คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : ไปเที่ยวงานวัดกันเถอะ!
ไปเที่ยวงานวัดกันเถอะ!
----------------------------------------------------
หลายวันต่อมา
เวลา 18.00 น.
หลังจากที่ได้พาเซอแวนท์บางส่วนตามเก็บ
QP และหาประสบการณ์ในคาลเดียเกทเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปกป้องมนุษยชาติจนพากันหมดเรี่ยวแรง
ฉันก็ขอให้พวกเขาแยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัยโดยที่ตัวเองยังคงนั่งโง่ๆ บนเตียง ณ
มายรูม
ช่วงนี้ทางกลุ่มที่ค่า Bond เต็ม 10 ต่างมีงานอื่นทำช่วยทางนักวิจัย บางครั้งก็มีการขอร้องให้พาลงด่านลุยสักหนึ่งศึกแก้เบื่อ ส่วนคูจังผู้เป็นหัวหน้าแก๊งค์หมาห้าช่ารวมไปถึงรองหัวหน้าอย่างคูฮูลินน์แลนเซอร์ตอนนี้กำลังติดภาระงานเช็ดถูห้องครัวช่วยเอมิยะ
แต่...คู่ประหลาดอย่างสองราชาขุดทองดันร่วมใจพากันอู้งานและมุ่งหน้าตามหาฉันถึงที่เฉยเลย!
ครืดด~
“ยูมิเอ๋ย...ในที่สุดก็อยู่เดียวดายเสียที
ถึงข้าจะรู้ดีว่ามีคนรักแล้ว แต่ยังคงรู้สึกอยากอยู่ร่วมกับเจ้าเช่นเดิม” ฟาโรห์รามเสสที่ 2 เปิดประตูห้องพร้อมเดินเข้าหาอย่างไว จากนั้นก็ขึ้นมานั่งบนเตียงและโอบเอวฉันจากด้านหลังด้วยความสุขใจ
เดี๋ยว...นี่ท่านไม่คิดจะถามความสมัครใจบ้างเลยเหรอฟะ
“โหๆ มาถึงก็บุกเจ้าพันทางก่อนเลยงั้นรึ ช่างร้ายกาจเสียเหลือเกินนะ”
ราชาแห่งอุรุคส่งสายตามองมายังโอจิมังเดียสแล้วมุ่งตรงเข้ามาก่อนที่จะดีดนิ้วเรียกเกท
ออฟ บาบิโลนเพื่อหยิบบางอย่างและโยนให้ ซึ่งสิ่งๆ นั้นคือขวดน้ำเปล่าหนึ่งขวด “อ่ะนี่...ค่าเหนื่อยสำหรับวันนี้”
“ขอบพระทัยนะเพคะ ท่านกิลกาเมช” ฉันรับมันเอาไว้แล้ววางบนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อน
เพราะยังไม่ค่อยหิวน้ำสักเท่าไหร่ ต่อมาจึงนั่งเช็คข้อมูลต่างๆ ต่อ อย่างพวก QP
Exp. หรือแม้แต่ค่า Bond ของเซอแวนท์แต่ละคน ซึ่งรู้สึกได้เลยว่ามันไม่เพียงพอจริงจัง
ทุกคนคงเข้าใจกันดีว่า QP เป็นตัวสำคัญมากถึงมากที่สุดสำหรับมาสเตอร์แห่งคาลเดีย ยิ่งมีเยอะยิ่งฟินจนตัวเหลวเป็นสไลม์
แต่พอจะตามอัพสกิลให้เท่านั้นแหละ...หมดคลังภายในหนึ่งนาที
“ฮืมม...ดูเหมือนว่าคลังของเจ้าจะค่อนข้างว่างแฮะ มีเพียงเท่านี้เจ้าก็พอใจแล้วงั้นรึ”
“อะไรเล่า ตัวท่านที่ช่วงนี้เอาแต่อู้งานอยู่กับท่านกิลกาเมชจะไปเข้าใจคนฟาร์มมาเหนื่อยๆ
เรอะ”
“พูดอะไรของเจ้าน่ะ พวกข้าอู้งานซะที่ไหน
เพราะจัดการงานเสร็จเร็ว ก็เลยได้พักเร็วต่างหาก” กิลกาเมชนั่งไขว่ห้างพูดกับฉันพร้อมยกมือจับเชยคางขึ้นจ้องมอง
“ละ...แล้วคราวนั้นที่พากันเต้นเพลงคุกกี้เสี่ยงทายล่ะ”
“นั่นเรียกว่า ‘พักผ่อน’ ไง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมถึงเข้าใจยากจัง”
ไม่จริงอ่ะ! ตอนนั้นกองงานของพวกเขายังพูนเท่าเทือกเขาหิมาลัยอยู่เลยไม่ใช่เรอะ!
โดยปกติคนเราต้องเคลียร์งานให้เสร็จลุล่วงก่อนได้พักผ่อนหย่อนใจสิเฮ้ย!
“ค่าๆ พักผ่อนสินะเพคะ”
ตัวฉันที่ไม่อยากโต้เถียงไปมากกว่านี้ค่อยๆ
แกะมือกิลกาเมชออกจากคางและเริ่มเก็บโน้ตแพ็ดไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงหลังได้เช็คข้อมูลจนครบถ้วนพร้อมถอนหายใจอย่างหนักหน่วงด้วยความเซ็งจิต
คือแบบสิ่งที่น่าเส็งเคร็งในชีวิตคงไม่พ้นเรื่องวิวัฒนาการของเหล่าเซอแวนท์บางส่วน
เพราะไอเทมแต่ละอย่างรวมถึง QP ในคลังต่างเริ่มหมดเรื่อยๆ
จนรู้สึกได้ว่ามันไม่เพียงพอเลย ยิ่งบางครั้งพยายามกัดแอปเปิ้ลและเรย์ชิพเพื่อฟาร์มไอเทมเป็นสิบครั้งแล้ว
แต่มันกลับดรอปยากโพดๆ ทำให้หมดกำลังใจจะฟาร์มต่อแล้วค่อยรออีเว้นท์เข้าเท่านั้น
ในขณะที่กำลังนั่งครุ่นคิดเรื่องเมื่อครู่เรื่อยเปื่อยหลายนาที
โอจิมังเดียสก็เลื่อนมือทั้งสองมาจับมือฉันไว้พร้อมเริ่มเปิดบทสนทนาใหม่
“ถอนหายใจแรงแบบนั้น...คงรู้สึกเหนื่อยเรื่องการฟาร์มไอเทมมาตลอดสินะ”
“...” ฉันไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นนอกจากพยักหน้าลงเบาๆ
“งั้นพวกข้าสองคนกับเจ้ามอเดรดว่ายน้ำจะช่วยตามเก็บ QP
ให้ละกัน พอดีเพิ่งนึกออกว่าช่วงนี้มีงานเทศกาลในญี่ปุ่นอยู่
ข้าก็เลยอยากให้เจ้าได้ไปเที่ยวที่นั่นน่ะ”
“แล้วตอนหม่อมฉันไม่อยู่ด้วย จะไม่เป็นไรเรื่องการซัพพอร์ตพลังเวทเหรอเพคะ”
“ไปฟาร์มแค่ในคาลเดียเกทเองนี่ ไม่ได้เรย์ชิพเข้าเมืองอื่นสักหน่อย
เรื่องแค่นี้เดี๋ยวข้าขอให้เจ้าทามาโมะกับเมอลินของชาวบ้านคอยช่วยซัพพอร์ตก็ได้
ถือว่ายอมปล่อยให้เจ้าได้พักผ่อนบ้างละกัน”
“ท่านกิลกาเมช...ขะ...ขอบพระทัยนะเพคะ
หม่อมฉันรู้สึกดีใจมากเลย”
ฉันเริ่มยิ้มอ่อนด้วยความปลื้มปิติให้กับสองราชาผู้ซึ่งกำลังจะเลิกอู้งาน
ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ แถมบอกทิ้งท้ายว่า เดี๋ยวจะไปขออนุญาตดา
วินชี่เรื่องงานเทศกาลให้ก่อนที่ทั้งสองจะลุกขึ้นเดินออกจากมายรูมเพื่อเตรียมฟาร์ม
QP ณ บัดนี้
ในระหว่างนั้นก็ขอนอนลงบนเตียงรอคำตอบต่อไปละกัน...
ครืดด~
เสียงประตูห้องดังขึ้นอีกครั้งพร้อมแขกคนใหม่ที่กำลังก้าวเท้าเหยียบพื้นที่ห้องและหิ้วถุงพลาสติกสองใบ
ซึ่งเป็นเซอแวนท์กลุ่มบิโชเน็นอย่างซิกกับโคทาโร่ผู้มีเสียงพากย์เดียวกัน
แต่ฉันก็พอแยกแยะออกบ้างแหละ เพราะโคทาโร่จะออกแนวขี้อาย พูดสุภาพ และซิกเป็นโฮมุนครุสที่เพิ่งมีจิตใจเยี่ยงมนุษย์ทั่วไป
การพูดคุยจึงดูธรรมดาหน่อยๆ
“โคทาโร่คุงกับซิกคุงนี่เอง...มีอะไรรึเปล่า” ฉันลุกขึ้นนั่งพร้อมหันหน้าไปตามต้นเสียงแล้วเปิดปากถามเซอแวนท์หนุ่มสองคน
“นายท่าน กระผมมีของฝากจากมินิคูจังมาให้ขอรับ”
“ส่วนฉันหอบถุง QP ที่เพิ่งตามเก็บให้น่ะ”
“อ่อ...งั้นก็ขอเช็คของพวกนั้นก่อนเก็บเข้าคลังสักหน่อยละกัน”
พวกเขาพยักหน้าตกลงก่อนที่จะทำตามคำสั่งเมื่อครู่โดยเดินเข้ามาวางถุงพลาสติกไว้บนเตียงและขอนั่งข้างๆ
พักผ่อนสักพักใหญ่ (โคทาโร่ฝั่งซ้าย ซิกฝั่งขวา) ฉันเปิดถุงพลาสติกของโคทาโร่แล้วพบว่า
มีเหล่าขนมกินเล่นใหม่ๆ ที่น่าลองมากมาย จากนั้นก็หยิบโน้ตแพ็ดขึ้นมาเช็คใหม่อีกรอบจนพบแจ้งเตือนในกล่องของรางวัลเป็น
QP ประมาณ 10 ล้าน
ห๊ะ? อะไรนะ...10 ล้าน งั้นเรอะ!!
ฉันรีบหันไปทางแคสเตอร์หนุ่มผมน้ำตาลอย่างไวกะถามเรื่องการร่วมทีมฟาร์มครั้งนี้
แต่ดูเหมือนเขาจะรู้ใจจึงตอบกลับมาว่า เขาร่วมมือกับเรียวมะ ทามาโมะ และอคิลลีส(ชาวบ้าน)
เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระในช่วงกลางคืนหรือแม้แต่ระหว่างฟาร์ม Exp.ให้เซอแวนท์คนที่เหลือ
เหลือเชื่อจริงๆ เลย...
“ซิกคุง ทำไม...ถึงยอมลงทุนเพื่อฉันขนาดนี้กันล่ะ”
“คุณคงเหนื่อยมาตลอดทั้งสองปีสินะ เพราะงั้นก็เลยอยากยื่นมือช่วยโดยไม่จำเป็นต้องเปิดปากขอร้องใดๆ
ถึงการแบ่งเบาภาระครั้งนี้จะดูฝืนตัวเองไปหน่อย แต่ว่า...” ซิกเว้นช่วงประโยคก่อนที่จะยื่นมือจับมือขวาฉันพร้อมลูบสัญลักษณ์เรย์จู
“ถ้านั่นทำให้รู้สึกเบาใจลงได้ ฉันจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อคุณ...มาสเตอร์”
โฮมุนครุสหนุ่มยิ้มอ่อนตบท้ายแล้วขอนั่งพักเหนื่อยโดยการเอนหัวซบบนไหล่
ฉันแอบยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับลูบหัวเขาเบาๆ เพื่อแสดงความขอบคุณและปลอบประโลมให้หายเหนื่อย
พอลองมองดูแล้วเขาเปรียบเหมือนน้องชายรองลงจากโคทาโร่
ยิ่งถ้าเปลี่ยนทรงผม สีผมให้ใหม่ พวกเขาจะกลายเป็นฝาแฝดภายในทันที
แต่ก็ต้องเว้นสีตาไว้ก่อน เผื่อแยกแยะคนพี่คนน้องถูก
ต่อมาฉันได้ยินเสียงถุงพลาสติกดังจากฝั่งซ้าย
เมื่อหันไปมองแล้วก็พบว่า โคทาโร่กำลังแกะกล่องขนมป๊อกกี้กลิ่นสตรอเบอรี่ออกมากินเล่น
แถมยังมีการป้อนให้กินด้วย ในจังหวะนั้นเอง ก็เริ่มมีการติดต่อจากบางคน
หน้าจอสีฟ้าปรากฏตรงหน้าและมีดา วินชี่โผล่มาให้เห็นพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“สวัสดียามเย็นจ้า ยูมิจัง
พอดีได้ข่าวจากสองราชาว่าอยากให้เธอเที่ยวงานเทศกาลในญี่ปุ่นน่ะ เพราะงั้นขอฉันถามเพื่อความแน่ใจก่อน...ตอนนี้ยังมีงานค้างคาอยู่รึเปล่า”
“เอ่อ...ตอนนี้ท่านกิลกาเมชกับท่านฟาโรห์กำลังจัดการเรื่อง
QP อยู่ แต่ Exp. ร่อยหรอหมดแล้ว
อืมม...งั้นแบบนี้ฉันก็คงไปเที่ยวไม่ได้น่ะสิ...”
ความหวังในการพักผ่อนเริ่มหดหายทันทีเมื่อนึกได้ว่ามีสิ่งเดียวที่ดันไม่เหลือในคลัง
ฉันก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วกำหมัดตัวเองไว้แน่น
แต่ความรู้สึกนี้กลับถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ เมื่อได้รับคำตอบจากหญิงสาวตรงหน้า
“อย่าเศร้าใจไปน่า เธอจำได้เปล่าว่าเดือนกรกฎาคมนี้เป็นช่วงแห่งเทศกาลทานาบาตะน่ะ
ดังนั้นตัวฉันที่ตั้งความหวังเรื่องหน้าที่ของมาสเตอร์จึงอยากให้เข้าร่วมงานเพื่อเขียนคำอธิฐานสักหน่อย อ้อ...และก็อย่าลืมรับชุดยูกาตะที่ห้องฉันด้วยล่ะ โอเคเนาะ”
ดา วินชี่ตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมปิดหน้าจอการสนทนาไป ทิ้งท้ายให้ฉันดีใจอย่างสุดขีดแล้วแอบตะโกนในใจว่า
เธอนี่ช่างใจกว้างโพดๆ
เลยค่าา!!!
และในระหว่างนั้น ก็มีคนสะกิดไหล่ขวาสองที
ซึ่งจะเป็นใครคนไหนได้นอกจากซิกที่นอนซบพักใหญ่ เขาจ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาสีน้ำเงินแถมยังไม่พูดอะไรเลยสักคำแล้วกุมมือขวาเอาไว้
“ให้ฉัน...ไปงานนั่นด้วยได้มั้ย”
“เอ๊ะ?” ฉันถึงกับสตั๊นหลายวินาทีก่อนที่จะมีอีกคนจับดึงแขนเสื้อเหมือนเด็กน้อย
“เอ่อ...กระผมเองก็ขอไปด้วยนะขอรับ”
“ไม่ได้หรอก...”
“...!!?
เสียงพูดของคนๆ
หนึ่งอันน่าคุ้นเคยดังมาจากประตูมายรูม พอฉันลองหันไปดูก็เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมากะทันหัน
เพราะเขาคนนั้นคือเซอแวนท์ผู้ซึ่งอยู่ในฐานะคนรักอย่างคูฮูลินน์อัลเตอร์
ซึ่งตอนนี้กำลังยืนกอดอกพิงกำแพงห้องอยู่พร้อมส่งสายตานิ่งเรียบใส่พวกเราทั้งสาม
“คูจัง!? ชะ...ช่วยงานของเอมิยะเสร็จเมื่อไหร่เนี่ย”
“เพิ่งเสร็จเมื่อกี้นี่แหละ...” คูจังเริ่มก้าวเดินเข้ามาแล้วเรียกอาวุธประจำตัวออกมาจับไว้ราวกับกำลังจะเตรียมลงมือจัดการเซอแวนท์หนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ
“พวกเจ้าสองคนลืมไปแล้วรึไงว่า ยูมิเป็นคนรักของข้า
หากกล้าทำอะไรนาง...แม้แต่พรรคพวกก็ไม่เว้น”
ยะ...แย่ล่ะสิ
ขืนปล่อยให้เขาแสดงท่าทีหึงหวงมากกว่านั้น การเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมต้องเกิดขึ้นตรงหน้าแน่ๆ
“เอ่อ...คืองี้นะ พวกเขาแค่อยากไปร่วมงานเทศกาลเฉยๆ
ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นหรอก ซิกคุงที่เป็นโฮมุนครุสเองก็น่าจะยังไม่เคยพบเจอประสบการณ์นี้ด้วยซ้ำ”
ฉันพยายามอธิบายเรื่องราวเมื่อครู่อย่างละเอียดให้อีกฝ่ายเข้าใจหลายนาที
ทั้งการหอบหิ้ว QP หรือขนมกินเล่นมาให้แล้วนั่งพักด้วยกัน ท้ายสุดคือ
เปิดปากขอร้องให้มองซิกกับโคทาโร่เหมือนน้องชาย ยอมเที่ยวด้วยกันหลายๆ
คนสักครั้ง แม้ในใจจะคิดว่าเขาคงไม่ยอมหรืออาจถูกมองเป็นคนทรยศก็ตาม
“...”
“ขอเถอะนะ...คูจัง เราทุกคนเป็นพรรคพวกเดียวกันใช่มั้ยล่ะ ร่วมต่อสู้
ทนทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญด้วยกัน เพราะงั้น...หากได้มีโอกาสสร้างความทรงจำดีๆ
ด้วยการเที่ยวงานเทศกาลสักครั้ง นั่นอาจมีค่าที่สุดจนวันตายก็ได้”
“ฉันอยากเรียนรู้เกี่ยวกับมนุษย์มากกว่านี้
อยากจะใช้ชีวิตให้เหมือนมนุษย์ที่สุดก่อนที่เรื่องทุกอย่างจบลงและไม่ได้กลับมาอีกเลย”
“ท่านคูฮูลินน์...ขอร้องเถอะขอรับ”
ทั้งฉัน ซิก
และโคทาโร่ต่างพูดขอร้องเรื่องเดียวกันต่อหน้าเบอเซิกเกอร์หนุ่มจากใจ ซึ่งเขายืนจ้องมองอยู่นานพักใหญ่ก่อนที่จะถอนหายใจพร้อมเก็บอาวุธหอกสีแดงของตัวเอง
วิ้ง~
“ในเมื่อพูดมาขนาดนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้ เอาเป็นว่าข้ายอมให้ไปเที่ยวงานเทศกาลละกัน
แต่ถึงยังไงซะ...ข้าต้องขอติดตามพวกเจ้าด้วยอยู่ดี
เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นกับยูมิโดยไม่ทันตั้งตัว”
คูจังเดินเข้าใกล้ฉันแล้วยกมือขวาขึ้นลูบหัวเบาๆ
จากนั้นจึงบอกให้เซอแวนท์หนุ่มที่เหลือไปรอในห้องเรย์ชิพเพื่อขอคุยกับฉันเพียงแค่สองคนก่อน
เขาขยับมานั่งข้างๆ และเริ่มเปิดประเด็นสนทนา
“ยูมิ...เรื่องเมื่อกี้ข้าไม่แน่ใจนะว่าจะมีศัตรูบุกลอบโจมตีกลางงานจริงรึเปล่า
ในเมื่อพวกเราอยู่ที่นี่นานๆ ไป ศัตรูตัวอื่นอาจแข็งแกร่งขึ้น มีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าเดิม
เพราะงั้นถึงได้เป็นเหตุผลที่ข้ายอมให้พวกนั้นร่วมทางไงล่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง...”
“...” อีกฝ่ายยังไม่พูดอะไรอย่างอื่นต่อนอกจากโอบหางเข้ามารอบเอวแล้วดึงร่างไปกอดไว้พลางลูบหัวเบาๆ สักพัก
“ตัวเจ้าที่เคยโดดเดี่ยวในสมัยเรียนคงไม่ได้มีโอกาสเที่ยวกับใครสักครั้งสินะ”
“...!? อะ...อืม”
“ถ้างั้น...ครั้งนี้จงแสดงออกถึงความสุขจากใจให้เต็มที่ซะ
จะชวนคนอื่นๆ ร่วมด้วยก็ได้ เพื่อปลดปล่อยอดีตอันแสนเจ็บปวดนั่นออกไปให้หมดแล้วเติมเต็มปัจจุบันหรืออนาคตดีๆ
แทน”
แปลกอ่ะ...คูจังวันนี้มาแปลกมาก
แต่ก็แอบดีใจอยู่นะที่อย่างน้อยเขายังยอมให้ร่วมมีปฏิสัมพันธ์กับเซอแวนท์คนอื่นๆ
ตามปกติ
ต่อมาเขาเริ่มลุกขึ้นยืนพร้อมจูงมือฉันเดินออกจากห้องแล้วบอกว่าจะพาไปห้องของดา
วินชี่ แถมพูดทิ้งท้ายอีกว่า เดี๋ยวขอให้มาชูช่วยเปลี่ยนเป็นชุดยูกาตะก่อนเรย์ชิพเลย
อืมม...แบบนี้ก็ไม่เลวเลยนี่นา ได้เที่ยวด้วยกันหลายคนน่าจะสนุกดี
แต่!! โปรดอย่าให้ยูกาตะเป็นธีมชุดสีหวานเถอะ...ดิฉันไม่ปลื้มอย่างแรง!
เวลา 19.00 น.
ณ เมืองฟุยุกิ
“แม่มเอ๊ย...สุดท้ายก็จับใส่ชุดสีนี้จนได้สินะ...”
ตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้างานเทศกาลหน้าร้อนของญี่ปุ่นที่มีจำนวนคนมาเที่ยวไม่เยอะหรือน้อยเกินไป
เมื่อมองดูแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นพวกกลุ่มเด็กนักเรียน นักศึกษา วัยรุ่นทั่วไปซะมากกว่า
แต่ยังคงมีครอบครัวบางส่วนที่พาลูกหลานร่วมงานด้วย
ทุกคนต่างมีชุดใส่หลากสีหลายรูปแบบ โดยคนที่ใส่จินเบย์หรือไปรเวทธรรมดามีเหตุผลอย่างน้อยสองข้อคือ ไม่มีชุดยูกาตะและไม่ชอบความอึดอัดเวลาจะกินอะไรเยอะๆ
ส่วน...
“อะไรกัน คุณหนูไม่ชอบสีชมพูขนาดนั้นเลย” < คูแคสเตอร์
“ก็แหม...แฟชั่นของนายท่านล่อเอาแต่โทนมืดนี่เนาะ”
< มิทสึทาดะ
“จะใส่แต่ชุดโทนดำมันไม่ดีนา นายท่าน
ถึงมีคนรักเป็นเจ้าอัลเตอร์ก็เถอะ” < มุทสึโนะคามิ
“เขาเรียกว่า ‘ความเข้ากันของคู่รัก’ ต่างหากล่ะ...” < คูอัลเตอร์
“เฮอะ! นั่นก็แค่บังเอิญเองไม่ใช่เรอะ!”
< คูแลนเซอร์
“ที่นี่...มีมนุษย์วนเวียนเต็มไปหมดเลย” < ซิก
“มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วน่ะขอรับ ท่านซิก”
< โคทาโร่
กลุ่มคนพวกนี้ต่างอยู่ในชุดที่เคยใส่ตามอีเว้นท์ครั้งก่อน ไม่ว่าจะเป็นช่วงปาร์ตี้และอื่นๆ ของเซอแวนท์ ชุดธรรมดาช่วงพักศึกในฮงมารุของดาบหนุ่ม ในขณะที่ซิกยังใส่ชุดดั้งเดิม ซึ่งโคทาโร่เองก็ใส่ชุดนั้นด้วยเช่นกัน แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ด้วยผ้าพันคอสีแดง
ท้ายสุดคือ คนดวงซวยอย่างฉันถูกบังคับให้ใส่ยูกาตะสีชมพูอ่อนๆ
มีลวดลายเล็กน้อยให้พอดูสวยงาม โอบิ(ผ้าผูกเอว)และถุงเท้าสีขาว รองเท้าไม้สีน้ำตาลอ่อน
ทรงผมเป็นมัดจุกรวบหางม้าขึ้นบนพร้อมปักปิ่นสีดำสองอันไขว้กัน
แต่ยังคงปล่อยผมบางส่วนให้ออกข้างใบหน้าบ้าง แถมมีเครื่องประดับเสริมความโมเอะ(?)คือ แว่นตาไร้เลนส์กรอบสีดำ
พอมองชุดตัวเองแล้วแบบ...นึกถึงความหลังก่อนได้เรย์ชิพที่นี่ทันทีเลยแฮะ
“ยูมิจัง~ ไหนๆ ก็จะเข้าร่วมเทศกาลหน้าร้อนทั้งที
ไม่ลองใส่ชุดธีมสีหวานตัวนี้บ้างเหรอ”
“ห๊ะ!? มะ...ไม่เอาๆๆ
ฉันไม่เหมาะกับสีแบบนั้นหรอก”
“แต่เธอมีความรักแล้วนะ หัดเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของตัวเองให้สวยขึ้นหน่อยเถอะน่า”
“ก็ถ้าลองใส่ยูกาตะสีดำ มันจะได้เข้ากับคูจังไงเล่า!”
“ไม่! ได้! นี่ไม่ใช่งานศพสักหน่อย
อีกอย่างชุดนี้ฉันได้มาจากคนทางบ้านด้วยนะ เพราะงั้นอย่าทำให้เขารู้สึกเสียน้ำใจสิ
โอเค๊?”
“เอาล่ะ รุ่นพี่ ถึงเวลาใส่ชุดยูกาตะแล้วนะคะ”
“เดี๋ยวเด้!!! ฉันยังไม่ทันตัดสินใจเลือกเลยนะเฮ้ยยย!!!”
“งั้น...เพื่อเพิ่มความง่ายต่อการแต่งตัวครั้งนี้ ขอจับปิดตายูมิจังก่อนซะเลยดีกว่า~”
“ไม่นะ! อย่าทำแบบนี้เลย!! ดา วินชี่จ๊างงงง!!!”
บอกเลยว่างานหยาบชิบเป๋งอ่ะ...นี่ฉันต้องคุกเข่าลงกราบคนทางบ้านที่ยอมบริจาคชุดยูกาตะให้สินะ
(กราบงามๆ ในท่าเบญจางคประดิษฐ์สักสามที)
“แต่คุณหนูตอนใส่แว่นก็น่ารักไม่เบาจริงๆ นะ ทำเอาข้าอยากพาเข้าเรือนหอด้วยกันเลย...”
คูแคสเตอร์เริ่มพูดยอเอาใจฉันพร้อมเดินเข้ามาโอบไหล่และยื่นหน้าใกล้ต้นคอ
แต่ก็ไม่พ้นฝ่ามืออรหันต์ของคูจังโบกกะโหลกจนต้องถอยออกห่างอยู่ดี
ป๊าบ!!
“เอ๊อะ!”
“ถึงจะยอมให้ยูมิมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเจ้า แต่ข้าไม่ได้อนุญาตให้เข้าใกล้ชิดแบบนั้นสักหน่อย”
“ฮ่าๆๆ สมกับเป็นตัวเจ้าเลยนา อัลเตอร์
เอาเถอะ...ข้าว่าอย่ามัวแต่เสียเวลายืนเฉยๆ แล้วรีบเข้าร่วมงานกันดีกว่า!”
ว่าจบมุทสึโนะคามิก็ประเดิมนำหน้าเข้างานเทศกาลหน้าร้อนคนแรกด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับคนอื่นๆ
ที่เริ่มเดินตามกัน เว้นแต่ฉัน คูจัง ซิกกับโคทาโร่เท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งอยู่
พวกเราสี่คนต่างทำการตกลงว่า
จะเดินด้วยกันเป็นกลุ่มเพื่อไม่ให้หลงทางหรือปกป้องฉันไว้ในกรณีที่ใครสักคนลักลอบโจมตี
โดยมีซิกกับคูจังเดินขนาบข้าง ส่วนโคทาโร่จะคอยระวังหลัง
“อื้ม...ตามนั้นเลย ทีนี้ก็ไปร่วมสร้างความทรงจำดีๆ
ด้วยกันเถอะ”
ตึก...ตึก...ตึก
ฉันเริ่มนำทางเซอแวนท์ทั้งสามเข้าสู่ภายในงานอันแสนจะครื้นเครง เต็มไปด้วยความสนุกสนานหลากหลายรูปแบบ
แสงสีเสียงจัดเต็มหมด กลิ่นอาหารจากร้านข้างทางเดินลอยตลบอบอวลชวนหิว รวมถึงซุ้มการละเล่นต่างๆ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นตักปลา ยิงปืน โยนห่วงเล็ก หรือแม้กระทั่งซุ้มวัดฝีมืองานช่างอย่างคาตานุกิ
แต่สิ่งที่ชอบสุดๆ คือการยิงปืนนี่แหละ!
เมื่อพูดถึงการยิงปืนแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งเคยเล่นเกมตู้ที่มีปืนสองกระบอกให้เล่นในห้างสรรพสินค้า
ตอนนั้นฉันไม่มีเพื่อน เล่นอยู่คนเดียวแถมใช้สองกระบอกอีก แน่นอนว่ากระเป๋าเงินเกือบแห้งสนิท
จะให้คุ้มที่สุดควรเล่นด้วยกันสองคน
เอาเถอะ...ถึงไม่มีเพื่อนก็เล่นได้สนุกเหมือนเดิมแหละน่า
ในระหว่างที่กำลังคิดเรื่องเมื่อกี้เรื่อยเปื่อย
จู่ๆ ซิกก็ดึงแขนเสื้อพร้อมยื่นขนมดังโงะหนึ่งแท่งให้ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อน
ฉันหันไปขอบคุณเขาแล้วรับมันมาชิมรสชาติดูก่อน
“โอ๊ะ! อร่อยใช้ได้เลยนี่นา”
“ทางนั้นมีเครปขายด้วยนะขอรับ
ถ้านายท่านอยากกินเดี๋ยวกระผมจะซื้อให้เลย”
“ร้านฝั่งซ้ายนั่นน่ะเหรอ อืมม...ค่อยซื้อทีหลังละกันเนาะ
ตอนนี้ฉันอยากยิงปืนเต็มทนแล้วสิ”
“ถ้าซุ้มยิงปืนล่ะก็...เมื่อกี้เหมือนจะเห็นอยู่นะ
และขอเดาว่าเจ้ามุทสึโนะคามิกำลังเตรียมท้าแข่งกับตัวข้าอีกสองคน”
คูจังเริ่มจูงมือฉันนำทางไปยังซุ้มยิงปืนที่ตั้งอยู่ตรงไหนสักจุดพร้อมกับเซอแวนท์บิโชเน็นคอยเดินขนาบข้างให้
พอได้มองร่างเบอเซิกเกอร์หนุ่มที่ไม่มีหางแล้วมันรู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด เพราะเขาดูเป็นผู้เป็นคนหลายเท่าตัวเลย
ตึก...ตึก...ตึก
บรรยากาศรอบตัวตอนนี้ยังคงเต็มไปด้วยซุ้มของกินเพราะอยู่ในโซนหน้างาน ซึ่งไม่ใช่แค่พวกดังโงะหรือเครปเท่านั้น มันยังมีทาโกะยากิ สายไหม หมึกย่าง แอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาล กล้วยเคลือบช็อกโกแล็ต ของคาว-หวานทั่วไปที่ตั้งซุ้มกระจัดกระจายออกเป็นจุดๆ แถมของดับร้อนอย่างไอติม น้ำปั่นและน้ำแข็งไส
(ไรท์ : หลายคนเข้าใจกันผิดมาตลอดว่าเป็น ‘ใส’ แต่ไม่ใช่นะเออ เพราะคำว่า ‘ไส’ คือการทำให้น้ำแข็งเป็นเกล็ด)
มองดูแล้วรู้สึกหิวทันทีเลย...
สักพักหนึ่ง พวกเราทั้งสี่ได้เดินมาถึงหน้าซุ้มยิงปืนบีบีกันที่เหล่าเซอแวนท์กำลังทำการท้าแข่งกันตามที่คูจังเดาไว้ไม่มีผิด
มุทสึโนะคามิยืนพูดคุยกับเหล่าคูสองคนก่อนที่มิทสึทาดะจะหันมาพบเห็นฉันเข้าแล้วเริ่มทักด้วยรอยยิ้ม
“โอ๊ะ...นายท่าน กำลังรออยู่เลยเชียว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากเล่นโซนนี้ ก็เลยตามหาจนยืนรอก่อนน่ะ”
“คุณหนูๆ มาร่วมท้าแข่งสักหน่อยมั้ยเอ่ย ข้ายอมต่อให้เจ้ายิงสองรอบเลย”
“เฮ้ยๆ แคสเตอร์ พวกเราชาวคูจะไปยอมนางไม่ได้เด็ดขาด ลูกผู้ชายต้องสู้เข้าไว้สิ”
“งั้นถ้าลองแบ่งกลุ่มแข่งกันก็น่าจะเป็นไอเดียที่ดีเหมือนกันน้อ”
แบ่งกลุ่มงั้นเหรอ...
อ๋อ...คือพวกเรามีสมาชิกกันแปดคนนี่เนอะ
แล้วแบบนี้จะตั้งกฎกันยังไงหว่า
ฉันหันไปถามมุทสึโนะคามิเรื่องกติกาของการยิงบีบีกันในครั้งนี้
เขายิ้มออกกว้างพร้อมเริ่มอธิบายเป็นขั้นๆ ให้ฟัง โดยแบ่งกลุ่มละสี่คน เล่นคนละรอบพอ
เพราะในหนึ่งกระบอกมีกระสุนประมาณ 12 นัด
รูปแบบการแข่งขันคือ ยืนเรียงแถวสี่คน
เลือกตัวแทนกลุ่มละสองคนเพื่อยิงจุดสำคัญระหว่างหน้าอกและกลางหัวของรูปคนบนกระดาษให้ขาดเป็นรูโบ๋เพียงจุดเดียวเท่านั้น
แถมบอกทิ้งท้ายด้วยว่า ทั้งสองจุดนี้มีคะแนนต่างกันออกไป ซึ่งลุงเจ้าของซุ้มกำหนดไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อย
ฉะนั้นเลือกยิงให้ดีแล้วพอเอามารวมคะแนนสี่คน จะได้ผลลัพธ์ตามคาดหวัง
ส่วนบทลงโทษสำหรับฝ่ายที่แพ้คือ บังคับเสียเงินไปเล่นคาตานุกิราคา
100 เยนเพื่อแลกเอารางวัลให้ฝ่ายชนะ หากแกะไม่สวยหรือแตกก่อนก็หาเล่นอย่างอื่นแทน
และห้ามเลือกมอบรางวัลซ้ำคน
พวกเราต่างพยักหน้าตกลงกันด้วยความพร้อมเพรียมแล้วเริ่มจับฉลากจากลุง
เขาถือกล่องบรรจุกระดาษสีขาวที่ถูกม้วนเป็นแท่งจำนวนแปดแผ่นตรงหน้า จากนั้นจึงได้ทำการแบ่งกลุ่มอย่างเป็นทางการ
ท้ายสุด...สมาชิกในแต่ละกลุ่มมีดังต่อไปนี้
กลุ่มสีแดง : ยูมิ คูอัลเตอร์ โคทาโร่ ซิก
กลุ่มสีน้ำเงิน : มุทสึโนะคามิ มิทสึทาดะ คูแลนเซอร์ คูแคสเตอร์
“...”
เอ่อ...ว่าแต่ทำไมผลลัพธ์มันช่างบังเอิญเหลือเกินฟะ
ในรอบแรกที่กำลังจะเริ่มแข่งนี้มีตัวแทนคือ
มุทสึโนะคามิ ตัวฉัน มิทสึทาดะ และคูจังยืนเรียงตามกัน
พวกเราเดินไปยังหน้าซุ้มแล้วหยิบปืนบีบีกันพร้อมใส่กระสุนให้เรียบร้อย
ก่อนเริ่มก็ได้มีการท้าทายพอเป็นพิธี
“โหๆ แบบนี้ถือว่าไม่ต้องแบ่งใหม่เลยน้อ แต่ว่ากลุ่มของเจ้าจะมีคนชำนาญเรื่องยิงปืนสักกี่คนเชียว
นายท่าน”
“หึๆๆ อย่ามาดูถูกฉันเชียวล่ะ มุทสึคุง บอกเลยว่าเคยเล่นแนวนี้มาก่อนแล้ว”
“ถึงเจ้าจะเป็นคนรักของนายท่าน แต่ข้าก็ไม่ออมมือให้หรอกนะ
อัลเตอร์คุง”
“เชิญแสดงความสามารถให้เต็มที่เลย ไม่ว่ายังไงก็ต้องชนะให้ได้
เพื่อตัวข้าและยูมิด้วย”
“เอาล่ะ...ทุกคนจำไว้ในใจนะว่า เลือกยิงระหว่างกลางอกหรือกลางหัวของเป้าหมายได้แค่จุดเดียว”
ลุงเจ้าของซุ้มพูดตักเตือนพวกฉันทั้งสี่ก่อนที่จะนับหนึ่งถึงสามเพื่อเริ่มการแข่งขันอย่างแท้จริง
“หนึ่ง...”
ยูมิ...เธอจะยิงมั่วไม่ได้เด็ดขาด...
“สอง...”
เพื่อไม่ให้เสียเงินไปมากกว่านี้...เธอต้องคำนวณให้ดีและจงเอาชนะกลุ่มมุทสึโนะคามิซะ!!
“สาม...เริ่มเล็งได้!!”
ฉันกำด้ามปืนบีบีกันไว้อย่างแน่นด้วยมือสองข้าง
ตั้งสติ-สมาธิจดจ่อ เตรียมท่ายืนโดยการฉีกขาขวาออกข้างหลังเล็กน้อยพร้อมส่งโทรจิตหาคูจังที่ยืนจับปืนด้วยมือเดียว
‘คูจัง...โค้ดลับ : ซอมบี้ มัสท์
ดาย! (Zombie Must Die)’
‘รับทราบ...’
พวกเราสองคนต่างเริ่มเล็งกลางหัวรูปคนบนกระดาษ
รอให้ดาบหนุ่มเลือกเป้าหมายเสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องความเสียเปรียบ
เมื่อลองแอบมองด้วยหางตาปุ๊บ พวกเขาตั้งท่าเตรียมยิงเป็นที่เรียบร้อย
“เอาล่ะ...เตรียมฟังสัญญาณจากข้าเน้อ ส่วนคนที่เหลือหันหลังกลับไปก่อน และขอฝากหน้าที่สอดส่องเรื่องการแอบมองของเจ้าพวกนั้นด้วยล่ะ” มุทสึโนะคามิหันมาคุยกับพวกเราทั้งเจ็ดรวมถึงลุงเจ้าของซุ้มแล้วค่อยส่งสัญญาณด้วยคำพูดประจำตัว
“เล็งให้ดีๆ แล้วก็...”
“ปัง!!!”
ตัวแทนสี่คนลองเชิงเหนี่ยวไกหนึ่งนัดพร้อมกันเพื่อโชว์ผลลัพธ์จากการเลือกเป้าหมายเมื่อครู่
ซึ่งดาบหนุ่มบ้านนอกเล็งกลางหัว และมิทสึทาดะเล็งกลางหน้าอกแทน
ต่อมามุทสึโนะคามิยิ้มมุมปากแล้วเริ่มยิงรัวๆ จนขาดเป็นรูทีละนิด ด้วยการที่ปกติเขาใช้ปืนควบคู่กับดาบตอนออกจากฮงมารุเพื่อสู้รบกับเหล่ากองทัพข้ามเวลา จึงไม่แปลกที่มีฝีมือขนาดนี้ ทำเอารู้สึกหวั่นๆ ในใจเลยว่าตัวเองจะยิงพลาด
แต่ถ้าให้ยอมแพ้ล่ะก็...ไม่ได้เด็ดขาด!
ลุงเจ้าของซุ้มนั่งมองพวกเรากับสมาชิกด้านหลังสลับกันพร้อมหยิบสมุดจดอะไรบางอย่าง
ขอเดาล่วงหน้าเลยว่าต้องเป็นการจดคะแนนแน่ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉันจึงมุ่งมั่นมากกว่าเดิม
ตั้งสมาธิและยิงเป้าหมายอย่างไม่ลังเล จนในที่สุดมันก็ขาดเป็นรูตามคาด
ฮ่าๆๆ กะโหลกแตกเลยมั้ยล่ะ!! ยังดีนะที่ฝีมือไม่ตกจากการเล่นเกมตู้ครั้งก่อนนู้น
ส่วนฝีมือของคูจัง ณ
ตอนนี้ ซึ่งถือว่าเยี่ยมไม่ใช่น้อย เพราะเขาทำคะแนนได้ดีเหมือนกัน
ฝีมือการใช้ปืนที่ไม่น่าจะมีในคลาสเบอเซิกเกอร์หรือคลาสเดิมอย่างแลนเซอร์กลับถูกปลุกโดยอิงจากตอนจับพุ่งหอกจัดการศัตรูตามด่านต่างๆ
ยิ่งลองบวกกับชุดที่ใส่แล้ว ยิ่งเข้ากันราวกับหนุ่มในองค์กรมาเฟีย
ทางด้านมิทสึทาดะเองก็ยังคงยืนยิงอย่างมีสมาธิ
และเนื่องจากว่าเขาเลือกเล็งกลางอกคนเดียว จึงทำให้ดูชิลกว่าชาวบ้านชาวช่อง
เพราะแทบไม่ต้องเพ่งอะไรมากมาย เพียงแค่โดนบริเวณอกแล้วค่อยเล็มๆ แทะๆ
ส่วนขอบที่เหลือเอาเท่านั้นเอง
ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที
กระสุนปืนจากตัวแทนการแข่งรอบแรกสี่คนได้หมดแม็กเป็นที่เรียบร้อยพร้อมวางบีบีกันลงบนโต๊ะแล้วถอยหลังออกสามก้าว
“เห...ฝีมือใช้ได้นี่นา นายท่าน เจอแบบนี้แล้วทำเอาข้ารู้สึกอยากจะแข่งยิงปืนยาวต่อเลย”
มุทสึโนะคามิกล่าวชมด้วยรอยยิ้มกว้างแสนจะสดใสและมีแอบท้าทายเล็กน้อยช่วงท้าย
“ฮ่ะ...ฮ่ะ...ฮ่า คนมีประสบการณ์ก็งี้แหละ มุทสึคุง แต่ถ้าอยากแข่งต่อ
ฉันพร้อมรับคำท้าเสมอ” ฉันยกกำปั้นตรงหน้าพลางยิ้มเล็กๆ
เขามองสักพักแล้วจึงแท็กกำปั้นหนึ่งที
“ใจพร้อมนะ แต่เงินจะพร้อมด้วยรึเปล่า คุณหนู”
“อึ่ก!”
บักหมาแลนเซอร์นี่แม่ม...พูดแทงใจดำชะมัด!!
ด้วยการที่ไม่อยากต่อเถียงให้เมื่อยปาก
จึงได้บอกให้สมาชิกอีกสี่คนลงการแข่งรอบต่อไปทันที ในใจลึกๆ อยากจะตบกะโหลกคูแลนเซอร์ข้อหาปากเสียอยู่หรอก
แต่คือพวกเรายังอยู่ท่ามกลางสาธารณชนไง ขืนทำแบบนั้นไปคงไม่ดีแน่ๆ
รอบนี้รู้สึกว่าพวกเราที่ยิงรอบแรกจะยืนดูผลการเลือกเป้าหมายได้และไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับอีกแล้ว
โดยตัวแทนที่เหลือคือ คูแลนเซอร์ โคทาโร่ คูแคสเตอร์ และซิกยืนเรียงตามกัน
พวกเขาเดินไปยังหน้าซุ้มแล้วหยิบปืนบีบีกันพร้อมใส่กระสุนให้เรียบร้อย
ก่อนเริ่มก็ได้มีการท้าทายพอเป็นพิธีตามเคย
“เจ้าหนู ข้าเป็นแลนเซอร์ก็จริง
แต่อย่าดูถูกถึงความแม่นยำของข้าเชียว!”
“ท่านเองก็ด้วย กระผมชำนาญเรื่องอาวุธอยู่แล้ว
ไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะขอรับ”
“เจ้าคือเด็กใหม่ที่ชื่อ ซิก สินะ...หวังว่าจะสนุกไปกับการแข่งครั้งนี้ละกัน”
“อืม ถึงฉันไม่เคยเล่นเจ้านี่เลย
แต่ก็ต้องลองดูบ้างแล้วล่ะ”
“เอาล่ะ...ขอย้ำใหม่อีกครั้งนะว่า
เลือกยิงระหว่างกลางอกหรือกลางหัวของเป้าหมายตรงหน้าได้แค่จุดเดียว” ลุงเจ้าของซุ้มพูดตักเตือนพวกเขาทั้งสี่ก่อนที่จะนับหนึ่งถึงสามเริ่มการแข่งขันอย่างแท้จริง
“หนึ่ง...”
โคทาโร่คุง...ซิกคุง...
“สอง...”
คำนวณให้ดีและเอาชนะกลุ่มมุทสึโนะคามิให้ได้นะ!!
“สาม...เริ่มเล็งได้!!”
การแข่งขันรอบนี้ถือว่าเป็นรอบที่ไม่มีใครชำนาญเรื่องปืนเป็นพิเศษอย่างมุทสึโนะคามิเลยสักคน
ฉันคาดเดาไว้ในใจว่า คูแลนเซอร์ต้องเล็งกลางอกเช่นเดียวกับตอนใช้เกโบล์กแน่ๆ
คูแคสเตอร์ โคทาโร่กับซิกมีโฮกุหมู่ ก็เลยนึกไม่ออกว่าพวกเขาต้องการยิงจุดไหนกัน
“เอาล่ะ...เตรียมฟังสัญญาณจากข้าเน้อ” มุทสึโนะคามิหันไปคุยกับกลุ่มคนหน้าซุ้มแล้วค่อยส่งสัญญาณด้วยคำพูดประจำตัว
“เล็งให้ดีๆ แล้วก็...”
“ปัง!!!”
ตัวแทนสี่คนลองเชิงเหนี่ยวไกหนึ่งนัดพร้อมกันเพื่อโชว์ผลลัพธ์จากการเลือกเป้าหมายเมื่อครู่
ซึ่งคูแลนเซอร์เล็งกลางอกตามที่คาดไว้ ตามไปด้วยคูแคสเตอร์ที่เลือกเหมือนกับตัวเขาอีกคน
สงสัยจะยังหลงคลาสอยู่ไม่หาย ซิกยิงตรงไปยังกลางอกเช่นกัน
มีแต่โคทาโร่คนเดียวที่เล็งกลางหัว
ฝีมือการยิงบีบีกันแต่ละคนนับว่าใช้ได้
ไม่แย่มากเกินไป แม้แต่ซิกเองก็ยังเรียนรู้เร็วมากจนเล่นได้เหมือนมนุษย์ปกติ
เดอะหมาสองตัวต่างยิงกระหน่ำกลางอกรัวๆ จนเป็นรูโบ๋อย่างรวดเร็ว
ส่วนทางนินจาหนุ่มกำลังเพ่งสมาธิจดจ่อกับเป้าหมายตรงหน้า
มือขวาเหนี่ยวไกปืนด้วยความตั้งใจ ทำให้การยิงปืนของเขาดูเป๊ะสุดๆ
อืม...งั้นแปลว่าผลลัพธ์ของแต่ละกลุ่มคือ...
สีแดง(ฉัน) : หัว 3 อก 1
สีน้ำเงิน(มุทสึโนะคามิ) : หัว 1 อก 3
“...”
เฮ้ย...ทำไมรู้สึกเสียวสันหลัง ใจสั่นแปลกๆ
เหมือนมันกำลังบอกว่า ‘หึๆๆ รุกฆาตแล้วล่ะ ยูมิ!’
บ้าน่า มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ! มันคงไม่พลิกเกมแบบนั้นใช่มั้ย!!
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งนาที
กระสุนปืนจากตัวแทนสี่คนได้หมดแม็กเป็นที่เรียบร้อยพร้อมวางบีบีกันลงบนโต๊ะแล้วเดินถอยหลังออกสามก้าว
“ฮิ้ว~ ฝีมือเยี่ยมไปเลยนี่นา เจ้าหนู!” คูแลนเซอร์ยิ้มร่าและตรงเข้าไปกอดคอโคทาโร่โดยไม่ทันได้ตั้งตัว “ดูท่าทางข้าจะมองเจ้าผิดซะแล้วสิเนี่ย”
“เอ่อ...ท่านเองก็เก่งเหมือนกันนะขอรับ ยิงกระหน่ำแบบนั้นเหมือนมีสายเลือดของอาเชอร์ฝังอยู่ยังไงไม่รู้”
“เห...เป็นโฮมุนครุสที่เรียนรู้ไวกว่าที่คิดจริงๆ แฮะ”
คูแคสเตอร์ตบบ่าซิกเบาๆ ด้วยความเป็นมิตรพร้อมยิ้มกว้างให้ประกอบคำชม
“อื้ม แรกๆ ฉันก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่หรอก แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเล่นง่ายขนาดนี้”
“ทีนี้...ถึงเวลาตัดสินผลการแข่งขันยิงบีบีกันครั้งนี้แล้วล่ะน้อ”
มุทสึโนะคามิพูดพลางเดินไปหาลุงเจ้าของซุ้มเพื่อขอดูคะแนนรวมทั้งหมดของสองกลุ่ม
เขารับสมุดจดพร้อมเริ่มประกาศผล “อะแฮ่ม! ผลการแข่งของพวกเราชาวคาลเดียได้ออกเป็นดังต่อไปนี้...”
“...”
พวกเราทั้งเจ็ดคนยืนเงียบปาก ใจจดจ่อรอฟังประกาศผล
เสียงประกอบจังหวะการลุ้นผุดดังขึ้นในหัวภายในทันที
ฉันกลืนน้ำลายตัวเองหนึ่งทีแล้วกุมมือภาวนาไม่ให้เป็นฝ่ายแพ้เพราะไม่อยากเสียเงินแกะงานช่างอย่างคาตานุกิแล้วเสียแรงวิ่งไปมอบรางวัลอีก
ขอเถอะนะ...แค่ดวงอัญเชิญเซอแวนท์ก็เริ่มขาดๆ
หายๆ แล้ว ครั้งนี้อย่าให้เป็นแบบนี้เลย
.
..
...
“ถ้ายิงกลางหัวได้ 15 คะแนน ส่วนกลางอกจะได้ 20
คะแนน สรุปง่ายๆ คือ กลุ่มนายท่านมี 65 และกลุ่มข้ามี 75 ทุกคนเข้าใจตรงกันน้อ”
“เอ๊ะ?” ฉันยืนสตั๊นหลายวินาทีหลังจากฟังประกาศผลรวมการแข่งบีบีกันเมื่อครู่ก่อนที่จะทรุดลงคุกเข่าบนพื้นแล้วกรีดร้องในใจด้วยความเจ็บปวดจี๊ด
ไม่น้าาาา!!!!
ทำไมถึงให้คะแนนได้ไม่ยุติธรรมเลยฟะ ปกติถ้าเฮดช็อตก็ต้องได้คะแนนเยอะกว่าไม่ใช่เร้อ!!!
“แหมๆ ก็ลุงเห็นว่าหนูมีแฟนแล้วด้วยนี่เนาะ
ถ้าได้ร่วมกิจกรรมอีกสักหนึ่งอย่างคงจะดีไม่ใช่น้อย นี่แหละที่เรียกว่า
ยิงกลางอกทะลุถึงหัวใจ~”
“ฮิ้วว~ เสี่ยวได้โล่ไปอีกนะ ตาลุง” < คูแลนเซอร์
“ยินดีด้วยที่พวกเจ้าสองคนกำลังจะร่วมแกะคาตานุกิด้วยกัน”
< คูแคสเตอร์
“เอาน่า ถือว่าได้พาน้องใหม่ร่วมกิจกรรมต่อยาวๆ ละกันน้อ”
< มุทสึโนะคามิ
“สู้ๆ นะ อัลเตอร์คุง และอย่าลืมช่วยนายท่านด้วยล่ะ”
< มิทสึทาดะ
โธ่เอ๊ย...สุดท้ายก็ต้องเสียเงินไปแกะคาตานุกิจนได้
ดวงซวยโคตรๆ ลัคอียังเรียกทวดเลยมั้งนั่น!
คาตานุกิ...งานแกะสลักบนแผ่นสีที่มีส่วนประกอบเป็นน้ำตาลหรือแป้งสาลี
ซึ่งไม่ได้แข็งอย่างที่คิด หากลงแรงขูดช่องว่างมากเกินไป มันจะแตกเอาง่ายๆ
เพราะงั้นสิ่งสำคัญคือความประณีต ระเบียบเป๊ะ และฝีมือการแกะแผ่นงาน อุปกรณ์ที่ใช้คือเข็มหมุดหรือไม้จิ้มฟัน
โดยทางซุ้มจะมีรูปแบบคาตานุกิให้เลือกหลากหลาย ทั้งรูปดอกไม้ สัตว์บก-น้ำ ผลไม้ ดวงดาว
หรือแม้แต่อาวุธก็มีเช่นกัน
และตอนนี้กลุ่มของฉันที่เพิ่งแข่งยิงบีบีกันแพ้อย่างไม่ยุติธรรมแปลกๆ
ได้ยืนอยู่ ณ ตรงหน้าซุ้มเรียบร้อย สายตาจับจ้องมองรอบๆ บรรยากาศที่มีโต๊ะไม้ข้างล่างพร้อมควักเงิน
100 เยนแล้วเดินตรงไปหาลุงเจ้าของซุ้มนี้
“ยินดีต้อนรับสู่ซุ้มวัดฝีมืองานแกะสลักจ้า
หนุ่มสาวทั้งหลาย วางเงินไว้บนโต๊ะลุงแล้วนั่งเลือกรูปที่ต้องการได้เลยนะ” ลุงวัยประมาณเลขสามต้อนรับพวกเราทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มกว้างและเคาะโต๊ะตัวเองเบาๆ
“พวกเจ้ารวมเงินมาแล้วไปนั่งเลือกรอก่อนก็ได้ เดี๋ยวข้าช่วยจ่ายเอง”
คูจังพูดพลางแบมือออกมาตรงหน้า
พวกฉันสามคนมองสักพักแล้วค่อยพยักหน้าตอบรับพร้อมรวบรวมเงิน 300 เยนก่อนที่จะพาเดินไปนั่งบนโต๊ะไม้
เมื่อลองหยิบตัวอย่างขึ้นมองปุ๊บ
ความรู้สึกช็อกโลกและเสียวตามไขสันหลังก็เกิดขึ้นทันที เพราะในแต่ละรูปแบบมีมูลค่าไม่เท่ากัน
เช่น 300 500 800 1000 1500 ราคาเหล่านี้มีผลมาจากความยากง่ายของการแกะสลัก
ยิ่งถูกยิ่งไม่ซับซ้อน
แล้วแบบนี้...ถ้ารวมสี่คนเป็น 400 เยน เท่ากับว่าทำได้แค่รูปเดียวน่ะสิ
“จะว่าไปพวกหนูคือกลุ่มที่มีนัดแข่งบีบีกันใช่มั้ยเอ่ย
พอดีมีกลุ่มพ่อหนุ่มหน้าละอ่อนสี่คนได้คุยกับลุงไว้ว่า ถ้ามีกลุ่มไหนแพ้ ขอบทลงโทษเป็นการแกะคาตานุกิคนละ
100 เยน ทีแรกลุงกลัวขาดทุนอยู่หรอก แต่ถ้าเล่นรอบเดียวล่ะก็...ถือว่าให้อภัยเป็นพิเศษเนาะ”
“ห๊ะ!?”
เดี๋ยวๆ เจรจากับลุงแบบนี้ก็ได้เรอะ!!
“อ่อ...ค่ะ งั้นหนูขอเป็นรูปปืนนะคะ
โคทาโร่คุงกับซิกคุงจะแกะรูปไหนดีล่ะ” ฉันบอกกับลุงเจ้าของซุ้มแล้วค่อยหันไปถามเซอแวนท์บิโชเน็นสองคนที่ยังนั่งเลือกกันอยู่
“เอ่อ...ถึงจะไม่ใช่อาวุธของจริง
แต่กระผมอยากแกะรูปดาบน่ะขอรับ”
“งั้นฉันแกะรูปนี้” ซิกชี้นิ้วลงไปยังรูปดอกทิวลิปแถวสองก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปหาลุงเพื่อขอแผ่นคาตานุกิสีชมพูทั้งสามแล้วคุยกับคูจังเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง ตัวฉันผู้มีนิสัยคนดีไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน(เหรอ)จึงไม่อยากใช้สกิลหน้าด้านเข้าสอดส่องหรือแอบฟังพวกเขาให้เสียเวลามากกว่านี้
“...”
ผ่านไปไม่กี่นาที คูจังและซิกได้เดินกลับมายังโต๊ะไม้พร้อมแผ่นคาตานุกิในมือ ซึ่งอีกคนเลือกรูปใบไม้แห่งความโชคดีอย่างโคลเวอร์
จากนั้นพวกเราก็เริ่มทำการแกะสลักอันเป็นบทลงโทษสำหรับคนพ่ายแพ้ ณ บัดนี้!
.
..
...
....
.....
แกรก~ แกรก~ แกรก~
เสียงเข็มหมุดขูดตามร่องแผ่นน้ำตาลสีชมพูดังต่อเนื่องจนบางทีก็แอบทำร้ายจิตใจคนที่ไม่ชอบงานประณีตอย่างแรง ด้วยการที่ทำเลแถวนี้ไม่ค่อยมีคนวุ่นวายหรือการละเล่นอื่นๆ ตั้งอยู่ใกล้ ทำให้งานแกะสลักดำเนินไปอย่างราบรื่น
แต่มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่...หากคนแกะไม่ตั้งสมาธิและลงแรงมือให้ดีๆ
แป๊ก!
นั่นไง! พูดยังไม่ทันขาดคำเลย!
ฉันรีบหันตามเสียงเมื่อครู่ก่อนที่จะสตั๊นหลายวินาที
เพราะใบโคลเวอร์ของคูจัง...หักครึ่งจนกลายเป็นใบไม้แห่งความเฮงซวยเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าแผ่นนี้มันบางเกินไปรึเปล่านะ” เขาพึมพำกับตัวเองพร้อมมองชิ้นงานไม่สมประกอบแถมยังมีข้อความโผล่เหนือหัวว่า
Strength : A
อืม...ก็ล่อมีความแข็งแรงระดับ A แบบนั้น คงไม่แปลกหรอกที่งานจะพังง่าย
และเมื่อลองหันมองทางโคทาโร่บ้าง สิ่งที่พบเห็นตรงหน้าคือ ฝีมือการแกะสลักที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แถมยังทำออกมาเป๊ะเว่อร์อีก
นินจาอย่างเขาเคยทำงานประเภทนี้จนชำนาญเสมือนแม่บ้านในครัวเรือนด้วยเรอะ!!
“คะ...โคทาโร่คุง สะ...เสร็จไวจังแฮะ”
“เอ่อ...ก็ไม่เท่าไหร่หรอกขอรับ แหะๆๆ” นินจาหนุ่มผมแดงยิ้มเขินๆ
แล้วลุกขึ้นเดินไปหาลุงเจ้าของซุ้มเพื่อส่งผลงานของตัวเอง
แน่นอน...มีข้อความขึ้นเหนือหัวเช่นเดียวกัน แต่เป็นคำว่า Agility : A+ แทน
โอเค...ถึงค่าความแข็งแรงจะไม่โผล่ แต่พอเห็นค่าความว่องไวปุ๊บ
รู้เรื่องเลย
ฉันหันกลับสู่โหมดจริงจัง จดจ่อกับคาตานุกิรูปปืนต่อ
มือข้างขวาที่จับเข็มหมุดค่อยๆ ขูดตามร่องเบาๆ พยายามไม่ลงแรงมากเกินไป
เหงื่อบนใบหน้าเริ่มไหลลงทีละนิดด้วยความเสียวสันหลังและความกลัวจนบางทีมือก็แอบสั่นเล็กน้อย
และเมื่อเวลาผ่านไปประมาณห้านาที...
“เสร็จแล้วล่ะ”
เสียงพูดของซิกก็ดังขึ้นขัดจังหวะ เล่นเอาแทบสะดุ้งโหยงจากการที่พยายามทำใจให้นิ่ง สงบ จดจ่อกับงาน พอหันมองดูผลงานของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกจุกอกเหมือนกำลังจะเป็นคนแพ้ตามคูจัง เพราะดอกทิวลิปสีชมพูนั่นมีความเป๊ะมาก อย่างกับงานของเครื่องจักรกลเลย
“ให้ตายเถอะ...เซอแวนท์สายศิลป์(อาร์ต)นี่มันน่ากลัวชะมัด”
ฉันพูดกับตัวเองเบาๆ พร้อมเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง มือขวาจับเข็มหมุดขูดเรื่อยๆ หัวใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นปนกับกลัวงานสุดจะบางผุพังก่อนได้ส่งให้ลุง มันทำเอานึกถึงสมัยมัธยมต้นที่อาจารย์สั่งงานฝีมือให้นักเรียนทำ แถมอาจารย์คนนั้นยังมีนิสัยเป๊ะ เนี๊ยบ แหลมคมมากเกิ๊น เพราะงั้นจึงไม่ชอบพวกวิชาเน้นฝีมือตั้งแต่ตอนนั้น
“...”
แต่เอาเว้ย...ตอนนี้เริ่มเข้าสู่กระบวนการสุดท้ายของการแกะคาตานุกิแล้ว
นั่นคือ ทิ่มร่องที่เพิ่งขูดเป็นรูปเพื่อดันเอาส่วนด้านนอกออกจากกัน
ถือเป็นขั้นตอนแสนจะลุ้นระทึกที่สุดเลยก็ว่าได้ ทิ่มพลาดมีพังแน่นอน
ปึก!
เสียงเข็มหมุดปักลงโต๊ะไม้พร้อมหนึ่งในส่วนเกินของแผ่นคาตานุกิที่หลุดออกอย่างปลอดภัย ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกขึ้นบ้าง ต่อมาจึงค่อยๆ เล็งบนจุดต่อไป ตาสองข้างหลับลงแน่นแล้วทิ่มมันด้วยมือไม้ที่เริ่มสั่นระริก
ปึก!
เรียบร้อย! ทีนี้พอลองลืมตามองข้างหนึ่ง ก็พบว่าเหลืออยู่ประมาณสองส่วนแถวๆ ปากปืน ซึ่งดันเปราะบางที่สุดซะด้วย
ถ้าพลาดขึ้นมาปุ๊บ ทุกความพยายามทั้งหมดจะสูญสลายภายในทันที
ฉันต้องทำมันให้ได้...เพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
จากนั้นก็ไปเขียนคำอธิษฐานในโซนทานาบาตะและนั่งรอดูดอกไม้ไฟก่อนกลับคาลเดีย
ดังนั้น...งานฝีมือครั้งนี้ จงทำให้สำเร็จซะ!!
ปึก!
“...”
.
..
...
....
.....
ปึก!
เยส! ในที่สุดคาตานุกิรูปปืนก็สมบูรณ์แบบ 100% แล้ว!
ฉันหยิบผลงานขึ้นมามองดูรอบๆ พร้อมยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจก่อนที่จะรีบลุกขึ้นส่งให้ลุงเจ้าของซุ้มอย่างไวเพื่อแลกของรางวัลและปิดบัญชีการแข่งขันครั้งนี้
“ลุงคะ งานของหนูเสร็จแล้ว...”
ผลุ!
“...ค่ะ”
ชิบละ ยังไม่ทันได้พูดจบเลย จู่ๆ
ปากปืนคาตานุกิสีชมพูก็หักครึ่งลงพื้นเฉย
ก้อนเนื้อแห่งความโล่งใจและภาคภูมิในผลงานเริ่มมีรอยร้าวแตกแขนงออกเป็นเส้นเล็กๆ
จนกระทั่งมันค่อยๆ แยกตัวประหนึ่งเป็นไฮดร้าแล้วตบท้ายด้วยมือขวาที่สั่นระริกพร้อมกับคุกเข่าบนพื้นรอบสองต่อจากการแข่งบีบีกัน
“แย่หน่อยเนาะ แม่หนู แต่พยายามจนถึงขั้นนี้ก็เก่งพอแล้วล่ะ”
บ้าจริง! คืนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับดวงของฉันนักหนาฟะเนี่ยยย!!
หลังจากฉันนั่งทรุดลงพื้นหลายนาทีเพราะพ่ายแพ้การแข่งขันยิงบีบีกันและดวงซวยซ้ำซ้อนด้วยความผุพังของคาตานุกิ
ร่างกายก็ถูกสมองสั่งการให้รีบแจ้นมุ่งหน้าไปยังโซนยิงปืนยาวเพื่อคว้าของรางวัลไว้มอบฝ่ายชนะ
ซึ่งคูจังได้ขอร่วมไปด้วยพร้อมบอกให้ซิกกับโคทาโร่ตามหากลุ่มมุทสึโนะคามิล่วงหน้าก่อน
พวกเราสองคนต่างควักเงินคนละ
100 เยนแล้วขอลุงเจ้าของซุ้มยิงนัดเดียวจอด เขามองตรงมาสักพักหนึ่งก่อนที่จะพยักหน้ายอมรับ
เอาตรงเลยว่าหวั่นใจมากมาย แต่พวกเราก็พยายามเล็งเป้าและเหนี่ยวไกยิงจนสำเร็จในที่สุด
โดยรางวัลคือ กล้องถ่ายรูปยุคเก่า(ฉัน)และตุ๊กตาคนโนะสึเกะ(คูจัง)
จากนั้นจึงรีบฝ่ากลุ่มคนตามหากลุ่มมุทสึโนะคามิทั่วงานเทศกาลแล้วค่อยเจอทีหลัง
ณ โซนทานาบาตะ พอเดินไปถึงปุ๊บ พวกเขาก็หันมาทักทายด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมท้วงหาของรางวัลจากฝ่ายแพ้อย่างพวกเรา
ซึ่งเซอแวนท์คู่บิโชเน็นได้มอบให้เป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองบอกว่า พวกเขามอบหน้ากากหมาจิ้งจอกให้คูแคสเตอร์และแลนเซอร์
หมาบวกกับหน้ากากหมาจิ้งจอก...เออเนาะ
ก็ว่าอยู่ทำไมมันดูเข้ากันดีเหลือเกินแล
ฉันมองกล้องถ่ายรูปยุคเก่าในมือพร้อมเดินไปให้ดาบหนุ่มบ้านนอกภายในทันที พอเขาหยิบออกจากกล่องสีขาว ก็ถึงกับต้องแสดงท่าทีตื่นเต้นสุดติ่ง เพราะเดิมทีก็มีนิสัยชอบถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ หรือเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และคูจังยื่นตุ๊กตาจิ้งจอกประจำฮงมารุให้มิทสึทาดะด้วยสีหน้านิ่งเรียบตามเคย
“โอเค! เพียงเท่านี้ก็จบการแข่งขันจริงๆ สักทีสิน้อ” < มุทสึโนะคามิ
“นั่นสินะ
งั้นภารกิจที่เหลือของพวกเราคงจะมีแค่เข้าร่วมโซนนี้อย่างเดียวมั้ง” < มิทสึทาดะ
“บ้าบอน่า
งานเทศกาลแบบนี้พวกเราจะพลาดอีกหนึ่งอีเว้นท์ที่สำคัญได้ไงเล่า” < คูแคสเตอร์
“อ้อ! ไอ้อีเว้นท์ที่ว่านั่นคือ ดูดอกไม้ไฟก่อนกลับคาลเดียสินะ แคสเตอร์!” < คูแลนเซอร์
“ดอกไม้ไฟ? เจ้านั่นคืออะไรเหรอ”
< ซิก
“เดี๋ยวอีกไม่นานก็คงจะได้เห็นแล้วล่ะขอรับ
ท่านซิก” < โคทาโร่
ต่อมาพวกเราทั้งแปดเริ่มปิดบัญชีการแข่งขันครั้งนี้แล้วพากันหยิบกระดาษสีและปากกาคนละชุดเพื่อเขียนคำอธิษฐานของตนเอง
แถมระหว่างนั้นเซอแวนท์ที่เหลือร่วมตกลงกันว่าจะไม่บอกให้ใครรู้
เมื่อเขียนจนเสร็จหมดทุกคน ก็เดินเรียงแถวไปแขวนกระดาษแผ่นนั้นตามต้นไผ่หน้าโซน
คำอธิษฐานของฉันมันอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปนิด
แต่ใจกลับสั่งให้เขียนว่า
ขอให้ฉันกับคูจังอยู่ด้วยกันตลอดไป
ให้ตายเถอะ...พอนึกย้อนหลังอีกที ทำไมมันช่างน่าอายชะมัด
“เอ้อ! ก่อนดูดอกไม้ไฟ
ข้าขอถ่ายรูปบรรยากาศภายในงานนี่ก่อนได้บ่ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยถ่ายรูปหมู่หน้าทางเข้าเป็นที่ระทึก...เอ๊ย!
ระลึกต่อ” มุทสึโนะคามิเข้ามาขออนุญาตฉันและถือกล้องเตรียมสแตนด์บายด้วยมือสองข้าง
“โธ่...ยังมีอารมณ์เล่นมุกอีกเหมือนเคยเลยนะ
มุทสึคุงเนี่ย” ฉันแอบหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มเล็กพร้อมบอกคำตอบ
“ได้สิ แต่อย่าเพ่นพ่านนานจนเกินไปล่ะ
แต่ถ้ามีบอดี้การ์ดอีกสักหนึ่งคนหน่อยคงดีไม่ใช่น้อย”
“งั้นข้าขอติดตามมุทสึโนะคามิคุงเองละกัน ตอนนี้นายท่านพาทุกคนเดินไปซื้อของกินก่อนเลยก็ได้
ถ้าพวกข้าเจอที่นั่งดูดอกไม้ไฟดีๆ เดี๋ยวจะติดต่อทางโทรจิตอีกที”
“ฝากดูแลหน่อยนะคะ คุณแม่มิทสึ”
ว่าจบดาบหนุ่มทั้งสองก็ได้แยกทางออกจากพวกเราทั้งหกคนเพื่อใช้กล้องถ่ายรูปยุคเก่าเก็บภาพบรรยากาศงามๆ พอลองมองดูแล้วแทบอดยิ้มไม่ได้ เพราะมุทสึโนะคามิมีความสุขยิ่งกว่าชาวบ้านเลย
“มาเที่ยวงานคืนนี้สนุกดีรึเปล่า ยูมิ” คูจังเปิดปากถามพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวฉันด้วยความเอ็นดู
“อื้ม! สนุกมากเลยล่ะ”
ในใจจริงๆ อยากพูดต่อท้ายอีกประโยคเหลือเกินว่า
‘ถึงจะดวงซวยตั้งสามรอบเลยก็เถอะ’
“แล้วจากนี้เอาไงต่อดีล่ะ คุณหนู”
“อืมม...นั่นสินะ งั้นฉันขอซื้อเครปสักหน่อยละกัน
โคทาโร่คุงบอกว่ามีอยู่ร้านหนึ่งตั้งขายอยู่”
“เอ่อ...งั้นเดี๋ยวกระผมช่วยนำทางให้นะขอรับ แล้วถ้าพวกท่านบังเอิญอยากได้ของที่เพิ่งเดินผ่าน
ก็อนุญาตให้ซื้อก่อนได้เลย” โคทาโร่เริ่มรับบทนินจาผู้มีจิตอาสาก่อนที่จะเดินนำทางไปยังร้านขายเครปทันที
ในระหว่างทาง
พวกเราต่างเล่าความรู้สึกหลังจากแข่งยิงบีบีกันแปดคน คือก็สนุกสนาน
เฮฮาปาร์ตี้กันไปแหละเนอะ แต่ความเงิบแดกจากลุงเจ้าของซุ้มที่กำหนดคะแนนเชิงแซวมุกเสี่ยวใส่กับงานคาตานุกิที่พังเละเพราะแรงควายของคูจังกับความซวยเยี่ยงอีกาดำของฉันเนี่ยสิ
เหมือนโชคชะตาแอบเล่นตลกแปลกๆ ยังไงไม่รู้
เฮ้อ...แบบนี้คงต้องหาโอกาสทำบุญทำทานเพิ่มเติมสักหน่อยแล้วสินะ
ผ่านไปหลายนาที
ทั้งฉันและเซอแวนท์อีกห้าคนต่างซื้อของกินเล็กน้อยแล้วเตรียมหาที่นั่งดูดอกไม้ไฟอันเป็นอีเว้นท์สุดท้ายสำหรับการเที่ยวงานเทศกาลหน้าร้อนครั้งนี้
ในระหว่างทางมุทสึโนะคามิก็เดินวนกลับมาเจอพอดีพร้อมขอถ่ายรูปหมู่ตรงหน้างานไว้เลยก่อนที่จะเกิดอาการสมองปลาทองหลงๆ
ลืมๆ
ยังโชคดีหน่อยที่ยืนใกล้ทางเข้า
จึงไม่ต้องเสียเวลาเดินไกลมากมาย จากนั้นพวกเราเริ่มจัดแถวให้แต่ละคน
โดยมีโคทาโร่กับซิกนั่งชันเข่าข้างหน้า คูแคสเตอร์-แลนเซอร์ประกบคู่
มิทสึทาดะยืนข้างขวามือ คูจังกับฉันยืนตรงกลาง ส่วนมุทสึโนะคามิจะยืนข้างฉัน
อีกทั้งยังขอร้องให้ป้าคนหนึ่งช่วยถ่ายรูปให้หน่อย
“ได้เลยจ้ะพ่อหนุ่ม เดี๋ยวป้าจะช่วยเอง” หญิงคนนั้นพูดพร้อมเตรียมเล็งกล้องมาตรงหน้าพวกเรา
ดาบหนุ่มบ้านนอกยิ้มกว้างแล้วรีบเดินเข้ามาประจำที่ของตัวเอง “เอาล่ะนะ...หนุ่มสาวทั้งหลาย”
“...!” ฉันแอบสะดุ้งด้วยความตกใจหลังถูกคูจังยื่นแขนซ้ายโอบเอวไว้
แต่ก็พยายามสงบสติตัวเองจนยิ้มให้
“หนึ่ง...สอง...ยิ้มจ้า!”
แชะ!
เสียงชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูปยุคเก่าดังขึ้นพร้อมมีกระดาษแผ่นหนึ่งคลายออกมาใหม่ๆ
พวกเราทั้งแปดต่างแยกย้ายคนละก้าวเพื่อหยุดจัดรูปแบบ ป้าหยิบออกสะบัดสองสามทีเบาๆ
แล้วลองมองดูพลางยิ้มกว้าง
“แหม่ๆ ดูดีกันทุกคนเลย โดยเฉพาะแม่หนูชุดยูกาตะกับผู้ชายคนข้างๆ
นี่ยิ่งมีออร่าเข้าไปใหญ่” เธอเดินเข้ามายื่นกล้องและแผ่นกระดาษให้กับมุทสึโนะคามิก่อนที่จะหันมาถามฉัน
“นั่นเพราะพวกหนูสองคนเป็นแฟนกันรึเปล่าน้า~”
แม้แต่มนุษย์ป้าก็ยังชอบแซวไม่แพ้กับมนุษย์ลุงอย่างงั้นเรอะ!
“อะ...เอ่อ...ค่ะ”
“จริงด้วยแฮะ ยังไงก็ขอให้รักกันนานๆ นะจ๊ะ จะแยกกันคงเสียดายแย่
อีกอย่างป้าเล็งเห็นแล้วว่าพวกหนูสองคนคู่ควรกันดีที่สุด” ป้าขอถือวิสาสะยกมือขึ้นลูบหัวฉันด้วยความเอ็นดูพร้อมพูดทิ้งท้ายก่อนจากไว้ว่า
“แต่ถ้าเกิดความทุกข์ทนหรือลำบากในสถานการณ์ใดๆ
อย่าลืมนึกถึงมิตรภาพของเหล่าพ่อหนุ่มหน้ามนที่เหลือด้วยล่ะ”
มิตรภาพ...ไม่ได้ยินคำนี้มานานมากตั้งแต่สมัยเด็กแล้วนะเนี่ย
ตอนนั้นไม่ค่อยมีเพื่อนเลยสักคน จะแอบมีขอให้ช่วยสอนการบ้านหรือติวข้อสอบแป๊บเดียวเท่านั้นแหละ
สุดท้าย...พวกเขาก็หันหลังเดินจากไปเพื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนตัวเองต่อ
แถมยังเคยถูกทรยศอีกต่างหาก
และจู่ๆ ในหัวก็เผลอนึกย้อนถึงอดีตขึ้นมา
โดยมีแต่คำพูดด้านลบของคนในห้องทั้งนั้น ถึงจะมีคนหวังดีอยากให้สนิทกับฉัน
แต่เปล่าหรอก...มันไม่ได้ผลเลย
“ไม่ไหวว่ะ ยูมิทำตัวมืดมนแบบนี้ไม่มีเพื่อนแล้วแน่ๆ เลย”
“แต่ถ้าไม่ลองคุยสักหน่อยก็คงไม่รู้หรอก”
“บ้าเหรอแก ใครจะไปกล้าสนิทกับผีตัวนั้นกันเล่า”
“ก็ยัยนั่นล่อทำท่าจะฆ่าตัวตายหลายรอบแล้วนี่เนอะ”
“อ๋อ...ตั้งแต่ตอนประถมยันมัธยมเลยสินะ บอกตรงๆ
คือโคตรไร้สาระอ่ะ”
“เออว่ะ ชีวิตโคตรน่าบัดซบ สมเพชยิ่งกว่าสงสารซะอีก”
“ถ้าทนไม่ไหวนักหนาก็ฆ่าตัวตายตอนนี้ไปเลยดีกว่ามั้ง”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“...”
เพราะคำพูดพวกนั้นที่ได้ยินทุกๆ วันบวกกับสภาพสังคมของคนชอบกลั่นแกล้งสารพัดรูปแบบ
จึงไม่แปลกหรอกที่ฉันจะเป็นลมชักในครั้งนั้น
และในขณะที่กำลังนึกถึงเรื่องเมื่อครู่
คูจังก็ยกมือขึ้นจับไหล่สองข้างแล้วเปิดปากถาม
“ทำไมถึงเงียบไปล่ะ...ยูมิ”
“เอ๊ะ!? เอ่อ...เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก
เอาเป็นว่าพวกเรารีบหาที่นั่งดูดอกไม้ไฟกันดีกว่านะ”
ฉันพูดปฏิเสธพร้อมยิ้มกลบเกลื่อนอาการก่อนที่จะเดินนำคนแรก
เมื่อมองรอบๆ ก็พบกับอาคารเรียนหลังหนึ่งซึ่งน่าจะทิ้งร้างแล้ว
ดังนั้นจึงรีบเดินตรงไปหาเพื่อเตรียมขึ้นบนดาดฟ้า
ไม่ไหวเลย...ดันนึกถึงเรื่องแย่ๆ เอาตอนนี้แล้วทำให้เขาต้องเป็นห่วงอีกจนได้
ณ ดาดฟ้า
ฉันยืนอยู่ตรงราวดาดฟ้าและมองพื้นที่จัดงานเทศกาลหลังจากผ่านไปหลายนาทีที่พวกเราพากันเดินเข้าอาคารเรียนสี่ชั้นหลังดังกล่าว
แน่นอนว่าประตูไม่ได้ล็อกไว้สักจุด จากนั้นก็หันกลับมาพูดกับเซอแวนท์ทั้งเจ็ด
“ถ้าเป็นตรงนี้ล่ะก็...น่าจะดูดอกไม้ไฟได้ดีเลยล่ะ” แต่พวกเขากลับไม่ได้ยืนในพื้นที่ตรงหน้าแล้วนอกจากคูจังคนเดียว “อ้าว? หายไปไหนกันหมดเนี่ย”
“พวกนั้นวนกลับไปซื้อของใหม่ในงานน่ะ
อีกอย่างข้ามีเรื่องจะถามด้วย ขอคำตอบแบบตรงไปตรงมานะ” เบอเซิกเกอร์หนุ่มเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
พร้อมหันหน้าถามทันที “เมื่อตอนนั้นเจ้ากำลังนึกถึงอะไรบางอย่างอยู่ใช่มั้ย”
ให้ตายเถอะ...รู้สึกไม่อยากตอบให้เขาเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม
แต่สุดท้ายก็ยอมบอกแต่โดยดี
“ฉันแค่ไม่ได้ยินคำว่า มิตรภาพ มาตั้งแต่สมัยเด็กน่ะ
แล้วจู่ๆ มันดันนึกถึงเรื่องเก่าในโรงเรียนมัธยม สถานที่ที่ทำให้ฉันเกิดอาการลมชัก
ทุกครั้งที่เดินเข้าโรงเรียน บรรยากาศรอบข้างก็ดูแย่ไปหมด
มีแต่คนคอยเตรียมกลั่นแกล้งสารพัด คนในห้องพูดจาทำร้ายจิตใจช่วงที่อาจารย์ยังไม่เข้าสอน”
“...”
“ตอนเช็คชื่อเองก็เหมือนกัน...พอถึงชื่อฉัน
มันจะมีคนในห้องผลัดกันพูดว่า ตายแล้วค่ะ ตลอดทุกคาบเรียน อาจารย์หันมองเงียบๆ
แต่เพราะยังเห็นตัวตนอยู่ เลยยอมเช็คเข้าเรียน เหล่างานกลุ่มหรืองานคู่ก็ถูกหลอกใช้...พอทุกอย่างจบลง
พวกเขาต่างหันหลังแล้วทำตัวเหมือนฉันเป็นคนประหลาด พอบวกกับการบ้านที่พูนมากๆ ทำไม่ทัน...ทำไม่ไหว...เครียดหนักจนฉันป่วยเป็นโรคลมชัก”
“...”
“แล้วอาการกำเริบครั้งแรกก็ดันเกิดขึ้นกลางโรงเรียน!
ตอนนั้นมีทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้องกับคนในห้องกำลังวนเวียนอยู่พอดี
พวกเขาต่างมองเข้ามาถามซักไซ้ว่า เป็นอะไรไปรึเปล่า แต่คำถามนั่นเป็นแค่การแสดง!
เพราะสุดท้ายก็ยังคงมีการพูดล้อแถมเลียนแบบอาการลมชักด้วย
มันเหมือนกำลังกดดันให้ฉันกลายเป็นคนไม่มีตัวตน ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครเลย!”
ฉันกำหมัดขวาแน่นด้วยความเจ็บใจตัวเอง
มือซ้ายยกขึ้นกุมหัวราวกับความรู้สึกเหล่านั้นกำลังระเบิดออกหลังจากเก็บกดมานาน
คูจังขอให้หยุดเล่าเพียงเท่านี้แล้วกุมมือข้างขวาไว้
“แต่ตอนนี้มิตรภาพที่ดีกว่าถูกสร้างขึ้นมาทดแทนตัวเก่า
เท่ากับว่ามีตัวตนในฐานะนายท่านหรือมาสเตอร์อยู่ได้ถึงทุกวันนี้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“มันก็จริงอยู่ แต่ว่า...!”
“ลืมอดีตนั่นซะเถอะ เจ้าสมควรดีพอแล้วที่มีชีวิตต่อ ข้าสาบานว่าจะคอยอยู่เคียงข้างและยอมให้เซอแวนท์ที่มีความผูกพันกับเจ้าช่วยสร้างมิตรภาพให้ดียิ่งขึ้นเอง”
เขาดึงร่างเข้าไปโอบกอดไว้และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แฝงด้วยความอ่อนโยนภายในพร้อมลูบหัวปลอบโยนเรื่อยๆ
รอให้ฉันที่พยายามกลั้นน้ำตาค่อยๆ สงบจิตสงบใจตัวเอง
.
..
...
....
.....
ผ่านไปหลายนาที จิตใจของฉันเริ่มสงบลงทีละนิดจนกลับมาดีขึ้น เบอเซิกเกอร์หนุ่มคลายอ้อมกอดแล้วเปลี่ยนจากลูบหัวเป็นเลื่อนลงมาแตะแก้มขวาแทน
“...”
“เอ่อ...ฉันขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วงแบบนี้ แต่พอเล่าให้ฟังจบแล้วรู้สึกโล่งใจแปลกๆ แฮะ”
“เพราะเจ้าเคยเก็บความเจ็บปวดจากอดีตพวกนั้นไว้ในใจมานานไม่ใช่เหรอ”
“นั่นสิ แม้แต่ตอนอยู่ในฮงมารุก็ยังไม่เคยเล่าเรื่องเยอะเท่านี้เลย”
“งั้น...ดีแล้วที่ระบายออกจนหมด จะได้เหลือช่องว่างให้ใส่ความสุขสักที”
“คูจัง...”
ฟิ้วว~ ปุ้ง! ปุ้ง!
ในจังหวะนั้นเอง
แสงสีก็สาดส่องกระทบใบหน้าของพวกเราสองคนพร้อมเสียงดอกไม้ไฟดังขึ้น แสดงให้เห็นว่า
อีเว้นท์สุดท้ายที่ผู้คนรอคอยได้มาถึงแล้ว เมื่อหันมองดูปุ๊บ ฉันถึงกับตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้นและชื่นชอบในแสงสีเหล่านั้น
มันสวยมากเลยล่ะ...
และช่วงที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับดอกไม้ไฟตรงหน้า
เซอแวนท์ที่เหลือได้วาร์ปกลับมาหาพวกเราพร้อมข้าวของในมือพอดี
“โอ๊ะ! เริ่มต้นแล้วสินะ
อ่ะนี่...ทาโกะยากิรสชาติเยี่ยม เห็นคุณหนูชอบกินสุดๆ เลยไม่ใช่เหรอ” คูแลนเซอร์พูดตามด้วยยื่นกล่องใส่ทาโกะยากิอุ่นๆ
ให้ฉันและยิ้มกว้าง
“ข้าซื้อเครื่องดื่มไว้ตบท้ายด้วยนา นายท่าน” มุทสึโนะคามิถือขวดนมสดเย็นจำนวนแปดขวดซึ่งดันเท่ากับสมาชิกในขณะนี้ซะด้วย
“ถ้าเรื่องของหวานล่ะก็...นี่เลย” มิทสึทาดะซื้อกล่องบรรจุกล้วยเคลือบช็อกโกแลตแปดแท่งและเตรียมเรียกพวกเราไปนั่งตั้งวงร่วมกัน
“ดอกไม้ไฟที่ว่าคือเจ้านี่เองน่ะเหรอ” ซิกเงยหน้ามองดูสิ่งสวยงามบนฟ้าที่ยังคงจุดขึ้นเพื่อสร้างสีสันไม่ขาดสาย
“ใช่แล้วขอรับ มันสวยงามมากเลยล่ะ
ท่านมุทสึโนะคามิเองก็น่าจะถ่ายรูปเก็บไว้บ้างนะขอรับ” โคทาโร่ยิ้มเล็กแล้วตอบแคสเตอร์ผมน้ำตาลอ่อนพร้อมหันไปพูดกับดาบหนุ่มบ้านนอกที่บังเอิญถือกล้องถ่ายรูปพอดี
“แน่นอนอยู่แล้วล่ะนา บรรยากาศสวยๆ แบบนี้จะพลาดได้ไงจริงม้า”
เขายิ้มแฉ่งจนเห็นเขี้ยวอันมีเสน่ห์ก่อนที่จะกดชัตเตอร์เก็บภาพบรรยากาศนั้นไว้
แชะ!
เสียงชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูปยุคเก่าดังขึ้นพร้อมมีกระดาษแผ่นหนึ่งคลายออกมาใหม่ๆ คูแคสเตอร์ผู้มือไวหยิบออกสะบัดสองสามทีเบาๆ พลางมองดูอย่างตื่นเต้น
“ฝีมือแจ่มแมวเลย มุทสึโนะคามิ! อ้อ...และก็ถึงเวลาสร้างความครึกครื้นด้วยกันแล้วนี่นา”
“นั่นสิน้อ งั้นพวกเราพร้อมใจกันพูดเลยดีกว่า”
มุทสึโนะคามิเริ่มนำเซอแวนท์ทั้งหมดยกเว้นคูจังเป็นคนแรก
“หนึ่ง...สอง...”
“ทามายะ!!!”
ให้ตายเถอะ...ทำไมรู้สึกว่าคืนนี้พวกเขาดูมีความสุขยิ่งกว่าฉันอีกนะ
“ยูมิ ถ้าเจ้าสนุกกับงานวัดครั้งนี้แล้ว
พวกนั้นเองก็น่าจะมีความรู้สึกเดียวกัน เพราะงั้นถึงอยากให้ใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องนึกย้อนถึงอดีตนั่นอีกต่อไปไงล่ะ”
คูจังลูบหัวฉันเบาๆ พร้อมจับมือพลางส่งสัญญาณให้พูดคำนั้นด้วยกัน
“ทามายะ!”
ต่อมาพวกเราสองคนหันมาจ้องหน้ามองตากันและยิ้มบางๆ ให้ก่อนที่จะเตรียมนั่งร่วมวงกับเซอแวนท์ทั้งหกเพื่อกินเลี้ยงเนื่องในงานหน้าร้อนอันเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเอง
ทุกคนต่างแสดงสีหน้าท่าทางมีความสุขกันหมดแถมยังพยายามสร้างความบันเทิงให้สารพัดแบบ
รอยยิ้มแห่งมิตรภาพเหล่านั้นกำลังเติมเต็มหลุมในใจจากการระบายความเจ็บปวดออกไปไม่นาน
และตัวฉันก็หวังไว้ลึกๆ ว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนกว่าเรื่องการกอบกู้มนุษยชาติจบลงด้วยดี
[ To be continued ]
[ เดิมทีคำว่า ทามายะ เป็นชื่อกลุ่มช่างทำดอกไม้ไฟ แต่ปัจจุบันคนญี่ปุ่นจะใช้พูดเพื่อสร้างความครึกครื้นในงานดอกไม้ไฟช่วงเทศกาลหน้าร้อน ]
ความคิดเห็น