย่าให้มาทำร้ายเหมือนมันไม่มีค่า ไม่อีกแล้ว....แกงส้มคนเดิมตายไปแล้ว

                    “นายหายไปไหนมา---แล้วนั่นใครมาส่ง” ร่างสูงโผล่มาจากมุมมืด เสียงที่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย ผมสาวๆก้าวยาวเพื่อเดินไปให้พ้นจากคนใจร้ายสักที นี่...ยังทำร้ายกันไม่พอรึไง???

                    “แกงส้ม...นายจะไปไหน มาคุยกันก่อน” ร่างสูงคว้ามือผมก่อนลากเข้ามุมมืด คงกลัวคนอื่นเห็นสินะ... ผมสะบัดออกจากเกาะกุมเชิดหน้าสบตาอย่างท้าทาย

                    “คุยเรื่องอะไร!!! ระหว่างเรามันไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว” ผมกัดฟันพูดอย่างเคียดแค้นระคนสมเพชตัวเอง แววตาของใบหน้าหล่อนั้นระริกไหว แต่ไม่มีอีกแล้ว....คนโง่ที่หลงเชื่อแววตาในเสี้ยววินาทีนั้น ในเมื่อการกระทำมันช่างสวนทางอย่างร้ายกาจ!!!

                    “อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย??? คุยกันดีๆก่อน” น้ำเสียงแหบพร่าอ้อนวอน พร้อมปราดตัวเข้ามากอดผม ผมตวัดฝ่ามือไปกระแทกใบหน้านั้นอย่าเต็มแรง ร่างสูงนั้นชะงักนิ่งไป ผมเองก็ไม่นึกว่าตัวเองจะกล้าทำอะไรแบบนี้ แต่มันเจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว... หัวใจดวงนี้มันรับการรังแกไม่ได้อีกแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองทนเจ็บซ้ำเหมือนคนโง่ ผมต้องสู้เพื่อตัวเองสักที

                    “แกงส้ม...” เสียงเรียกทอดอ่อนนั้นเบาเสียจนแทบหายไปกับสายลม ผมไม่รู้หรอกว่าแววตานั้นคืออะไร... แต่ไม่อีกแล้ว หมดเวลาคิดเข้าข้างตัวเอง มันไม่มีทางที่คนๆนี้จะรักเราจริงๆ อย่าสร้างความหวังเพื่อให้ตัวเองต้องเจ็บปวดอีกเลย

                    “คุณหยุดทำแบบนี้กับผมสักทีเหอะ...กลับไปดูแลคนของคุณให้ดี ผมเบื่อกับเรื่องราวแบบนี้เต็มทนแล้ว หยุดทำอะไรเลวๆแบบนี้กับผมสักที ผมทนไม่ไหวแล้ว” ผมตะคอกออกไปอย่างสุดจะทน ร่างสูงนั้นนิ่งราวกับถูกสาปก่อนพยักหน้าซ้ำๆ ผมมองแววตานั้นเป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปนี้ผมจะปิดประตูลงกลอนหัวใจไม่ให้หวั่นไหวกับคนๆนี้อีกแล้ว

                    “ดีแล้ว....มันควรจะเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว” ชายหนุ่มหล่อเหลาเอ่ยปากท่ามกลางความเงียบงัน ก่อนเดินจากผมไปทันที น้ำตาที่คิดว่าจะไม่ยอมเสียให้คนที่เพิ่งจากไปก็ยอมแพ้ความตั้งใจไหลออกมา มันจบแล้ว....แกงส้ม ทุกอย่างกำลังจะกลับสู่จุดเริ่มต้น ต่อไปนี้ระหว่างเราทั้งสองมันจะไม่มีอะไรนอกจากคนที่หายใจร่วมโลกกันเท่านั้น!!!

     

                    HUNZ talk

                    มันดีแล้วจริงๆเหรอ??? มันดีอย่างที่ผมบอกแกงส้มจริงเหรอ??? ผมเจ็บเหลือเกิน ในที่สุดมันก็มาถึงหน้าสุดท้ายของความรัก มันจบด้วยถ้อยคำที่เฉือนหัวใจผมเป็นชิ้นๆ แต่นั่นแหละ...ในเมื่อตัวผมเองถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนแห่งบุญคุณ แล้วผมจะต้องการฝันอะไรลมๆแล้งๆต่อไปอีกทำไม มันถูกต้องที่สุดแล้ว!!!

                    แสงแดดส่องผ่านม่านสีขาวบอกเวลาเช้ารุ่ง ผมขยับเปลือกตาลืมขึ้นมารับเช้าวันใหม่ แต่วันนี้มันช่างเป็นเช้าที่โหวงเหวงข้างในอก วันนี้มันเป็นการเริ่มความเย็นชาระหว่างเราทั้งสอง ในเมื่อรักมันไปได้ไม่สุดทางเราก็จำเป็นต้องละทิ้งทุกอย่างตรงนี้ ก้าวไปคนละทาง... และจะต้องเป็นทางที่แกงส้มจะเจ็บปวดน้อยที่สุด เท่านี้แหละที่ความรักจากคนไร้ค่าของพี่จะทำให้แกงส้มได้....

                    ผมเปิดประตูออกมาจากห้อง... ความรู้สึกเสียใจพุ่งเข้ามาจู่โจมเมื่อเห็นประตูบานตรงกันข้าม แค่เอื้อมเท่านั้นแต่ทำไมมันช่างเหมือนห่างไกลกันคนละขอบฟ้า ผมตัดใจเดินตามทางเดินด้วยความว่างเปล่า...

                    “คุณหนูคะ...ตอนเย็นมีแขกจะมาขอพบคุณหนูค่ะ” เจนจิราเอ่ยขึ้นเมื่อทานอาหารไปสักพัก

                    “ทำไมไม่ให้เค้าติดต่อไปทางบริษัทละคะ...ช่วงนี้งานสมายล์เยอะมาก” คุณหนูเอ่ยถามอย่างข้องใจ

                    “คือ...เค้าจะมาติดต่อเรื่องซื้อที่ดินของคุณหนู เจนเลยคิดว่ามาติดต่อกับคุณหนูโดยตรงจะสะดวกกว่า” เจนจิราทอดเสียงหวาน แกงส้มทำหน้าอึดอัดเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางวงสนทนาเรื่องผลประโยชน์

                    “งั้นให้เค้ามาติดต่อผมแทนดีกว่า---วันนี้ผมว่าง แล้วผมจะเอาข้อมูลมาบอกคุณหนูเอง” ผมเสนอออกไป เพราะรู้ว่าคนที่เจนจิราพยายามนัดให้มาพบคุณหนูคือใคร.... มันไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย

                    “แต่ว่า----”

                    “เอาแบบนั้นแหละ สมายล์เชื่อใจพี่ฮั่นอยู่แล้วค่ะ” คุณหนูตัดบทเมื่อเจนจิราอ้าปากแย้ง แกงส้มรวบช้อนส้อมทันที ทุกคนหันไปมองอย่างงงๆ

                    “อิ่มแล้วเหรอคะ??? ครูแกง ทำไมถึงทานน้อยแบบนี้ อาหารไม่ถูกปากเหรอคะ” คุณหนูหันไปถามใบหน้าไร้เดียงสาอย่างอ่อนหวาน แกงส้มส่งยิ้มน้อยๆ

                    “ช่วงนี้ทานอะไรก็ไม่ค่อยได้มากครับ...แต่อาหารอร่อยนะครับ” คำท้ายแกงส้มหันไปมองป้านวลที่ดูเป็นห่วงเป็นใยแกงส้มไม่น้อย ผมเองพยายามไม่มองใบหน้าน่ารักนั้น....ยิ่งมองยิ่งเจ็บ

                    “คนนั่งๆนอนๆก็เป็นแบบนี้ละคะ---ใช่มั้ยคะคุณฮั่น” เจนจิราหันไปแขวะแกงส้มโดยดึงผมเข้าไปเกี่ยว ทั้งที่พยายามหลีกหลี่ยงแล้วแท้ๆ

                    “ไม่ทราบเหมือนกันสิครับ” ผมตอบสั้นๆ ไม่มองหน้าใคร ทำไมนะ...ทำไมทุกอย่างมันช่างยากเหลือเกิน หรือว่านี่เป็นบาปกรรมในชาติปางก่อนที่ทำให้ผมต้องทนทุกข์เหมือนไฟสุมเช่นนี้ แกงส้มจะรู้สึกยังไงกับความอึดอัดแบบนี้ ความรู้สึกระหว่างเรามันก็แย่พออยู่แล้ว....ยิ่งมีเจนจิราเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกอย่างดูเหมือนจะยิ่งแย่ลงไป ความรักที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจมันกลายเป็นเข็มเล็กๆทิ่มแทงก้อนเนื้อกลางออกจนช้ำไปหมด....

                    “ผมขอตัวนะครับ...รู้สึกเหมือนไม่ค่อยสบาย” เสียงแกงส้มดังขึ้น ก่อนร่างสูงโปร่งจะเดินออกไปจากที่ตรงนี้ ความห่วงใยมันทะลักออกมา แกงส้มจะเป็นอะไรมากมั้ย??? ปวดหัวรึเปล่า??? อย่าว่าแต่ถามไถ่เลยแม้แต่การมองตาม...ผมยังไม่มีสิทธิ์ที่จะทำ!!!

                    ผมนั่งรอแขกผู้มาเยือนของเจนจิรา... หน้าที่ของผมคือการกำจัดผู้ชายที่แสนอันตรายคนนี้ไปจากชีวิตคุณหนู “ชาส์ล มาเวล” มาเฟียผู้ขยายอิทธิพลสู่ดินแดนตะวันออก การซ่องสุมกำลังต้องการใช้พื้นที่ที่สงบและเป็นส่วนตัวมายาวนาน และนั่น...คงเป็นเหตุผลที่ชายคนนี้ต้องการเกาะประจำตระกูลของคุณหนูเป็นที่สุด

                    “ฮั่นคะ...คุณชาส์ลมาถึงแล้วค่ะ” เจนจิราเดินมาเรียกผมถึงห้องทำงาน สำหรับเจนจิราต้องมีวันที่เราต้องพูดกัน... การที่เธอชักนำคนแบบนี้เข้ามามันช่างน่ากลัวนัก และดูเหมือนเธอจะล่วงรู้ถึงความคิดของผม แต่กระนั้นเธอก็ยังคงยิ้มท้าทายอยู่ดี คงเป็นเพราะเธอรู้ดีว่าผมคงไม่ทำอะไรรุนแรงกับเธอ เนื่องจากความสัมพันธ์ในครั้งเก่า

                    ผมเดินอาดๆ ก้าวลงจากบันไดสายตาจับจ้องที่ร่างใหญ่ในวัยกลางคน ที่แผ่อำนาจออกมาจากร่าง สายตานั้นหันมามองผมอย่างหยั่งเชิง

                    “ในที่สุดไอก็ได้พบยูสักที ได้ยินชื่อมานานแล้ว” ถึงจะมีสำเนียงแปร่งอยู่บ้าง แต่ภาษาไทยของชาส์ลก็ถือว่าอยู่ในระดับดีอย่างที่ผมนึกไม่ถึง ผมยื่นมือไปแตะมืออวบนั้นตามมารยาท

                    “ผมเองก็ดีใจที่มีโอกาสนี้ โอกาสที่เราจะได้คุยกัน” ผมตอบรับคำทักทายอย่างนิ่งสงบ

                    “ดีมาก...ดีมากๆ ไอไม่ชอบอะไรที่ต้องเสียเวลา เรามาตกลงเรื่องธุรกิจดีกว่า”

                    “จะไม่มีการตกลงเรื่องธุรกิจอะไรทั้งนั้น ผมต้องการให้คุณเลิกยุ่งกับที่ดินผืนนี้ซะ เพราะมันจะไม่มีวันเป็นของคุณเด็ดขาด!!!  ผมประกาศกร้าว แววตาวาวโชนจากตาสีน้ำข้าวนั้นดูพิโรธไม่น้อย

                    “ยูกล้ามาก....ไอไม่เคยถูกใครพูดแบบนี้กับไอมาก่อน ยูสอนให้ไอเข้าใจคำว่า “ยโส” แบบจริงจัง ไอนับถือ” เสียงปรบมือช้าหากแต่หนักแน่น ดังก้องไปทั่วบริเวณ

                    “ผมยินดีที่จะสอนคำอื่นๆให้คุณอีกนะครับ...หากคุณยังไม่หยุด” ผมขยับตัวเล็กน้อย ปะทะสายตากับชายต่างชาติอย่างดุเดือด

                    “บางทีไอต่างหากที่จะสอนให้ยูรู้จักในสิ่งที่ยูไม่อยากจะรู้จัก!!!” ว่าแล้วชายร่างใหญ่ก็พลุนพลันออกไปทันที ผมรู้ว่านี่เป็นการเริ่มต้นของสงครามระหว่างผมกับชาส์ล แต่เพื่อคุณหนูมากกว่านี้ผมก็ให้ได้ ร่างกายนี้จะเป็นหรือจะตายก็ไม่ต่างกัน ในเมื่อมันไม่มีหัวใจอีกต่อไป สิ่งที่เหลือในอกคือก้อนเนื้อที่เต้นได้เท่านั้น.... แล้วผมจะต้องกลัวอะไรอีก!!!

                    ผมจอดรถหน้าโรงเรียนคาทอลิกชื่อดังในระดับประเทศ สาวน้อยหน้าหวานดูกระตือรือร้นเมื่อเห็นว่าเป็นผมที่ขับรถมารับเธอในวันนี้ เพราะนับตั้งแต่แกงส้มเข้ามาในชีวิต ผมก็คอยหาข้ออ้างอยู่บ้านนานเท่าที่จะนานได้ แต่จากนี้ทุกๆอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม คุณหนูจะได้ผมคนเดิมกลับมา ชีวิตของผมจะถวายให้เธอเพียงคนเดียว....

                    “นานมากเลยนะคะ...ที่พี่ฮั่นไม่ได้มารับสมายล์เอง วันนี้ไม่ยุ่งเหรอค่ะ” เสียงใสแสดงความดีใจออกมาโจ่งแจ้ง ถึงแม้จะร้ายกาจเพียงใด... แต่เธอก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาเท่านั้น ผมยิ้มให้น้อยๆไม่ตอบ ผายมือชี้ทางไปสู่รถคันหรู แต่เสียงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่มันทำให้บางอย่างผิดปกติ ผมหันกลับอย่างรวดเร็ว หากแต่ปากกระบอกปืนนั้นเล็งมาทางนี้อย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่ผมทำได้ในวินาทีนี้คือการปกป้องร่างเล็กที่ยังไม่รู้อะไร ผมคว้าร่างนั้นเข้ามาเพื่อให้แน่ใจว่างผมจะบังเธอจากวิถีมัจจุราชได้

                     “ปัง!!!” เสียงปืนดังขึ้นมาในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คน ผมรู้สึกเจ็บแปลบๆที่บั้นเอว ซึ่งนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น.....

                    “พี่ฮั่น----พี่ฮั่นถูกยิง----ช่วยด้วยๆๆ ใครก็ได้ช่วยที” เสียงกรีดร้องของคุณหนูเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยิน ความเจ็บปวดมันบาดลึกลงทุกๆอย่างค่อยเลือนรางจนมืดดับลงไปในที่สุด.....

                    “เตรียมห้องผ่าตัดด่วน... คนไข้เสียเลือดมาก ความดันต่ำ” เสียงนั้นปลุกผมให้ฟื้นตื่นขึ้นมา ผู้คนในชุดสีขาววิ่งวุ่นรอบตัวผม เสียงกรรไกรคมกำลังตัดเสื้อออกจากร่างกายผม ถึงอ่อนแรงแต่ผมก็ยกมือคลำสร้อยพระ.... ยังอยู่ ผมกำสร้อยเส้นนั้นไว้แน่น หากผมตายผมก็ขอให้สิ่งแทนหัวใจของผมอยู่ตรงนี้ ถึงเค้าจะไม่รู้ว่าผมรักเค้าแค่ไหน....แต่ผมเต็มใจที่จะตายไปพร้อมลมหายใจสุดท้ายที่รักแกงส้ม แกงส้ม....คนเดียวในหัวใจของพี่....

                    “ปล่อยคะ...คุณปล่อย----” มือนุ่มพยายามแกะมือผมออกจากสร้อยพระ

                    “หมอ...อย่าถอดสร้อยผม---อย่าเอามันไป.....อย่าเอามันไปจากผม....”

     

    ปล. ขอโทษที่อัพช้านะจ๊ะ ช่วงนี้อะไรมันวุ่นวายไปหมด ยังไงๆก็เม้นให้กำลังใจกันด้วยนะ ห้ามลืมกันนะจ๊ะ!!!


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×