คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : ช็อปปิ้งทั้งทีมีแต่ความวุ่นวาย
ช็อปปิ้งทั้งทีมีแต่ความวุ่นวาย
----------------------------------------------------
หลายวันต่อมา
หลังจากที่พาเหล่าเซอแวนท์ทั้งหกเข้าลุยชาเล้นจ์ในอีเว้นท์กุดะกุดะภาค
3 ช่วงเช้าเรียบร้อย ความรู้สึกโล่งใจก็ได้เพิ่มพูนอย่างเต็มเปี่ยม
ถึงแม้จะไม่เท่าตอนลุยชาเล้นจ์ในภาคสองที่แก๊งค์หมา(แลงสาบ)ไม่ถูกโจมตีเลยก็เถอะ
ซึ่งครั้งนี้ฉันจัดทีมเป็นคูจังนำหน้าก่อนที่จะตามหลังด้วยนักบุญจอร์จ, เมอลิน(ชาวบ้าน), เชอร์ล็อก โฮล์มส, โอคาดะ อิโซ และซากาโมโต้
เรียวมะ เซอแวนท์คลาสไรเดอร์ตัวแจกประจำอีเว้นท์
บางทีก็อยากจะถามจากใจจริงเหมือนกันว่าทำไมเหล่าตัวแจกส่วนใหญ่ต้องเป็นคลาสนี้ด้วย
เท่าที่ดูมานี่ไม่มีคลาสไหนเยอะไปกว่าไรเดอร์เลยนะ
เอ...หรือเพราะฉันมาช้าเกินจนไม่ได้เข้าร่วมอีเว้นท์เก่าๆ
ทำให้รู้ข้อมูลไม่มากกันหว่า
ส่วนเรื่องบอสประจำด่านดันกลายเป็นโอดะ
โนบุนากะสี่คลาสเฉย (อาเชอร์-แอสซาซิน-ไรเดอร์-แคสเตอร์)
ตอนแรกคิดว่าจะเป็นโอกิตะ โซวจิ อัลเตอร์ เลยล่อจัดทีมหมาสี่ช่า เมอลินและมาชูล่วงหน้าอย่างเต็มที่เลย
เหตุผลมันสืบเนื่องจากอีเว้นท์ไต่ปราสาท 100 ชั้นนี่แหละ เพราะคราวก่อนโทโมเอะ
โกเซนอยู่ฝั่งเดียวกันแล้วค่อยอยู่ฝั่งศัตรูในด่านชาเล้นจ์ภายหลัง
คือแบบ...พอเจองี้ปุ๊บถึงกับต้องรีบสลับทีมทันทีทันใด
ในระหว่างนั้นเอง
เซอแวนท์หนุ่มคนหนึ่งอันน่าคุ้นเคยเดินสวนทางมาแล้วหยุดอยู่คุยกับพวกฉันทั้งห้าคนก่อน
“เหนื่อยหน่อยนะครับสำหรับศึกครั้งนี้” เขายิ้มกว้างให้เหมือนทุกทีที่เคยทำหลังได้ฟาร์มไอเทมหรือลุยศึกใดๆ จบ
“เอ่อ...ค่ะ แต่ก็ขอขอบพระคุณเรื่องการล่อเป้าสละชีพเพื่อลงคำสาปใส่ศัตรูด้วยละกันนะคะ” ฉันโน้มตัวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความสุภาพนอบน้อมแล้วยิ้มอ่อนพร้อมหัวเราะเบาๆ
ที่ตัวเองฉุดกระชากลากถูเขาให้สละชีพอีกครั้ง
“ถ้าเพื่อปกป้องทุกคนล่ะก็...ผมพร้อมน้อมรับคำบัญชาอยู่แล้วครับ
เรื่องแค่นี้ถือว่าไม่หนักหนาสาหัสอะไรมากมายเลย”
พวกเราต่างยิ้มให้แล้วแยกทางกันทำธุระของตัวเองต่อไป
ซึ่งฉันได้บอกให้เซอแวนท์สี่คนพักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าห้องครัว เตรียมหาขนมนมเนยไว้กินเล่นในมายรูมสักเล็กน้อย
แต่ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังจากด้านหลังมาติดๆ พอลองหยุดเดินและหันกลับไปมองปุ๊บ
แทบไม่ต้องสืบเลย
“...” เซอแวนท์หนุ่มเจ้าของฮู้ดสีม่วงยืนมองด้วยสายตาเรียบนิ่งตามปกติและใช้หางตัวเองโอบเอวพร้อมยื่นมือขวามาจับมือซ้ายฉันไว้ราวกับไม่อยากให้เดินห่างออกไกล
“เอ่อคือ...คูจัง
นั่งรอที่มายรูมก่อนก็ได้นะ ฉันขอตัวหยิบเสบียงจากห้องครัวแป๊บเดียวเอง”
“แล้วถ้าเจ้าเดินคนเดียว
จะมีใครดักหน้าเล่นอะไรแผลงๆ ใส่รึเปล่า...”
ห๊ะ? จู่ๆ เขาเป็นอะไรไปนิ
คราวก่อนก็ไม่เห็นถามแบบนี้เลยสักครั้ง
“ไม่หรอก
ทุกคนเป็นเพื่อนกันหมดนี่นา อีกอย่างเอมิยะเป็นเหมือนแม่แห่งคาลเดีย
ไม่น่าเล่นอะไรแผลงๆ ขนาดนั้นหรอก...มั้ง...” ฉันพูดจนเกือบจะจบประโยคแล้วค่อยยกมือขวาปิดปากตัวเอง
เพราะเพิ่งนึกออกว่า เอมิยะเองก็คงแอบคิดอะไรบางอย่างเกินคาดอยู่
“แน่ใจ? แสดงความเป็นห่วงเป็นใยดูเหมือนแม่ แต่ทั้งกาย-ใจเป็นผู้ชายเต็มร้อยนะ แถมเซอแวนท์รอบตัวเจ้าส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชายอีก
ระวังไว้สักหน่อยน่าจะดีกว่า” ฝ่ายตรงข้ามแกะมือบนใบหน้าออกด้วยมือซ้ายและจับเชยคางขึ้น
ดวงตาสีแดงของเขาจ้องมองลึกเข้ามาอย่างไม่ละสายตา
อย่าบอกนะว่าเขากำลัง...แอบหึง?
พอคิดได้เช่นนั้น
ฉันก็หลบสายตาออกข้าง แอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนที่จะยกมือขวาขึ้นลูบแก้มเขาเบาๆ
“ตั้งแต่เริ่มคบกับฉันเนี่ย...ดูเหมือนความเป็นอัลเตอร์จะเริ่มหายทีละนิดเลยแฮะ”
“คิดไปเองน่า...มองมุมไหนตัวข้าก็ยังเป็นอัลเตอร์อยู่ดีไม่ใช่เหรอ
แต่เอาเถอะ...” เขาหยุดเว้นช่วงประโยคพักใหญ่แล้วค่อยๆ ปล่อยมือออกจากคางพร้อมเปลี่ยนเป็นลูบหัวแทน
“ข้าแค่มาบอกว่า ระวังตัวด้วย เพราะเจ้าเอมิยะเพิ่งส่งโทรจิตขอร้องให้เรย์ชิพไปซื้อเสบียงเพิ่มเมื่อกี้นี้เอง”
ซื้อเสบียง? อ้าว...งั้นในตู้เย็นก็ไม่มีอะไรเหลือเลยอ่ะดิ
“อ่อ...อื้ม
แสดงว่าคูจังเองก็...”
“ไม่หรอก ข้าถูกดา
วินชี่สั่งให้รับหน้าที่ชั่วคราวหนึ่งวันแทนนักดาบสองคนก่อนน่ะ สรุปง่ายๆ
คือ...เจ้าพวกนั้นจะช่วยซื้อเสบียงด้วยไงล่ะ”
อืมม...แปลว่าเอมิยะกับดา วินชี่ต่างร่วมมือยอมให้มิทสึทาดะกับมุทสึโนะคามิได้หยุดงานแล้วออกเดินทางร่วมกันสินะ
ฉันพยักหน้าตอบรับให้คูจังแล้วส่งท้ายก่อนแยกทางโดยการเขย่งขาขึ้นเพื่อพยายามประทับจูบบนแก้มซ้าย เขาแอบหัวเราะในลำคอพร้อมใช้มือทั้งสองจับนวดและดึงแก้มอย่างเพลิดเพลิน แถมยังก้มหน้าลงงับต้นคอหยอกเล่นจนทำให้รู้สึกจั๊กจี้ทั้งตัว
“ง่า...ไม่เอา
ไม่เล่นตอนนี้สิ คูจังคนบ้า~”
“บ้าแล้วรักมั้ยล่ะ...ยูมิ”
ประโยคคำถามเมื่อครู่ทำเอาแก้มของฉันเริ่มร้อนผ่าวทันทีทันใด
มือสองข้างกำหมัดทุบรัวๆ แก้อาการเคอะเขินทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่เคยได้ผลแม้แต่นิดเดียว
ในจังหวะนั้นเองก็ได้มีเสียงเซอแวนท์หนุ่มคนอื่น(ที่เดินผ่านทางมา)โห่ร้องในเชิงแซวและหมั่นไส้จัดอย่างบอกไม่ถูก
“โอ๊ยยย!!! หมั่นไส้คนมีแฟนแถวนี้จริงโว้ยยย!!!” < คูสามคน
“แหมๆ
ยังหวานด้วยกันไม่เปลี่ยนแปลงเลยแฮะ” < มิทสึทาดะ
“เอ่อ...นายท่าน
ถ้าจะทำล่ะก็...ช่วยเข้ามายรูมก่อนนะขอรับ” < โคทาโร่
“อุหวา...มันคือหวานกันคักแท้น้อ”
< มุทสึโนะคามิ
“นะ...นี่พวกเจ้าสองคนไม่คิดละอายคนรอบข้างบ้างรึไงเนี่ย!”
< อิโซ
“ทำไมรู้สึกหมั่นไส้จนอยากใช้สเตล่าอัดใส่จังน้า”
< อราช
อ้าวเฮ้ย...เหมือนมีอะไรบางอย่างผิดแปลกนะ
สังหรณ์ใจไม่ดีซะแล้วสิ
พอลองหันไปมองทางเจ้าของโฮกุ ‘สเตล่า’ อย่างอราชปุ๊บ พบว่าออร่าสีฟ้าเริ่มเปล่งประกาย เหงื่อไหลทั่วร่าง
มือสองข้างเรียกธนูมาจับด้วยท่าทีที่กำลังฝืนตัวเองจนกระทั่งเขาค่อยๆ
ง้างศรธนูเล็งมายังฉันและคูจังอย่างตั้งใจ
คือการพูดชื่อโฮกุของอราชถือเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับคาลเดียแห่งนี้เลยก็ว่าได้
จะยอมให้แค่ตอนเรย์ชิพไปต่อสู้กับพวกศัตรูเท่านั้น ขนาดตอนเก็บลูกแก้วดราก้อนบอลเสร็จแล้วมุทสึโนะคามิพูดถึงขนมคาสเตล่าครั้งก่อน
พวกเราต้องมาซวยเพราะเขาคนเดียวเลย
แถมตอนนี้!! ยังไม่ใช่เวลาจะอธิบายต่ออีกด้วย
พวกเราทั้งเก้าต่างกันรีบทำหน้าที่ของตัวเองให้ไว ซึ่งทางรองหัวหน้าแก๊งค์หมาห้าช่าอย่างคูแลนเซอร์ขออาสาแบกร่างอราชและมุ่งตรงไปยังคาลเดียเกทเพื่อทิ้งบอมบ์กลางสนาม
ส่วนพวกฉันที่เหลือก็วิ่งตามดูสถานการณ์ว่ามอนสเตอร์ผู้เป็นเหยื่อเหล่านั้นจะเป็นคลาสอะไร
ตู้มมม!!
เสียงเอฟเฟกต์ระเบิดของสเตล่าดังสนั่นลั่นคาลเดียเกทก่อนที่จะเผยศัตรูตรงหน้าที่ทำเอาแทบเอ๋อแดกบวกเสียดายหลายวินาที
เพราะกลุ่มมอนสเตอร์ดันกลายเป็นแลนเซอร์ซึ่งอราชในคลาสอาเชอร์ดันแพ้ทางจนทำดาเมจได้ไม่มากและไม่ตายสักตัว
“มันเจ็บ...นะเฟ้ย...”
“โธ่เอ๊ย...สรุปชื่อโฮกุของข้ากลายเป็นของต้องห้ามไปแล้วใช่มั้ยเนี่ย...แอ่ก”
นักธนูบอมเบอร์พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเล็กน้อยแต่แฝงด้วยความปลงในชีวิตตัวเองสูงก่อนที่จะสลบลงพื้นดับอนาจ
ทางคูแลนเซอร์เองก็เจ็บหนักไม่แพ้กัน ตัวเขาในสภาพมอมแมมค่อยๆ
ลุกขึ้นอย่างทุรนทุรายโดยการจับหอกทิ่มพื้นเพื่อยกร่างตัวเองไม่ให้ล้มลง
จากนั้นคูแคสเตอร์ก็วิ่งเข้าไปช่วยลากพลหอกน้ำเงินเพื่อพาส่งห้องพยาบาลเร่งด่วนแล้วขอร้องให้พวกเราที่เหลือช่วยจัดการมอนสเตอร์ทั้งหมด
อะไรคือการที่ต้องชุลมุนวุ่นวายก่อนซื้อเสบียงเพราะอีแค่สเตล่าเรื่องเดียวเนี่ย...ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ผ่านไปหลายนาที
พวกเราทั้งเจ็ดคนก็จัดการเหล่ามอนสเตอร์ประจำคาลเดียเกทหมดราบคาบพร้อมได้รับใบ Exp. เป็นของแถม แต่คือดีแค่ไหนแล้วที่สเตล่าของอราชไม่ถล่มทลายตัวคาลเดียเหมือนครั้งก่อน
เอาซะจนอยากจะวิ่งไปห้องพยาบาลและกราบเท้าคูแลนเซอร์ในท่าเบญจางคประดิษฐ์เพื่อขอบคุณสักสามรอบในภายหลังเหลือเกินแล
ฉันก้มลงหยิบรวบรวมพวกมันขึ้นมาพร้อมฝากคูโปรโตไทป์ช่วยเก็บเข้าคลังที่มายรูม ต่อมาจึงเริ่มถามว่า นอกจากมุทสึโนะคามิกับมิทสึทาดะแล้ว
มีใครจะร่วมซื้อเสบียงวันนี้ด้วยกันอีกรึเปล่า คำตอบที่ได้คือ โคทาโร่ และอิโซ
“สรุปไปด้วยกันห้าคนเนาะ” ฉันถามเช็คยอดจำนวนคนทั้งหมดเพื่อความแน่ใจก่อนที่พวกเขาจะพยักหน้าตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
“ทีนี้เรื่องสำคัญคือ เสื้อผ้า
พวกเราจะเรย์ชิพเข้าเมืองในยุคปัจจุบันด้วยชุดยุคเก่าๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะงั้นขอให้ไปอาบน้ำอาบท่า
เปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทก่อนแล้วค่อยรวมตัวกันที่ห้องเรย์ชิพนะ”
ว่าจบพวกเราทั้งหมดต่างแยกย้ายกันเตรียมตัวทางใครทางมัน
ส่วนคูจังก็ยังคงจับมือรั้งไว้ไม่ปล่อย สายตาของเขาจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพามุ่งหน้าเดินทางอย่างไว
ในใจคาดว่าน่าจะต้องเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทธรรมดาคล้ายกับชุดที่ใส่ช่วงวันสงกรานต์แน่ๆ
เพราะแฟชั่นของฉันไม่เคยมีแนวชุดกระโปรงหรือแนวผู้หญิงจ๋าเลย
แต่การคาดหมายเมื่อครู่ก็แตกหักภายในหนึ่งวินาทีเมื่ออีกฝ่ายจูงมือจนถึงมายรูมพร้อมบอกให้ฉันนั่งรอบนเตียง
เขาเดินไปหยิบชุดใหม่ในตู้เสื้อผ้าก่อนที่จะวางไว้บนตัก ซึ่งมันดันกลายเป็นยูนิฟอร์มคาลเดียแทน
“ใส่ชุดนี้ซะ...เพราะชุดแฟชั่นของเจ้าส่วนใหญ่มีแต่พวกขาสั้น
เสื้อกล้ามกับเสื้อยืดคอวี ขืนใส่ไปมีหวังไม่รอดจากเงื้อมมือโรคจิตแน่ๆ” คูจังคุกเข่าลงพื้น จ้องมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จับมือทั้งสองข้างไว้แน่นแล้วลูบรอบสัญลักษณ์เรย์จูบนหลังมือขวาด้วยนิ้วโป้งเบาๆ
“อะ...อื้ม
แต่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถ้ามีโรคจิตแถวไหนมุ่งทำร้าย ฉันจะรับมือกับพวกนั้นเอง”
“แต่ข้าเป็นคนรักของเจ้านะ...จะไม่ให้เป็นห่วงได้ไง”
คำพูดคำจาจากเซอแวนท์ผู้เป็นอัลเตอร์ตรงหน้ามันทำให้รู้สึกประหลาดใจมากกว่าเก่าแม้รู้ดีว่าเขาจะแอบแสดงท่าทีอ่อนโยนและคอยปกป้องเกือบตลอดเวลา
แถมตอนนี้เขาก็กำลังสร้างความตกตะลึงอีกหลายเท่าโดยการเข้าสวมกอดพร้อมซุกใบหน้าบนอกฉันไว้
“คูจัง...?”
“...” เบอเซิกเกอร์หนุ่มเงียบปากแล้วยังคงโอบกอดต่อ
จนกระทั่งเริ่มนึกอะไรบางอย่างออก “โทษที...ดันทำให้เจ้าเสียเวลาจนได้
เอาเป็นว่าตอนนี้ไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนละกัน เดี๋ยวข้าต้องทำงานแทนสองคนนั้นแล้ว”
ฉันรู้สึกตกใจจนไม่รู้จะพูดยังไงอยู่นานหลายวินาทีก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับเบาๆ
แล้วเตรียมเปลี่ยนชุดจากแอตลาสเป็นยูนิฟอร์มคาลเดียดั้งเดิม
ตั้งแต่พวกเราสองคนได้เริ่มคบกันตอนลุยชาเล้นจ์รอบสองในอีเว้นท์
Saber Wars ที่ฉันเป็นลมชักกำเริบเพราะเกิดอาการเดจาวู
เขาก็เริ่มแสดงความรู้สึกภายในใจของตัวเองมากขึ้น พยายามทำให้ฉันมีความสุข ตามปกป้องจนปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ
บางครั้งก็แอบอ้อนนู่นนี่อย่างลูบหัวเล่นๆ หรือกอดจากด้านหลังแบบไม่ทันตั้งตัว
ที่สำคัญคือเริ่มหวงมากขึ้น แทบไม่ยอมให้ใครทำอะไรเลยหากไม่จำเป็น
พอคิดไปคิดมาแล้วก็เขินนะ...เซอแวนท์ร่างอัลเตอร์ที่ภายนอกดูเป็นคนเข้าหายากแท้ๆ
แต่กลับขโมยหัวใจฉันจนได้
ให้ตายเถอะ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ณ
ห้องเรย์ชิพ
“เอาล่ะๆ ทีนี้ก็มาครบทุกคนแล้วเนาะ
เดี๋ยวฉันจะเปิดระบบเรย์ชิพให้ละกัน ขอให้อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องขยับเขยื้อนไปไหนนะ”
สาวสวยไซส์ใหญ่อย่างดา
วินชี่ซักถามพวกเราทั้งห้าคนเพื่อความแน่ใจก่อนที่จะเริ่มดำเนินการเปิดระบบเรย์ชิพภายในทันที
ซึ่งตอนนี้ทุกคนได้เปลี่ยนลุคเป็นชุดไปรเวทของตัวเองเรียบร้อย แต่คือมันแปลกตรงที่ว่าทุกคนร่วมใจกันใส่ชุดของมิทสึทาดะเวอร์ชั่นถอดเกราะหนังหมดเลย
ขนาดอิโซที่ชอบใส่ชุดเก่าๆ ก็ยังยอมร่วมด้วยอีกคน
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าพวกท่านจะไปสมัครงานที่ไหนแห่งใดรึเปล่าคะ
ทำไมแต่งตัวดูเป็นพิธีจัง” ฉันเปิดปากถามเหล่าเซอแวนท์หนุ่มพร้อมแสดงสีหน้าเงิบแดกสุดๆ
“ก็แหม...ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องสาธยายลักษณะชุดของแต่ละคนเยอะเกินไปนี่นา
ถ้าร่วมกันใส่รูปแบบเดียวกัน อธิบายแป๊บๆ ถือว่าจบปิ๊งละ”
“เดี๋ยว...นั่นมุกหรืออะไรคะ
คุณแม่มิทสึ”
“นานๆ
ทีจะได้เปลี่ยนลุคใหม่แบบนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีมากเลยนะขอรับ”
“ไม่เห็นต้องซีเรียสอะไรมากมายไม่ใช่เรอะ
มาสเตอร์ แม้จะอยู่ในชุดอื่นแต่สถานะของทุกคนก็ไม่เปลี่ยนแปลงนิ
ขนาดตัวข้ายังเป็นนักฆ่าเหมือนเดิมเลย”
เอิ่ม...จ้ะ
โอเคจ้ะ ตูผิดเองแหละที่ถามอะไรแปลกๆ ไป
แต่เอาเถอะ
เพราะทางโคทาโร่กับอิโซยังใส่ผ้าพันคอของตัวเองอยู่ ถือว่าให้อภัยละกัน
“ไหนๆ เจ้าโชคุไดคิริก็มีชุดเยอะแล้ว
ถ้าร่วมใจกันใส่ทุกคน จะได้ลดทอนเวลาไปในตัวด้วยไงล่ะ นายท่าน” มุทสึโนะคามิเดินเข้ามาตบบ่าฉันพร้อมยิ้มแฉ่งจนเห็นเขี้ยวอันมีเสน่ห์
แถมชายผ้าสีไข่ยังกระดิกไปมาเหมือนหางหมาอีกด้วย
“เฮ้ย...เมื่อกี้ดา
วินชี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าขยับเขยื้อนน่ะ”
“อุย...โทษที
งั้นขออยู่แบบนี้ตอนเรย์ชิพละกันน้อ” ดาบหนุ่มที่เพิ่งรู้สึกตัวเกือบจะสะดุ้งออกจากตัว
แต่พอรู้ว่าต้องอยู่เฉยๆ เขาก็ถือวิสาสะโอบไหล่ค้างไว้เลย
วินาทีที่จะได้เรย์ชิพจริงจังนั้นเอง
ฉันเริ่มสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างจากด้านหลัง เมื่อลองมองด้วยหางตา
พบว่ามีร่างของเซอแวนท์หนุ่มใส่ฮู้ดสีม่วงกำลังยืนกอดอกพิงกำแพงและส่งสายตานิ่งๆ อยู่
ชิบละ...คูจังกำลังจับตามองการเคลื่อนไหวของฉันอยู่นี่หว่า
เขาเปลี่ยนจ๊อบเป็นสโต๊กเกอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย!
ณ
เมืองเกียวโต
ในที่สุด...ฉัน
มุทสึโนะคามิ มิทสึทาดะ โคทาโร่ และอิโซก็เรย์ชิพมาถึงเมืองที่ต้องซื้อเสบียงจนได้
ตอนแรกตั้งใจจะไปฟุยุกิแหละ
แต่พอนึกได้ว่าเคยประกวดแฟชั่นร่วมกับสองราชาจนเป็นที่โด่งดังในเมืองนั้น เลยรีบตัดใจ
จนกระทั่งดาบหนุ่มชาวโทสะขอร้องให้เรย์ชิพที่บ้านเกิดตัวเอง
สุดท้ายผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็น
“น่าคิดถึงจังน้อ
เมืองเปลี่ยนไปจากสมัยยังอยู่ในฮงมารุเยอะมากเลย” มุทสึโนะคามิพูดด้วยความตื่นเต้นยิ่งกว่าคนอื่นแล้วมองรอบตัวเมืองที่กำลังยืนอยู่
ณ ตอนนี้
แต่มันก็ดูสงบดีมากกว่าที่คิดไว้หลายเท่าจริงๆ
สมัยฉันยังเป็นซานิวะนี่เรียกว่าวุ่นวายพอควร เพราะมีกองทัพข้ามเวลามาบุกโจมตีเพื่อเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของซากาโมโต้
เรียวมะไม่ให้หนีพ้นจากตำรวจของรัฐบาลโชกุนได้
แถมพวกเขาสองคนยังบังเอิญเจอกันอีก...ไม่สิ
เรียกว่ายอมเผชิญหน้าน่าจะถูกกว่า มุทสึโนะคามิยอมเข้าไปช่วยเรียวมะพร้อมพาส่งที่คฤหาสน์ซัทสึมะจนสำเร็จลุล่วง
แล้วตั้งแต่ตอนนั้นมา การเจอกันก็จบสิ้นลง และจู่ๆ ฝันของดาบหนุ่มกลับกลายเป็นจริงเมื่อมีอีเว้นท์กุดะกุดะภาค
3 ที่เจ้านายเก่าปรากฏตัวอีกครั้ง
“ก็เราเรย์ชิพเข้ายุคปัจจุบันนี่นา
ทุกอย่างมันย่อมมีการเปลี่ยนแปลงจากอดีตอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้ว
แต่เอาเถอะ...ภารกิจสำคัญของพวกเราคือการซื้อเสบียงกลับคาลเดีย เพราะงั้นรีบไปห้างสรรพสินค้ากันเลยดีกว่าเน้อ”
ว่าจบดาบหนุ่มชาวโทสะก็เดินนำหน้าเซอแวนท์ที่เหลือ เหมือนลืมว่าตัวเองไม่ได้เป็นมาสเตอร์หรือหัวหน้ากลุ่มพวกเขาทั้งหมดเลยสักนิด
และในระหว่างนั้นฉันดันสังเกตเห็นความตุงจากผ้าพันคอของอิโซ แถมยังขยับไปมาราวกับกำลังดิ้นรนออกข้างนอกให้ได้
“เอ่อคือ...” ฉันอดใจที่จะถามนักฆ่าหนุ่มไม่ไหวจนต้องเดินตามไปสะกิดไหล่ให้หยุดเดินก่อน
“นายไม่รู้สึกอะไรแปลกๆ ที่หลังคอบ้างเลยเหรอ อิโซ”
“ห๊า? มันจะมีอะไรแปลกๆ กันเล่า---”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ สิ่งนั้นก็ปรากฏตัวออกจากผ้าพันคออย่างช้าๆ ทำเอาแทบช็อกสลบลงพื้น เพราะเจ้านั่นคืองูหลามไซส์เล็กตัวจริง!!
“กรี๊ดดด!!!” ฉันกรีดร้องแทบลั่นเมืองพร้อมหลบหลังมิทสึทาดะด้วยเนื้อตัวที่สั่นระริกแล้วชี้นิ้วไปทางสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้น
“งะ...งะ...งูน่ะ งู๊วววว!! เอามันออกไปเดี๋ยวนี้น้าา!!!”
“อ้าวเฮ้ย! นี่แกมาอยู่ในนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!” อิโซทำหน้าตกใจสุดฤทธิ์พร้อมรีบถอดผ้าพันคอออกและโยนทิ้ง
จากนั้นค่อยเรียกดาบมาตวัดฟาดฟันงูเป็นส่วนๆ ภายในเสี้ยววินาทีก่อนที่จะก้มตัวหยิบผ้าพันคอขึ้นมาสะบัดให้พอใส่ได้
“ให้ตายเถอะ...ตอนข้าใส่มาก็ไม่เห็นมีเลยนี่นา”
“ก็แล้วทำไมไม่ยอมตรวจสอบให้ดีก่อนเรย์ชิพวะคะ!
ถ้ามันเผลอกัดคอนายหรือพุ่งใส่ชาวบ้านขึ้นมาจะทำยังไงเล่า!”
“เอาน่า...นายท่าน ดีแค่ไหนแล้วที่ตัวนี้ไม่มีพิษร้ายแรง”
มุทสึโนะคามิเดินเข้ามาลูบหัวฉันเชิงปลอบใจให้หายกลัวแล้วตบบ่าดาบหนุ่มอีกคนเบาๆ
พร้อมยิ้มแฉ่งเหมือนไม่มีความทุกข์ร้อนใดๆ “อ้อ...งั้นมื้อถัดไปขอเป็นงูผัดเผ็ดละกันเน้อ
โชคุไดคิริ! ท่าทางจะแซ่บไม่ใช่น้อยเลย”
“แต่ฉันไม่ชอบกินงูนะ
มุทสึคุง”
“กระผมเองก็ขอไม่ร่วมด้วยนะขอรับ...”
“เจ้าชวนเรียวมะกับยัยโอเรียวกินด้วยกันแทนเหอะ
แล้วอย่านึกพิเรนทร์ดึงข้าไปร่วมวงซะล่ะ”
ทั้งฉัน
โคทาโร่และอิโซต่างร่วมใจกันปฏิเสธด้วยสีหน้าเรียบนิ่งโดยมิได้นัดหมายจนอีกฝ่ายต้องหัวเราะร่าพร้อมบอกว่า
เดี๋ยวจะเป็นคนกินอาหารจานนั้นทั้งหมดเอง ต่อมาเขาก็รีบวิ่งไปร้านค้าที่อยู่ห่างจากพวกเราประมาณ
10 เมตรและคุยอะไรบางอย่างกับพ่อค้า
แต่คือ...อันนี้แปลกจริง ในคาลเดียเราเคยมีงูเข้ามาพักพิงอาศัยด้วยงั้นเรอะ! อยู่มาสองปีไม่เคยเห็นมันเลื้อยเพ่นพ่านหรือแม้กระทั่งโผล่ในส้วมเลยนะ!
“...”
เอาเป็นว่าเรื่องนี้ค่อยถามดา
วินชี่ตอนเรย์ชิพกลับคาลเดียละกัน
ณ
ห้างสรรพสินค้าดอกบัว
“เฮ้อ...สุดท้ายมุทสึคุงก็เก็บงูใส่ถุงจริงๆ
สิเนี่ย”
คือตอนที่มุทสึโนะคามิวิ่งไปร้านค้า เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือ เขาขอถุงพลาสติกสีดำจากพ่อค้าแล้วรีบแจ้นกลับมาหยิบซาก(?)งูหลามเก็บใส่ถุงไว้พร้อมหย่อนลงในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ที่เตรียมใส่เสบียงตามลิสต์ของเอมิยะ ซึ่งคนที่ถือลิสต์รายการเหล่านั้นจะเป็นใครได้นอกจากคุณแม่มิทสึนั่นเอง
และขณะนี้พวกเราก็แยกกันหยิบเสบียงในแต่ละอย่างเพื่อไม่ให้เสียเวลากับการตามหาทีละชิ้น โดยแยกเป็นมุทสึโนะคามิ-อิโซ(คู่บ้านนอก) ฉัน-โคทาโร่(คู่คนเตี้ย?) ส่วนมิทสึทาดะตามหาคนเดียว ตอนแรกฉันชวนให้เดินด้วยกันแล้ว
แต่เหมือนเขาจะปิดบังอะไรบางอย่าง จึงจำเป็นต้องแยกตัวออกไป
“จะว่าไป...นายท่านกลัวงูเหรอขอรับ
ตอนนั้นดูตัวสั่นและหน้าซีดมากเลย”
“เอ๊ะ!? ปะ...เปล่าจ้ะ แค่ตกใจที่จู่ๆ มันก็โผล่หัวมาเท่านั้นเอง”
แหม่...ความหน้าด้านที่ฉาบปูนซีเมนต์สิบชั้นนี่มันอะไรกัน...
นินจาผมแดงจ้องหน้าด้วยความสงสัยในตัวฉันอยู่หลายวินาทีก่อนที่จะรีบจูงมือตามหาเสบียงต่อให้ครบ
พอหันไปทางคู่บ้านนอกแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ เพราะพวกเขาดูเข้าขากันดีมากเนื่องจากอยู่บ้านเดียวกัน
พูดสำเนียงเดียวกัน แถมเรียวมะยังเป็นเพื่อนอิโซอีก
เรียกว่ายิงปืนหนึ่งนัดได้นกถึงสามตัวเลยนะนี่...
พอเวลาผ่านไปประมาณห้านาที
พวกเราทั้งห้าคนก็ได้เดินรวมตัวกันกลางห้างเพื่อวางเหล่าเสบียงห้าประเภทลงตะกร้าสีส้มหมายเลขห้า
(ทำไมมีแต่เลขห้า) โดยมีลิสต์รายการเรียงดังต่อไปนี้
1.
ผัก (โคทาโร่)
2.
ผลไม้ (ยูมิ)
3.
เนื้อหมู/วัว/ไก่ (มิทสึทาดะ)
4.
ขนมขบเคี้ยวยามว่าง (มุทสึโนะคามิ)
5.
เครื่องดื่มทั้งดื่มเล่นและประกอบมื้ออาหาร (อิโซ)
“โอเค ทีนี้พวกนายไปยืนรอข้างนอกก่อนเนาะ
เผื่อมีเหตุร้ายแถวนั้นจะได้ช่วยเหลือทัน”
เซอแวนท์หนุ่มทั้งสี่พยักหน้าตอบรับพร้อมกันแล้วเดินแยกย้ายออกนอกห้างสรรพสินค้าโดยทางมิทสึทาดะหยิบกระเป๋าเงินใบหนึ่งและยิ้มอ่อนให้ฉันก่อนจากด้วย
ต่อมาจึงรีบหิ้วตะกร้าเตรียมจ่ายเงินค่าเสบียงในวันนี้
แต่จู่ๆ
ปัญหาก็เริ่มเกิด เพราะเมื่อหันหน้ามองราคาทั้งหมดตรงเครื่องแคชเชียร์ปุ๊บ มันกลับสูงเกินที่จะคำนวณไว้
ฉันขออนุญาตเปิดถุงพลาสติกเพื่อตรวจสอบดู พบว่ามีขวดสาเกกับขนมคาสเตล่าบรรจุอยู่เยอะมาก!
“เอ่อ...อะ...โอเคค่ะ
ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แหะๆ” ฉันยิ้มกว้างและหัวเราะแห้งๆ แล้วยอมควักเงินในกระเป๋าจ่ายให้ทางแคชเชียร์ก่อนที่จะรีบหอบหิ้วใส่ถุงผ้าใบใหญ่แล้วออกจากห้างอย่างไว
ไอ้บ้าคู่บ้านนอก! พวกแกทำอย่างงี้กันทำไมฟร้าา!!
“กรี๊ดดดดดด!!”
นั่นไง...มีปัญหาเกิดขึ้นอีกแล้วค่ะ
ท่านผู้อ่าน
พอลองหันตามต้นเสียงกรีดร้อง
ก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปีและอีกคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นผู้ชายในชุดที่ใส่ปกปิดตัวตนกำลังวิ่งกอดกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมสวนทางกับเธอ
ทำให้รู้เลยว่ามีการวิ่งราวทรัพย์ซึ่งๆ หน้า
“เกิดปัญหาใหญ่ซะแล้วสิ นายท่าน
พวกเรารีบไปช่วยจบเรื่องนี้กันเถอะ” < มุทสึโนะคามิ
“แต่ว่าพวกเราต้องรีบเก็บเสบียงเข้าตู้เย็นนะขอรับ
ท่านมุทสึโนะคามิ” < โคทาโร่
“ในเหตุร้ายแบบนี้ โทรแจ้งตำรวจก่อนจะดีกว่ามั้ง”
< มิทสึทาดะ
“เจ้านั่นน่ะ...ฆ่าทิ้งเลยได้มั้ย”
< อิโซ
“อืมม...” ฉันยืนจับคางครุ่นคิดแผนการอยู่หลายวินาทีก่อนที่จะเริ่มแบ่งหน้าที่ของแต่ละคน
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง อิโซกับมุทสึคุงอยู่ช่วยที่นี่
ส่วนอีกสองคนก็หิ้วเสบียงทั้งหมดแล้วเรย์ชิพกลับไปให้เอมิยะก่อนละกัน”
“แต่ว่าท่าน...”
“ไม่เป็นไรหรอก...โคทาโร่คุง
ปล่อยให้มาสเตอร์แห่งคาลเดียคนนี้ได้ช่วยเหลือผู้คนเถอะนะ
สัญญาเลยว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
ฉันเดินเข้าไปลูบหัวนินจาผมแดงพร้อมส่งยิ้มบางๆ
จากนั้นจึงยกถุงผ้าให้มิทสึทาดะแล้วรีบวิ่งตามหลังคนร้าย ในระหว่างนั้นก็ส่งโทรจิตให้อิโซวิ่งตามหลังคาบ้านเรือนเพื่อรอดักหน้า
และให้มุทสึโนะคามิวิ่งแยกอีกทางหนึ่ง โดยแผนของเราคือการไล่ต้อนให้จนมุมหรืออย่างน้อยต้องติดในซอกหลืบสักจุด
ชาวบ้านแต่ละคนต่างตื่นตระหนกตกใจและยืนมองมาทางพวกเรากันหมด ฉันพยายามบอกให้พวกเขาหลบอยู่ในบ้านของตัวเองด้วยความสงบ เกรงว่าจะโดนลูกหลงภายหลัง เมื่อเวลาผ่านไปหลายนาที แผนการเริ่มบรรลุหนึ่งขั้น นักฆ่าผมดำกระโดดลงดักหน้าจนทำให้คนร้ายสะดุ้งเฮือก ตามด้วยดาบหนุ่มที่วิ่งมาจากทางซ้ายมือ ฉันเห็นแล้วก็รีบออกแรงวิ่งตามให้เร็วกว่าเดิมด้วยการถ่ายโอนพลังเวทลงมายังขาสองข้าง ทำให้อีกฝ่ายลนลานวิ่งหนีไปทางขวามือทันที
‘มุทสึคุง! เตรียมรับนะ!’
หลังจากส่งโทรจิตเรียบร้อย มือขวารีบล้วงกระเป๋ากระโปรงหยิบกลัดมณีเวทย์ขึ้นมาบีบให้แตกพร้อมแสงสีฟ้าเปล่งประกายและหลอมรวมเป็นปืนยิงเข็มช็อตไฟฟ้า ต่อมาฉันก็โยนให้มุทสึโนะคามิและส่งสัญญาณให้ยิงช็อตตัวคนร้าย เขายกมือขึ้นรับมันมาเล็งเป้าหมายตรงหน้า
‘ได้เลย นายท่าน!
เล็งให้ดีๆ แล้วก็...ปัง!’
นิ้วซ้ายเริ่มทำการเหนี่ยวไก
เส้นสีดำสองเส้นที่เป็นตัวนำไฟฟ้าพุ่งออกจากปากปืนอย่างรวดเร็ว
เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานดังลั่นจนทำให้รู้พิกัดของผู้ชายคนนั้นอย่างชัดเจน โดยเขาอยู่ห่างจากจุดนี้ประมาณห้าเมตร
พวกเราทั้งสามไม่รอช้ารีบวิ่งมุ่งหน้าไปหาเป้าหมายแล้วล้อมรอบร่างอีกฝ่ายที่กำลังล้มนั่งพิงกำแพงอาคาร
มุทสึโนะคามิโยนปืนยิงเข็มช็อตไฟฟ้าคืนกลับมาพร้อมหยิบปืนประจำตัวขึ้นจ่อแทน
อิโซเรียกดาบขึ้นจับเตรียมขู่ให้กลัว
“เอากระเป๋าใบนี้คืนมาซะ...”
ฉันพยายามเดินเข้าใกล้และส่งสายตาข่มขู่พร้อมยื่นมือซ้ายจับกระเป๋าสะพายไว้
“เจ้ากำลังทำผิดกฎหมายอยู่นารู้เปล่า...ถ้ายอมจำนนตอนนี้
ข้าจะไม่ปลิดชีวิตทิ้งหรอก”
“คืน...หรือตาย
เลือกให้ไว...” นักฆ่าผมดำถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเชิงขู่ขวัญและหันคมดาบไปยังคอเพื่อรอคำตอบจากคนร้ายตรงหน้า
“...” เขาไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น
แถมยังกอดกระเป๋าไว้แน่นกว่าเดิมอีก
“ไม่ตอบสินะ...งั้นอยู่นิ่งๆ
อย่างนั้นซะ”
สิ้นเสียงของฉันแล้ว
มือขวาค่อยๆ ล้วงกระเป๋ากระโปรงหยิบกลัดมณีเวทย์ขึ้นมาบีบให้แตกอีกเม็ด
แสงสีเทาเปล่งประกายรอบมือจนหลอมรวมเป็นมีดสั้นหนึ่งเล่ม แต่ก่อนที่จะได้ใช้มันสร้างบาดแผลบนมือเขานั้น
เสียงไซเรนของรถตำรวจก็ดังออกจากด้านข้าง เมื่อลองหันกลับไปมองพบว่ามีนายตำรวจยืนรอประมาณสามนายพร้อมกุญแจมือในมือของตน
พวกเรารีบเก็บอาวุธเข้าที่เดิมแล้วลุกขึ้นเผชิญหน้า
“สวัสดีครับ
ทางเราได้รับแจ้งว่ามีโจรวิ่งราวทรัพย์ในเมืองนี้ ไม่ทราบว่าใช่พวกคุณรึเปล่าครับ”
“แค่ผู้ชายคนนี้คนเดียวค่ะ
พวกดิฉันทำหน้าที่วิ่งตามให้จนมุมและขอกระเป๋าสะพายคืนเท่านั้น” ฉันตอบคำถามแบบไม่ต้องคิดอะไรมากมายแล้วชี้นิ้วไปทางคนร้ายที่กำลังนั่งพิงกำแพงด้วยความทรมานจากไฟฟ้าช็อต
“งั้นเหรอครับ อืมม...จะว่าไงดีล่ะ
ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณพวกคุณที่ยอมสละเวลาช่วยเหลือสังคมในครั้งนี้ละกันนะครับ
ถือว่ามีพระคุณไม่น้อยเลย”
ตำรวจหนุ่มหันมาขอบคุณพร้อมยิ้มกว้างแล้วจับใส่กุญแจมือคนร้ายไว้ก่อนที่จะยื่นกระเป๋าส่งมาให้มุทสึโนะคามิ
จากนั้นจึงพาตัวส่งเข้ารถตำรวจอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเราเดินออกจากพื้นที่ได้ไม่ไกลนัก
ผู้หญิงคนนั้นก็ได้วิ่งเข้ามาถึงด้วยความเหนื่อยหอบ
“เอ่อคือ...น้าต้องขอขอบคุณพวกหนูจริงๆ
นะจ๊ะ ตอนนั้นน้ากลัวจนทำอะไรไม่ถูกเลยล่ะ”
พวกเราคืนกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมพร้อมยิ้มกว้างเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อ
รวมถึงตักเตือนเรื่องความปลอดภัยในภายภาคหน้าแล้วค่อยโบกมือลาจากกันไป
ถึงแม้วันนี้จะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นมากมาย
แต่พอได้ช่วยเหลือใครสักคนในเมืองมันกลับทำให้รู้สึกใจชื้นหลายเท่าตัว
อย่างน้อย...หน้าที่ของมาสเตอร์แห่งคาลเดียครั้งนี้ก็สำเร็จลุล่วงตามหวังแล้วล่ะ
“เอาล่ะ
เตรียมเรย์ชิพกลับสถานที่ของพวกเรากันเลยดีกว่าเนาะ”
[ ของแถม ]
ณ
คาลเดีย
ยูมิ
: นี่ๆ ดา วินชี่จัง...ในคาลเดียแห่งนี้เคยมีประวัติงูเลื้อยเข้ามาด้วยเหรอ
เพราะตอนเรย์ชิพไปซื้อเสบียงฉันเห็นงูหลามตัวเล็กนอนอยู่ในผ้าพันคออิโซน่ะ
ดา
วินชี่ : หืม? ไม่มีเลยนี่ บางทีอาจมีใครแกล้งเล่นต้อนรับเด็กใหม่ก็ได้
อิโซ
: แกล้งเล่น?
อย่ามาตลกสิเฮ้ย!
รู้เปล่าว่าข้าเกือบโดนกัดเพราะใครไม่รู้เลยนา
โคทาโร่
: สมมุติถ้ามีใครเลี้ยงมันแล้วเผลอปล่อยทิ้งไว้จนเลื้อยออกมาเองนี่...เป็นไปได้มั้ยขอรับ
ยูมิ
: ไม่หรอกมั้ง ขนาดคุณโอเรียวที่เป็นงูยังไม่เคย---
มุทสึโนะคามิ
: เฮ้ยยยยยยย!!
นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ยยยย!!!
ดา
วินชี่ : โอ๊ะโอ! ดูท่าทางมุทสึโนะคามิคุงกำลังเจอปัญหาอะไรบางอย่างอยู่
พวกเรารีบตามไปดูกันดีกว่านะ
ติ๊กต่อก...ติ๊กต่อก...ติ๊กต่อก...
ปิ๊ง! (ถึงห้องครัวเรียบร้อย)
มุทสึโนะคามิ
: นายท่าน~! ทำไมในงูตัวนี้มันมีเครื่องดักฟังด้วยอ่า~!!
อิโซ
: ห๊า!? ใครมันพิเรนทร์ใส่มันไว้ในตัวงูและดักฟังข้าฟะเนี่ย!
?? : ข้าเองแหละ
ยูมิ
: อ่ะ? คะ...คูจัง!?
คูอัลเตอร์
: ว่าแต่แถวนี้มีใครที่กลัวงูจนกรี๊ดลั่นกันนะ
ยูมิ
: มะ...ไม่มีสักหน่อย
คูจังบ้ารึเปล่า
คูอัลเตอร์
: หืมม? จริงเหรอ...งั้นพิสูจน์กันเลยดีมั้ยล่ะ
โคทาโร่
: เอ่อ...นะ...นายท่านขอรับ
ขะ...ข้างล่างมีงูหลามโผล่มาอีกแล้ว...
คนที่เหลือต่างถอยหลังออกไปและอุทานกันว่า
“ตัวใหญ่โพด!!!”
ในขณะที่มาสเตอร์สาวเริ่มเกิดอาการกลัวถึงขั้นตัวสั่นระริก งูหลามตัวนั้นมันจ้องหน้ามองตาแล้วค่อยๆ
เลื้อยเข้าหาเตรียมฉกอย่างไว
ยูมิ
: ไม่เอ๊าาาา!! อย่ามายุ่งกับช้านนนน!!! ไอ้งูผีบ้าาาา!!!
อิโซ : ฮะ...เฮ้ยยย!! รอข้าด้วยเซ่!! มาสเตอร์!!!
ทั้งสองคนพากันรีบวิ่งหนีรอบคาลเดียจนทำให้คูอัลเตอร์ต้องยิ้มกว้างด้วยความสะใจที่ได้แกล้ง ‘แฟนสาว’ ของตัวเอง
?? : เป็นไปตามแผนการกลั่นแกล้งเรียบร้อยสินะ อัลเตอร์คุง
คูอัลเตอร์ : อย่างที่เห็นนี่แหละ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือเรื่องจับงูละกัน...โชคุไดคิริ มิทสึทาดะ
[ To be continued ]
ความคิดเห็น