คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #182 : บทที่176: สลักวิญญาณ
บทที่176 สลักวิญญาณ
ความแตกต่างของกระสุนพรากสังขารและระเบิดวายุ ท่าไม้ตายของมาตาร์ที่มีภาพลักษณ์คล้ายๆกัน แต่แตกต่างกันมากพอสมควร
ระเบิดวายุนั้นเกิดจากการใช้ปราณลมล้วนๆ ในขณะที่กระสุนพรากสังขารใช้ปราณห้าธาตุ
ระเบิดวายุไม่สามารถยิงออกจากมือได้ ในขณะที่กระสุนพรากสังขารสามารถยิงออกมาจากมือได้
ระเบิดวายุทำลายเป้าหมายจากภายในโดยมีลักษณะเหมือนการฉีกกระจุยเป้าหมายเป็นชิ้นๆ ส่วนกระสุนพรากสังขารนั้นสลายสสารให้หายไปเลยทันทีที่กระทบ ถ้าใช้ประกอบกับหัตถ์พระเจ้าจะสามารถหน่วงการขยายตัวได้
ที่สำคัญที่สุด ความแรงของระเบิดวายุขึ้นอยู่กับจำนวนแกนหมุนและความเร็วในการหมุนปราณขณะที่กระทบเป้าหมาย ซึ่งถ้าตัดเรื่องแกนหมุนออกไปความแรงจะขึ้นอยู่กับแรงที่ทุ่มออกไปตอนโจมตี ซึ่งไม่สามารถสะสมได้ กล่าวคือ ไม่ใช่ว่ายิ่งหน่วงเอาไว้นานระเบิดวายุจะยิ่งแรงขึ้น แต่มันจะเป็นการสิ้นเปลืองปราณในการหน่วงมากกว่า ดังนั้นวิธีใช้ระเบิดวายุที่เหมาะสมก็คือรีบสร้างแล้วรีบโจมตีอย่างรวดเร็ว มีกำลังเท่าไหร่ก็อัดใส่ในวูบที่โจมตีได้เลย ในขณะที่ความรุนแรงของกระสุนพรากสังขารไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนแกน แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณปราณที่ใส่เข้าไป ถ้าใช้กระสุนพรากสังขารด้วยมือสองข้างจากห้าแกนเป็นสิบแกน ไม่ได้หมายความว่ากระสุนพรากสังขารจะแรงขึ้น แต่มันหมายถึงสามารถใส่ปราณได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งยิ่งหน่วงเอาไว้นานเท่าไหร่กระสุนพรากสังขารก็ยิ่งแรงขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมของมาตาร์ด้วย ว่าสามารถหน่วงก้อนพลังได้มากขนาดไหน ดังนั้นถ้ามีเวลามากพอมาตาร์สามารถสะสมปราณที่ใช้ในกระสุนพรากสังขารได้มากขึ้น การมีพวกโซล่าร์ซิสฯอีกสี่คนคอยช่วยถ่ายปราณให้จึงเป็นแค่มีความรวดเร็วมากกว่าทำคนเดียวเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่ามาตาร์ไม่สามารถปล่อยกระสุนพรากสังขารขนาดใหญ่ได้ แต่ที่ผ่านมาการต่อสู้มักเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครโง่พอที่จะให้คู่ต่อสู้รวบรวมพลังโจมตีนานๆอยู่แล้ว
“นี่ๆ แล้วนายทำยังไงถึงจะทำลายหัวใจโมบี้ดิ๊กขนาดเท่าตึกนี่ได้ในการโจมตีครั้งเดียวล่ะ เพราะมันมีพลังในการฟื้นฟูสูงมากเลยนะ” อาร์แซนถามขึ้นมาอย่างสนใจ
“พูดแบบนี้แปลว่าเคยลองมาแล้วแต่ไม่สำเร็จล่ะสิ” มาตาร์คาดเดาจากเนื้อหาในคำพูดของหญิงสาวที่เดินตามเขาออกไปที่ห้องหัวใจของโมบี้ดิ๊ก
ส่วนอาร์แซนก็เอาแต่ยิ้มรับเฉยๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกมา เหมือนยอมรับกลายๆ
เป็นจริงดั่งที่มาตาร์คาดการณ์ ความสามารถในการใช้ไพ่ระเบิดของอาแซนนั้นอาจจะเหมาะกับการสู้กับผู้เล่นคนอื่นหรือสู้กับศัตรูจำนวนมากเพราะสามารถโจมตีได้ต่อเนื่องและพลิกแพลง แต่การทำลายหัวใจโมบี้ดิ๊กนั้น ไม่ใช่การยิงรัวเล็กๆแบบนั้นแล้วจะทำลายมันได้ เนื่องจากพลังฟื้นฟูที่สูงจนใกล้เคียงอมตะ ถ้าไม่ทำลายหัวใจทั้งดวงในการโจมตีครั้งเดียว มันก็จะฟื้นตัวขึ้นมาใหม่เสมอ
มาตาร์ เลดี้ เซเบอร์ และอาร์แซนเดินออกมาถึงห้องหัวใจ ในขณะที่ทาเนียและสปีน่าค่อยๆเดินตามมาห่างๆ โดยสีหน้าของทาเนียนั้นราวกับไร้ซึ่งความหวังใดใด ขณะที่สปีน่าก็มีสีหน้ากังวล
แกร็ก
“วะฮ่าๆๆๆๆ”
ทันใดนั้นสีผมของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ที่หน้าของชายหนุ่มหัวฟูก็มีหน้ากากแหลมๆสีขาวมาคลุม พร้อมกับการระเบิดเสียงหัวเราะที่ฟังดูชั่วร้ายออกมาของอสูรที่แขนซ้าย ซึ่งก็มีเสียงของมาตาร์ปนออกมาด้วยครึ่งหนึ่ง เพื่อความเนียน
“เอ่อ ทำไมต้องหัวเราะด้วยล่ะ ประสาทรึเปล่า” อาร์แซนทักขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทางของชายหนุ่มหัวฟู
“ฮ่าๆๆๆ ก็เพราะการหัวเราะทำให้มีความสุขไงล่ะยัยหน้าม้าสั้นเต่อ” เจ้าเดียมอนพูดตอบโต้ออกไป ทำเอาอาร์แซนตกใจในน้ำเสียงที่ไม่เหมือนเดิม
“อะไรน่ะ? ประสานร่างเหรอ” อาร์แซนคาดเดา เพราะการเปลี่ยนสีผมแบบนี้เธอเคยเห็นผู้เล่นบางคนที่มีผู้ติดตามทำมาแล้ว เพียงแต่ของเจ้าแอฟโรนี่มันออกจะประหลาดกว่าคนอื่นเขานิดหน่อย เพราะเสียงก็เปลี่ยนไป
“เงียบๆแล้วดูไปเถอะน่า” มาตาร์รีบแก้ตัว เขาไม่อยากจะให้ใครรู้ว่ามีแขนซ้ายเป็นสัตว์อสูรพูดได้อยู่กับตัว
“แขนซ้ายนั่น ...ใช่มั้ยล่ะ”
เป็นทาเนียที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“โฮ่ๆๆๆ ฉลาดนี่ยัยหัวทอง” เดียมอนยังโต้ตอบกลับไป
เท่ากับว่าเรื่องเดียมอนเป็นแขนซ้ายของมาตาร์ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว
“คุณแอฟโรคุมแขนซ้ายข้างนี้ไม่ได้สินะ ท่าทางจะไม่เชื่อง” ทาเนียไม่ได้แปลกใจที่เห็นผู้เล่นมีแขนเป็นสัตว์อสูรเลย
“ฮ่าๆๆๆ นี่มันร่างของข้า ทำไมต้องให้คนอื่นมาควบคุมด้วยล่ะ” เดียมอนตอบกลับ
“คุณแอฟโรคิดยังไงถึงเอาอสูรตัวนี้มาทำเป็นแขนเนี่ย ทำไมไม่เอาตัวที่เชื่องกว่านี้ล่ะ” ทาเนียเอ่ยออกมาเรียบๆเหมือนกับว่าเรื่องที่มีสัตว์อสูรเป็นอวัยวะเป็นเรื่องปกติที่เธอเคยเจอมาแล้ว
“หา? หัวหน้าไม่แปลกใจเลยเหรอ” มาตาร์ถามออกมาด้วยความสงสัย เขานึกว่ามีสัตว์อสูรเป็นแขนนี่มันเป็นเรื่องที่แปลกมากเสียอีก
“เคยเห็นมาก่อนน่ะ แต่ก็ไม่ได้เห็นบ่อยๆหรอกนะ ผ่านมาเกือบสองร้อยปี ดิชั้นเคยเจอแค่หกเจ็ดคนเท่านั้นเองที่มีอวัยวะเป็นสัตว์อสูร” ทาเนียกล่าวเรียบๆ
“...เหรอ” มาตาร์ถึงกับนิ่งเงียบไปเพราะไม่คิดว่าจะมีใครมีสภาพแบบเขาอีกในเกมนี้ ซึ่งเขาคิดผิด
“งั้นที่เอาปืนยิงหัวตัวเองก็เพราะเจ้าแขนซ้ายนี่สินะ ก็ว่ามันแปลกๆ อยู่ๆก็ฆ่าตัวตายโชว์ซะงั้น” สปีน่ากล่าวเหมือนกับว่าเธอเข้าใจเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัวชายหนุ่มหัวฟูคนนี้
“ฮ่าๆๆๆ เจ๋งไปเลยใช่มั้ยล่ะ” เดียมอนนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้วก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมาเล็กๆ
หมับ
แล้วหญิงสาวผมทองก็เอามือมาสัมผัสแขนซ้ายสีดำของชายหนุ่ม แล้วเพ่งมองมันอย่างตั้งใจ ซึ่งสีหน้าของเธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นตึงเครียดขึ้นเมื่อรับรู้ข้อมูลของแขนซ้ายนี้จากความสามารถพิเศษของเธอ
“อะไรเนี่ย? สัตว์อสูรกับผลึกวิญญาณ รวมกันเป็นเนื้อเดียว แล้วยังมี ...ลิฟวิ่งเมทัลกับ ...ผนึกนิรันดร์” ทาเนียเอ่ยออกมาอย่างตระหนก
“หืม?” มาตาร์ไม่เข้าใจว่าที่ทาเนียพูดออกมานั้นมันหมายความว่าอย่างไร เพราะเขาเองไม่ได้รู้เลยว่าในแขนซ้ายของเขานั้นมีอะไรอยู่บ้าง โดยเฉพาะชื่อลิฟวิ่งเมทัลกับผนึกนิรันดร์นี่เพิ่งจะเคยได้ยิน
“คุณแอฟโรเคยพบทั้งวัลแคนและบร็อคร์เหรอ?” ทาเนียถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เอ๋อ? ...ใครน่ะ” มาตาร์ไม่เคยพบทั้งสองคน
“แล้วทำไมมีลิฟวิ่งเมทัลกับผนึกนิรันดร์ได้ล่ะ แถม ...ยังมาอยู่ด้วยกันอีก” ทาเนียคิดถึงชายสองคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน เพราะลิฟวิ่งเมทัลนั้นชายหนุ่มผมขาวเป็นผู้คิดค้น ส่วนผนึกนิรันดร์นั้นชายหนุ่มผมดำอีกคนเป็นคนพัฒนาขึ้นมา ซึ่งจากความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เป็นที่น่าแปลกใจที่เห็นของสองชนิดนั้นในวัตถุชิ้นเดียวกัน เพราะเธอรับรู้มาว่าทั้งคู่นั้นตั้งตัวเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจนในปัจจุบัน
“เอ่อ ...มันบังเอิญน่ะ พอดีเก็บได้ในโมบี้ดิ๊ก” มาตาร์เห็นว่าทาเนียรู้อะไรเยอะพอสมควรจึงไม่คิดปิดบัง แต่เรื่องที่มันมีทั้งลิฟวิ่งเมทัลและผนึกนิรันดร์นั้นเขาไม่รู้จริงๆ
“อ๋อ ...คงเป็นดาบเล่มนั้นสินะ” หญิงสาวผมทองพูดเหมือนกับรู้อะไรบางอย่าง
“หา? หัวหน้ารู้!?” มาตาร์ตกใจมากที่ทาเนียรู้กระทั้งมันเคยเป็นดาบมาก่อนที่จะกลายมาเป็นแขนของเขา
“ไม่เคยเห็นของจริงหรอก แต่เคยรู้มาว่ามีอสูรที่ร้ายกาจถูกผนึกด้วยลิฟวิ่งเมทัลอยู่ในรูปของดาบ” ทาเนียกล่าว
“...” มาตาร์นิ่งเงียบไป ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเดียมอนถูกผนึกได้อย่างไร แต่สิ่งที่ทาเนียพูดออกมาคือเรื่องของเดียมอนนั่นแหละ เพราะอสูรที่ร้ายกาจในรูปของดาบมันตรงกับเดียมอนเดี๊ยะเลย ถึงตอนนี้จะแค่เกรียนเฉยๆก็เถอะ
พรึบ!
“เคยเห็นผ้าที่มีลวดลายแบบนี้มั้ยล่ะ” ทาเนียพูดพร้อมกับหยิบผ้าผืนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า
มันเป็นผ้าสีขาวที่มีลายอักขระเขียนอยู่ทั่วทั้งผืน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มาตาร์คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมันมาก่อน
“เอ่อ ...คุ้นๆแฮะ” มาตาร์ยังจำไม่ได้ว่าเคยเห็นผ้าที่มีลักษณะนี้ที่ไหน
“เมื่อเกือบๆร้อยปีก่อน บร็อคร์มาหาดิชั้น แล้วเล่าเรื่องอสูรที่ถูกผนึกให้ฟัง แต่ว่าอสูรตัวนั้นไม่ได้ถูกผนึกโดยสมบูรณ์ เขาเลยมาขอให้ดิชั้นทำผนึกให้ ซึ่งดิชั้นก็ให้ผ้าผนึกเขาไปเพื่อใช้ผนึกเจ้าอสูรตัวนั้น” ทาเนียเฉลยเรื่องราวให้มาตาร์ฟัง ซึ่งมาตาร์ก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะมันมีชื่อบร็อคร์อะไรออกมาก็ไม่รู้
สภาพของเดียมอนก่อนที่พวกมาตาร์และคู่หูอ้วนผมจะไปเจอนั้น นอกจากมันจะอยู่ในครอบกำแพงใสที่มองไม่เห็นแล้ว มันยังถูกห่อด้วยผ้าที่มีลายอักขระอีกชั้นหนึ่ง ก่อนที่จะเป็นตัวดาบซึ่งปักอยู่บบนพื้นหินในห้องสมบัติ ซึ่งผ้าที่ห่อดาบผืนนั้น คือผ้าผนึกที่ทาเนียหมายความถึงนั่นเอง
“คุณแอฟโรจะว่าอะไรมั้ย ถ้าดิชั้นจะขอสลัก อะไรซักอย่างลงไปที่แขนข้างนี้ของคุณ” ทาเนียเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ดูมีความหวังขึ้นมา
“เอ๋!? สลัก!?” มาตาร์ตกใจ เพราะจู่ๆทาเนียก็มาขอสลักแขนเขาเนี่ยนะ ‘แบบว่าแกะสลักแขนรึเปล่า เจ็บตายเลย’
“นี่นายแอฟโร ถือว่าโชคดีมากนะ เพราะทาเนียไม่ค่อยทำให้ใครหรอกนะ ปกติต้องขอร้องให้ทำให้ด้วยซ้ำ แต่นี่ทำให้ฟรีๆ น่าจะดีใจนะ” สปีน่าเอ่ยออกมาเมื่อเห็นท่าทางไม่อยากโดนสลักแขนของชายหนุ่มหัวฟู
“อ้อ ดิชั้นลืมอธิบายน่ะ มัวแต่ตื่นเต้น การสลักแขนนี่ก็คล้ายๆการสักนั่นแหละ โดยจะใช้หลักการเขียนอักขระ แต่ว่ามันไม่ใช่การใช้เวทมนตร์นะ มันเป็นวิชาตีเหล็กของดิชั้นเอง คนอื่นอาจจะใช้วิชาตีเหล็กกับวัตถุดิบ แต่ของดิชั้นใช้กับวิญญาณ เรียกว่าสลักวิญญาณน่ะ” ทาเนียอธิบายด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสขึ้นมา
ในความคิดของทาเนียนั้น เธอหวังแค่ว่าจะฝากฝีมือของเธอ เอาไว้บนแขนซ้ายของมาตาร์ ที่มีผลงานของวัลแคนและบร็อคร์อยู่เท่านั้นเอง ให้เหมือนกับวันเก่าๆที่พวกเธอสามคนมักจะอยู่ด้วยกัน ถึงแม้มันจะไม่มีทางเป็นความจริงได้แล้วในปัจจุบัน แต่ถ้ามีสิ่งใดเป็นตัวแทนได้ เธอก็อยากจะทำ
“แล้ว ...มันจะเกิดอะไรขึ้นกับผมรึเปล่า แบบว่าเจ้าเดียมอนนี่จะอาละวาดหนักขึ้นรึเปล่าน่ะ” มาตาร์ยังเกร็งๆอยู่ เพราะเขาไม่อยากจะไปทำอะไรให้มันวุ่นวายไปมากกว่านี้แล้ว กับแขนซ้ายของเขา ‘แค่นี้ก็เละจะแย่อยู่แล้ว’
“ถอดหน้ากากวิญญาณก่อนสิ” ทาเนียเอ่ยเรียบๆ เธอรู้ดีว่าหน้ากากที่มาตาร์สวมอยู่คือหน้ากากวิญญาณ เพราะเธอรับรู้แล้วว่าแขนของเขามีผลึกวิญญาณอยู่
“...” มาตาร์เงียบพร้อมกับสลายพลังที่ถ่ายเข้าไปที่แขนซ้ายทันที แล้วหน้ากากแหลมๆสีขาวหายไป
“สลักวิญญาณ สามารถผนึกสัตว์อสูรได้ดั่งใจค่ะ เห็นได้ชัดว่าเจ้าอสูรที่แขนซ้ายของคุณพยศมาก ทั้งๆที่ปัจจุบันนี้ก็โดนผนึกอยู่แล้วสองชั้น แต่ยังไม่สามารถควบคุมมันได้ แต่ถ้าดิชั้นสลักวิญญาณเพิ่มให้คุณ เจ้าอสูรนี่จะถูกผนึกแน่นหนาขึ้นไปอีก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะสามารถควบคุมได้ทั้งหมดรึเปล่า แต่คุณแอฟโรน่าจะควบคุมแขนได้ดีกว่านี้” ทาเนียกล่าว
“แล้ว ...ทำไมคุณถึงอยากจะมาสลักอะไรนี่ให้ผมล่ะ ดูเหมือนคุณจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยนี่” มาตาร์ยังระแวง เขากลัวว่าตนเองจะกลายเป็นหนูทดลองอะไรแปลกๆให้หญิงสาวคนนี้
“นี่นายแอฟโร ทาเนียอุตส่าห์ทำให้นายฟรีๆแล้วยังจะเรื่องมากอีกเหรอ” สปีน่าเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ เพราะเธอรู้ดีว่าเจ้านายของเธอเป็นคนอย่างไร ไม่มีทางที่เจ้านายของเธอจะประสงค์ร้ายแน่ถ้าเธอมีท่าทางแบบนี้
“เพราะว่า ...ดิชั้นอยากจะให้ผลงานของเราสามคน อยู่ในที่เดียวกันไงล่ะ ...นะคะ” ทาเนียขอร้องชายหนุ่มหัวฟู
ท่าทางของหญิงสาวอ่อนน้อมจนน่าแปลกใจ ถึงมาตาร์จะฟังเหตุผลของทาเนียไม่เข้าใจแต่เขาก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมาเหมือนกัน เพราะท่าทีของทาเนียเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากที่ปกติดูสง่า
“ยอมๆไปเถอะน่านายหัวฟู ชั้นก็อยากเห็นเหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไง สลักวิญญาณนี่ชั้นก็ไม่เคยเห็น จะได้ขอเก็บข้อมูลซักหน่อย ฮิๆๆ” อาร์แซนเอ่ยเสียงใส
“อ ...เอ่อ ยอมก็ได้ แต่อย่าให้มันเจ็บมากนักนะ ผมไม่ชอบความเจ็บปวด” มาตาร์ยอมให้ทาเนียสลักแขนในที่สุด
“ขอบคุณมากคุณแอฟโร ชั้นจะทำให้สุดฝีมือเลย” ทาเนียยิ้มรับอย่างยินดี
“แฮะๆๆ” มาตาร์ยิ้มแห้งๆกลับไป ‘ไม่ได้อยากได้แบบสุดฝีมือ อยากได้แบบเบามือต่างหาก’
แล้วหลังจากนั้นสองชั่วโมง เสียงร้องโหยหวนของชายหนุ่มหัวฟูก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ ภายในห้องหัวใจของโมบี้ดิ๊กนั่นเอง
ที่แอตแลนติสเวลาบ่ายโมง
ตูมมม!!
เสียงระเบิดดังขึ้นกลางเมืองที่มีผู้คนหร็อมแหร็มนี้
“เกิดอะไรขึ้น!” เสียงแหลมเล็กของชายคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องพักที่เปิดออกมา
“มีระเบิดกลางเมืองครับท่านรีฟริก” ชายคนหนึ่งคุกเข่าแล้วตอบกลับไป
“ยังเหลือผู้ต่อต้านบนแอตแลนติสนี้อีกเหรอเนี่ย” ชายที่ชื่อรีฟริกกล่าวเรียบๆหลังจากรับทราบข้อมูล
“ท่านรีฟริกไม่ต้องเป็นห่วงไป เดี๋ยวพวกเราก็จัดการมันได้” ชายคนเดิมตอบกลับ
“อื้ม ถ้าอย่างนั้นเราจะไปพักผ่อนซะหน่อยนะ หวังว่าตื่นขึ้นมาอีกครั้งเรื่องราวจะเรียบร้อยนะคุณยะไซ” ชายเสียงเล็กแหลมกล่าวก่อนจะเดินกลับไปในห้องพักเหมือนเดิม
“ครับผมท่านรีฟริก” ยะไซตอบกลับทั้งที่ยังก้มหน้าคุกเข่าอยู่
“ริงโกะ! อิจิโกะ!” ชายที่ชื่อยะไซเสียงแข็งขึ้นมาทันทีหลังจากที่ยืนขึ้นมาแล้ว
“ครับ!/ครับ!” ชายสองคนที่โดนเรียกตอบกลับอย่างแข็งขัน
“ชั้นให้โอกาสพวกแกแก้ตัว ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ทำให้มันหายไปเดี๋ยวนี้” ยะไซสั่งงาน
“ครับผม!!/รับทราบครับ!!” ชายทั้งสองคนขานรับ แล้วรีบวิ่งออกไปจากบริเวณหน้าห้องพักนั้นทันที
“อ๊าคค!!”
“อ๊ายยย!!”
ผู้คนทั้งชายและหญิงจากกิลด์แก้วมังกรต่างส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะสลายร่างไป
“นี่ๆมาสเตอร์ ผมมารับของรางวัลน่ะ” ชายหนุ่มหัวฟูพูดกับบาร์เทนเดอร์อย่างสบายอารมณ์ โดยไม่สนใจสภาพความวุ่นวายโดยรอบเลย
“ตายยซะเถอะแก!! ย้ากก!!”
ตูมม!! ตูมม!!
“อ๊ากกก!!”
ชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีมาตาร์ แต่ทันใดนั้นกลับโดนระเบิดจนร่างสลายไป
“ข...ของรางวัลเหรอ?” บาร์เทนเดอร์ทำท่าไม่แน่ใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ บุกเข้ามาในบาร์ประจำเมืองคนเดียวท่ามกลางวงล้อมของศัตรู เพื่อขอรับของรางวัลจากภารกิจเนี่ยนะ
“เฮ่ๆ! ทำหน้าอย่างนั้นคิดจะเบี้ยวเหรอไงมาสเตอร์” ชายหนุ่มหัวฟูทักท้วงอีกเมื่อเห็นท่าทีของบาร์เทนเดอร์
“เอ้อ ...เอ่อ ได้ครับ ผลึกไฟนะครับ จากภารกิจทำความสะอาดท้องเรือ” บาร์เทนเดอร์ตั้งสติได้ก็กล่าวตามหน้าที่พร้อมกับยื่นผลึกกลมๆสีแดงขนาดเท่าไข่ไก่มาให้ชายหนุ่มหัวฟู
“ขอบคุณมากมาสเตอร์ ไปก่อนนะ ฮึๆ” มาตาร์รับก้อนหินสีแดงนั่นมา แล้วก็เดินออกจากบาร์ประจำเมืองอย่างสบายอารมณ์
“นี่นายหัวฟู อย่าใช้งานคนให้มากนักสิ ชั้นไม่ใช่เบ๊ของนายนะยะ” หญิงสาวผมดำแซมม่วงเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มหัวฟูยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน โดยข้างๆเธอมีเสือเขี้ยวดาบตัวหนึ่งยืนอยู่ใกล้ๆด้วย
“อะไรกัน ชั้นอุตส่าห์ทำลายโมบี้ดิ๊กแทนเธอ ช่วยกันแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมกับเดินไปอีกทางหนึ่งทันที
“แล้วนั่นจะไปไหนน่ะ” หญิงสาวคนเดิมถามขึ้นมาอีก
“เอาของไปฝากสิ เก็บรางวัลไว้กับตัวตอนนี้มันอันตรายเกินไป” ชายหนุ่มหัวฟูตอบพร้อมกับเดินไปร้านรับฝากของทันทีโดยเจ้าเสือเขี้ยวดาบก็เดินตามไปไม่ห่าง
“นี่!! ชั้นบอกว่าจะช่วยนายแค่รับของรางวัลเท่านั้นนะ ที่เหลือจัดการเอาเองนะ ชั้นไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว” หญิงสาวตะโกนบอกชายหนุ่มที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มหัวฟูแค่ยกมือขวาโบกไปมาเหมือนกับจะบอกว่า ‘รู้แล้ว’ โดยไม่สนใจที่จะหันกลับมามองหญิงสาวเลย
‘ฮิๆๆ นายหัวฟูนี่น่าสนุกดีเหมือนกันนี่นา ทั้งๆที่ระดับไม่เท่าไหร่ แต่มีท่าไม้ตายสุดยอดอยู่กับตัวด้วย แถมดูเหมือนจะมีอะไรซ่อนเอาไว้อีกซะด้วยสิ’ หญิงสาวคิดขึ้นมาพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัยไปที่ชายหนุ่มหัวฟู ก่อนที่เธอจะควักไพ่ออกมาใบหนึ่งแล้วก็พลิกข้อมือครั้งหนึ่งแล้วหายตัวไปทันที
แกร็ก!
ชายหนุ่มหัวฟูสวมหน้ากากวิญญาณทันที พร้อมกับเรียกแขนพลังจิตข้างซ้ายขึ้นมาด้วย โดยไม่มีเสียงหัวเราะหรือการขยับไปมาที่ไร้สาระจากเดียมอนเข้าแทรกแซงเลย
“เลดี้ออกมา” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเรียบๆ
แวบ!
แล้วร่างของเด็กหญิงผมแดงก็ปรากฏขึ้นมาข้างๆกายของชายหนุ่มหัวฟูขณะเดินไปเรื่อยๆสู่ร้านรับฝากของ
“คนของกิลด์แก้วมังกรมีแค่ห้าร้อยในเมืองที่ใหญ่ขนาดนี้ ก็เลยไม่ค่อยกระจุกตัวกันเท่าไหร่ แต่ก็ระวังตัวเอาไว้ด้วยนะ พี่เคยสอนการใช้สัมผัสไปแล้ว ลองใช้ดูด้วยนะ” มาตาร์กล่าวกับแม่เต่าทองน้อย
“ค่ะแอฟโร” เด็กหญิงขานรับพร้อมกับเรียกมีดคู่ขนาดใหญ่ขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ เตรียมพร้อมรับการต่อสู้ตลอดเวลา
ที่ร้านรับฝากของ มาตาร์ฝากของรางวัลจากภารกิจและอุปกรณ์ที่เก็บได้จากผู้เล่นที่บุกมาที่ท้องเรือเอาไว้ทั้งหมด เหลือไว้แต่เครื่องสำรวจที่สวมหัวอยู่หนึ่งชิ้น ถุงติดผลึกเวทไฟแบบปืนกล ปืนช็อตกันและปืนกลมืออย่างละกระบอก กับเครื่องกระสุนของปืนทั้งคู่เท่านั้น
“เอ้อ! เลดี้อยากจะได้ผนึกให้เจ้าเซเบอร์มั้ย ตัวมันใหญ่ ไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวกนะ” มาตาร์ทักขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเจ้าเสือเขี้ยวดาบนี่น่าจะเป็นปัญหาตอนหนีออกจากแอตแลนติสแน่ๆ
“เอาสิแอฟโร แต่ว่ามีเวลาพอที่จะซื้อผนึกด้วยเหรอ” เด็กหญิงผมแดงถามขึ้นมา ดูเหมือนเวลาของแอตแลนติสจะเหลือไม่มากแล้ว เพราะเธอรู้ดีว่ามันกำลังจะจมลงไปช้าๆ เนื่องจากโมบี้ดิ๊กตายไปแล้ว
“เหลือเฟือเลดี้ แค่ห้านาทีก็ซื้อผนึกได้แล้วมั้ง” ชายหนุ่มที่สวมหน้ากากตอบ
แต่แล้วทันทีที่ชายหนุ่มหัวฟูเดินออกมาจากร้านรับฝากของ กลับมีคลื่นพลังโจมตีใส่เขาทันที
เปรี้ยงงง!!!
มาตาร์ก็กระโดดหลบมันได้อย่างทันท่วงที ทำให้คลื่นพลังรูปร่างคล้ายจันทร์เสี้ยวสีขาวกระทบกับพื้นจนเกิดเป็นรอยยุบทันที
“แกคือคนที่ชั้นเจอที่ห้องใต้แอตแลนติสนั้นใช่มั้ยล่ะ” ชายหนุ่มผู้ปล่อยพลังโจมตีเมื่อสักครู่เอ่ยขึ้นมาทันที เขาคืออิจิโกะผู้ใช้ดาบคู่นั่นเอง
“คราวนี้พวกเราใช้พลังได้ตามปกติ แกเตรียมตัวตายได้เลย” ชายอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา เขาคือริงโกะผู้ใช้สนับเหล็กนั่นเอง
“เลดี้สู้กับเจ้าสองคนนี้พร้อมกันไหวมั้ย พี่จะไปซื้อผนึก” มาตาร์ถามเด็กหญิงขึ้นมาเรียบๆ ดูเหมือนสองคนนี้จะไม่อยู่ในสายตาของชายหนุ่มหัวฟูเลยด้วยซ้ำ
“ไหวค่ะ” เด็กหญิงตอบอย่างไม่ลังเล
“อย่าฝืนนะเลดี้ สู้พลางถอยพลางนะ อย่าอยู่ให้ห่างจากพี่มากนัก เดี๋ยวจะหากันไม่เจอ เข้าใจมั้ย” ชายหนุ่มหัวฟูกำชับเด็กหญิงอีกทีหนึ่ง
“โอเคแอฟโร” เด็กหญิงตอบกลับเสียงเข้ม พร้อมกับตั้งท่าต่อสู้ด้วยมีดคู่ทันที ขณะที่ชายหนุ่มเดินไปอีกทางพร้อมกับเจ้าเสือเขี้ยวดาบที่เดินไปด้วยกันแต่ก็ยังทำท่าทางลังเลเหมือนเป็นห่วงเจ้านายของมัน
“เฮ่!! เจ้าหัวฟู จะไปไหนน่ะ” ริงโกะทักขึ้นมาพร้อมกับพุ่งไปทางชายหนุ่มหัวฟูทันที
ฟิ้ว! ฟวับ! กึ้งง!!
แต่ขณะที่ร่างของริงโกะกำลังพุ่งไปทางชายหนุ่มหัวฟู ร่างของเด็กหญิงกลับพุ่งเข้ามาขวางพร้อมกับสะบัดมีดออกมา ทำให้ชายหนุ่มผู้ใช้หมัดต้องเอาแขนที่หุ่มด้วยสนับขึ้นมารับเอาไว้
“คู่ต่อสู้ของพวกนายคือเลดี้ต่างหากล่ะ ไม่ใช่แอฟโร” เด็กหญิงเอ่ยเสียงเข้ม
“จะดูถูกกันเกินไปหน่อยแล้ว ให้สัตว์เลี้ยงมาสู้แทนนี่นะ แถมสองต่อหนึ่งด้วย” ริงโกะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
เลดี้บู๊อีกแล้ว!!
ความคิดเห็น