ตอนที่ 38 : บที่ ๑๑ ใกล้ยิ่งกว่าเดิม
จิรดาเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจ ใบหน้าสวยบูดบึ้งชะเง้อมองไปยังเส้นทางที่ปานกมลและฤทัยรัตน์หายไปอย่างหัวเสีย
“นี่เธอ! เจ้านายของเธอเมื่อไรจะมาสักที ปล่อยให้ฉันรอแบบนี้ได้ยังไงกัน หายไปทำอะไรกันนี่มันนานแล้วนะ!” คนงานของปานกมลมองผู้หญิงสวยตรงหน้าแล้วให้นึกอิจฉานายจ้างนัก วันๆ มีแต่ผู้หญิงสวยๆ แวะเวียนมาหาไม่ได้ขาด
“เอ่อ… ไม่ทราบเหมือนกันครับ เห็นบอกว่าสักครู่จะตามมา บอกแค่นี้ละครับ” อีกฝ่ายได้ยินก็ชักสีหน้าบูดบึ้ง
“แต่นี่มันนานแล้วนะ!” แหวใส่คนบอกก่อนจะก้าวตรงไปยังบุตรสาวของตนด้วยท่าทางโกรธขึ้ง เชิดมองตามแล้วสั่นหน้า นึกถึงปานกมลและพี่เลี้ยงสาวน้อยที่พากันขี่ม้าออกไปอีกด้านหนึ่งของฟาร์มแล้วยิ้มขัน ดูท่านายจ้างของเขาคงจะหลงเสน่ห์หญ้าอ่อนเข้าให้แล้ว ต่อให้สิบแม่ปลาช่อนก็คงไม่มีความหมายเท่าหญ้าอ่อนเพียงเส้นเดียว…
“เมนี่! ลงมา!!” เด็กสองคนหันมองตามเสียงพร้อมกัน
“แต่เมนี่ยังไม่อยากไป เมนี่ยังสนุก น้องเต้สอนเมนี่ขี่ม้า เมนี่เก่งแล้วนะคะคุณแม่” ใบหน้าเล็กๆ ของเด็กหญิงมีความสุขเห็นได้ชัด ค้านกับใบหน้าของมารดาที่ตึงเครียดชัดเจนกว่า…
“เมนี่!” น้ำเสียงตะคอกที่คุ้นเคยดีทำให้มานิดาสบตากับปานชีวาเหมือนร่ำลาแวบหนึ่ง ก่อนจะตะกายตัวลงจากหลังม้าโดยมีเชิดเข้ามารับร่างเล็กของเด็กหญิงลงบนพื้นอย่างปลอดภัย เด็กหญิงถูกมารดากระชากเข้าไปหาแล้วก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็กๆ นั่น “เราจะไปหาคุณลุงกัน”
เด็กน้อยเงยหน้ามองมารดาที่ยืดตัวเต็มความสูงแล้วหันมองเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเปิดใจรับเมื่อครู่อย่างอาลัยอาวรณ์ หล่อนยังสนุก ยังอยากขี่ม้าเล่น ยังไม่อยากไปไหนเลย แม้แต่จะไปหาปานกมลก็ตาม ก็ไม่นึกอยากไป…
“นี่นายเชิด บอกทางฉันหน่อย ฉันจะไปหาคุณปาน”
ปานชีวายืนมองคนสวยตรงหน้าด้วยความรู้สึกเซ็งๆ เขากำลังสนุกแต่คุณแม่ของมานิดากลับขัดจังหวะ
“เอ่อ ผมว่าคุณรอที่นี่ดีกว่านะครับ” ปานชีวาเห็นด้วยกับนายเชิด
“ใช่คับ เดี๋ยวคุณลุงก็มาคับ” เด็กน้อยรู้จักเสริมคำพูดของนายเชิด ด้วยหวังให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ
“เดี๋ยวมาตั้งนานแล้วจ้ะน้องเต้ ไม่เอาละ คุณป้าไปดีกว่า ไปเมนี่…”
ก้มลงบอกบุตรสาวพลางหันไปถลึงตาใส่คนงานของปานกมล
“เอ๊า! ว่าไงล่ะ ไปทางไหน”
“เอ่อ…” นายเชิดเอ้ออ้าได้อยู่ครู่ก็จำต้องบอกเมื่ออีกฝ่ายดื้อรั้นจะไปให้ได้ “เอาไงดีครับคุณเต้”
ก้มลงถามเจ้านายตัวน้อยที่ยืนทำหน้าเศร้าหลังจากจิรดาพาบุตรสาวมุ่งหน้าออกตามปานกมล
“เต้จะขี่ม้าตามไป” นายเชิดเลิกคิ้วขึ้นนิด
“เอางั้นเหรอครับคุณเต้”
“เอางี้แหละ คุณลุงสอนเต้แล้วลุงเชิดก็เห็น เต้ขี่เก่ง” เด็กน้อยคุยโวพลางโหนเจ้าออร่าแต่มีสีคล้ำตัวแคระขึ้นไปนั่งบนหลังมันจนได้อย่างคล่องแคล่วเสียด้วย
“ก็ได้ครับก็ได้ แต่ต้องให้ลุงเชิดจูงมันไปด้วยนะครับ ห้ามกระตุกเชือกนะครับ” นายเชิดบอกก่อนเพื่อเป็นการป้องกัน
“ก็ได้คับ แต่เร็วๆ หน่อยนะคับ เดี๋ยวตามเมนี่ไม่ทัน…”
นายเชิดทำตามคำสั่งของเจ้านายตัวน้อยแทบทันที พลางคิดว่าหากจิรดาไปพบปานกมลกำลังสอนฤทัยรัตน์ขี่ม้าใกล้ชิดแนบสนิทแล้วจะทำยังไง คิดๆ ไปมันก็น่าปวดหัวพิลึก…
จิรดาจูงบุตรสาวเดินไปตามทางที่ปานกมลหายไปกับฤทัยรัตน์ ผ่านคอกม้าที่มีไว้ใช้งานแล้วหยุด กวาดตามองหาร่างสูงของเจ้าของฟาร์ม
“เขาไปไหนของเขานะ…” พึมพำอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปมองรอบๆ แล้วหลุบตาลงสบตาบุตรสาว “เมนี่! ทำไมไม่คอยอ้อนคุณลุงไว้ มัวแต่ไปเล่นกับไอ้เด็กนั่นอยู่ได้ ไม่กลัวคนอื่นมันมาแย่งคุณลุงไปแล้วหรือไงกันหา!”
มานิดาก้มหน้างุด ทำไงได้ก็ตอนนั้นกำลังสนุกอยู่นี่นา…
“ตามแม่มา!” เด็กหญิงก้าวตามมารดาไปติดๆ แต่ทั้งคู่ออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเสียงควบม้าตัวโตดังใกล้เข้ามา จิรดาเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรงเมื่อพบว่าคนที่กำลังตามหากลับไปอยู่บนหลังม้าด้วยกันทั้งคู่!
ปานกมลสบตาวาววับที่ไม่ทันได้ปกปิดของจิรดามาแต่ไกล เขามั่นใจว่าตนเองมองไม่ผิดนักว่าคนที่ยืนอยู่กับบุตรสาวไม่พอใจเขาสักเท่าใด ชายหนุ่มหลุบตาลงมองเจ้าของกลุ่มผมหอมกรุ่นขณะที่ฤทัยรัตน์เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นเมื่อพบว่าจิรดาและมานิดามารออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวจึงเอี้ยวตัวหันมองคนตัวโตเบื้องหลังด้วยแววตาเป็นกังวลชัดเจน
“คุณปานคะ คุณจีด้ามารอค่ะ” เสียงหวานดังแทบเป็นกระซิบ ทำให้มุมปากได้รูปของปานกมลหยักยกขึ้นเพียงนิดแต่เดี๋ยวเดียวก็จางหาย บางทีการปล่อยให้จิรดาเข้าใจอย่างที่หล่อนเห็นก็ดีเหมือนกัน…
“ใช่ ฉันเห็นแล้วล่ะ เธอกลัวอะไร” หญิงสาวหันหน้าสบตาคมๆ ที่มองลงมา แววตาของเขาก็ดูร้ายกาจขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจเพราะมันแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มแบบแปลกๆ อย่างที่หล่อนแทบไม่ได้พบเจอก่อนสั่นหน้าปฏิเสธ
“เปล่านี่คะ…” เขาพยักหน้าบ้าง
“ดีแล้ว…” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ไม่เข้าใจคำตอบเขาสักนิด ทว่ายังไม่ทันได้ขยับปากถาม ชายหนุ่มก็ลงจากหลังม้าเสียก่อน จิรดามองร่างสูงที่ลงจากหลังม้าด้วยความขัดเคือง ก่อนตวัดสายตามองฤทัยรัตน์ที่ถูกปานกมลคอยรับอยู่ด้านล่างด้วยความหมั่นไส้
“โธ่! ที่แท้ลุงปานของเมนี่ก็หนีมาขี่ม้าเล่นกับเอ่อ… พี่เลี้ยงนี่เอง ดูสิ ปล่อยให้เมนี่ต้องชะเง้อมอง นี่จีด้าก็บอกว่าไม่ต้องมาๆ นะคะ แกก็ร้องจะมาหาคุณลุงท่าเดียวเลยค่ะ”
ร่างสูงสบตาที่ดูเหมือนจะตั้งใจอ้อนเสียมากกว่าเด็กหญิงตรงหน้า แล้วหลุบตาลงมองมานิดาที่เงยหน้ามองเขาเมื่อหยุดลงตรงหน้าด้วยแววตาค่อนข้างจะเบื่อหน่าย
“คุณลุง…” ปานกมลเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ก่อนยิ้มกว้างเมื่อพบว่าหลานชายตัวน้อยขี่เจ้าออร่ามาหยุดอยู่ตรงหน้า โดยมีนายเชิดเป็นคนจูงม้านำมา “ไม่ต้องคับ เต้ลงเองได้”
ปานกมลยิ้มพอใจเมื่อหลานชายปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนงาน แสดงความกล้าหาญด้วยการลงจากหลังม้าเองสำเร็จจนได้
“เก่งมาก…” มือใหญ่วางลงบนศีรษะเล็กๆ ของหลานชายที่มาหยุดข้างเขา น้องเต้เงยหน้ายิ้มพร้อมพยักหน้าให้กับคำชมนั้น แล้วมองมายัง มานิดาพลางยิ้มให้
“เมนี่มาก่อน ไม่งั้นนะ จะได้ขี่ออร่ามาด้วยละ”
มานิดามีทีท่าเสียดายอย่างเห็นได้ชัดเมื่อปานชีวาเอ่ยออกมาเช่นนั้น
“แล้วทำไมไม่อยู่เล่นกับน้องเต้ล่ะครับ มาหาคุณลุงแบบนี้อดขี่ม้าเลย” ปานชีวามองหน้าจิรดาที่ยืนนิ่งอยู่ข้างบุตรสาวของหล่อนแวบหนึ่งแล้วเอ่ยออกมาตามประสาเด็ก
“ก็คุณป้าบอกให้เมนี่มาหาคุณลุงคับ เมนี่ไม่อยากมาสักหน่อย แต่คุณป้าบอกให้เมนี่มา เมนี่เลยมาจริงไหม” ปานกมลและคนอื่นๆ ต่างมองมายังจิรดาเป็นตาเดียว ฝ่ายนั้นหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่คิดว่าจะถูกเด็กเล่นงานเอาซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ปานกมลลอบถอนหายใจเมื่อรับรู้ความจริงก่อนตัดบท
“ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็มาแล้ว เดี๋ยวลุงพาขี่เล่นอีกครั้งก็ได้”
ได้ยินเช่นนั้นเด็กหญิงมานิดาก็ยิ้มแป้น
“ขอบคุณค่ะ เมนี่ขี่ม้าเก่งแล้วนะคะ ถ้าได้ขี่อีกสักนิดจะเก่งมากขึ้นแน่ๆ เมนี่มั่นใจ” ปานกมลหัวเราะเบาๆ กับคนตัวเล็กทั้งสอง ฤทัยรัตน์เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเอ็นดู ความจริงมานิดาไม่ได้ร้ายกาจอะไรหรอกถ้ามองไม่ผิด ทุกอย่างที่เคยแสดงออกอาจมาจากความฉลาด จึงทำให้อีกฝ่ายดูไม่ค่อยจะน่ารักนักในสายตาของผู้พบเห็นในครั้งแรกๆ
จิรดาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก และลอบค้อนปานชีวาเป็นระยะด้วยสายตาชิงชังจนฤทัยรัตน์ที่แอบมองอยู่ห่างๆ ต้องขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจกับปฏิกิริยาที่อีกฝ่ายมีต่อปานชีวา ระหว่างที่ชายหนุ่มพามานิดาขี่เจ้าออร่าเล่น จิรดาก็พยายามเดินใกล้ชิดปานกมลไม่ห่าง และผูกขาดการพูดคุยเพียงผู้เดียว โดยพยายามเรียกร้องความสนใจจากเขาอยู่ตลอดเวลา แม้ชายหนุ่มจะคอยชำเลืองมองไปยังฤทัยรัตน์ที่เดินตามหลังแต่ก็ยังไม่วายถูกจิรดาขัดขวางด้วยการถามอะไรต่อมิอะไรมากมาย…
ด้านเปรมปรีดิ์เมื่อกลับถึงบ้านก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าสัวทรงชัยจึงต้องไปหาอีกฝ่ายทั้งที่ไม่เต็มใจสักนิด
“หายไปไหนมาหลายวัน ไม่รู้หรือไงว่าผมคิดถึงคุณ แล้ววันนี้ผมโทร.ไปที่บ้าน เด็กบอกว่าออกจากบ้านตั้งนานแล้ว” ร่างบางของเปรมปรีดิ์ตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าสัวทรงชัยทันทีที่พบหน้าบนห้องชุดแห่งหนึ่งกลางใจกรุง
“แหม… ก็เปรมออกไปทำธุระน่ะค่ะ เสร็จแล้วก็กะว่าจะมาหาคุณ แต่คุณโทร.มาซะก่อน” แสร้งเอาใจด้วยการยื่นหน้าไปจุมพิตแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ เจ้าสัวหัวเราะพอใจซึ่งต่างจากเปรมปรีดิ์โดยสิ้นเชิงที่เบ้หน้าด้วยความเบื่อหน่าย
“งั้นวันนี้ค้างนี่นะ ผมคิดถึงคุณจะแย่…” เปรมปรีดิ์ยิ้มหวานประจบก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปยังห้องด้านใน เวลาต่อมาร่างของทั้งคู่ก็ล้มกลิ้งลงไปบนเตียงนุ่ม ปราศจากอาภรณ์ในเวลาไม่นานนัก เจ้าสัวหลับตาพริ้มเพลิดเพลินกับบทรักที่ได้รับจากเปรมปรีดิ์ ต่างจากเปรมปรีดิ์ที่แม้จะอยู่ในอารมณ์ซ่านสยิวแต่คนที่ทำให้หล่อนคิดถึงและรู้สึกเช่นนั้นไม่ใช่คนใต้ร่างเลยสักวินาที ทว่าเป็นใครอีกคนที่หล่อนโหยหาสุดหัวใจ…
ปาน… โอ ปาน…
กรีดก้องร้องในใจเมื่อควบคุมจังหวะสวาทครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงเจ้าสัวครางกระหึ่มก่อนจะพลิกกายขึ้นควบคุมเกมรักต่อจากหล่อน เขาพอใจผู้หญิงใต้ร่างคนนี้เป็นอย่างมาก หล่อนถึงอกถึงใจเขาอย่างไม่มีใครทำให้เขารู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว แม้ระยะหลังหล่อนจะทำให้เขาไม่ไว้วางใจ จนต้องสั่งให้คนสนิทติดตามจึงรู้ว่าหล่อนหายไปไหน และนั่นทำให้เขาต้องแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่รู้ว่าเปรมปรีดิ์ไปหาใคร เพราะคนคนนั้นเขาเองเคยรู้จักกับบิดามารดาของอีกฝ่ายมาก่อน แต่เขาไม่คิดว่าหล่อนจะหนีเขาไปได้พ้น เพราะถ้าหล่อนคิดว่าการกระทำของหล่อนฉลาดพอเขาก็จะทำให้หล่อนรู้ว่าหล่อนยังโง่กว่าเขาอีกมากมายนัก
โดยเฉพาะเรื่องแม่ของหล่อน เขาไม่โง่แน่นอนที่จะยอมสูญเงินจำนวนมากแล้วยังไม่ได้อะไรกลับคืน เปรมปรีดิ์ไม่มีทางถอยหนีไปจากเขาได้ง่ายๆ จนกว่า… จนกว่าเขาจะเป็นฝ่ายเบื่อหน่ายหล่อนเสียเอง แต่กว่าจะถึงวันนั้น เขาก็ควรจะได้อะไรๆ กลับคืนมาจากหล่อนด้วยเช่นกัน
เปรมปรีดิ์หลับตากัดฟันแน่นเมื่อเจ้าสัวเสือกกายเข้ามาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพลิกตัวลงแผ่หราข้างๆ ด้วยอาการเหนื่อยหอบ มือเรียวกำผ้าปูที่นอนด้วยความอัดอั้น สันกรามบอบบางขบเข้าหากันเมื่อความต้องการที่กำลังพุ่งสูงสุดค้างคาก่อนถูกทำลายด้วยเสียงครางครั้งสุดท้ายของคนข้างกาย และถูกกระตุกดิ่งลงสู่พื้นราบจนแตกเป็นเสี่ยงไม่มีชิ้นดี
เปรมปรีดิ์พลิกตัวนอนตะแคงเม้มปากแน่น เปิดเปลือกตามองตรงไปยังผ้าม่านที่ปลิดปลิวไสวเบาๆ ด้วยความเจ็บใจ หากเป็นปานกมล… หล่อนไม่มีทางเจอเหตุการณ์แบบนี้เด็ดขาด เขา... ไม่เคยทำให้หล่อนผิดหวังเลยสักครั้งเดียว
เพียงอึดใจหลังจบสิ้นบทรักระยะสั้น เสียงกรนเบาๆ ก็ดังขึ้น เปรมปรีดิ์พลิกตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความขุ่นเคือง มองเจ้าของร่างอวบอ้วนที่นอนอืดสบายใจด้วยสายตาเกลียดชังเต็มทน
“ไอ้หมูขี้เกียจ! ห่วยแตก ทุเรศ!” เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก็ลงจากเตียงด้วยความเจ็บใจ ตรงไปยังห้องน้ำด้านในด้วยอารมณ์ฟุ้งซ่าน เปิดน้ำให้รินรดกายจนเย็นฉ่ำ ทว่าเมื่อคิดถึงแผนการในอีกสองวันข้างหน้าอารมณ์บิดเบี้ยวจากความไม่ถึงที่สุดกับเกมรักอันห่วยแตกก็ค่อยๆ มลายหายไปทีละนิด
“ปาน…”
จัดส่งรูปเล่มเรียบร้อยแล้วเน่อ ไปตรวจสอบรายชื่อกันที่แฟนเพจนิราอรบุ๊กส์ได้เลยจ้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
