คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #159 : บทที่154: แอตแลนติส
บทที่154 แอตแลนติส
พรึบ!
มาตาร์ลืมตาขึ้นมาบนเตียง แสงแดดจากหน้าต่างที่ส่องลงมากระทบหน้าของเขาเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เขาได้สติ
‘หืม? ที่ไหนเนี่ย’ ชายหนุ่มแอฟโรคิดขึ้นมาพร้อมกับเหลือบตาไปรอบๆโดยไม่ได้ลุกขึ้นมาจากที่นอน
แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องตระหนกขึ้นมาเมื่อเขาคลำไปที่เอวของตัวเองแล้วพบว่าเข็มขัดไรเดอร์ไม่อยู่กับตัว อันที่จริง เสื้อผ้าของเขาที่ใส่ตอนผจญภัยในโมบี้ดิ๊กไม่อยู่เลยสักชิ้น สิ่งที่สวมใส่กับร่างกายของเขาตอนนี้ นอกจากกางเกงในแนบเนื้อแล้วก็มีเพียงเสื้อที่เป็นผ้านิ่มๆคลุมทั้งตัวเหมือนที่คนป่วยในโรงพยาบาลใส่กันเท่านั้น
‘เลดี้อยู่ในผนึกที่เข็มขัดซะด้วยสิ แต่อยู่กับสไลปคงไม่น่าห่วงมากนัก’ มาตาร์คิดขึ้นมาอีกพร้อมกับออกแรงพยุงตัวของเขาขึ้นมาจากเตียง แต่ทว่า
‘เฮ่ย! ยกตัวขึ้นไม่ได้?’ มาตาร์คิดขึ้นมาอย่างตระหนก
วิ้ด~ด!
แล้วทันใดนั้นเสียงแหลมๆก็ดังขึ้นเบาๆเหนือหัวของชายหนุ่ม เหมือนจะเป็นเสียงสัญญาณอะไรสักอย่าง
วืด!
ประตูเลื่อนเปิดออกมาทันทีทันที พร้อมกับมีคนสองคนเดินเข้ามา เป็นชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน แล้วประตูนั้นก็เลื่อนปิดเองโดยอัตโนมัติ
“ฟื้นแล้วเหรอคุณแอฟโร” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นก่อน พร้อมกับเดินมาที่หัวเตียงแล้วกดปุ่มอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงหัวเตียงนั้น
แล้วทันใดนั้น มาตาร์ก็รู้สึกเหมือนกับว่าสิ่งที่ขวางร่างกายของเขาหายไปแล้ว ถึงแม้จะมองไม่เห็นก็ตาม
“ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย” ชายหนุ่มหัวฟูเอ่ยถามพร้อมกับยกตัวขึ้นมาจากเตียง
“แอตแลนติส” หญิงสาวตอบกลับเรียบๆ
“แอตแลนติส? ชื่อทวีป? ...ชื่อเมืองเหรอครับ” มาตาร์ถามขึ้นมา เขาจำได้ว่าทวีปแอตแลนติสไม่มีในเกมจ็อคออนไลน์นะ น่าจะเป็นชื่อเมืองมากกว่า แต่เขาสงสัยว่าตอนนี้เขาอยู่ทวีปอะไรมากกว่า ...หรือว่าไม่ได้อยู่ในทวีปไหนเลย
“แอตแลนติสคือชื่อของสถานที่ที่พวกเราอยู่ตอนนี้ คุณจะคิดว่ามันเป็นเมืองเมืองหนึ่งก็ได้” หญิงสาวตอบกลับอีกครั้ง
“คุณแอฟโรหิวมั้ยครับ คุณหลับไม่ได้สติตั้งแต่เมื่อคืนนี้ อยากกินอะไรซักหน่อยมั้ย” ชายหนุ่มอีกคนเสนอขึ้นมา
มาตาร์ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ๆเขาก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงของห้องที่ดูเหมือนจะอยู่ในโรงพยาบาล แถมยังมีคนคอยมาถามไถ่อย่างดีเสียด้วย จำได้ว่าก่อนหน้านี้เขายังอยู่ในร่างโมบี้ดิ๊กอยู่เลย ...แล้วก็กำลังจะจมน้ำตายหลังจากที่ออกมาจากร่างของโมบี้ดิ๊กแล้ว
“เอ่อ ...ผมยังงงๆอยู่อ่ะนะ ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้เนี่ย” มาตาร์อดสงสัยไม่ได้
“เมื่อคืนนี้ พวกเราพบร่างของคุณที่ร่อแร่เพราะสำลักน้ำเข้าไปบนร่างของสัตว์อสูรทะเลยักษ์น่ะ” ชายหนุ่มตอบ เขาไม่พูดชื่อของโมบี้ดิ๊กออกมา
“อ๋อ ...พวกคุณช่วยผมเอาไว้เองหรอกเหรอ” มาตาร์คิดว่าเขาไม่น่าจะรอดมาจากสถานการณ์นั้นได้ในขณะนั้น เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของชายหนุ่มแล้วจึงพอจะคาดเดาเรื่องราวออก
“คุณไปทำอะไรอยู่บริเวณนั้นคุณแอฟโร” หญิงสาวโพล่งออกมากลางปล้อง
เบื้องหลังสีหน้าอันเรียบเฉยของชายหนุ่มหัวฟู เขาพยายามวิเคราะห์เหตุการณ์อย่างเต็มที่ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรจากเขากันแน่ ‘พวกนี้จะคิดว่าเราออกมาจากโมบี้ดิ๊กรึเปล่านะ จะว่าอยากจะได้สมบัติ เราก็ไม่มีอะไรติดตัวแล้ว’
“ผมจับสัญญาณของสัตว์อสูรระดับสูงได้กลางทะเลน่ะ ก็เลยลองมาดู” มาตาร์ตอบออกไปมั่วๆ โดยไม่รู้หรอกว่าเจ้าเครื่องจับสัญญาณสัตว์อสูรนั่นมันมีจริงรึเปล่า แต่เขาจะอ้างว่ามันพังไปแล้วก็ได้ถ้าเกิดคนพวกนี้ถามขึ้นมา
“อ้อ คุณแอฟโรก็จับสัญญาณได้เหมือนกันหรอกเหรอ” ชายหนุ่มตอบรับเรียบๆ
‘เอ๋!? เครื่องจับสัญญาณสัตว์อสูรนี่มันมีจริงๆเหรอเนี่ย!’ กลับเป็นมาตาร์เสียอีกที่ต้องลอบตกใจ เมื่อสิ่งที่เขามั่วๆพูดออกมาดันมีจริงเสียอีก
เครื่องจับสัญญาณสัตว์อสูรเป็นอุปกรณ์ที่หายากชนิดหนึ่ง เนื่องจากช่างตีเหล็กที่พัฒนาเจ้าเครื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ผลิตออกมาเยอะนัก เพราะกลัวว่าจะเป็นของโหลแล้วราคาตกนั่นเอง โดยเจ้าเครื่องจับสัญญาณสัตว์อสูรนี้สามารถตั้งค่าระดับสัตว์อสูรที่ต้องการค้นหา ซึ่งเครื่องจับสัญญาณสัตว์อสูรนี้ทำให้ผู้ที่ใช้เครื่องสามารถรู้ได้ว่าสัตว์อสูรระดับสูงนั้นอยู่ตรงไหนในรัศมีหนึ่งร้อยกิโลเมตร
“แล้วคุณเดินทางไปที่กลางทะเลนั่นได้ยังไงล่ะ” หญิงสาวยิงคำถามมาอีก
“อ๋อ ผมมีโมโนไบค์สะเทินน้ำคันนึงน่ะครับ ปกติผมจะเก็บมันเอาไว้กับเข็มขัด พอผมขับมันไปตรงจุดที่เจ้าสัตว์อสูรนั่นอยู่ผมก็เก็บโมโนไบค์แล้วก็กระโดดลงน้ำไปเลย ไม่นึกว่าน้ำจะลึกมาก เกือบตายไปซะแล้ว” มาตาร์เอ่ยถึงโมโนไบค์ของเขาเพราะอยากจะรู้ว่าเข็มขัดของเขาถูกเอาไปเก็บไว้ที่ไหน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ร้อนใจนัก เพราะถ้าตายไปเดี๋ยวเข็มขัดก็ตามเขาไปที่แมนชั่นแห่งความตายเอง แต่มันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องยอมตายเพื่อให้ได้เข็มขัดคืน ในเมื่อยังเหลือทางเลือกอื่นๆอีก
“โมโนไบค์ของคุณ เราเก็บเอาไว้ให้แล้ว เดี๋ยวเชิญคุณไปรับคืน เชิญคุณแอฟโรใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยื่นเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่พับเอาไว้ในมือของเขาส่งให้ชายหนุ่มหัวฟู
“พวกเราจะรออยู่ข้างนอกห้องนะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับเดินนำหน้าชายหนุ่มออกจากห้องทันที
วืด~ด วืด~ด
ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิด แล้วก็ปิดลงเมื่อชายหญิงทั้งคู่เดินออกไปจากห้อง
‘ดูท่าทางคนพวกนี้จะไม่ได้มุ่งร้ายกับเรานะ แต่จากสภาพห้องแล้ว ที่นี่น่าจะมีเทคโนโลยีใกล้เคียงกับโลกจริงอยู่ ขนาดแค่ประตูห้องพักยังทำเป็นประตูเลื่อนอัตโนมัติเลย’ มาตาร์คิดขึ้นมาขณะที่แต่งตัวไปด้วย
หลังจากผ่านไปสองนาที ชายหนุ่มหัวฟูก็ใส่ชุดที่ดูเรียบร้อยที่สุดตั้งแต่เข้ามาเล่นเกม เสื้อเป็นผ้าหนาแขนยาวเรียบแปล้สีแดงเข้มเลือดหมู มีช่วงไหล่ยื่นออกมาเล็กน้อย ชายเสื้อยาวเลยขอบกางเกงไปหน่อย มีแถบเข็มขัดสีขาวคาดบริเวณเอว ส่วนกางเกงเป็นผ้าหนาสีขาวเห็นกลีบเป็นรอยคมชัดเหมือนกับรีดมาอย่างดี รองเท้าเป็นรองเท้าหนังสีดำเป็นมันปลาบ ซึ่งมันก็เป็นชุดแบบเดียวกับที่ชายหญิงคู่นั้นใส่
‘นี่มันชุดคุณชายที่ไหนฟะเนี่ย ขยับตัวลำบากชะมัดเลยแฮะ’ มาตาร์คิดขึ้นมาพร้อมกับเดินไปที่ประตูห้อง
วืด~ด
ประตูห้องเปิดออกทันทีที่ชายหนุ่มหัวฟูเดินเข้าไปใกล้
“คุณแอฟโรเชิญทางนี้เลยครับ” ชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูเอ่ยออกมาทันทีที่เห็นประตูห้องเปิดออก
แล้วชายหนุ่มคนนั้นก็เดินนำมาตาร์ไปตามทางเดินที่ด้านหนึ่งเป็นกระจกใสขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ทางเดินนี้ดูเหมือนหลอดแก้วที่พันรอบอาคารหลังหนึ่งเอาไว้
“เอ๋? ในห้องมีหน้าต่าง ด้านนี้ก็เป็นกระจกอีกเหรอเนี่ย” มาตาร์เอ่ยออกมาพร้อมกับมองผ่านกระจกทางเดินนั้นออกไป
ชายหนุ่มหัวฟูมองออกไปข้างนอกก็เห็นว่ามีอาคารเล็กๆเรียงรายอยู่ และไกลออกไปก็เป็นทะเลซึ่งไม่ไกลนัก หมายความว่าแอตแลนติสนี้เป็นเมืองที่อยู่ชายฝั่งทวีปใดทวีปหนึ่ง
“อาคารที่เราอยู่นี้เป็นอาคารรูปวงแหวนน่ะ นี่คือทางเดินรอบนอกอาคาร” หญิงสาวกล่าวขึ้นมาเรียบๆจากทางด้านหลังของชายหนุ่มหัวฟู
‘อืม ต้องคุมเข้ม ล้อมหน้าล้อมหลังกันเอาไว้เลยเหรอเนี่ย’ มาตาร์คิดขึ้นมาหลังจากเห็นพฤติกรรมของชายหญิงคู่นี้ ถึงจะไม่มีความรู้สึกคุกคาม แต่กลับมีการระวังที่รัดกุมอยู่พอสมควร
หลังจากเดินไปตามทางเดินโค้งที่ล้อมอาคารหลังนี้เอาไว้ มาตาร์ก็สังเกตว่าไม่ว่าจะโค้งไปขนาดไหนก็ยังมองเห็นทะเลอยู่เสมอ ก่อนที่ชายหนุ่มคนเดินนำจะหยุดเดินแล้วหันหน้าเข้าไปหาประตูบานหนึ่งที่อยู่บนทางเดินนั้น
“เชิญคุณแอฟโรในห้องนี้เลยครับ หัวหน้าอยากจะพบคุณ” ชายหนุ่มกล่าวเรียบๆพร้อมกับผายมือไปทางห้องนั้นให้มาตาร์
“ขอบคุณที่พามาส่งนะครับ” มาตาร์เอ่ยพร้อมกับเดินเข้าห้องไปแบบไม่มีลังเล ไม่ว่าเหตุการณ์จะน่าสงสัยสักแค่ไหนก็ตาม
จนบัดนี้มาตาร์ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนรู้แต่เพียงว่าเมืองนี้ชื่อแอตแลนติส คนพวกนี้ต้องการอะไร ถึงได้ช่วยชีวิตเขาขึ้นมาจากทะเล แต่การลังเลใจก็มีแต่ทำให้เรื่องราวยิ่งช้า หนทางที่จะตอบโจทย์ได้เร็วที่สุดก็คือลุยเข้าไปเลย ไม่ว่าคนพวกนี้จะต้องการอะไรก็ตาม สิ่งที่เขาสูญเสียก็มีแค่ชีวิตเท่านั้น ซึ่งเขาก็เสียจนชินชาไปเสียแล้ว เท่ากับว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลย
วืด~ด
ประตูอัตโนมัติเปิดออก แล้วชายหนุ่มหัวฟูก็เดินเข้าไปในห้องทันที
“สวัสดีคุณแอฟโร”
เสียงหญิงสาวที่มีลักษณะเข้มและเนี้ยบดังขึ้นมาหลังโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องนั้นซึ่งเป็นเก้าอี้หนังตัวใหญ่ แสงจากหน้าต่างบานใหญ่ที่พุ่งออกมาจากด้านหลังทำให้เกิดเป็นเงาดำ ทำให้มาตาร์มองไม่หน้าผู้พูดว่าเป็นอย่างไร
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มหัวฟูตอบกลับพร้อมกับหรี่ตาลง เนื่องจากแสงพุ่งเข้าตาเขาเต็มๆ
“ชั้นไม่รู้ว่าชื่อจริงของคุณคืออะไรนะ เพราะสำรวจไม่ได้ แต่อยากจะถามว่าคุณเอาเข็มขัดไรเดอร์นี่ออกมาจากเกาะนั่นได้ยังไง” หญิงสาวคนเดิมกล่าวขึ้นมาเรียบๆ พร้อมกับวางเข็มขัดที่มีหัวเข็มขัดเป็นโลหะรูปวงกลมอันใหญ่ลงบนโต๊ะ
“หา? เข็มขัดไรเดอร์? มันคืออะไรเหรอครับนั่นน่ะ” มาตาร์กล่าวขึ้นมาเรียบๆ แต่ในใจนั้นตกใจอยู่พอสมควร ‘อะไรน่ะ! ทำไมยัยนี่รู้จักเข็มขัดไรเดอร์’
“อย่ามาทำไขสือคุณแอฟโร” หญิงสาวหลังโต๊ะส่งเสียงเย็นชาออกมาอีกครั้ง
“เอ่อ ...ผมไม่เข้าใจอ่ะครับ” มาตาร์ยังดื้อ เขายังไม่ยอมรับว่าเข็มขัดของเขาคือเข็มขัดไรเดอร์ ไม่อย่างนั้นเรื่องราววุ่นวายต้องตามมาเป็นพรวนแน่ๆ ‘ทำไมยัยนี่ถึงได้มั่นใจนักนะ ไปรู้มาจากไหนเนี่ย’
“ถ้าอย่างนั้นชั้นจะทำให้คุณเถียงไม่ออก” หญิงสาวพูดเรียบๆพร้อมกับยื่นมือออกมาเหนือโต๊ะ
แล้วทันใดนั้น ก็มีแมงมุมขนาดใหญ่ตัวหนึ่งไต่ออกมาจากแขนของผู้หญิงคนนั้นลงมาบนเข็มขัดของมาตาร์ทันที
“อ๋า!? แมงมุมนั่น เอ่อ สัตว์เลี้ยงของคุณหัวหน้าใช่มั้ยครับ ตัวเบ้อเร่อเลย” ชายหนุ่มแอฟโรเอ่ยออกมาหน้าตาตื่น เพราะเจ้าแมงมุมนั่นมันตัวใหญ่จริงๆ ใหญ่กว่ามือของเขาเสียอีก ‘อย่าบอกนะว่ายัยนี่จับแมงมุมมาจากป่าแมลงบนเกาะไรเดอร์’
“แล้วแมลงของคุณแอฟโรล่ะคะ เป็นตัวอะไรเหรอ” หญิงสาวเอ่ยถามเรียบๆ
“เอ๋? แมลงของผม?” มาตาร์ยังคงดื้อต่อไปทั้งๆที่ไม่มีทางเถียงได้แท้ๆ เพราะรับรู้แล้วว่าหญิงสาวคนนี้คงจะเคยไปรับภารกิจเข็มขัดไรเดอร์ที่เกาะกลางโลกเหมือนกัน แต่คงจะเป็นหนึ่งในคนที่ฝ่าตัวก็อปปี้ของตนเองออกมาไม่ได้ ดังนั้นจึงเหลือแค่แมลงเป็นสัตว์เลี้ยงกลับมาเท่านั้น
“สปีน่า” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ
วืด!
แล้วทันใดนั้นเจ้าแมงมุมยักษ์นั่นก็พุ่งเข้าใส่มาตาร์ทันที
“เฮ่ย!!” มาตาร์อุทานออกมาอย่างตกใจแล้วก็ระโดดถอยออกไปทันที
ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าตอบโต้ออกไปก็เท่ากับแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ มาตาร์ยังไม่อยากจะมีเรื่องกับคนกลุ่มนี้ เพราะเขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้มีกันเยอะขนาดไหน ในขณะที่เขาก็ยังไม่ได้บันทึกจุดเกิดเอาไว้เลย เกิดพลาดพลั้งตายขึ้นมาได้กลับไปเกิดที่เกาะไรเดอร์แน่ๆ ...แต่ทว่ามีอีกคนหนึ่งที่ไม่รีรอในช่วงเวลาแบบนี้
แวบ! ฟูวว!!
“จะทำอะไรแอฟโรน่ะ!!”
เด็กหญิงผมแดงคนหนึ่งกระโดดพรวดออกมาจากเข็มขัดที่วางอยู่กลางโต๊ะแล้วสะบัดแขนที่มีผลึกเวทของเธอปล่อยไฟออกมาใส่เจ้าแมงมุมยักษ์ตัวนั้นทันที
‘อ่ะ! เลดี้จะออกมาทำไมตอนนี้เนี่ย’ มาตาร์รู้สึกว่าเสียแผนทันที เพราะการที่แม่เต่าทองน้อยกระโดดออกมาจากเข็มขัดทำให้เขาแก้ตัวยากขึ้นไปอีก
แต่ไหนๆเลดี้ก็ออกมาแล้ว เขาก็ตามน้ำไปเท่านั้นเอง
ฟิ้ว!
มาตาร์เคลื่อนเท้าด้วยเคล็ดไร้เงาหลบห่างจากวิถีไฟของเลดี้แล้วสะบัดเท้าเข้าใส่เจ้าแมงมุมที่ลอยอยู่กลางอากาศทันที
ผัวะ! แปะ!
ลูกเตะของมาตาร์กระทบถูกเจ้าแมงมุมนั่นเต็มๆ แต่แทนที่เจ้าแมงมุมจะกระเด็นไป กลับกลายเป็นว่ามันเกาะติดกับขาของเขาแทน
กึ้ดด!!
แล้วเจ้าแมงมุมก็กัดเข้าไปที่ขาของชายหนุ่มหัวฟูพร้อมกับแพร่พิษใส่ทันที ก่อนที่มันจะผละร่างออกมาจากขาของเขาแล้วกลับไปยืนบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว
“อุ๊บส์!” มาตาร์อุทานออกมาแล้วลงไปนั่งกับพื้นทันที
“แอฟโร!” เด็กหญิงผมแดงอุทานออกมาแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายของเธอทันที
“หึ คุณโดนพิษแมงมุมเจ็ดสีของสปีน่าไปแล้ว ทีนี้บอกมาได้รึยัง ว่าเอาเข็มขัดนี่ออกมาจากเกาะนั่นได้ยังไงคุณแอฟโร รีบๆบอกมาก่อนที่พิษจะแพร่ไปทั่วตัวดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นยาแก้พิษนี่ก็ช่วยไม่ได้นะ” หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่เอ่ยขึ้นมาเรียบๆพร้อมกับวางขวดแก้วที่มีของเหลวใสลงบนโต๊ะ
“ก็ได้!! ...” มาตาร์คิดว่าเขาคงจะไม่มีทางเลี่ยงอีกแล้ว จึงคิดจะบอกความจริงออกไป แต่แล้วเขากลับรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ของพิษที่แปลกประหลาดเมื่อเด็กหญิงผมแดงเอามือมาแตะขาของเขาพร้อมกับใช้ปราณสีชมพูของเธอดึงพิษออกจากร่างของเขาช้าๆ ‘อะไรเนี่ย? เลดี้ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ!’
“ผมไปที่เกาะไรเดอร์นั่นมาจริงๆแหละ” มาตาร์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับใช้มือของเขาจับแขนของเลดี้เป็นสัญญาณเอาไว้ด้วยว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรออกไป เพราะเดี๋ยวจะเสียแผน
“อื้ม ในที่สุดก็ยอมรับนะคุณแอฟโร แล้วตกลงคุณเอาเข็มขัดฝ่าตัวก็อปปี้ออกมาได้ยังไงล่ะ” หญิงสาวเอ่ยถามเรียบๆ
“คุณจะบ้าเหรอ ฝีมืออย่างผมจะเอาเข็มขัดออกมาได้ยังไง แขนผมก็ด้วนไม่เห็นเหรอ จะเอาอะไรไปสู้กับมัน เข็มขัดนั่นผมทำเลียนแบบขึ้นมาหลังจากที่ไปซื้อโมโนไบค์คันใหม่มาแล้วต่างหาก” มาตาร์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ‘โอ้ว! ไม่น่าเชื่อแป๊บเดียวเอง พิษถูกดูดออกไปหมดแล้ว’
“คุณแขนด้วน ตัวก็อปปี้ก็แขนด้วน ฝีมือคุณกระจอก ตัวก็อปปี้ก็กระจอก มันเอามาอ้างไม่ได้หรอกนะคุณแอฟโร เงื่อนไขการฝ่าถ้ำนั่นออกมามันเท่าเทียมกันเสมอสำหรับผู้เล่นทุกคน” หัวหน้าสาวกล่าวออกมาเรียบๆเหมือนเดิม
มาตาร์เงียบไปพร้อมกับครุ่นคิด ‘ทำไมยัยนี่มันเล่นยากแบบนี้นะ ...มันมีอะไรที่จะพิสูจน์ได้บ้างเนี่ย อ๊ะ!!’
“คุณหัวหน้า ไอ้ร่างไรเดอร์นี่มันใช้ปราณธาตุ สายเวทหรือท่าไม้ตายพลังจิตไม่ได้ถูกมั้ย” มาตาร์เอ่ยขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้
“...” หญิงสาวเงียบไม่ตอบอะไรออกมา เหมือนกับยอมรับว่าสิ่งที่ชายหัวฟูพูดนั่นถูกต้อง
“แล้วถ้าผมใช้ไม้ตายพลังจิต ปล่อยเวท หรือแปลงธาตุได้ล่ะ คุณจะหาว่าผมเป็นไรเดอร์อีกมั้ย” มาตาร์พูดออกมาเรียบๆ
“ถ้าคุณแอฟโรปล่อยท่าไม้ตายพลังจิต ปล่อยเวท หรือแปลงธาตุได้ ชั้นก็คงจะต้องยอมรับว่าเข้าใจคุณผิดไป” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาในที่สุด เธอย่อมรู้ดีว่าร่างไรเดอร์ถูกจำกัดความสามารถมากมายขนาดไหนถ้าเป็นคนที่เคยรับภารกิจเข็มขัดไรเดอร์มาแล้ว
“เอายาแก้พิษมาก่อนสิ เกิดผมตายไปก่อนแล้วจะแสดงไม้ตายให้ดูได้ยังไง” มาตาร์เอ่ยพร้อมกับบีบแขนเลดี้เบาๆเป็นสัญญาณ
“เจ้าเล่ห์เหมือนกันนี่คุณแอฟโร คิดว่าลูกไม้ตื้นๆนี่จะหลอกชั้นได้เหรอ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ แต่นิ้วของเธอก็เคาะโต๊ะเหมือนกับเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง
แล้วเจ้าแมงมุมตัวใหญ่นั่นก็ปล่อยใยของมันออกมาพันรอบขวดแก้วนั่น แล้วก็กระโดดออกมาจากโต๊ะ แล้วพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มหัวฟู พร้อมๆกับขวดแก้วทันที
เมื่อครั้งที่มาตาร์จมน้ำ เขาจำได้ว่าก่อนจะหมดสติไป เขารู้สึกได้ถึงความเย็นข้างใต้เท้า ซึ่งก็คงจะเกิดจากน้ำแข็งที่เกาะร่างโมบี้ดิ๊กอยู่ ตอนนั้นเขาเอ่ยออกมาว่า ‘ทำไมเย็นจัง’ ทั้งๆที่อยู่ในน้ำ มันไม่น่าเป็นไปได้ ถ้ารอบๆปากของเขาไม่ได้มีอากาศอยู่ เขาควรจะสำลักน้ำมากกว่าถ้าเอ่ยออกมาจริงๆ
หมายความว่า ช่วงเวลานั้น เขาสามารถใช้พลังธาตุดึงเอาอากาศในน้ำมารวมกันได้ ทั้งๆที่ตอนนั้นร่างวิญญาณไม่ได้ปรากฏออกมาด้วย
ซูวว!
ทันใดนั้นปรากฏหน้ากากแหลมที่เหมือนกับร่างวิญญาณของมาตาร์ขึ้นมาบนใบหน้าของชายหนุ่มหัวฟู และสีผมที่เปลี่ยนเป็นสีแดงสนิม
พรึบ!
แล้วแขนซ้ายพลังจิตของชายหนุ่มก็ปรากฏขึ้นมาทันที
ฟวับ!
แขนซ้ายนั้นพุ่งออกมาที่เจ้าแมงมุมที่กำลังกระโดดมาหาเขา แล้วก็คว้าเอาขวดแก้วนั้นก่อนที่หัตถ์พระเจ้าขนาดเท่าแขนจริงอีกข้างจะพุ่งเข้ามาต่อยเจ้าแมงมุมนั้นออกไปทันที
“อะไรน่ะ!” หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างตระหนกพร้อมกับลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้หนังตัวใหญ่ เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มหัวฟูปล่อยออกมานั้นมันคือไม้ตายพลังจิตแน่นอน
“ยื่นหมูยื่นแมวไงครับ ผมรับยาแก้พิษมาพร้อกับแสดงไม้ตายพลังจิตให้คุณดู คุณจะได้ไม่รู้สึกเหมือนถูกหลอก” มาตาร์เอ่ยขึ้นมาเรียบๆ
“...” หญิงสาวเงียบไปทันที เธอรู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นมันผิด ชายหนุ่มหัวฟูนี้ไม่ได้เป็นไรเดอร์ ไม่อย่างนั้นเขาคงปล่อยหมัดพลังจิตให้เห็นเป็นรูปร่างแบบนี้ไม่ได้ จะว่าเป็นการคืนร่าง แต่เข็มขัดก็ไม่ได้คาดเอาไว้จะคืนร่างได้อย่างไร
“หรืออยากจะให้ผมปล่อยเวทด้วยดีล่ะ” มาตาร์ยังพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงท้าทาย แต่หลังหน้ากากนั้นกลับปรากฏเหงื่อเม็ดโป้งขึ้นมา ‘หวังว่าเจ้าเดียมอนจะไม่ทำเสียเรื่องนะ อย่าตื่นขึ้นมานะโว้ย’
ตุบ
“ขอโทษด้วยคุณแอฟโร” หญิงสาวเอ่ยออกมาเรียบๆพร้อมกับนั่งลงไปที่เก้าอี้อีกครั้งทันที
วูบ!
แล้วมาตาร์ก็คลายพลังของเขาที่ถ่ายไปให้ผลึกวิญญาณทันที ทำให้หน้ากากหายไปและผมกลับเป็นสีดำตามเดิม
“อึก อึก” ชายหนุ่มหัวฟูทำท่าเหมือนดื่มเจ้ายาแก้พิษขวดนั้นทั้งๆที่ไม่จำเป็น เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะรู้กันหมดว่าเขาแก้พิษได้แล้ว
“แล้วคุณไปทำอะไรกลางทะเลนั่น” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุยกันที
“ผมบอกลูกน้องคุณไปแล้วนะ คิดว่าคุณน่าจะรู้แล้วล่ะ ...ขอเข็มขัดของผมคืนได้รึยัง” มาตาร์ทวงเข็มขัดของเขาคืนทันทีที่รู้ว่าตนเองพ้นมลทินแล้ว
“อืม เชิญคุณแอฟโรหยิบเข็มขัดไปได้เลย” หญิงสาวตอบกลับเรียบๆ
แกร็ก!
แล้วชายหนุ่มหัวฟูก็เอาเข็มขัดมาคาดเอาไว้เหมือนเดิม ก่อนที่จะเอามือมาจับแขนเลดี้แล้วแอบสอดขวดยาแก้พิษให้เลดี้อย่างแนบเนียนก่อนที่แม่เต่าทองน้อยจะยิ้มกลับมาแล้วหายแวบเข้าไปในเข็มขัด
“คุณหัวหน้านี่คุยง่ายกว่าที่ผมคิดนะเนี่ย ...จริงๆแล้วคุณช่วยผมเอาไว้ ผมน่าจะตอบแทนคุณมากกว่านะ ไม่ใช่มาทำกร่างแบบนี้” มาตาร์สังเกตพฤติกรรมของหญิงสาวที่เป็นหัวหน้าคนนี้แล้วก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมา เพราะเธอช่วยเขาขึ้นมาจากทะเล พยาบาลจนหายดี ให้เสื้อผ้าใส่ แถมยังไม่ได้ขโมยอะไรไปจากเขาแม้แต่อย่างเดียวด้วย แต่เขากลับหลอกเธอไปซะแล้วนี่สิ
สิ่งที่มาตาร์ทำไปเมื่อเรียกหน้ากากวิญญาณขึ้นมาก็คือ การถ่ายพลังพิเศษให้ผลึกวิญญาณที่แขนซ้ายด้วยความถี่ชนิดหนึ่ง
ตามปกติเมื่อถ่ายพลังพิเศษให้ผลึกวิญญาณ ร่างวิญญาณก็จะปรากฏขึ้นมา แต่มาตาร์กลับค้นพบความถี่พิเศษที่ทำให้ร่างวิญญาณกลืนเข้าไปกับร่างจริง หน้ากากวิญญาณจึงปรากฏขึ้นมาบนในหน้าของเขาแทน และสีผมที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะมันซ้อนทับกับสีดำของทรงแอฟโร
ซึ่งเมื่ออยู่ในสภาพสวมหน้ากากวิญญาณนี้ มาตาร์สามารถใช้ความสามารถได้ตามปกติเหมือนตอนคืนร่าง เพียงแต่พลังวิญญาณของเขามันน้อยนิดเกินจะปล่อยไม้ตายลูกใหญ่ๆ และเขายังต้องระวังไม่ให้ความถี่พลังพิเศษเกิดรวนแล้วไปปลุกเดียมอนขึ้นมาด้วย ไม่อย่างนั้นแผนที่วางเอาไว้ได้เละเทะแน่ๆ
“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณแอฟโรสำรวจแอตแลนติสไปก่อนก็แล้วกัน แล้วถ้ามีอะไรแล้วชั้นจะเรียกใช้งานนะ” หญิงสาวพูดเรียบๆพร้อมกับส่งคำขอเป็นเพื่อนให้มาตาร์ทันที
“หืม? เอ้อ ...ครับ” มาตาร์เกิดข้อสงสัยขึ้นมาในคำพูดของหญิงสาว แต่ก็เงียบเอาไว้เพราะคิดว่าเธอคงไม่อยากจะคุยตอนนี้ ในเมื่อเธอเพิ่งจะเสียหน้ามาหยกๆ พร้อมกับตอบรับคำขอเป็นเพื่อนของเธอเอาไว้ทันที ‘อ้อ ชื่อทาเนียเหรอเนี่ย’
“ดิชั้นจะให้อาร์แซนกับอิซาคอยแนะนำคุณก็แล้วกัน” ทาเนียเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ
“หมายถึงสองคนที่พาผมมาส่งที่นี่รึเปล่า?” มาตาร์ถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ อาร์แซนก็คือผู้หญิง อิซาก็ผู้ชาย คุณไม่ได้สำรวจพวกเขาเอาไว้แล้วเหรอ” ทาเนียให้ข้อมูลพร้อมกับถามกลับ
“ไม่ได้สำรวจครับ นึกว่าคนแถวนี้จะป้องกันการสำรวจเอาไว้หมดแล้วซะอีก” มาตาร์ตอบกลับ ซึ่งสิ่งที่เขาพูดนั้นก็มีส่วนถูกบ้าง เพราะถ้าเขาสำรวจทาเนียกับอิซาเขาจะไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าสำรวจอาร์แซนเขาก็อาจจะรู้ชื่อของเธอได้
“อืม เชิญคุณแอฟโรตามสบายเถอะ” ทาเนียเอ่ยเป็นสัญญาณให้ชายหนุ่มหัวฟูออกจากห้อง
วืด~ด
แล้วชายหนุ่มหัวฟูก็เดินออกมาจากห้องของทาเนียด้วยสีหน้ายิ้มน้อยๆ
“หัวหน้าสั่งให้เราพาคุณแอฟโรไปเดินให้ทั่วๆน่ะ จะได้ไม่หลง” ชายหนุ่มหน้าตี๋ผมเรียบแปล้เอ่ยขึ้นมาทันทีที่มาตาร์เดินออกมาจากห้องของทาเนีย
“เอ้อ ...ขอบคุณครับ” มาตาร์เกิดมีข้อสงสัยขึ้นมาในคำพูดของชายหน้าตี๋ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป
ซึ่งหญิงสาวหน้าตาจืดๆอีกคนก็สังเกตออกแล้วก็ถามออกมา “คุณแอฟโรมีข้อสงสัยอะไรก็ถามออกมาสิ” เธอยังคงพูดจาขวานผ่าซาก มะนาวไม่มีน้ำเหมือนเดิม
“คุณอาร์แซนสินะ คือผมสงสัยว่าสำรวจแอตแลนติสที่คุณหัวหน้าพูดถึงกับสำรวจให้ทั่วๆมันคืออันเดียวกันรึเปล่าน่ะ” มาตาร์สงสัยตั้งแต่ที่ทาเนียพูดขึ้นมาแล้ว เพราะหมายความว่าจะพาเขาไปสำรวจเมืองทั้งเมืองเลยหรือ
“แอตแลนติสนี่ไม่ใหญ่มากถ้าเทียบกับเมืองอื่นๆ อย่างน้อยคุณแอฟโรก็ควรจะรู้จักพื้นที่พิเศษของเมืองและบริเวณร้านค้าต่างๆนะ” อาร์แซนกล่าว
“อ้อ ครับ” ชายหนุ่มหัวฟูตอบรับ ‘แล้วคุณหัวหน้าไม่กลัวว่าเราจะหนีหายไปหรือไงเนี่ย ไม่มีอะไรรับประกันซะหน่อยว่าเราจะอยู่ช่วยงานเธอจริงๆน่ะ เกิดเราอยากผจญภัยขึ้นมาก็เดินออกจากเมืองไปดื้อๆสิ’
แล้วการพาทัวร์ชมเมืองแอตแลนติสก็เริ่มขึ้น
อิซาและอาร์แซนพามาตาร์ลงมาจากอาคารด้วยลิฟท์ แล้วก็พาเดินไปบนพื้นที่เป็นถนนเล็กๆทอดยาวหน้าตึก มีร้านรวงอยู่ตลอดสองข้างทาง ทั้งร้านอาหาร ร้านอาวุธ ร้านตีเหล็ก บาร์ประจำเมือง ฯลฯ
“สุดถนนนี้ก็เป็นพื้นที่พิเศษ คุณแอฟโรอยากจะบันทึกเอาไว้ก่อนมั้ยล่ะ” อิซาเอ่ยขึ้นมาขณะที่พาชายหนุ่มหัวฟูเดินไปตามถนน
“ดีเหมือนกันครับ เพราะผมยังไม่อยากจะกลับไปเกิดที่เก่าเวลาตาย” มาตาร์ตอบกลับยิ้มๆพร้อมกับเดินตรงไปที่พื้นที่พิเศษทันทีก่อนที่จะใช้คำสั่งบันทึก
“ที่แอตแลนติสนี่มีส่วนที่เป็นพื้นที่ที่เป็นที่อยู่ของสัตว์อสูร เอาไว้ทำภารกิจที่รับทำได้เฉพาะที่นี่ด้วยนะ” อาร์แซนให้ข้อมูล
“เอ๋อ? ครับ” มาตาร์ฟังแล้วก็ต้องสงสัยขึ้นมา ‘ทำไมต้องมีพื้นที่สัตว์อสูรในเมืองด้วยเนี่ย พิลึกดีเว้ย’
“แล้วก็มีสนามประลองด้วยนะ มีประลองกันทุกวันแหละ แต่ของรางวัลอาจจะไม่ได้ดีเด่อะไรนะ มีไว้แก้เซ็งมากกว่าน่ะ” อิซาให้ข้อมูลบ้าง
“เอ้อ ...ครับ” มาตาร์ขานรับอีกครั้ง ‘แก้เซ็ง? หรือว่าแอตแลนติสนี่มันจะเป็นเมืองที่น่าเบื่อมากหว่า’
และแล้วเมื่อเดินไปเรื่อยๆ มาตาร์ก็เริ่มตระหนักว่าเมืองแอตแลนติสนี้มีสภาพเป็นอย่างไร เมื่อเขาเดินมาถึงทะเลที่ติดกับเมือง
“นี่มัน!!” มาตาร์เอ่ยขึ้นมาอย่างตระหนก
พรึบ!
หญิงสาวผมขาวลืมตาโพล่งขึ้นมาทันทีเมื่อเธอรู้สึกตัว เธอลุกขึ้นมาจากที่นอนแล้วใช้ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของเธอกวาดไปรอบๆห้องที่เธออยู่
“มาตาร์อยู่ไหน!!” หญิงสาวตะโกนขึ้นมาทันทีเมื่อเธอไม่เห็นใครอยู่ในห้อง
ปึง!
ประตูไม้เปิดผ่างออกมาพร้อมกับร่างของชายอ้วนผอมที่พยายามจะแย่งกันเข้ามาในห้อง
“ตื่นแล้วเหรอครับคุณนางฟ้า” ชายร่างผอมกล่าวออกมาก่อนในขณะที่ตัวของเขายังคาอยู่ที่ประตูเพราะถูกเบียดด้วยชายร่างอ้วน
“คุณนางฟ้าหิวมั้ยครับ อยากกินอะไรมั้ย” ชายร่างอ้วนเอ่ยออกมาอย่างกระตือรืนล้นพอๆกับชายร่างผอม
เพียะ!
แส้เส้นสีขาวรูปร่างเหมือนกระดูกถูกฟาดใส่พื้นทันทีจนพื้นไม้เป็นรูพร้อมกับประกายตาคมกล้าจากหญิงสาวผมขาว
“พวกแกเป็นใคร แล้วมาตาร์อยู่ไหน” หญิงสาวผู้ใช้แส้เอ่ยถามชายทั้งสองคนนั่น
“ผมชื่อแฟ็ตตี้ครับ” ชายร่างผอมชิงตอบก่อนอย่างยิ้มแย้มเมื่อเห็นหญิงสาวถามออกมา
“เฮ่ยไอ้ผอม! มาแย่งข้าตอบได้ไง ผมชื่อทินนี่ครับ” ชายร่างอ้วนหันไปค้อนเพื่อนของตนก่อนจะหันมายิ้มให้แม่สาวซาดิสม์นั่น
“ใครอยากจะรู้ชื่อพวกแกกัน มาตาร์อยู่ไหน!!” หญิงสาวรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุเมื่อเห็นพฤติกรรมของเจ้าคู่ชายอ้วนผอมนี่
“เอ้อ? มาตาร์ไหนเหรอครับ ว่าแต่คุณนางฟ้าชื่ออะไรเหรอ” ชายร่างผอมพูดด้วยท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ย
“ผมเห็นคุณนางฟ้าบาดเจ็บอยู่ในร่างของโมบี้ดิ๊กก็เลยช่วยคุณออกมาน่ะครับ แล้วมาตาร์นี่เป็นใครเหรอ” ชายร่างอ้วนตอบบ้าง ซึ่งก็มีข้อมูลที่คลายสงสัยให้หญิงสาวผมขาวได้บ้าง
“ช่วยชั้นออกมาเหรอ? แล้วผู้ชายหัวฟูอีกคนล่ะ!!” หญิงสาวผมขาวตะคอกใส่ทั้งคู่
ชายอ้วนผอมทั้งคู่รู้ในทันทีว่านางฟ้าผมขาวของพวกเขาหมายถึงใคร ถ้าพูดถึงผู้ชายหัวฟูในร่างของโมบี้ดิ๊ก ก็ต้องนึกถึงเจ้าแอฟโรที่น่าหมั่นไส้คนนั้นนั่นแหละ ทั้งคู่หันมามองหน้ากันพร้อมกับพร้อมใจกันลบชื่อของเจ้าหนุ่มหัวฟูออกจากรายชื่อเพื่อนทันที
“ไม่รู้สิครับ/ไม่เห็นครับ” คู่อ้วนผอมประสานเสียงออกมา
แหมะ แหมะ
ทันใดนั้นน้ำตาใสๆก็ไหลนองออกมาจากดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของหญิงสาวผมขาวทันทีราวกับเขื่อนแตก
“ฮือ~~อ มาตาร์!” หญิงสาวร้องออกมาเต็มเสียง เพราะเธอไม่ได้มีชื่อของชายหนุ่มหัวฟูในรายชื่อเพื่อน เธอคิดว่าทั้งชีวิตนี้อาจจะไม่ได้เจอหน้าผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว ตลอดเวลาที่เธออยู่กับเขา เธอก็เอาแต่ทะเลาะแล้วก็พูดจาไม่ดีใส่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเธออยากจะอยู่ข้างๆเขาตลอดเวลาแท้ๆ เมื่อเธอนึกถึงช่วงเวลาที่ใช้ด้วยกันบนเกาะไรเดอร์ เธอก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา
“นี่ยัยซาดิสม์” เสียงกะเทยดังออกมาจากร่างของหญิงสาวผมขาว
“อ๊ะ!/ห้ะ!” ชายอ้วนผอมมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ดันร่างของตัวเองออกมาจากประตูแล้วตั้งท่าระวังตัวทันที
“ฮือ~อ”
แต่ว่าหญิงสาวผมขาวยังไม่หยุดร้องไห้ เธอไม่สนใจแล้วว่าใครจะพูดอะไรหรือจะเกิดอะไรขึ้น
“ยัยซาดิสม์!!!” เสียงกะเทยกระแทกขึ้นมาอีกครั้ง
“ฮึก ... ฮึก” หญิงสาวผมขาวเริ่มมีสติขึ้นมาบ้างหลังจากรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆที่ร่างกายของเธอ เพราะเสียงกะเทยนั่นเหมือนจะดังออกมาจากตัวเธอเลย
“เสียใจไปแล้วจะได้อะไรยะ ถ้าอยากเจอหล่อนก็ไปตามหาเค้าสิ” เสียงกะเทยดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ฮึก ...ไอ้งูกะเท~ย แกอยู่ไหนน่ะ” หญิงสาวผมขาวมีสติขึ้นมาในที่สุด แต่ก็ยังไม่หยุดสะอึกสะอิ้น
“เรียกร่างชั้นออกมาใช้งานแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ มีสติหน่อยสิยะ ชั้นยังไม่อยากจะตายแบบโง่ๆไปด้วยกันกับหล่อนหรอกนะ” เสียงกะเทยดังขึ้นมาอีก
“หืม?” หญิงสาวสงสัยว่าเจ้างูกะเทยพูดเรื่องอะไร แต่เมื่อเธอหันมามองที่มือขวาของเธอก็เห็นว่าแส้ที่อยู่ในมือนั่นคือร่างของงูกระดูกขาว แล้วที่ปลายแส้นั่นก็เป็นส่วนหางแหลมๆ
ชายอ้วนผอมมีสีหน้าสับสนไปหมด ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเสียงกะเทยนี่มันมาจากไหน อย่าบอกนะว่านางฟ้าของพวกเขาเป็นกะเทยน่ะ
“ชั้นรวมร่างกับหล่อนตอนที่หล่อนกำลังจะตายน่ะ ก็เลยต้องตัวติดกันแบบนี้แหละ” เจ้างูกระดูกขาวเฉลยสิ่งที่เกิดขึ้นให้หญิงสาวผมขาวรับรู้
“หา?” หญิงสาวผมขาวตอบกลับด้วยสีหน้างงๆพร้อมกับขอบตาที่บวมแดงไปหมด
“แอตแลนติสเป็นเมืองที่ไม่อยู่ในแผนที่ เพราะว่าเขียนบนแผนที่ไม่ได้น่ะ” อิซาพูดขึ้นมาเรียบๆ
“แต่ว่าเมืองนี้เป็นเมืองของระบบจริงๆนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีพื้นที่พิเศษหรอก” อาร์แซนพูดขึ้นมาบ้างหลังจากเห็นท่าทางตื่นตกใจของชายหนุ่มหัวฟู
ในที่สุดมาตาร์ก็เข้าใจว่าทำไมแอตแลนติสถึงต้องมีพื้นที่ที่มีสัตว์อสูรและมีสนามประลองแก้เซ็ง แล้วทำไมทาเนียถึงยอมปล่อยเขาให้มาเดินเพ่นพ่านได้อย่างอิสระ
“ที่นี่มันคือเมืองเคลื่อนที่เหรอเนี่ย” ชายหนุ่มหัวฟูพูดขึ้นมาอย่างรู้สึกทึ่งเมื่อรู้ว่าเขากำลังอยู่บนเรือขนาดใหญ่เท่าเมืองซึ่งลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล
ยังคงคอนเซ็ปต์ออกทะเลไม่เปลี่ยนแปลง
ความคิดเห็น