ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    JOQ Online คนจริงลวงโลก <มี E-Book>

    ลำดับตอนที่ #158 : บทที่153: ฝ่าทะเลลึก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.53K
      103
      15 มี.ค. 55

    บทที่153 ฝ่าทะเลลึก

    เสียงประกาศจากระบบว่าเนปจูนตายดังขึ้นมาแต่ชายหนุ่มหัวฟูก็ไม่ได้สนใจ ในเมื่อระดับของเขาขยับขึ้นไปมากกว่าหนึ่งร้อยไม่ได้ ถึงรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่

    “ตกลงว่าเจ้าเนปจูนกับโมบี้ดิ๊กนี่มันตายไปแล้วสินะ” มาตาร์พูดพร้อมกับเดินกลับไปที่ห้องที่มีหัวใจยักษ์อยู่ ซึ่งตอนนี้หัวใจที่แหว่งเพราะกระสุนพรากสังขารนั่นนิ่งสนิทไปแล้วพร้อมๆกับเลือดที่ไหลออกมาเป็นน้ำตก

    ฟิ้ว! แปะ!

    แต่แล้วกลับมีบางสิ่งลอยออกมาจากหัวใจของโมบี้ดิ๊ก แล้วมาวางอยู่ตรงแทบเท้าของชายหนุ่มหัวฟู

    “หืม? การ์ด” ชายหนุ่มแอฟโรก้มลงหยิบเจ้าสิ่งนั้นขึ้นมา

    “เนปจูนโมบี้ดิ๊ก ...ฟื้นฟูและสะสม อะไรเนี่ย?” มาตาร์อ่านคุณสมบัติของการ์ดแล้วก็ต้องแปลกใจที่คุณสมบัติของการ์ดมันสั้นมากถ้าเทียบกับการ์ดป่าแมลง

    “คุณแอฟโรจำตอนสู้กับเนปจูนได้มั้ยล่ะครับ” เสียงนุ่มๆเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นชายหนุ่มหัวฟูสงสัยในคุณสมบัติของการ์ด

    “อืม ทำไมเหรอ?” ชายหนุ่มหัวฟูถามกลับ เพิ่งจะสู้กันมาเมื่อสักครู่นี้เองจะลืมไปได้อย่างไร

    “เนปจูนสามารถปล่อยพลังได้เรื่อยๆเพราะสามารถฟื้นฟูพลังขณะต่อสู้ได้ นั่นคือฟื้นฟูไงครับ” พ่อบ้านผู้รอบรู้เฉลย

    “ฮ้า!!” มาตาร์อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น เพราะถ้าคุณสมบัติฟื้นฟูสามารถทำอย่างนั้นได้เท่ากับว่าเขาสามารถปล่อยพลังได้โดยไม่มีการหยุดพัก เพราะร่างไรเดอร์นี่ฟื้นฟูพลังเร็วมากอยู่แล้ว และยังสามารถส่งพลังให้เดียมอนได้เรื่อยๆโดยพลังไม่หมดด้วย เพราะเท่ากับว่าช่วงที่เสียพลังไปพลังก็จะฟื้นฟูขึ้นมาเอง แต่การเรียกเดียมอนออกมาก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสักหน่อย

    “ส่วนคุณสมบัติสะสม ผมไม่แน่ใจนัก แต่คิดว่าคงสามารถสะสมอาหารที่กินเข้าไปได้แล้วแสดงผลแบบการซ่อมแซมตัวเองของโมบี้ดิ๊กล่ะมังครับ” พ่อบ้านเอ่ยอย่างลังเล

    “เอ่อ ...แบบกินตุนอาไว้ก่อนน่ะเหรอ ถ้าสมมุติว่าไม่ได้หิวแต่กินเข้าไป ก็จะสะสม แล้วพอได้รับบาดเจ็บอาหารที่กินนั่นก็จะเช้าไปฟื้นฟูร่างกาย แบบนั้นน่ะเหรอ” มาตาร์ลองเรียบเรียงจากสิ่งที่พ่อบ้านของเขาบอก

    “คาดว่าคงเป็นเช่นนั้นแหละครับ” พ่อบ้านกล่าว

    “โห! ถ้าเป็นแบบนั้นจริงถือว่าการ์ดเนปจูนโมบี้ดิ๊กนี่สุดยอดมากเลยนะ” มาตาร์ไม่รอช้า เขาจับการ์ดมาใส่ในซองใส่การ์ดที่เข็มขัดทันที

    ชืบ! แวบ!

    การ์ดใบใหม่เสียบเข้าไปในซองแล้วมันก็หายไป

    “ทีนี้ก็เหลือไอ้ซากวัตถุดิบชิ้นใหญ่นี่ ...จะทำยังไงกับมันดีล่ะเนี่ย” มาตาร์รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาเมื่อคิดถึงการจัดการกับซากของโมบี้ดิ๊กซึ่งใหญ่เท่าเกาะนี่

    ทุกครั้งที่สัตว์อสูรตาย มันก็จะทิ้งร่างของมันเอาไว้เสมอยกเว้นในกรณีสนามประลองของระบบที่พวกสัตว์อสูรจะกลายเป็นแสงหายไปไม่เหลือซากเอาไว้ ซึ่งปกติมาตาร์ไม่เคยใส่ใจกับซากสัตว์อสูรที่เขาฆ่าไปแล้ว นอกจากจะเก็บมันเอาไว้เป็นเสบียงอาหารเท่านั้น แต่หลังจากรู้เรื่องช่างตีเหล็กแล้ว ชายหนุ่มคิดว่าคงต้องใส่ใจกับซากสัตว์อสูรมากขึ้น เพราะว่าซากสัตว์อสูรคือแหล่งของวัตถุดิบที่จะเอามาสร้างอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์อสูรที่หายากเช่นโมบี้ดิ๊กนี้ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะอาจจะมีของหายากที่มีราคาหรือวัตถุดิบชั้นสูงอยู่ก็ได้

    ซึ่งจริงๆแล้วโมบี้ดิ๊กถือว่าเป็นสัตว์อสูรที่ปราบได้ยากมาก เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่โตกับความสามารถในการฟื้นตัวที่สูงจนถึงขั้นเกือบจะเป็นอมตะเลยทีเดียว ถ้าไม่ใช้การโจมตีที่รุนแรงถึงขั้นตัดหัวโมบี้ดิ๊กออกมาได้(ซึ่งอาจจะต้องรุนแรงถึงขั้นถล่มภูเขาย่อมๆลูกหนึ่งให้พังลงมาได้เช่นกัน) ก็ต้องเล่นงานที่จุดอ่อนอย่างหัวใจนั่นเอง

    ซึ่งวัตถุดิบที่สำคัญในตัวโมบี้ดิ๊กก็คือกระดูกของมันซึ่งมีความหนาและแข็งแรง เป็นวัตถุดิบเพียงชนิดเดียวที่จะนำออกมาได้ก็ต่อเมื่อโมบี้ดิ๊กตายเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่จำเป็นต้องให้โมบี้ดิ๊กตายก็สามารถเก็บมาได้ อย่างเช่นเลือด เนื้อ หรือหนัง

    “คุณแอฟโรอยากจะได้วัตถุดิบเหรอครับ” พ่อบ้านเสียงนุ่มถาม

    “ไหนๆก็อุตส่าห์ฆ่ามันได้แล้ว ก็อยากจะได้วัตถุดิบหายากบ้างนี่นา” มาตาร์ตอบพ่อบ้าน

    จริงๆหลังจากที่ฆ่าเนปจูนและโมบี้ดิ๊กได้แล้ว สัตว์อสูรรวมร่างนี้ก็ย่อมจะตกเงินมาให้อย่างมหาศาล แต่เนื่องจากเงินจะตกนอกร่างของสัตว์อสูรเมื่อตาย ดังนั้นเงินทั้งหมดจึงตกลงทะเลไปเรียบร้อย ถ้าอยากจะได้ก็ต้องดำน้ำไปเอาเอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าก้นทะเลจะลึกขนาดไหน

    “วัตถุดิบที่สำคัญในสัตว์อสูรตัวนี้ก็น่าจะเป็นกระดูกสันหลังครับ แต่จริงๆแล้วจากที่ผมประเมินดูแล้ว สมบัติจริงๆของโมบี้ดิ๊กคือสัตว์อสูรที่อยู่ในร่างของมันมากกว่า เพราะในร่างของโมบี้ดิ๊กนี้มีแต่สัตว์อสูรแปลกๆทั้งนั้นเลย บางทีอาจจะมีเวทอสูรลับให้คุณแอฟโรเก็บด้วยนะครับ แต่ถ้าเทียบกับสมบัติในห้องสมบัติแล้ว ผมว่าสมบัติในห้องสมบัติที่เจอนั่นถือว่ามีค่าสูงสุดในร่างนี้แล้วล่ะครับ” พ่อบ้านจดจำรายละเอียดทุกอย่างที่เขาเจอแล้ววิเคราะห์ให้ชายหนุ่มหัวฟูฟัง

    “ตกลงสมบัติในห้องนั้นดีที่สุดแล้วใช่มั้ย แล้วก็อาจจะได้เวทอสูรลับด้วยสินะ ...แต่ผมดันได้อสูรลับสุดเกรียนมาเป็นแขนซ้ายนี่สิ เป็นสมบัติที่ไม่น่าได้มากที่สุดเลยล่ะ” มาตาร์บ่นถึงสิ่งที่เขาได้รับจากโมบี้ดิ๊ก

    “แต่ผลึกวิญญาณที่ติดมาด้วยถือว่าเหมาะกับคุณแอฟโรนะครับ” พ่อบ้านชี้ให้เห็นถึงจุดดี

    “เอ้อ จะว่าไป เห็นว่าสามารถดึงวิญญาณผู้ใช้ออกมาได้ด้วยใช่มั้ย” มาตาร์ทวนคุณสมบัติข้อหนึ่งของผลึกวิญญาณ

    “ใช่ครับ ผมพอจะคาดเดาได้ว่าการที่คุณแอฟโรต้องเสียทั้งปราณ เวท และพลังจิตไปเป็นผลมาจากผลึกวิญญาณ และพลังนั่นไปกระตุ้นให้วิญญาณของเดียมอนซึ่งรวมร่างเข้ากับผลึกวิญญาณไปแล้วตื่นขึ้นมา” พ่อบ้านเริ่มวิเคราะห์ระบบของเจ้าแขนอสูรนั่น

    “แล้วผมสามารถดึงเอาเฉพาะความสามารถของผลึกวิญญาณออกมาโดยไม่ทำให้เดียมอนตื่นได้มั้ยเนี่ย จะได้ลองใช้ร่างวิญญาณของผมดูบ้าง” มาตาร์ถามพ่อบ้านผู้รอบรู้

    “เรื่องนั้นอยู่นอกเหนือจากความรู้ของผมครับ คงต้องลองหาวิธีการหรือฝึกฝนเอาเองหลังจากนี้” พ่อบ้านกล่าว

    ซูวว!

    ทันใดนั้นมาตาร์ก็ลองถ่ายพลังพิเศษเข้าไปที่แขนซ้ายทันที

    “แก!! ข้าจะฆ่าแก!” เสียงเจ้าเดียมอนตะโกนขึ้นมาทันที

    “ฮึบ!

    แต่ชายหนุ่มหัวฟูกลับไม่สนใจเสียงเจ้าอสูรสุดเกรียนนั่น เขาพยายามแยกพลังออกเป็นส่วนๆแล้วถ่ายไปให้ทั่วแขนซ้ายสีดำที่ด้วนนั่นซึ่งมันก็สะบัดไปมาตลอดเวลาเหมือนอยากจะทำร้ายเจ้าของร่างเสียให้ได้ แต่เนื่องจากมันยาวพ้นข้อศอกไปหน่อยเดียวเท่านั้น ดังนั้นแขนซ้ายนั่นจึงทำร้ายเจ้าของร่างไม่ได้

    “ตายย! ตายย!” เดียมอนยังคงไม่ยอมแพ้ ซึ่งถึงแม้ตอนนี้มันจะมีระดับแค่ร้อยและสถานะต่ำต้อยก็ตาม แต่มาตาร์ก็ยังควบคุมมันไม่ได้อยู่ดี เพราะแขนนั่นก็คือร่างของเดียมอนเหมือนเดิม การที่ระดับของมันลดลงก็ทำให้กำลังในการฝืนของมันลดลงเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่าเดียมอนจะเชื่อฟังมาตาร์

    “อืม มันมีเหมือนกับช่องว่างในแขนซ้ายแฮะ” มาตาร์พูดขึ้นมาเหมือนกับจะจับอะไรบางอย่างได้

    “ทำเป็นไม่สนใจเหรอแก!” เดียมอนยังแผดเสียงไม่หยุด

    ซู่วว!!

    แล้วทันใดนั้นก็มีร่างของเด็กชายตัวสูงเท่าเอวของมาตาร์ปรากฏขึ้นมา มีทรงผมเดร็ดล็อกยาวสีแดง สวมหน้ากากคลุมทั้งหน้า

    “อะไรน่ะ!” เดียมอนสงสัยขึ้นมาทันทีว่าเด็กชายคนนี้โผล่ออกมาจากไหน

    “อืม มันดูดพลังงานทั้งสามอย่างเหมือนกันแฮะ หนักเอาการอยู่นะเนี่ย” ชายหนุ่มหัวฟูพูดออกมาเหมือนกับกำลังลำบากอยู่

    “อืม ดูเหมือนการ์ดใบใหม่จะทำงานอยู่นะครับ ผลึกวิญญาณนั้นขึ้นชื่อเรื่องเปลืองพลังพิเศษมาก แต่คุณแอฟโรกลับจ่ายพลังงานให้เดียมอนและเรียกร่างวิญญาณออกมาได้ด้วย” พ่อบ้านกล่าวอย่างชื่นชมโดยไม่ใส่ใจกับเดียมอนที่เอาแต่พูดเหมือนกัน

    ความสามารถฟื้นฟูของการ์ดใบใหม่นั้นทำให้การฟื้นฟูพลังพิเศษแยกออกไปต่างหากจากการใช้งานตามปกติ

    โดยปกติแล้วถ้ามาตาร์ใช้พลังวิญญาณ ปราณ หรือพลังจิตแบบต่อเนื่อง พลังก็จะลดลงไปเรื่อยๆ และเมื่อหยุดใช้งาน พลังเหล่านั้นถึงจะฟื้นฟูขึ้นมา แต่ว่าการ์ดใบใหม่นี้ทำให้พลังพิเศษฟื้นฟูแม้ในขณะใช้งาน ซึ่งอัตราการฟื้นฟูนั้นก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ในที่นี้คืออัตราการฟื้นฟูในร่างไรเดอร์ ซึ่งเร็วมาก ประมาณร้อยหน่วยต่อวินาที ถ้ามาตาร์ไม่ได้ใช้พลังงานมากกว่าร้อยหน่วยต่อวินาที เท่ากับว่าเขามีพลังพิเศษให้ใช้แบบไม่มีหมดสิ้น

    “คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง แต่พลังงานที่ผมจ่ายให้เดียมอนมันแค่หนึ่งหน่วยต่อวินาทีเท่านั้นเองนะ จริงๆผมพยายามจะไม่ส่งพลังงานให้เดียมอน แต่ก็ทำไม่ได้ รู้สึกเหมือนถ้าอยากจะใช้ผลึกวิญญาณยังไงก็ต้องผ่านเดียมอนด้วยเท่านั้น” มาตาร์กล่าวเรียบๆ

    ซึ่งชายหนุ่มแอฟโรไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้เขาค้นพบความลับอีกอย่างหนึ่งของพลังพิเศษเข้าให้แล้ว นั่นก็คือความยาวของคลื่นพลังนั่นเอง ถึงจะเป็นการส่งพลังออกมาเหมือนกัน แต่กลับส่งให้ตัวรับที่แตกต่างกันได้ เปรียบเสมือนคลื่นวิทยุ ที่พอเปลี่ยนความถี่ก็คือสัญญาณช่องอีกช่องหนึ่ง แต่มันก็คือคลื่นวิทยุเหมือนกัน

    ตามปกติแล้วผู้เล่นทั่วไปจะปล่อยพลังพิเศษออกมาแบบรวมๆ ไม่มีการแยกความยาวคลื่น เพราะไม่รู้ว่ามีความยาวคลื่นที่แตกต่างกันให้เลือกใช้ด้วย เหมือนกับแสงสีขาวที่รวมความยาวของคลื่นแสงหลายความยาวเอาไว้ด้วยกัน แต่ขณะนี้มาตาร์เหมือนกับแยกแสงสีแดงออกมา แล้วปล่อยเฉพาะแสงสีแดงใส่แขนซ้ายเพื่อเลี่ยงความถี่ที่เดียมอนสามารถดูดได้แล้วปล่อยใส่ผลึกวิญญาณตรงๆ แต่เนื่องจากความไม่ชำนาญทำให้ยังคงเหลือความยาวคลื่นในส่วนที่เดียมอนสามารถดึงไปใช้งานได้อยู่ทำให้เดียมอนตื่นขึ้นมาขณะที่มาตาร์เรียกร่างวิญญาณของเขาออกมา

    “เฮ้ย! ทำเป็นไม่สนใจเหรอ” เดียมอนแผดเสียงพร้อมกับขยับร่างไปมาไม่หยุด

    “อืม แล้วร่างวิญญาณนี่ทำอะไรได้บ้างล่ะเนี่ย” ชายหนุ่มแอฟโรไม่สนใจเสียงเจ้าปีศาจนั่นแต่หันไปใส่ใจกับร่างของเด็กชายที่มีหัวทรงเดรดล็อกสีแดงมากกว่า

    “ร่างวิญญาณทำทุกอย่างได้เหมือนร่างต้นครับ แต่จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอขึ้นอยู่กับพลังพิเศษที่ใส่เข้าไป” พ่อบ้านให้รายละเอียด

    “ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนเดียมอนนี่น่ะสิ ถ้าผมให้พลังพิเศษไปร้อยหน่วยต่อวินาที ค่าสถานะทุกอย่างของมันก็จะมีร้อยหน่วยใช่มั้ย” มาตาร์ได้ยินคุณสมบัติแล้วก็นึกเปรียบเทียบกับเดียมอน

    “ใช่ครับ ค่าสถานะต่ำที่สุดของร่างวิญญาณที่จะปรากฏออกมาคือหนึ่งร้อย เหมือนกับผู้เล่นที่ค่าสถานะจะไม่ต่ำกว่าร้อย ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับค่าความบริสุทธิ์ของพลังพิเศษด้วย คนที่ไม่มีทักษะเสริมพลังจิต ปราณ หรือเวทอาจจะต้องเสียพลังวิญญาณ ปราณ และพลังจิตถึงอย่างละพันหน่วยต่อวินาทีเพื่อสร้างร่างวิญญาณขึ้นมาหนึ่งวินาทีซึ่งเปลืองพลังงานมาก แต่เนื่องจากทักษะเสริมของคุณแอฟโรสูงมาก ทำให้คุณแอฟโรเสียพลังพิเศษไม่ถึงร้อยหน่วยด้วยซ้ำในการสร้างร่างวิญญาณขึ้นมาหนึ่งวินาที และพลังที่ฟื้นฟูขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้สามารถคงสภาพร่างวิญญาณได้นานเท่าที่ต้องการ” พ่อบ้านแจกแจงรายละเอียด

     “ฮ่าๆๆ โชคดีสุดๆเลยผมเนี่ย ที่ได้ผลึกวิญญาณมาในครอบครอง ...แต่ถ้าตัดเรื่องเจ้าเดียมอนออกไปจะถือว่าโชคดีกว่านี้นะเนี่ย” มาตาร์ยิ้มแห้งๆ

    “เฮ่!!” ระหว่างนั้นเจ้าแขนซ้ายสีดำก็พยายามเรียกร้องความสนใจด้วยการส่งเสียงและขยับไปมาไม่หยุด

    “ถ้าสไลปบอกว่ามันทำได้เหมือนร่างต้นทุกอย่าง หมายความว่าท่าไม้ตายตอนที่ผมคืนร่างเจ้านี่ก็ใช้ได้ใช่มั้ย” มาตาร์ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

    “ใช่ครับ แต่ว่ามันก็จะดูดพลังพิเศษของคุณแอฟโรไปอีกนะครับ” พ่อบ้านกล่าว

    “เท่ากับว่าปล่อยท่าไม้ตายที่กินพลังวิญญาณได้แค่ร้อยห้าสิบหน่วยล่ะสิเนี่ย ...แล้วจะปล่อยอะไรออกไปได้ล่ะเนี่ย เหมือนจะไร้ประโยชน์ยังไงก็ไม่รู้แฮะถ้าจะเรียกร่างวิญญาณออกมาแล้วให้ทำแค่เตะๆต่อยๆเนี่ย” มาตาร์มีพลังพิเศษแค่ร้อยห้าสิบหน่วย ต้องเสียไปประมาณร้อยหน่วยในการคงสภาพร่างวิญญาณซึ่งพลังในการใช้งานกับพลังในการฟื้นฟูแทบจะเสมอกันแล้วในขณะนี้ ทำให้พลังพิเศษไม่ลดลงไปแม้จะเรียกร่างวิญญาณออกมา ทำให้คงเหลือพลังพิเศษร้อยห้าสิบหน่วยเหมือนเดิม แต่เมื่อไหร่ที่เขาบังคับให้ร่างวิญญาณปล่อยท่าไม้ตายออกมา มันก็จะดูดพลังไปอีก แล้วพลังพิเศษก็จะฟื้นขึ้นมาไม่ทันใช้ สุดท้ายแล้วร่างวิญญาณก็จะไร้ประโยชน์

    “ลองบังคับดูก่อนสิครับ ผมว่าร่างวิญญาณเหมาะกับคุณแอฟโรจริงๆนะ เรื่องอื่นๆเอาไว้คิดทีหลังก็ได้” พ่อบ้านกล่าวขึ้นมา เพราะเห็นว่าเจ้าร่างวิญญาณยืนเฉยๆมานานแล้ว

    “อืม ลองบังคับดูหน่อยก็ได้” มาตาร์พูดขึ้นพร้อมกับลองบังคับร่างวิญญาณดู

    ฟุบ! ฟุบ!

    เด็กชายสวมหน้ากากขยับแขนขาออกมาตามที่มาตาร์คิด ท่าทางไม่ต่างกับเขาเลยแม้แต่น้อย

    ฟิ้ว! ผึง!

    แล้วเมื่อร่างวิญญาณใช้กงจักรลมเพื่อที่จะกระโดดขึ้นไป ปรากฏว่าร่างของมันเหมือนถูกฉุดเอาไว้ด้วยเชือกที่มองไม่เห็นทำให้กระโดดขึ้นไปได้เพียงสองเมตรเท่านั้น แล้วมันก็ร่วงลงมาเหมือนเดิม

    “หา?” มาตาร์ตกใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    “ระยะทำการของร่างวิญญาณคือสองเมตรครับ” พ่อบ้านรายงาน

    นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมร่างวิญญาณของชายหนุ่มหัวฟูถึงกระโดดสูงกว่าสองเมตรไม่ได้

    “สองเมตรเหรอ? อืม” มาตาร์คิดถึงระยะทำการแล้วลองเดินไปที่ผนังด้านหนึ่ง

    พรืด!

    และทันทีที่พ้นระยะสองเมตร เจ้าร่างวิญญาณนั่นก็เหมือนถูกลากให้ตามมาทั้งๆที่มันไม่ได้ขยับเท้า

    และทันทีที่ชายหนุ่มแอฟโรเดินมาถึงผนัง เขาก็บังคับร่างวิญญาณให้ปีนขึ้นไปทันที โดยใช้มือเจาะเข้าไปในร่างอันยวบยาบของโมบี้ดิ๊ก

    วืด!

    และเมื่อพ้นระยะสองเมตร ร่างของมาตาร์ก็ลอยตามขึ้นไปช้าๆ สูงขึ้นเรื่อยๆตามความสูงที่ร่างวิญญาณปีนขึ้นไป

    ฟิ้วว!!

    แล้วร่างวิญญาณก็กระโดดออกมาจากผนัง ชายหนุ่มหัวฟูก็กระโดดตามออกมาด้วย

    ฟุบ!

    ร่างวิญญาณพุ่งออกไปด้วยกงจักรลม แต่ว่าพุ่งออกไปไม่พ้นระยะสองเมตร มันก็หยุดลง

    ผึง! ผึง! ฟุบ!!

    คราวนี้มีกงจักรลมซ้อนกันถึงสามชั้นที่เท้าของร่างวิญญาณ แล้วมันก็พุ่งออกไปอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มันลากร่างของชายหนุ่มหัวฟูตามไปด้วยจนได้

    ตุบ! วูบ!

    แล้วร่างของทั้งคู่ก็ร่อนลงสู่พื้น ก่อนที่ร่างของเด็กชายผมแดงจะหายไป

    “เข้าใจล่ะ” มาตาร์พูดขึ้นมาเมื่อเห็นผลการทดลอง

    “ได้อะไรบ้างครับ” พ่อบ้านเอ่ยถามขึ้นมาเรียบๆ เขารู้ดีว่าชายหนุ่มหัวฟูทดลองอะไรเมื่อครู่นี้

    “การเคลื่อนไหวในระยะสองเมตรที่ไม่มีผลต่อร่างต้น ร่างวิญญาณจะเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ แต่ถ้าการเคลื่อนไหวนั้นมีผลต่อร่างต้นเมื่อไหร่จะต้องใช้พลังสูงกว่าเดิมมาก อย่างตอนปีนกำแพงนั่น ในขณะที่ผมลากร่างวิญญาณมาได้โดยไม่ต้องใช้แรงอะไรเลยแต่ถ้าร่างวิญญาณจะลากผมขึ้นไปด้วยก็ต้องใช้แรงมากกว่าปกติ หรือตอนที่ลอยอยู่ถ้าจะใช้กงจักรลมลากผมไปด้วยต้องใช้แบบซ้อนๆกัน เปลืองพลังน่าดู” มาตาร์กล่าว

    “คุณแอฟโรน่าจะหวังกับการปล่อยท่าไม้ตายเป็นครั้งๆมากกว่าจะให้ร่างวิญญาณช่วยสู้นะครับ” พ่อบ้านแนะนำ

    “อืม ดูๆไปแล้วก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่จริงๆด้วยแฮะ ต้องเรียกร่างวิญญาณออกมา แล้วค่อยให้มันปล่อยไม้ตายให้ แถมไม้ตายที่ปล่อยยังไม่แรงด้วยนี่สิ” มาตาร์เริ่มคิดถึงขั้นตอนที่ยุ่งยากและความสิ้นเปลืองในการปล่อยท่าไม้ตายออกมาในแต่ละครั้ง ซึ่งท่าไม้ตายที่ทำให้ศัตรูตายได้ง่ายๆอย่างกระสุนพรากสังขารนั้นก็ต้องใช้พลังวิญญาณขั้นต่ำถึงห้าร้อยในการปล่อยออกมาสักลูกหนึ่ง ถ้าไม่คืนร่างก่อนยังไงก็ใช้ไม่ได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ร่างวิญญาณเลย ท่านอกเหนือจากนั้นก็มีระเบิดวายุและหัตถ์พระเจ้า ซึ่งพลังในการปล่อยก็จะลดลงไปเพราะพลังวิญญาณและสถานะของร่างวิญญาณที่จำกัดแค่ประมาณหนึ่งร้อยเท่านั้นในเวลานี้

    “เวทมนตร์ไงครับ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกจำกัดด้วยค่าสถานะของร่างวิญญาณ จะรุนแรงเท่าไหร่ก็ขึ้นกับร่างต้นเหมือนเดิม เพราะร่างวิญญาณมีแต่สถานะทางร่างกาย ไม่ได้มีสถานะทางด้านจิตใจ” พ่อบ้านพูดให้ชายหนุ่มได้คิด

    ชายหนุ่มหัวฟูตาโตขึ้นมาเหมือนกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “เออแฮะ ลืมคิดถึงเวทมนตร์ไปเลย เพราะผมใช้แต่ปราณกับพลังจิตจนชิน”

    มาตาร์แทบไม่เคยใช้เวทมนตร์ในการโจมตีเลย แม้แต่ก่อนที่จะได้เข็มขัดไรเดอร์มา เพราะว่าเวทที่ไม่สมประกอบเท่าไหร่ของเขานั่นเอง ซึ่งเวททั้งหมดตอนนี้มีอยู่สี่ชนิดคือ อสรพิษตาเดียว เขี้ยวธรณี จอมเขมือบ และนาคามหาสมุทร

    มาตาร์ยังไม่เคยเรียกนาคามหาสมุทรออกมาใช้จึงไม่รู้ว่ามันโจมตีอย่างไร แต่เวทอีกสามอย่างที่เหลือมีเขี้ยวธรณีเท่านั้นที่บังคับได้และใช้งานได้จริงๆ แต่การเรียกเขี้ยวธรณีออกมาต้องมีพื้นผิวให้มันเคลื่อนที่ด้วย และมันไม่สามารถโจมตีศัตรูที่อยู่ในอากาศหรือในน้ำได้ จึงถือว่ามีข้อจำกัดการใช้งานมาก

    “จะลองฝึกฝนการใช้งานตอนนี้เลยมั้ยล่ะครับ” พ่อบ้านเสนอขึ้นมาถึงการฝึก

    “เอาไว้ก่อนดีกว่าสไลป ผมว่าที่นี่มันไม่เหมาะนะ เอาไว้ขึ้นฝั่งได้ค่อยฝึกดีกว่า” มาตาร์ตอบ

    “แล้วตอนนี้คุณแอฟโรจะทำอะไรล่ะครับ จะเลาะกระดูกสันหลังโมบี้ดิ๊กออกมามั้ย” พ่อบ้านเสนอตัวเลือกอีกตัวหนึ่ง

    “เอ่อ ...ผมว่ามันคงจะกินเวลาเป็นเดือนถ้าเราทำอย่างนั้นนะ ขอผมขึ้นฝั่งเลยดีกว่า ตอนนี้คิดแต่เรื่องการไปอวกาศเอาไว้ก็พอ แขนผมก็ไม่สมประกอบแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะมีทางแก้รึเปล่า แถมเราต้องเอาโมโนไบค์ไปอัพเกรดด้วย” มาตาร์ยังไม่ลืมเป้าหมายการเดินทางในครั้งแรก

    “ถ้าอย่างนั้นก็หาทางออกจากที่นี่ละกันนะครับ” พ่อบ้านกล่าว

    เนปจูนที่ตายลงไปนั้นมีกำหนดฟื้นในอีกเจ็ดวันหลังจากนี้ เขาจะฟื้นขึ้นมาด้วยค่าสถานะและระดับเท่ากับก่อนตายนี้ เพราะเงื่อนไขของสัตว์อสูรตามธรรมชาติจะฟื้นขึ้นมาด้วยค่าสถานะคงที่ เท่ากับว่าไม่โดนผลกระทบจากกระสุนวิญญาณเลย ส่วนโมบี้ดิ๊กจะฟื้นขึ้นมาหลังจากนี้อีกสามสิบวัน ถึงแม้จะมีระดับต่ำกว่าเนปจูน แต่ถือว่าเป็นสัตว์อสูรที่ฆ่าได้ยากยิ่งกว่าเนปจูนหลายเท่า ดังนั้นระยะเวลาในการเกิดใหม่จึงนานกว่า ซึ่งระหว่างนั้นเนปจูนคงจะกลายเป็นอสูรเร่ร่อนไม่มีที่อยู่

     

    “แต่แกก็มาเร็วเหมือนกันนะแฟ็ตตี้ แค่วันเดียวเองก็มาถึงนี่แล้ว นึกว่าจะใช้เวลาประมาณสามวันซะอีก” ชายร่างอ้วนพูดกับคู่หูที่กำลังขับพาหนะที่เป็นเหมือนเรือดำน้ำลำเล็กๆอยู่

    “คำว่าถึงที่นี่ของแกน่ะ แกรู้เหรอว่าที่นี่คือที่ไหนน่ะ” ชายร่างผอมที่กำลังขับยานพาหนะอยู่พูดขึ้น

    “อ้าว? ไม่ใช่ทะเลกลางโลกเหรอ” ชายร่างอ้วนถามกลับงงๆ

    “ถือว่าเป็นโชคดีที่เจ้าโมบี้ดิ๊กมันว่ายขึ้นเหนือมา นี่เราอยู่ระหว่างแอฟริกากับยุโรป” ชายร่างผอมตอบเรียบๆ

    “โห! เจ้าโมบี้ดิ๊กนี่มันว่ายเตลิดขึ้นมาไกลเหมือนกันนี่ เกิดอะไรขึ้นหว่า ปกติมันจะไม่ออกจากเขตทะเลกลางโลกนี่นา” ชายร่างอ้วนสงสัยขึ้นมา

    “คงเพราะเจ้าเนปจูนมันตายไปครั้งนึงนั่นแหละ” ชายร่างอ้วนกล่าว

    “หา!? เนปจูนตายไปครั้งนึง เป็นไปได้ยังไง แล้วแกรู้ได้ยังไง” ชายร่างผอมหันหน้าออกมาจากกระจกใสด้านหน้าด้วยความแปลกใจ

    “ในห้องสมบัติ พวกเราไม่เจอเนปจูนใช่มั้ยล่ะ แค่นั้นก็น่าสงสัยแล้ว เราเลยได้สมบัติมาง่ายกว่าที่คิด แล้วก่อนที่แกจะมารับข้า ข้าเห็นไอ้หนุ่มหัวฟูนั่นกำลังสู้กับเนปจูนน่ะสิ” ชายร่างอ้วนเล่าสิ่งที่เขาเห็นให้คู่หูฟัง

    “หา? ไอ้หนุ่มนั่นกำลังสู้กับเนปจูนเหรอ” ชายร่างผอมกล่าวขึ้นมาอย่างตกใจ

    “ใช่” ชายร่างอ้วนยืนยัน

    “ก็แล้วทำไมแกถึงว่าเนปจูนตายไปครั้งนึงถ้าเห็นมันสู้กับไอ้หนุ่มนั่น นี่มันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างที่ข้าตายเนี่ย” ชายร่างผอมถามขึ้นมาขณะที่หันหน้ากลับไปมองทางต่อ

    “ข้าเห็นตั้งแต่ตอนที่ไอ้หนุ่มนั่นมันเข้ามาในห้องหัวใจของโมบี้ดิ๊ก แล้วก็เห็นว่าเนปจูนเพิ่งจะเกิดขึ้นมาพอดีน่ะสิ ข้าก็เลยเดาออกมาว่าทำไมเราถึงไม่เจอเนปจูนในห้องสมบัติ” ชายร่างอ้วนกล่าว

    จริงๆแล้วทินนี่เข้าไปถึงห้องหัวใจของโมบี้ดิ๊กก่อนหน้าที่มาตาร์จะเข้าไป แต่เขาเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ที่นั่น เพราะเขาคิดไม่ออกถึงวิธีที่จะทำลายหัวใจที่ใหญ่ขนาดตึกสิบชั้นนั่น ดังนั้นเขาจึงเข้าไปที่ห้องข้างๆแล้วติดตั้งเครื่องส่งมวลสารเพื่อที่จะกลับออกไปแทน

    แล้วระหว่างนั้น เมื่อมาตาร์มาถึงห้องหัวใจก็อาละวาดทันที ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ทินนี่จึงเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนที่เนปจูนฟื้นขึ้นมา เขาจึงรีบร้อนในการติดตั้งและส่งสัญญาณมากขึ้นไปอีก เพราะการที่เนปจูนฟื้นขึ้นมาหมายถึงความลำบากในการใช้ชีวิตอยู่ในร่างของโมบี้ดิ๊กแล้ว ยิ่งเขาอยู่ตัวคนเดียวไม่มีแฟ็ตตี้อยู่ข้างๆเขาย่อมไม่มีวิธีเอาชนะเนปจูน

    แต่หลังจากนั้นหญิงสาวคนหนึ่งกลับกระเด็นทะลุมาจากห้องหัวใจนั่นขณะที่ทินนี่กำลังจะใช้เครื่องส่งมวลสารกลับออกมาจากร่างโมบี้ดิ๊ก เขาเห็นว่าเธอบาดเจ็บหนักและหมดสติ จึงช่วยเธอออกมาด้วยกัน โดยไม่ได้รู้เลยว่าหญิงสาวคนนั้นเดินทางมากับชายหนุ่มหัวฟูนั่นแหละ และที่สำคัญกว่านั้น หญิงสาวผู้ได้รับบาดเจ็บคนนี้ยังสวยถูกใจเขาอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่คิดมากในการพาตัวเธอมาด้วย

    “อ้อ อย่างนั้นหรอกเหรอ เลยไม่ได้อัดเจ้าเนปจูนด้วยตัวเองเลย อุตส่าห์หาวิธีรับมือมันได้แล้วเชียวนะ” ชายร่างผอมบ่นออกมาอย่างเสียดาย

    “เจ้าบ้า ทำอย่างกับแกคนเดียวทำอะไรเจ้าเนปจูนได้ ไม่มีข้าอยู่ด้วยแกก็เสร็จแหละว้า” ชายร่างอ้วนกล่าวพร้อมกับเดินไปที่แท่นบังคับพาหนะอีกอันหนึ่งที่อยู่ข้างๆกับชายร่างผอม

    “เออๆ แต่ตอนนี้ไปแอฟริกากันก่อนเถอะ แม่นางฟ้านี่บาดเจ็บจะตายอยู่รอมร่อ พอเราเอาเธอไปรักษาเสร็จ เธอฟื้นขึ้นมาจะได้ขอบคุณพวกเราไงล่ะ ฮี่ๆๆ” ชายร่างผอมคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อแม่นางฟ้าผมขาวของพวกเขาตื่นขึ้นมา

    “ฮี่ๆๆ จริงด้วย บางทีเธออาจจะอยากเป็นแฟนกับข้าก็ได้นะ” ชายร่างอ้วนกล่าวขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย

    “ฝันไปเถอะ อ้วนๆอย่างแกสาวที่ไหนจะแล มันต้องผอมๆแบบข้านี่สิ” ชายร่างผอมตอกกลับ

    “เจ้าบ้าหุ่นอย่างแกมันยกจกชัดๆ ต้องหุ่นอาเสี่ยแบบข้าต่างหาก” ชายร่างอ้วนแย้ง

     

    ขณะนั้นเองร่างของหญิงสาวผมขาวที่บาดเจ็บมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่เจ้าชายอ้วนผอมไม่ได้รับรู้เลยเพราะมัวแต่ขับเรือและเถียงกันไปมา

    แย่ล่ะสิ ยัยซาดิสม์นี่กำลังจะตายอยู่แล้ว ทำยังไงดีเนี่ย เจ้างูกระดูกคิดขึ้นมาเมื่อมันรับรู้ถึงสัญญาณชีวิตที่อ่อนลงเรื่อยๆของเจ้านายของมันซึ่งเชื่อมกันด้วยพันธสัญญาชีวิต

    ร่างของเรย์น่านั้นถูกกระแทกอย่างแรง กระดูกทั่วร่างของเธอหักหมด แม้จะได้รับการปฐมพยาบาลจากทินนี่บ้างแล้ว แต่อาการบาดเจ็บก็ยังร้ายแรงเกินกว่าจะรักษาแบบปกติธรรมดาได้

    ชิ ช่วยไม่ได้ ก็ชั้นยังไม่อยากตายนี่นะ เจ้างูกระดูกคิดขึ้นพร้อมกับแทรกร่างของมันเข้าไปในร่างของหญิงสาวผ่านทางผนึกกำไลที่ข้อมือทันที

    พันธสัญญาชีวิตนั้นแตกต่างกับพันธสัญญาปกติ นอกจากชีวิตจะเชื่อมถึงกันแล้ว ร่างกายก็เหมือนมีพันธะต่อกันด้วย เจ้าอสรพิษกระดูกขาวแทรกกระดูกจากร่างของมันซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาตัวเองเข้าไปในร่างของเรย์น่า เพื่อช่วยให้กระดูกของเรย์น่ารักษาตัวเองได้ ก่อนที่เธอจะตายเสียก่อน

    และการที่เจ้าอสรพิษกระดูกขาวทำแบบนั้น ส่งผลให้ทั้งคู่มีร่างเชื่อมกันโดยสมบูรณ์ กระดูกทุกชิ้นในร่างของเรย์น่ารักษาตัวเองได้ และเจ้าอสรพิษกระดูกขาวก็ไม่ต้องอยู่ในผนึกอีกต่อไปเมื่อร่างของมันกลายเป็นร่างเดียวกับเจ้านายของมัน

    และแล้วหญิงสาวผมขาวก็รอดพ้นจากอันตรายมาได้ แต่เธอก็ยังคงไม่ตื่นขึ้นมาเพราะความอ่อนเพลียที่สะสมเอาไว้หลายวันในร่างโมบี้ดิ๊กนั่นเอง

     

    ตูม! เผละ!

    หมัดยกกำลังของมาตาร์ทะลวงร่างของโมบี้ดิ๊ก ทำให้เกิดรูขนาดใหญ่ขึ้นที่ด้านบน และเลือดที่ไหลนองออกมา แล้วเขาก็ปีนผนังขึ้นไป ก่อนจะกระโดดพุ่งตัวเข้าไปในรูที่เพิ่งถูกเจาะนั้น

    “ขึ้นมาได้หลายชั้นแล้ว ยังไม่ถึงทางออกอีกเหรอเนี่ย” มาตาร์บ่นออกมา

    แผนการของชายหนุ่มหัวฟูก็คือ เจาะร่างของโมบี้ดิ๊กออกไปข้างนอกตรงๆ โดยทิศทางที่มุ่งไปก็คือด้านบน เขาจะเจาะรูที่ด้านบนแล้วก็ขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะออกไปจากร่างของโมบี้ดิ๊กได้ เพราะไม่อยากจะเสียเวลาเดินไปตามห้องต่างๆให้หลงทางอีกแล้ว

    “แต่ถ้าถึงชั้นผิวหนังของโมบี้ดิ๊กจริงๆ เราอาจจะออกไปไม่ได้อยู่ดีนะครับ” พ่อบ้านกล่าวเรียบๆ

    “ทำไมล่ะสไลป” มาตาร์ถามพ่อบ้านของเขาขณะที่เกร็งปราณใส่มือไปด้วย

    “ถ้าโมบี้ดิ๊กลอยอยู่ที่ผิวน้ำก็ดีไป แต่ถ้าตอนนี้มันอยู่ในทะเลลึก น้ำปริมาณมหาศาลจะอัดร่างของคุณแอฟโรจนตายได้นะครับ” พ่อบ้านให้เหตุผล

    “ปกติเวลาปลาตายมันก็ต้องลอยไม่ใช่เหรอ คิดในแง่ดีว่าตอนนี้เจ้ายักษ์นี่กำลังลอยขึ้นด้านบนเรื่อยๆก็แล้วกัน” มาตาร์ตอบกลับอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับต่อยหมัดยกกำลังเจาะทะลุเพดานอีกชั้น

    ตูมม!!

    “หวังว่าคงเป็นเช่นนั้นครับ” พ่อบ้านตอบรับเรียบๆ

    เพราะถึงแม้ว่าจะอยู่ในทะเลลึก แต่สุดท้ายแล้วมาตาร์ก็ยังคงต้องหาทางออกไปอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะลังเลในการที่จะปีนขึ้นไปเรื่อยๆเลย

     

    และแล้วหลังจากผ่านไปสองชั่วโมง

    ตึงง!!

    เสียงกระแทกของหมัดแตกต่างไปจากเดิม แถมยังไม่สามารถทำให้เพดานเป็นรูได้ด้วย มีเพียงรอยยุบบางๆเท่านั้น

    “หืม? ผิวหนังของเจ้าโมบี้ดิ๊กส่วนนี้นี่แตกต่างจากห้องที่ผ่านๆมาแฮะ” มาตาร์เอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นผลลัพธ์ของหมัดยกกำลัง

    “คงจะเป็นผิวหนังชั้นนอกสุดนั่นแหละครับ เป็นผิวหนังที่สามารถป้องกันการโจมตีภายนอกและแรงดันมหาศาลของทะเลลึกได้” พ่อบ้านสันนิษฐาน

    “ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมเสบียงกันหน่อยละกันนะ ท่าทางเราอาจจะต้องระหกระเหินอยู่กลางทะเลอีกหลายวัน” มาตาร์ไม่มึความคิดว่าเขาอาจจะตายถ้าเจอน้ำทะลักเข้ามาเลย อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ช่วงหลายวันมานี่ ที่เจอแต่ศัตรูโหดหิน ทำให้เขาเริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

    “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจัดการให้เองครับ คุณแอฟโรพักผ่อนหน่อยก็ได้” พ่อบ้านเสียงนุ่มกล่าว

    แวบ!

    แล้วโมโนไบค์สะเทินน้ำสีเทาคันใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนที่มันจะขับเคลื่อนด้วยตัวเอง แล้วกางที่นั่งสำรองออกมาแล้วใช้ส่วนคมปาดเอาผนังซึ่งเป็นเนื้อของโมบี้ดิ๊กออกมาเป็นแถบๆ

    อืม มีพ่อบ้านมันก็สบายอย่างนี้แหละนะ ชายหนุ่มหัวฟูคิดขึ้นมาหลังจากที่เห็นว่าพ่อบ้านของเขาจัดการเรื่องเสบียงได้อย่างเรียบร้อยทั้งๆที่ร่างกายถูกจำกัดให้เป็นโมโนไบค์

    “คุณแอฟโรมีผลึกไฟมั้ยครับ” พ่อบ้านถามขึ้นมาพร้อมกับมีเนื้อที่วางอยู่เต็มคันรถ

    “อืม ไม่มีนะ ยัยงูพิษยึดคืนไปหมดแล้ว” มาตาร์คิดถึงเวลาที่เขาผจญภัยกับเรย์น่าก่อนจะขึ้นเกาะไรเดอร์ขึ้นมา ตอนนั้นเขายึดผลึกเวทไฟกับผลึกเวทสายฟ้าจากหญิงสาวจอมซาดิสม์มาได้ แต่หลังจากขึ้นเกาะมาได้เขาก็ถูกวางยาแล้วถูกแย่งกลับคืนไปหมดแล้ว ในเวลานี้ถ้าเพียงแต่เรย์น่าอยู่ด้วยเธออาจจะยอมย่างเนื้อให้ก็ได้

    “แต่คุณหนูเลดี้มีผลึกไฟอยู่ชิ้นนึงนี่ครับ” พ่อบ้านช่างสังเกตกล่าว

    “อยู่ที่เลดี้? ...อ๊ะ! จะว่าไป เลดี้ออกมา!” มาตาร์เกือบลืมไปแล้วว่าเขายังมีเต่าทองน้อยเป็นเพื่อนร่วมทางอีกคน ตั้งแต่ผนึกแม่เด็กหญิงหัวแดงเข้าไปก็ยังไม่ได้เรียกออกมาอีกเลย ทั้งๆที่ปกติเขาไม่มีนิสัยในการผนึกผู้ติดตามแท้ๆ

    แวบ!

    แล้วเด็กหญิงผมแดงก็ออกมาจากผนึกด้วยดวงตาที่เศร้าหมอง

    “อ้าว? เลดี้? เป็นอะไรไปล่ะ” มาตาร์สังเหตเห็นแล้วว่าหน้าตาของเธอดูไม่สดใสทั้งๆที่ร่างกายก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรแล้ว เนื่องจากอยู่ในผนึกที่เข็มขัดถึงสองชั่วโมง ทักษะป่าแมลงย่อมรักษาร่างกายของเธอให้สมบูรณ์เต็มที่

    “เลดี้ขอโทษแอฟโร เลดี้ไม่มีประโยชน์เลย” แม่เต่าทองน้อยพูดออกมาทั้งน้ำตา

    มาตาร์เข้าใจในทันที ไม่ว่าคลาร่า โมเรน่า หรือบราวนี่ก็เคยมีอาการแบบนี้ทั้งนั้นตอนที่เห็นเขาลำบากแล้วพวกเธอไม่สามารถทำอะไรได้ เลดี้ก็คงไม่แตกต่างกัน สัตว์เลี้ยงที่เกิดจากไข่ แถมยังมีร่างมนุษย์เรียบร้อยแล้วย่อมมีอารมณ์แบบนี้มากเป็นพิเศษ

    “ถ้าอย่างนั้นเลดี้ช่วยย่างเนื้อให้พี่หน่อยสิ พี่ทำเองไม่ได้น่ะ” มาตาร์พูดพร้อมกับลูบหัวแม่เต่าทองน้อย

    “อื้ม!” เลดี้เริ่มมีสีหน้าสดใสขึ้นมา อย่างน้อยเธอก็ช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินในครั้งนี้ได้

    พรึบ!

    แม่เต่าทองน้อยมีสายรัดข้อมือที่มีผลึกไฟอยู่ เธอเรียกไฟขึ้นมาทันทีที่ขานรับมาตาร์

    ช่วงเวลาห้าวันที่เลดี้อยู่กับเรย์น่า หลังจากที่เลดี้ฟื้นขึ้นมาจากการโดนพิษแล้ว หญิงสาวผมขาวก็มอบผลึกไฟให้เลดี้อันหนึ่งเพื่อเอาไว้ป้องกันตัว ซึ่งเรย์น่าถอดมันออกมาจากสายรัดที่เอาไว้รัดกับรองเท้าของเธอนั่นเอง และเลดี้ก็สามารถใช้เวทมนตร์ออกมาได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีคนสอนเลยด้วย แม้แต่มาตาร์ก็ไม่ได้สังเกตว่าแม่เต่าทองน้อยของเขาใช้เวทมนตร์ได้แล้ว เพราะเขาเคยชินกับการอยู่กับสามสาวของเขาซึ่งสามารถใช้ผลึกเวทกันได้อยู่แล้ว (ยกเว้นคลาร่าซึ่งใช้ผลึกเวทไม่ได้แต่ใช้ปราณมังกรธาตุไฟได้)

    แล้วระหว่างที่พ่อบ้านและเมดสาวกำลังทำเสบียงอยู่นั้น ชายหนุ่มหัวฟูก็ลองเปิดเมนูขึ้นมาดูค่าสถานะ

    แอฟโร

    ระดับ 100

    ประสบการณ์ 1000/1000

    พลังชีวิต 141/141

    พลังวิญญาณ 200/200

    โจมตี 880

    ป้องกัน 880

    สะท้อน 880

    พลังกาย

    880/200+680

    สมาธิ

    880/200+680

    ความคล่องตัว

    880/200+680

    จิตใจ

    880/200+680

    ความอึด

    880/200+680

    โชค

    880/200+680

    ปราณ

    200/200

    พลังจิต

    200/200

    ทักษะอาวุธ
    มือเปล่า ระดับ 17

    เมื่อไม่ติดอาวุธ สถานะพื้นฐานทั้งหก +340%

     

    “โอ้ว! ค่าสถานะพื้นฐานเพิ่มเป็นสองร้อยแล้วนี่นา รวมกับทักษะอาวุธมือเปล่าแล้ว เกือบๆจะหนึ่งพันเลยล่ะ” ชายหนุ่มหัวฟูเอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

    “คงเป็นเพราะการ์ดเนปจูนกับโมบี้ดิ๊กนั่นแหละครับ” พ่อบ้านกล่าว

    “จะว่าไป การ์ดใบเดียวที่ผมได้นี่ ถือว่าเป็นสมบัติที่มีค่ามหาศาลเลยนะเนี่ย ยังมีผลึกวิญญาณอีก ...ถ้าไม่ได้ติดเจ้าเดียมอนมาด้วยอ่ะนะ แต่จะถือว่ากำไรก็คงจะได้มั้ง” มาตาร์ทวนสิ่งที่เขาได้รับจากการที่มาผจญภัยในร่างโมบี้ดิ๊กนี้

    “แอฟโร เลดี้ย่างเนื้อเสร็จหมดแล้ว” แม่เต่าทองน้อยแทรกขึ้นมาทันทีหลังจากที่เธอย่างเนื้อชิ้นสุดท้ายแล้ว

    “เหรอ งั้นมากินกันเลยก็แล้วกันนะ ตุนเอาไว้ก่อน จะได้ไม่หิวอีกเร็วๆนี้” มาตาร์กล่าวพร้อมกับเดินไปที่แม่เต่าทองน้อยแล้วหยิบเนื้อสัตว์อสูรที่ย่างสุกเข้าปากทันที

     

    แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่น่าประหลาดขึ้น เมื่อเนื้อปริมาณมหาศาลนั้นหมดลงไปจากฝีมือของชายหนุ่มหัวฟู

    “เลดี้ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าแอฟโรกินจุขนาดนี้” เด็กหญิงหัวแดงเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้สึกทึ่ง

    “เอ้อ นั่นน่ะสิ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองสามารถกินได้เยอะขนาดนี้” ชายหนุ่มหัวฟูก็แปลกใจไม่แพ้กัน ทั้งๆที่เขาเองเป็นคนกินอยู่แท้ๆ

    “ทักษะจากการ์ดไงครับ สะสม” พ่อบ้านเสียงนุ่มเอ่ยขึ้นมา

    “เอ้อ! จริงด้วย ตกลงไอ้ทักษะนั่นมันคือการสะสมอาหารที่กินเข้าไปจริงๆเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มหัวฟูพูดขึ้นมาเหมือนนึกขึ้นได้ว่ายังมีทักษะใหม่อยู่อีกอย่าง

    “แปลกจังเลย แอฟโรกลายเป็นพวกเคี้ยวเอื้องไปแล้วเหรอ” เด็กหญิงผมแดงเอ่ยขึ้นมาด้วยสายตาแสดงความไร้เดียงสา

    “ช่างเปรียบเทียบนะเลดี้” มาตาร์เข้าใจดีว่าแม่เต่าทองน้อยหมายความว่าอะไร เพราะพวกสัตว์เคี้ยวเอื้องสามารถนำอาหารที่มันกลืนเข้าไปแล้วกลับมาเคี้ยวใหม่ได้ เนื่องจากมีกระเพาะเอาไว้พักอาหารนั่นเอง

    “ฮิๆๆๆ” แม่เต่าทองน้อยยิ้มออกมาอย่างร่าเริง ดูท่าทางความเศร้าจะอยู่กับเธอไม่นานนัก

    “ถ้าอย่างนั้นผมจะเตรียมอาหารเอาไว้ให้อีกหน่อยนะครับ เอาไว้เผื่อคุณหนูเลดี้ด้วย” พ่อบ้านพูดขึ้นมาก่อนที่จะไปตัดเนื้อมาอีกรอบ

    แล้วหลังจากที่พ่อบ้านเตรียมเสบียงเรียบร้อยเป็นเนื้อก้อนใหญ่สามก้อน หนักก้อนละกว่าร้อยกิโล มาตาร์ก็แยกเก็บเนื้อนั้นเอาไว้ในผนึกให้เลดี้สองชิ้น และใส่เข็มขัดของเขาเอาไว้ชิ้นหนึ่ง

    “โอเค พร้อมแล้ว พลังงานเป็นยังไงบ้างสไลป” มาตาร์ถามขึ้นมาเมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว

    “ถ้าคืนร่างก็อยู่ได้หนึ่งนาทีเต็มๆครับ” พ่อบ้านตอบ

    “ผนึกสไลป! เลดี้เข้ามา!” ชายหนุ่มหัวฟูตะโกนขึ้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้น

    แล้วทันใดนั้นโมโนไบค์สีเทากันใหญ่กับเด็กหญิงผมแดงก็กลายเป็นแสงแล้วหายเข้าไปในเข็มขัดของมาตาร์ทันที

    “คืนร่าง!” ชายหนุ่มหัวฟูตะโกนขึ้น

    แล้วร่างของชายหนุ่มหัวฟูก็เปลี่ยนเป็นชายหนุ่มหัวแดงเดร็ดล็อกทันที

    วูม!

    มือขวาของชายหนุ่มปรากฏปราณธาตุห้าธาตุขึ้นมาตามนิ้วต่างๆ แล้วเมื่อชายหนุ่มงอนิ้ว ปราณทั้งห้าธาตุก็มารวมกันตรงกลางฝ่ามือ เกิดเป็นลูกกลมๆสีขาวขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น

    ฟิ้วว!!

    แล้วชายหนุ่มก็ซัดมือขวาขึ้นด้านบน ปรากฏเป็นแขนที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติพุ่งขึ้นไปพร้อมๆกับลูกกลมๆสีขาวนั่น

    ฟุบ! ฟุบบ!

    แล้วชายหนุ่มหัวแดงก็ย่อตัวแล้วกระโดดตามมือข้างนั้นขึ้นไปด้วยกงจักรลมที่อยู่ที่ปลายเท้า

    พรืดด!!

    มือลอยได้ที่ถือเจ้าลูกกลมๆนั้นทะลวงเข้าไปบนผิวหนังอันแข็งแกร่งของโมบี้ดิ๊กเหมือนกับใช้ช้อนตักลงไปในพุดดิ้งนิ่มๆ ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ในขณะที่ร่างของชายหนุ่มผมแดงก็กระโดดตามเข้าไปติดๆ

    ระหว่างที่มือที่เหมือนเครื่องเจาะนั้นแทกเข้าไปในผิวหนังอันหนาและแข็งแกร่งของโมบี้ดิ๊กนั้น เจ้าลูกกลมสีขาวนั่นก็ค่อยๆหดเล็กลงเรื่อยๆ

    และแล้วหลังจากที่ผ่านไปสิบวินาทีเจ้าลูกกลมสีขาวนั้นก็หดหายไปทั้งหมด

    วูมม!!

    แต่ชายหนุ่มผมแดงก็ไม่ได้ชะงัก เมื่อเขาเตรียมพลังที่เหมือนกันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทันทีที่กระสุนพรากสังขารลูกแรกหายไปหมด ลูกที่สองก็ถูกยิงออกไปด้วยหัตถ์พระเจ้าอีกครั้งทันที แล้วชายหนุ่มก็ดีดตัวตามขึ้นไปเหมือนเดิม

    ผลัวะ!! ซูมม!!

    แล้วทันใดที่หัตถ์พระเจ้าข้างนั้นเจาะทะลุผิวหนังอันหนาและแข็งแรงของโมบี้ดิ๊กออกมาได้ มวลน้ำปริมาณมหาศาลก็กรูกันเข้ามาในรูทันที

    “ฮึ้ยย!!” ชายหนุ่มหัวแดงส่งเสียงออกมาพร้อมกับชูแขนข้างขวาขึ้น

    “นาคามหาสมุทร!!” มาตาร์เรียกใช้เจ้าปลาขึ้นมาใช้งานเป็นครั้งแรก

    แล้วทันใดนั้นปลาตัวยาวที่มีลำตัวเป็นน้ำก็พุ่งออกมาขวางรูเอาไว้ ทำให้น้ำที่ทะลักเข้ามาหยุดไปทันทีในขณะที่ส่วนหัวของมันโผล่ออกไปข้างนอกตัวของโมบี้ดิ๊กแล้ว

    “ไม่รู้จะทำได้เหมือนที่คิดรึเปล่านะ” มาตาร์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับจับหางของเจ้าอสูรเวทเอาไว้ ก่อนที่จะมุดตัวลงไปในร่างของมันทันที

    บุ๋ม!

    แล้วทันทีที่หน้าของมาตาร์แทรกเข้าไปในร่างของนาคามหาสมุทรก็เกิดเป็นฟองอากาศขึ้นมาครอบหน้าของเขาเอาไว้ ทำให้ยังสามารถหายใจได้อยู่

    และเมื่อชายหนุ่มหัวแดงรวมร่างเข้ากับเวทอสูรแล้ว

    “ไปเลย!” มาตาร์สั่งเวทอสูรของเขาทันที

    วืดด!!

    แล้วเจ้าปลาตัวยาวที่มีร่างของชายหนุ่มหัวแดงแทรกอยู่ภายในก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำด้วยความรวดเร็วทันที

    การที่มีทักษะเสริมเวทระดับสูงทำให้มาตาร์ไม่ต้องใช้พลังวิญญาณมากนัก ถึงแม้พลังวิญญาณตอนคืนร่างจะมีเพียงแค่สองพันเท่านั้น การจำกัดพลังทั้งกระสุนพรากสังขารหัตถ์พระเจ้าให้มีขนาดเล็กนั้นทำให้เขามีพลังวิญญาณพอใช้ ซึ่งถึงแม้จะใช้พลังวิญญาณไม่มากแต่ประสิทธิภาพนั้นกลับสูงมากเพราะทักษะเสริมปราณและเสริมจิตด้วยนั่นเอง

    แต่ทว่า เวลาคืนร่างของมาตาร์มีจำกัดเพียงแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น

    “คุณแอฟโรครับ เหลือเวลาอีกสิบวินาทีเท่านั้นนะครับ” พ่อบ้านเตือนขึ้นมาหลังจากที่เห็นแล้วว่ารอบด้านยังคงเป็นกลางมหาสมุทรอันมืดมิด

    “ชิ! เจ้าโมบี้ดิ๊กนี่ไม่รู้จักลอยให้มันสูงกว่านี้หน่อยหรอก” มาตาร์พูดขึ้นพร้อมกับถ่ายพลังวิญญาณใส่แขนซ้ายทันที

    “ฮ่าๆๆ เอ๋? อะไรเนี่ย? ทำไมอยู่กลางทะเล” เดียมอนส่งเสียงออกมาทันทีที่ได้รับพลัง

    ซูวว!!

    แล้วร่างของเด็กชายหัวแดงสวมหน้ากากก็ปรากฏขึ้นเหมือนกัน ในขณะที่นาคามหาสมุทรก็พยายามว่ายขึ้นข้างบนผิวน้ำอย่างรวดเร็วไม่ได้หยุด

    “อีกห้าวินาทีครับ” เสียงนุ่มๆของพ่อบ้านให้สัญญาณ

    แต่แล้วทันใดนั้นมาตาร์ก็กลับร่างกลายเป็นไรเดอร์หัวฟูทันทีทั้งๆที่ยังมีเวลาเหลือ ในขณะที่นาคามหาสมุทรหดตัวเล็กลงไปทันที จากขนาดที่ใหญ่กว่าร่างของชายหนุ่มสามเท่ากลายเป็นขนาดที่แทบจะพอดีร่างของชายหนุ่ม

    “อะไรเนี่ย! เกิดอะไรขึ้น? เล่าให้ข้าฟังบ่างเซ่!” เดียมอนส่งเสียงออกมาไม่หยุด

    สิ่งที่มาตาร์ทำลงไปนั้นก็คือการถ่ายพลังจากร่างต้นไปให้ร่างวิญญาณ นาคามหาสมุทรที่เรียกออกมาด้วยร่างของมาตาร์เปลี่ยนเป็นคงอยู่ด้วยพลังของร่างวิญญาณแทน และด้วยพลังวิญญาณที่ถูกจำกัดทำให้มาตาร์ต้องลดพลังวิญญาณลง ส่งผลให้นาคามหาสมุทรตัวหดลง และถ้าไม่ทำอย่างนี้นาคามหาสมุทรจะหายไปทันทีที่มาตาร์กลับสู่ร่างไรเดอร์

    แต่ทว่าพลังวิญญาณก็ยังคงลดลงไปเรื่อยๆอยู่ดี พลังที่ใช้ในการคงร่างวิญญาณนั้นคือประมาณหนึ่งร้อย ถ้าไม่ได้ใช้เวทมนตร์ร่างวิญญาณก็จะไม่หายไป แต่ว่าตอนนี้นาคามหาสมุทรกำลังดูดพลังในการคงร่างอยู่ด้วย

    กฎในการใช้เวทอสูรนั้น นอกจากจะสามารถจ่ายพลังเวทในตอนใช้งานได้แล้ว ยังสามารถเพิ่มพลังเวทให้ได้ด้วยถ้าต้องการให้อยู่นานขึ้นหรือต้องการบังคับให้ทำอะไรเป็นพิเศษ เหมือนกับการเรียกใช้ต่อเนื่องนั่นเอง ซึ่งการใช้งานแบบนี้จะกินพลังวิญญาณมากกว่าเวทอัญเชิญเสียอีกเพราะเวทอสูรไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้งานแบบต่อเนื่อง แต่นาคามหาสมุทรนั้นเป็นเวทอสูรที่อยู่ได้นานอยู่แล้ว เพราะความสามารถของมันก็คือคุกน้ำที่ทำหน้าที่ขังศัตรูเอาไว้ในร่างซึ่งอย่างน้อยก็ต้องสามารถออกมาได้นานกว่าห้านาที ไม่อย่างนั้นคงจะทำให้ศัตรูตายไม่ได้ ระยะเวลาในการคงอยู่ครั้งหนึ่งนานกว่าเวทอสูรตัวอื่นๆ จึงทำให้มาตาร์พอที่จะมีเวลาเหลืออีกเล็กน้อยก่อนที่พลังวิญญาณจะหมดลงจริงๆ

    “จากอัตราการลดพลังวิญญาณแบบนี้ ประมาณสิบนาทีพลังวิญญาณของคุณแอฟโรจะหมดครับ” พ่อบ้านรายงาน

    “สิบนาทีเหรอ ถมเถสไลป แค่ห้านาทีก็ถึงผิวน้ำแล้วมั้ง” มาตาร์ตอบกลับอย่างมั่นใจพร้อมกับบังคับนาคามหาสมุทรให้พุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ

     

    และแล้วหลังจากผ่านไปเก้านาที มาตาร์ก็ยังคงอยู่ในน้ำ ซึ่งเขาก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลาถึงความดันน้ำภายนอกที่ลดลง ถึงแม้ตอนนี้ถ้านาคามหาสมุทรจะหายไปเขาก็ไม่ตายด้วยแรงดันอีกแล้ว แต่อากาศที่จะใช้หายใจในน้ำนี่สิจะทำอย่างไร

    ด้วยความสามารถของปราณดินและลมก็พอจะดึงเอาอากาศที่อยู่ในน้ำมารวมกันได้ แถมการทำแบบนั้นไม่เปลืองพลังวิญญาณด้วย เพียงแต่ในร่างไรเดอร์ไม่สามารถใช้ปราณธาตุได้ ต้องใช้ผ่านร่างวิญญาณเท่านั้น แต่พลังวิญญาณของมาตาร์กำลังจะหมดนี่สิ

    ถ้างั้นก็รอประมาณสองวินาทีให้พลังวิญญาณเต็มเหมือนเดิมแล้วลองเรียกร่างวิญญาณออกมาใหม่ละกัน มาตาร์คิดขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว ช่วงแห่งความเป็นตายแบบนี้เขาไม่มีเวลาจะมาลังเลในการทำอะไรสักอย่างแล้ว

    “ฮึบบ!!

    แล้วชายหนุ่มหัวฟูก็สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดก่อนที่จะปลดความสามารถทั้งหมด

    วูบบ!

    ร่างของชายหนุ่มหัวฟูลอยเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางท้องทะเลอันมืดมิด ไม่มีแม้กระทั่งอากาศจะหายใจ

    มาตาร์รวบรวมสติขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ผ่านไปไม่ถึงสองวินาทีดี พลังวิญญาณฟื้นขึ้นมาเหมือนเดิม

    ชายหนุ่มผมดำถ่ายพลังลงไปที่แขนซ้ายเพื่อเรียกร่างวิญญาณขึ้นมา แต่ร่างวิญญาณกลับไม่ปรากฏขึ้นมา

    หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวขึ้นมาทันที เพราะมันไม่เป็นไปตามความคาดหมายของเขา

    อะไรเนี่ย! ทำไมร่างวิญญาณถึงไม่โผล่ล่ะ มาตาร์คิดขึ้นมาอย่างตระหนกขณะที่ใส่พลังลงไปที่แขนซ้ายไม่ยั้ง

    ถึงแม้ว่ามาตาร์จะเหมือนสงบนิ่งเพียงใด แต่จริงๆแล้วเขาตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา ท้องน้ำอันมืดมิดที่ถ้าทำอะไรพลาดไปแม้เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลให้เขาตายได้อย่างง่ายๆ ทำให้พลังของชายหนุ่มเกิดรวนขึ้นมาจากสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคง

    ยิ่งมาตาร์รับรู้ได้ถึงความยาวคลื่นในการใช้พลังพิเศษแล้ว ทำให้การใช้พลังของมาตาร์ไม่เหมือนเดิมอีก เมื่อเขาต้องพยายามเลี่ยงความยาวคลื่นที่จะทำให้เดียมอนตื่นให้มากที่สุดในขณะที่เลือกใช้ความยาวคลื่นที่จะใช้กับผลึกวิญญาณเท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าความยาวคลื่นแบบไหนทำให้ผลึกวิญญาณทำงานได้ดีที่สุด

    แล้วเวลาก็ผ่านไปหนึ่งนาที มาตาร์ยังคงเรียกร่างวิญญาณออกมาไม่ได้ เขาเริ่มร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ

    และแล้วผ่านไปอีกสิบวินาที ความตระหนกทำให้มาตาร์ใช้อากาศหมดไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น เขาเริ่มหายใจไม่ออกและเริ่มดิ้นทุรนทุรายทันที

    บุ๋ง! บุ๋ง!

    บ้าเอ๊ย!! จะมาตายเพราะจมน้ำเนี่ยนะมาตาร์คิดขึ้นมาขณะที่พยายามถ่ายพลังใส่แขนซ้ายแบบมั่วๆ

    “อ๊อค!!” และแล้วมาตาร์ก็สำลักน้ำเข้าไปคำใหญ่

    ในสติอันเลือนราง มาตาร์รับรู้ได้ถึงความเย็นจากใต้เท้า

    “ทำไมเย็นจัง” ชายหนุ่มครางออกมาในขณะที่ไม่มีสติ

    วืดด!!

    และแล้วเจ้าวัตถุขนาดใหญ่ที่เห็นเป็นประกายสีขาวก็พุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำอย่างรวดเร็ว รวบเอาร่างของชายหนุ่มให้พุ่งขึ้นไปสู่ผิวน้ำด้วย

    ตูมม!! ซ่า~!!

    วัตถุขนาดใหญ่ที่จับตัวเป็นน้ำแข็งกระแทกขึ้นมาจากท้องน้ำ พร้อมๆกับชายหนุ่มผมดำที่สำลักน้ำเข้าไปคำใหญ่

    ตุบ!

    “สำเร็จแล้ว เรากู้ร่างโมบี้ดิ๊กขึ้นมาได้แล้ว” เสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาขณะที่หย่อนร่างลงมาจากพาหนะที่ลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ

    แปะ!

    “เราพบร่างของผู้เล่นคนหนึ่งบนตัวโมบี้ดิ๊ก สภาพร่อแร่” ชายคนเดิมพูดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เดินมาแตะตัวมาตาร์ที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนวัตถุขนาดใหญ่สีขาวนั่น

    “เขาไปทำอะไรอยู่ที่นั่น นำตัวกลับมาด้วย เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรดีๆ” เสียงหญิงสาวดังขึ้นมาจากตัวชายคนนั้น คาดว่าคงเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่งแน่นอน

    “รับทราบ” เสียงชายหนุ่มตอบกลับไป

    “อือ~อ” แล้วมาตาร์ก็ครางออกมาพร้อมกับน้ำที่ไหลออกมาจากปากช้าๆ

     

    ใครอีกล่ะเนี่ย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×