ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    JOQ Online คนจริงลวงโลก <มี E-Book>

    ลำดับตอนที่ #181 : บทที่175: กำเนิดและล่มสลาย แอตแลนติส

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.02K
      106
      24 เม.ย. 55

    บทที่175 กำเนิดและล่มสลาย แอตแลนติส

    “ระบบจะทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ในรอบห้าสิบปีค่ะ ผู้เล่นทุกคนสามารถดูข้อมูลได้ที่หน้าต่างข่าวสารของระบบนะคะ” เสียงจากระบบดังขึ้นมาให้ผู้เล่นทั้งจ็อคออนไลน์ได้รับรู้

    “หืม? จะอัพแพทช์ (patch) ใหม่เหรอเนี่ย” ชายหนุ่มหน้ายิ้มพูดขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของระบบพร้อมกับเริ่มเปิดหน้าต่างข่าวสารขึ้นมาตรวจสอบดูทันทีขณะนั่งอยู่บบนเก้าอี้ในห้องพัก

    “อืม~ม”

    แต่เสียงครางของชายหนุ่มอีกคนที่อยู่บนเตียงดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

    “หืม? ฟื้นแล้วเหรอ” ชายหนุ่มหน้ายิ้มกล่าวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผู้เล่นที่บาดเจ็บอยู่บนเตียงรู้สึกตัว

    พรึบ!

    ชายหนุ่มบนเตียงลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างกะทันหันเมื่อเขารู้สึกตัว แล้วก็ยันตัวขึ้นมาช้าๆ พร้อมกับมองไปรอบๆสถานที่แห่งนั้น

    “ที่ไหนเนี่ย ...แล้วนาย?” ชายหนุ่มผู้ฟื้นไข้เอ่ยถามด้วยความสงสัย

    “อ้าว? ลืมกันแล้วเหรอ ผมคือคนที่มาช่วยคุณทาเคโซให้รอดตายจากการล่าค่าหัวของเดอะทรีโอไงครับ” ชายหนุ่มหน้ายิ้มกล่าวกับผู้ที่อยู่บนเตียง

    “อ้อ ...คุณ ...เชลโล่สินะ ขอบคุณครับ ที่ช่วย ...แต่ว่ามันคงจะดีกว่านี้ ถ้าผมตาย” ทาเคโซกล่าวขอบคุณชายหน้ายิ้มที่คอยดูแลเขา

    “อ้าว? อยากตายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย” เชลโล่หน้ายิ้มถามอย่างสงสัย

    “ผมว่าคนที่มีค่าหัวสูงๆทุกคนคงจะโล่งใจ ที่ได้ตายซักที จะได้ไม่โดนล่าอีก ...ตอนนี้ผมเหมือนโดนคำสาป ให้โดดเดี่ยวบนโลกนี้เพราะค่าหัวนี่แหละ” ทาเคโซพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

    “หยุดเลย! ผมไม่อยากฟังคำบ่นของคุณ ถ้าคุณไม่อยากมีค่าหัวจริงๆก็แค่ยอมตายแบบง่ายๆ เพียงแต่ตอนนี้ชีวิตของคุณเป็นสิ่งที่ผมช่วยเหลือเอาไว้ เพราะฉะนั้นอย่างน้อยก็รอดปีนี้ไปให้ได้ แล้วอยากจะตายก็เชิญ” เชลโล่กล่าวเสียงเข้มพร้อมกับยกมือขึ้นทำท่าปางห้ามญาติใส่ทาเคโซเพราะไม่ต้องการคำบ่นอีก

    “...” ทาเคโซเงียบไปเมื่อได้ฟังคำของเชลโล่ นานแล้วที่เขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นแบบจริงๆจังๆในเกม ถึงจะรับรู้ว่าจริงๆแล้วเชลโล่มีผลประโยชน์ในการช่วยเหลือเขา แต่ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

    “อู้หู! ...โหยย!! …สุดยอด! ...อะไรกันเนี่ย!! ...พระเจ้า!!

    แต่แล้วเชลโล่กลับส่งเสียงออกมาเป็นระยะๆ ทำเอาทาเคโซสงสัยว่ามันเรื่องอะไรกัน ชายหนุ่มหน้ายิ้มผู้นี้ถึงได้อุทานออกมาติดๆกันยาวเหยียดขนาดนี้

    “อะไรเหรอคุณเชลโล่ ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะ” ทาเคโซถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

    “แพทช์ใหม่ของเกมน่ะ เปลี่ยนซะอย่างกับกลายเป็นคนละเกมเลย” เชลโล่เฉลยถึงสิ่งที่เขากำลังสนใจอยู่

    “เหรอ ...ไหนมีอะไรใหม่ๆบ้างเนี่ย” ทาเคโซรับรู้แล้วก็เปิดเมนูข่าวสารของตัวเองขึ้นมาดูข้อมูลบ้าง

    แล้วเมื่อเขารับรู้ข้อมูลทั้งหมด ก็ยังถึงกับต้องอุทานออกมาไม่ต่างจากเชลโล่

    “เฮ่ยย!! …ไม่จริงน่า! …เล่นกันขนาดนี้เลยเหรอ!!” ทาเคโซอุทานออกมาเมื่ออ่านข้อมูลของสิ่งที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาหลังจากผ่านเวลาไปแล้วห้าสิบปีในเกม

    โลกใหม่

    โลกเดิมที่ใหญ่ขึ้น แผนที่จ็อคออนไลน์ในปัจจุบันจะขยายขนาดขึ้นจนเท่าดาวยูเรนัส(พื้นที่15เท่าของโลก) จากเดิมที่มีขนาดแค่เท่าโลก เกาะเริ่มต้นเพิ่มขึ้นจากหนึ่งเป็นสี่เกาะ ทวีปหลักในปัจจุบันจะต่อเติมออกไปอีกให้กลายเป็นทวีปยุโรป และมีทวีปที่สองคือเอเชีย (และมีแผนจะขยายขนาดอีกเร็วๆนี้)

    ปราณธาตุ

    จากปกติพลังธาตุที่จะปรากฏแค่การใช้เวทมนตร์เท่านั้น ต่อไปนี้ปราณจะมีธาตุในตัวเอง (ไม่บังคับเปลี่ยน) สามารถเลือกธาตุที่ชอบใจได้ถ้าเป็นเผ่ามนุษย์ และพิเศษสำหรับเผ่ามังกร นอกจากร่างกายที่แข็งแกร่งสุดยอดแล้ว ยังสามารถใช้ธาตุได้ถึงห้าธาตุ ส่วนเผ่าเทพและมารบังคับธาตุได้เพียงหนึ่งธาตุ

    ขายเวท

    คิดเวทมนตร์ใหม่ๆเจ๋งๆได้ สามารถนำไปขายได้แล้ววันนี้แล้วรอรับเงินค่าลิขสิทธ์เฉยๆได้เลย ผู้เล่นทั้งหลายไม่ต้องเสียเวลาคิดเวทมนตร์เองอีกต่อไปเพราะเวทมนตร์ดีๆมีอยู่แล้วที่ร้านเวทมนตร์

    ร้านตีเหล็ก

    ไม่ต้องไปหาอาวุธในตำนานให้เหนื่อยยากหรือเหนื่อยใจกับอาวุธในตำนานที่ผู้เล่นไม่ใช้แต่ดันมีเป็นเจ้าของ วันนี้ร้านตีเหล็กคอยบริการทุกคน อยากได้อาวุธเทพขนาดไหนสั่งทำได้เลย และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นพัฒนาเทคนิคการตีเหล็กขึ้นมาได้ด้วย ท่านยังสามารถขายวิธีตีเหล็กให้ระบบเหมือนเวทมนตร์ได้ด้วย มาสร้างอาวุธสุดเจ๋งด้วยตัวเองกันเถอะ

    ระบบค่าหัวปรับปรุงใหม่

    ค่าหัวจากเดิมที่ขึ้นได้อย่างรวดเร็วถ้าฆ่าผู้เล่นระดับต่ำกว่า เปลี่ยนแปลงเป็นตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นใครที่อยากมีชื่อติดอันดับไม่ต้องไปไล่ฆ่าผู้เล่นระดับต่ำแล้ว และเพิ่มวิธีการล้างค่าหัวอีกหนึ่งวิธีคือรับการโดนทรมานตามระดับค่าหัวที่ได้รับ ผู้ที่กล้าใช้วิธีนี้เรามีสถานะพลังชีวิตแจกให้ด้วย เพราะระหว่างโดนทรมานพลังชีวิตท่านจะลดฮวบฮาบแต่ไม่ถึงตาย เพียงแต่ว่าถ้ายกเลิกกลางคันเราจะขอริบค่าสถานะพลังชีวิตที่เพิ่มนั้นคืนทั้งหมด

    เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม

    ตายวันนี้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เคาน์เตอร์เครื่องดื่มคอยบริการให้ท่านได้หายเซ็งระหว่างนั่งรอเฉยๆเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้ว พิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง รีบตายได้แล้ววันนี้ เพียงแต่ว่าออฟไลน์ออกไปจะสะดวกกว่าหรือเปล่า ฮ่าๆๆๆ

     

    “โลกใหม่เหรอ อย่างนี้ก็โดนล่ายากขึ้นแล้วสินะ” ทาเคโซพูดขึ้นมาเมื่อรับรู้ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

    “ทั้งระบบปราณธาตุที่เพิ่มเข้ามานี่ด้วย อย่างนี้ก็เหมือนกับเปลี่ยนเกมเล่นไปเลยนะเนี่ย สงสัยจะเอาใจพวกผู้เล่นใหม่ เพราะมันเล่นง่ายขึ้นเยอะเลยนะ” เชลโล่พูดขึ้น

    “ขายเวทมนตร์เหรอ ...ถ้ามีระบบนี้ตั้งแต่แรกผมคงไม่เลือกเผ่ามังกรหรอก เพราะไม่อยากจะคิดเวทขึ้นมาเองนี่แหละถึงเลือกอะไรที่มันง่ายๆอย่างมังกร แต่ถ้ามีเวทขายแบบนี้ก็สบายเลยน่ะสิ” ทาเคโซบ่นขึ้นมาหลังจากอ่านถึงช่วงระบบการขายเวท

    “นอกนั้นก็ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่หรอก ...อืม” เชลโล่อ่านถึงร้านช่างตีเหล็กแล้วก็เงียบไป

    “อืม ร้านตีเหล็กเหรอ ...ไปลองสั่งทำอาวุธก็น่าสนุกดี” ทาเคโซคิดถึงดาบของเขาที่หักไป

    “เอาล่ะ ไหนๆคุณก็ฟื้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะนะ แล้วอย่าตัดสินใจตายง่ายๆล่ะ” เชลโล่ตัดบทขึ้นมาอย่างกะทันหันทำเอาทาเคโซตั้งตัวไม่ทัน

    “อ้าว? จะไปแล้วเหรอ” ชายหนุ่มหัวกระเซิงถามชายหนุ่มหน้ายิ้มที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้

    “ใช่แล้ว ไปก่อนนะ หวังว่าคุณจะไม่ตายเร็วๆนี้” ชายหนุ่มย้ำอีกครั้งก่อนจะชักมีดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วหมุนข้อมือครั้งหนึ่งก่อนจะหายตัวไป

    แวบ!

    แล้วห้องพักของทาเคโซก็เงียบลงไปทันทีเมื่อเหลือแต่เพียงชายหนุ่มผมกระเซิงอยู่ในห้องเพียงผู้เดียว ซึ่งหลังจากนั้นค่าหัวของชายหนุ่มก็เพิ่มขึ้นมาอีกเมื่อรับรู้ว่าห้องที่เขาพักนั้นเชลโล่ยังไม่ได้จ่ายเงิน ดังนั้นทาเคโซจึงใช้วิชาชักดาบค่าโรงแรมเหมือนเดิม

     

    แวบ!

    ชายหนุ่มหน้ายิ้มปรากฏตัวขึ้นในห้องพักข้างๆกับชายหนุ่มหัวกระเซิง แล้วเขาก็ใช้มือจับไปที่ใต้คางของตัวเองแล้วกระชากหนังที่หุ้มหน้าอยู่ออกไปทันที ปรากฏเป็นหน้ากากหนังผืนหนึ่ง

    “อึ้ม อย่างนี้ลองเปลี่ยนอาวุธเป็นอย่างอื่นที่ถูกๆ แล้วก็คิดเวทแปลงกายขึ้นมาน่าจะดีกว่า จะได้สะดวกขึ้นเวลาแปลงร่าง” เสียงที่น่าจะเป็นชายหนุ่มกลับกลายเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มีดวงตาคมโตและใบหน้าขี้เล่น

    “ทีนี้ก็รอให้อีตาทาเคโซมีชีวิตรอดจนถึงสิ้นปี เราก็จะได้เงินเดิมพันแสนล้านโกลด์ ฮิๆๆๆ” หญิงสาวพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมาอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าเป้าหมายของเธอใกล้จะสำเร็จ

    ก็อกๆ!

    “นี่กีต้าร์ ตื่นรึยัง ไปทำภารกิจกันเถอะ”

    เสียงเคาะประตูห้องและเสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา ทำเอาหญิงสาวเจ้าของห้องตกใจ

    “อืม~ม ตื่นแล้ว รอเดี๋ยวนะ ขอล้างหน้าก่อน” เสียงเฉื่อยๆของหญิงสาวเจ้าของห้องตอบกลับไปพร้อมกับหยิบหน้ากากอีกอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋าข้างเอวแล้วสวมมันทันที

    จากหน้าตาของหญิงสาวขี้เล่นเปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่หน้าตาจืดๆโหลๆทันทีพร้อมกับทรงผมที่เปลี่ยนไป แล้วเธอก็ใส่ยกทรงเสริมหน้าอก เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบผู้หญิง ก่อนจะเดินออกจากห้องพักไป

     

    สองเดือนหลังจากนั้น ที่ทวีปใหม่(เอเชีย) ชายคนหนึ่งเดินทางมาถึงเมืองเศษเหล็ก สถานที่ที่เต็มไปด้วยโลหะและวัตถุดิบอื่นๆในการสร้างอาวุธ

    “ว่าไงนะ? อยากจะเรียนวิธีการตีเหล็กจากลุงเรอะ” ชายวัยกลางคนที่มีผมสั้นสีขาวถามขึ้นมาอย่างงงๆ

    “ใช่ครับ” ชายหนุ่มหน้าตายตอบกลับเรียบๆ

    “อืม มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องต้องห้ามอะไรหรอกนะ จะให้ NPC สอนผู้เล่นตีเหล็กเนี่ย แต่ก็ขอทดสอบเล็กๆน้อยๆก่อนจะรับศิษย์ละกันนะ” ชายวัยกลางคนกล่าว

    “ว่ามาเลย จะให้ทำอะไรครับ” ชายหนุ่มหน้าตายถามเรียบๆ

    “จะเป็นช่างตีเหล็กก็ต้องใช้ไฟเก่งและไม่กลัวไฟ ก็แค่ลองใช้ชีวิตอยู่หน้าเตาไฟนี่ซักเดือนนึงก็พอ มีข้อแม้ว่าห้ามหายไปไหนเกินหนึ่งนาที และห้ามลุกออกไปติดๆกันถ้าไม่เว้นระยะเวลาก่อนหนึ่งชั่วโมง” ชายวัยกลางคนตั้งเงื่อนไข พร้อมกับเปิดเตาไฟอันร้อนระอุออกมา ทำเอาบรรยากาศโดยรอบสั่นไหวเพราะความร้อนเลยทีเดียว

    “เท่านั้นใช่มั้ยครับ งั้นเริ่มเลย”

    แล้วทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ เขาก็ลงไปนั่งอยู่หน้าเตาที่ปล่อยความร้อนออกมาด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงเหงื่อไคลที่ไหลออกมาตามหน้าตาและร่างกายเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าเขายังมีความรู้สึกรับรู้อยู่

     

    “นี่ๆวัลแคน บร็อคร์ ...ชั้นมีความฝันล่ะ” ทาเนียพูดขึ้นมาขณะที่กำลังร่วมผจญภัยกับเพื่อนชายทั้งสองของเธอ

    “อะไรเหรอ?” บร็อคร์ถามขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม

    “ชั้นอยากจะสร้างเมืองที่เจ๋งสุดๆ แล้วก็คอยบริหารเมืองไง เหมือนเล่นเกมสร้างเมืองอย่างเนี้ยะ” ทาเนียพูดเสียงใส

    “เอ๋? ไม่เห็นน่าสนุกเลย อยู่เฉยๆบริหารเมือง มันจะสนุกตรงไหนล่ะนั่น” บร็อคร์ตอบกลับพร้อมทำหน้าเบ้

    “ก็ลองไปยึดมาซักเมืองสิ” วัลแคนพูดออกมาหน้าตาย

    “จะบ้าเหรอ แบบนั้นเดี๋ยวก็มีค่าหัวสิ สร้างขึ้นมาจากศูนย์เลยสิ น่าสนุกกว่า” ทาเนียยังฝันต่อไป

    “แต่ชั้นว่าเธอทนอยู่บริหารนานๆไม่ได้หรอก ชั้นเห็นเธอออกจะชอบวิ่งไปวิ่งมา จะประจำอยู่ที่เมืองได้ซักเท่าไหร่เชียว” บร็อคร์แหย่หญิงสาวผมทอง

    “ชิ! งั้นก็เอาเมืองที่เคลื่อนที่ได้ไปเลยสิ ฮิๆๆๆ” ทาเนียกล่าวอย่างยิ้มแย้มถึงความคิดของเธอ

    “ฝันละ เมืองเคลื่อนที่ คิดออกมาได้ยังไงนั่นน่ะ” บร็อคร์ทำหน้าเบ้ใส่หญิงสาวอีกครั้ง

    “...” ส่วนวัลแคนก็เงียบไปซะเฉยๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

     

    “เฮ่! ไอ้หนุ่ม” เสียงชายวัยกลางคนปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นมาที่หน้าเตาอันร้อนระอุอีกครั้ง

    “...ครับ” ชายหนุ่มหน้าตายตอบกลับชายวัยกลางคนขณะตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อที่เต็มใบหน้าเพราะความร้อน

    “ครบหนึ่งเดือนแล้ววันนี้ จะเริ่มฝึกเลยมั้ยล่ะ” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างยิ้มแย้มหลังจากที่เห็นแล้วว่าชายหนุ่มที่มาขอเรียนวิชาจากเขามีความอดทนขนาดไหน

    “เอาสิครับ เริ่มฝึกกันเลย” ชายหนุ่มหน้าตายตอบกลับ

    “เอ้อ ...ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรล่ะ เห็นหน้ากันมาทั้งเดือนแล้วยังไม่รู้จักชื่อเลย จะได้จำเอาไว้ว่าลูกศิษย์คนแรกของข้าก็มีชื่อกับเค้าเหมือนกัน” ชายวัยกลางคนถามขึ้นมา

    “วัลแคนครับ” ชายหนุ่มหน้าตายตอบ

    “โฮ่ๆๆ วัลแคนเหรอ เข้าใจตั้งชื่อนี่นะ เทพแห่งไฟของโอลิมปัส ช่างผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมามากมายตามตำนานกรีกโบราณ” ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงใสหลังจากที่รับรู้ชื่อของชายหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์คนแรก

     

    “ผู้เล่นวัลแคนปฏิบัติตามเงื่อนไข ได้รับเทพเจ้าเป็นผู้ติดตาม กรุณาตั้งชื่อด้วยค่ะ” เสียงจากระบบประกาศขึ้นมาหลังจากที่ชายหนุ่มกำราบสัตว์อสูรร่างมนุษย์ตัวหนึ่งได้

    “เนปจูน” ชายหนุ่มผมขาวหน้าตายเอ่ยออกมาเรียบๆ

    “ขอบคุณมากนายท่านที่กรุณาตั้งชื่อให้ข้า” เสียงทุ้มต่ำของสัตว์อสูรร่างมนุษย์พูดขึ้น

    “ได้ข่าวว่านายมีสัตว์อสูรขนาดใหญ่เป็นสัตว์เลี้ยงด้วยนี่” วัลแคนเอ่ยออกมาเรียบๆทันทีหลังจากเห็นท่าทางของผู้ติดตามของเขา

    “ท่านวัลแคนคงหมายถึงโมบี้ดิ๊กของข้า” เนปจูนกล่าวอย่างนอบน้อม

    “ชั้นอยากจะทำความรู้จักกับมันหน่อยน่ะ ช่วยเรียกมาให้ดูหน่อยสิ” วัลแคนเอ่ยออกมาเรียบๆอีกครั้ง

    “ได้ครับ โมบี้ดิ๊กของข้าถึงจะตัวใหญ่ แต่มันก็ขี้เล่น น่ารักน่าเอ็นดูมากเลย” เนปจูนเอ่ยออกมาอย่างยิ้มแย้ม

     

    หลังจากนั้นเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เกือบๆสิบปีหลังจากวันที่เดอะทรีโอสลายตัว

    ข้อความหนึ่งถูกส่งมาหาหญิงสาว เธอเห็นชื่อคนส่งแล้วก็ต้องใจสั่น หลังจากนั้นจึงเปิดข้อความออกดู

    มีของขวัญจะให้

    ข้อความเขียนเอาไว้เพียงเท่านั้น

    “สปีน่า วัลแคนบอกจะให้ของขวัญล่ะ” หญิงสาวผู้ได้รับข้อความกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจปนประหลาดใจ

    “วัลแคน? ...เอ๋!! เธอยังติดต่อกับวัลแคนอยู่อีกเหรอ” หญิงสาวผมดำในชุดเซ็กซี่เอ่ยขึ้นมา ตอนแรกเธอเกือบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวัลแคนเป็นใคร เพราะเรื่องราวมันผ่านมากว่าสิบปีแล้ว หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้เจอหรือได้รับข่าวคราวจากเขาอีกเลย เธอนึกว่าเจ้านายของเธอลบชื่อนี้ออกไปจากรายชื่อเพื่อนแล้วด้วยซ้ำ

     

    “ท่านวัลแคน ท่านทำอะไรลงไปน่ะ ทำไมถึงเจาะร่างกายของโมบี้ดิ๊กจนพรุนแบบนี้ แล้วสิ่งก่อสร้างบนตัวของมันนั่นคืออะไรกัน!!” เสียงทุ้มต่ำกล่าวออกมาอย่างร้อนใจเมื่อเห็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของเขาแทบจะสูญเสียจิตวิญญาณ แถมแทบไม่เหลือเค้าเดิมของร่างกายตามธรรมชาติเลย

    “ชั้นก็ใช้ร่างของสัตว์เลี้ยงขนาดยักษ์สร้างเมืองที่เคลื่อนที่ได้ขึ้นมาน่ะสิ” วัลแคนตอบกลับเรียบๆไปที่ผู้ติดตามของเขา

    “ทำไมท่านวัลแคนถึงทำอย่างนี้ล่ะ เจ้าโมบี้ดิ๊กน่าสงสารออกจะตายไป” เนปจูนร้องเรียน

    “แค่สัตว์อสูรในเกม มันไม่ได้มีชีวิตจิตใจจริงๆซักหน่อย ไม่เห็นต้องใส่ใจเรื่องความรู้สึกของมันเลย” วัลแคนพูดออกมาเรียบๆ

    “ไม่ใช่นะท่านวัลแคน พวกเรามีจิตใจนะ ข้าก็มีจิตใจจริงๆนะ!!” เนปจูนขึ้นเสียงพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อออกมา

    “ไม่ใช่หรอก นั่นเป็นสิ่งที่นายคิดไปเอง พวกเราเป็นคนใส่ความรู้สึกที่ว่าให้นายเอง ดังนั้น นายเองก็ไม่ได้มีจิตใจอะไรหรอก เป็นแค่สิ่งของเท่านั้นเหมือนกัน” วัลแคนกล่าวพร้อมกับมองร่างของเนปจูนด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความเห็นใจ

    ตุบ

    “ไม่ใช่ ...ไม่จริง” เนปจูนทรุดลงกับพื้นพร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิดหวังและเสียใจอย่างมาก

    “สุดท้ายแล้วพอพวกเราเบื่อ เราเลิกเล่นเกม นายก็เป็นแค่ขยะชิ้นนึงนั่นแหละ ความรู้สึกของนายก็เป็นขยะชิ้นนึง” วัลแคนยังพูดจาทำร้ายผู้ติดตามของเขาที่คอยดูแลกันมาเกือบสิบปีอย่างไร้เยื่อใย

    “ไม่!!” เนปจูนพูดเสียงแข็งขึ้นมาทันที

    “นี่ชั้นอุตส่าห์พูดให้รู้ตัวก่อนนะเนี่ย น่าจะรู้สึกสำนึกหรือขอบใจขึ้นมาบ้าง เกิดรอให้ถึงวันนั้นจริงๆคงไม่มีเวลาทำใจนานแบบนี้” วัลแคนเอ่ยออกมาเรียบๆพร้อมกับหันไปใส่ใจขั้นตอนการปรับปรุงร่างของโมบี้ดิ๊กขั้นสุดท้ายต่อไป ทิ้งให้ร่างที่หมดอาลัยตายอยากของเนปจูนเอาไว้อย่างนั้น

    แต่แล้วทันใดนั้น เนปจูนก็ลุกขึ้นมาช้าๆพร้อมกับดวงตาที่แข็งกร้าว แล้วพุ่งเข้าใส่เจ้านายของเขาทันที

    วืด~ด แก๊งง!!

    กรงเล็บอันแหลมคมของเนปจูนเข้าปะทะกับดาบสั้นที่มีด้ามจับเป็นปืนของวัลแคน เกิดเสียงดังขึ้นมา และอากาศโดยรอบสั่นไหวเนื่องจากแรงปะทะในครั้งนี้

    “นายทำอะไรน่ะเนปจูน อยู่ๆก็อาละวาดแบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่เลี้ยงซะเลยนี่” วัลแคนเอ่ยออกมาเรียบๆเหมือนเดิม

    “ไม่เลี้ยงก็ไม่ต้องเลี้ยงสิ ข้าคิดว่านานแล้วว่าเจ้าน่ะ มันเป็นพวกไร้หัวใจ ตั้งแต่วันนี้เราตัดขาดกัน!!” เนปจูนแค่นเสียงออกมาพร้อมกับตวัดกรงเล็บอีกข้างใส่ชายหนุ่มหน้าตายทันที

    ฟวับบ!!

    “นายไม่มีสิทธิ์ยกเลิกพันธสัญญาด้วยตัวเองหรอก ต้องให้ชั้นเป็นคนยกเลิก” วัลแคนตอบกลับเรียบๆพร้อมกับพริ้วตัวหลบการโจมตีของเนปจูนอย่างง่ายดาย

    “ถ้างั้นก็ตายซะ!! ถ้าข้าฆ่าแกได้เรื่อยๆ เดี๋ยวข้าก็เป็นอิสระเองนั่นแหละ” เนปจูนตะคอกพร้อมกับเข้าไปโจมตีชายหนุ่มผมขาวไม่หยุด

    “อืมจริงสิ มีวิธีนี้อยู่ด้วยนี่นะ งั้นก็พอจะยืดระยะเวลาได้หน่อยนึง ก่อนที่โมบี้ดิ๊กจะกลายเป็นเมืองไปจริงๆ” ชายหนุ่มหน้าตายพูดออกมาเรียบๆพร้อมกับตวัดดาบใส่ชายผู้ที่กำลังเข้ามาพัวพันเขาทันที

    ฉับ!

    เสียงตัดที่เรียบและนิ่งดังขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก่อนที่ร่างของเนปจูนจะแข็งค้างไป พร้อมกับแขนขาที่หลุดออกจากร่างเหมือนหุ่นยนต์ตัวต่อที่หลุดเป็นชิ้นๆ

    ตุบ! ตุบ! ตุบ! อ๊ากกก!!

    เนปจูนร้องลั่นจากความเจ็บปวดที่เขาได้รับ วัลแคนไม่ได้ฆ่าเขาให้ตายไปทีเดียว แต่แค่เพียงตัดแขนตัดขาของเขาออกมาหมดเท่านั้น

    “นี่ รู้มั้ย ว่าแขนขาของนายเก็บไว้ใช้เป็นเสบียงฉุกเฉินได้ด้วยนะ ถ้านายยังไม่ตายน่ะ ฮึๆๆๆ” ชายหนุ่มผมขาวพูดออกมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆเพราะคิดถึงการพูดคุยกันครั้งแรกของเขากับหญิงสาวผมทองที่เคยร่วมผจญภัยกับเขา

     

    หลังจากนั้นเมืองที่ชื่อแอตแลนติสก็เกิดขึ้นมาโดยการรับรองของระบบ เพราะผู้เล่นที่สามารถสร้างเมืองขึ้นมาสามารถยื่นคำร้องขอให้มีเมืองใหม่เกิดขึ้นได้ถ้าตรงตามเงื่อนไข โดยผู้ที่สร้างมันขึ้นมาคือผู้เล่นคนหนึ่งที่มีชื่อว่าวัลแคน และมีเจ้าเมืองคนแรกและคนเดียวชื่อ ทาเนีย

    ส่วนสัตว์อสูรร่างมนุษย์ที่ชื่อเนปจูนก็กลายเป็นอสูรอิสระ และกลายเป็นจ้าวทะเลที่กลางโลกในเวลาต่อมา คอยแกล้งผู้เล่น และแย่งชิงสิ่งสำคัญของผู้ที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเขา โดยเฉพาะสิ่งที่เขาชอบยึดเป็นพิเศษคือ ผู้ติดตามทั้งหลายนั่นเอง โดยให้เหตุผลว่า เพราะพวกผู้เล่นไม่เคยเห็นค่าของผู้ติดตาม พอเบื่อก็คงจะทิ้งไป

     

    “เธอเป็นใครน่ะ” หญิงสาวผมทองเอ่ยถามขึ้นมาถึงหญิงสาวที่เดินเข้ามาในห้องท้องเรือ

    “วิโอล่า ...อาร์แซน ...อะไรก็ตามล่ะสินะ เธอน่ะ” ชายหนุ่มหัวฟูรู้ดีว่าเป็นใคร เพราะคนที่เข้ามาจากทางห้องหัวใจได้ง่ายๆแถมทักเขาแบบนี้ไม่น่าจะมีคนอื่นอีก

    “หยาบคาย อะไรก็ตาม น่ะมันอะไรกัน ชั้นเคยบอกนายไปแล้วไงว่าชั้นคือ อาร์แซน ลูแปงแต่ถ้าอยากจะเรียกนักก็เรียกว่า อาร์แซน ละกัน ลูแปงมันออกจะผู้ชายไปหน่อย ไม่เข้ากับลุกสาวน้อยใสซื่อแบบชั้น ฮิๆๆๆ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม

    ทั้งมาตาร์ ทาเนีย และสปีน่าจ้องมองหญิงสาวผู้มาใหม่ หน้าตาเธอมีส่วนคล้ายวิโอล่าอยู่นิดหน่อย โดยเฉพาะดวงตาที่ดูขี้เล่น ทรงผมสีดำเป็นบ๊อบสั้นแบบฟูๆ มีปอยผมด้านหน้าเป็นสีม่วงกระจุกหนึ่งกับหน้าม้าสั้นเต่อ หน้าตาดูจิ้มลิ้มอยู่พอสมควร ออกจะน่ารักมากกว่าสวยสง่า แต่ถ้าบอกว่าใสซื่อนี่คงไม่เชื่อแน่ๆ

    “วัลแคนส่งเธอมาสินะ” ทาเนียโพล่งออกมาทันที

    “หืม? ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะหัวหน้า” อาร์แซนยังทำเสียงล้อเลียนทาเนีย

    “ใครก็ตามที่สามารถขโมยร่างโมบี้ดิ๊กขนาดใหญ่โตแบบนั้นไปได้ ก็น่าจะมีอุปกรณ์ที่วัลแคนทำให้อยู่หรอก” ทาเนียไม่แปลกใจเลยถ้าจะมีใครขโมยร่างที่ใหญ่ขนาดภูเขาไปได้ โดยใครคนนั้นมีชื่อว่า วัลแคน

    “อืม ...จะปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์นี่นะ คนที่ทำอุปกรณ์แบบนั้นได้ก็มีวัลแคนคนเดียวแหละ” อาร์แซนยอมรับง่ายๆ

    “แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ ในเมื่อเธอได้ของที่ต้องการไปแล้วยังรออะไรอยู่อีกล่ะ” สปีน่าถามออกมาอย่างระแวง

    “ก็เรื่องที่กิลด์แก้วมังกรมายึดโมบี้ดิ๊กนี่แหละ มันไม่ได้อยู่ในแผนน่ะ” อาร์แซนเอ่ยออกมาอย่างยิ้มแย้ม

    “หมายความว่าไง ก็เธออาศัยช่วงชุลมุนที่เกิดจากสงครามนี่เพื่อขโมยโมบี้ดิ๊กโดยเฉพาะเลยไม่ใช่เหรอ” สปีน่ากล่าว

    “นี่หัวหน้า รู้มั้ยว่าชั้นมาแฝงตัวอยู่ที่นี่นานขนาดไหนแล้ว” อาร์แซนเอ่ยถามออกมาเรียบๆ

    “อย่ามาเปลี่ยนเรื่องคุยนะยะ” สปีน่าขึ้นเสียงเมื่อจู่ๆหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไป

    “ประมาณสามเดือน” ทาเนียตอบกลับคำถามของอาร์แซนเรียบๆ ทำเอาแม่แมงมุมสาวต้องเงียบไป

    “แล้วโมบี้ดิ๊กตัวนี้มันตายมากี่วันแล้วล่ะ” อาร์แซนหมายถึงโมบี้ดิ๊กตัวที่เธอขโมยไป

    “เจ็ดวัน” อาร์แซนตอบกลับเรียบๆเหมือนเดิม

    “ดังนั้น จริงๆแล้วสิ่งที่ชั้นเล็งเอาไว้ไม่ใช่โมบี้ดิ๊กตัวที่เพิ่งขโมยไปหรอก แต่เป็นโมบี้ดิ๊กตัวนี้ ตัวที่เป็นฐานให้แอตแลนติสนี่ต่างหาก” อาร์แซนเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    “...” ทาเนียนิ่งไปพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิด หมายความว่าวัลแคนอยากจะทำลายแอตแลนติสเหรอ ...ทำไมล่ะ?

    “อุปกรณ์ที่ใช้เก็บซากของโมบี้ดิ๊กนี้ก็ทำได้แค่เก็บร่างที่ไร้วิญญาณเสียด้วย ไม่ใช่อุปกรณ์ผนึกสัตว์เลี้ยง พูดเท่านี้หัวหน้าคงจะพอเข้าใจนะ” อาร์แซนเอ่ยออกมาอีก

    มันหมายความว่า ถ้าอยากจะขโมยโมบี้ดิ๊กไป ยังไงก็ต้องทำให้โมบี้ดิ๊กตายเสียก่อน ในกรณีที่อาร์แซนรับคำสั่งมานั้น ก็คือการทำลายแอตแลนติสนั่นเอง

    “แต่ชั้นก็หวังแค่ว่าพวกกิลด์แก้วมังกรจะทำลายแอตแลนติส ไม่ใช่ยึดแบบนี้นะ แบบนี้มันไม่ตรงคำสั่ง เดี๋ยวจะโดนเบี้ยวค่าจ้างได้” อาร์แซนเอ่ยออกมาอย่างยิ้มแย้มอีกครั้ง

    “หมายความว่าเธอลงมาเพื่อทำลายหัวใจของโมบี้ดิ๊กสินะ” สปีน่าเอ่ยออกมาเสียงดุ

    “เอ้อนี่อาร์แซน เธอพอจะส่งชั้นเข้าเมืองได้รึเปล่า” ชายหนุ่มหัวฟูทะลุออกมากลางปล้องในขณะที่สามสาวกำลังคุยกันอย่างเคร่งเครียด เพราะเนื้อหาที่พวกเธอคุยนี่มันช่างไม่เกี่ยวกับเขาเลยเขาจึงไม่อยากจะสนใจ

    “อะไรน่ะนายแอฟโร! คนอื่นเค้ากำลังคุยกันเคร่งเครียดนะ” สปีน่าดุใส่มาตาร์

    “อยากให้ชั้นพานายไปส่งในเมืองเหรอ ถ้านายยอมทำลายหัวใจโมบี้ดิ๊กให้ชั้น ชั้นจะพานายไปโผล่กลางเมืองเลยล่ะ” อาร์แซนบอกจุดประสงค์ที่เธอเข้ามาในห้องท้องเรือทันที

    “เธอจะบ้าเหรอ ผู้เล่นระดับต่ำอย่างนายแอฟโรเนี่ยนะจะมีปัญญาทำลายหัวใจโมบี้ดิ๊ก” สปีน่าเอ่ยออกมาอย่างดูถูกเพราะคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ผู้เล่นระดับไม่ถึงสองร้อยจะทำลายหัวใจโมบี้ดิ๊กที่ใหญ่เท่าตึกและมีระดับถึงสี่ร้อยได้ จึงไม่ได้คัดค้านอะไรเรื่องที่ทำลายโมบี้ดิ๊ก

    “อ้าว? นี่เธอยังไม่รู้เหรอ ว่าจริงๆแล้วโมบี้ดิ๊กตัวที่ตายไปนั่นก็เป็นฝีมือของนายหัวฟูนี่นะ ...อุ๊บส์ ลืมไปว่าชั้นบอกนายเอาไว้ว่าจะไม่บอกหัวหน้านี่เนอะ” อาร์แซนพูดเสียงใสพร้อมกับทำหน้ายิ้มแย้ม

    “หา!?/…” ทั้งสปีน่าและทาเนียต่างตกใจกับสิ่งที่อาร์แซนพูดออกมา เพราะตอนที่ชายหนุ่มหัวฟูขึ้นมาที่แอตแลนติส ระดับของเขาสูงแค่หนึ่งร้อยเท่านั้น และสัญญาณที่จับได้จากเครื่องตรวจสอบสัตว์อสูร พวกเธอตรวจพบสัตว์อสูรที่มีระดับถึงเก้าร้อยด้วย ไม่ใช่แค่สี่ร้อย

    “ไม่เอาหรอก ชั้นต้องไปส่งภารกิจ ถ้าแอตแลนติสจมไปชั้นก็อดได้ของรางวัลน่ะสิ” มาตาร์ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่เขาฆ่าโมบี้ดิ๊กไปตัวหนึ่ง แต่สนใจเรื่องรางวัลจากภารกิจมากกว่า ทำเอาสองสาวอึ้งไป และแม้แต่อาร์แซนก็มีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาเหมือนกัน เพราะว่าจริงๆแล้ว เธอแค่เดาเอาเองเท่านั้นว่าชายหนุ่มหัวฟูคนนี้เป็นคนฆ่าโมบี้ดิ๊ก ไม่ได้มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้เลย

    ตกลงตานี่เป็นคนฆ่าโมบี้ดิ๊กจริงๆหรือนี่ อาร์แซนคิดขึ้นมาอย่างตระหนก ขณะที่สีหน้ายังคงยิ้มแย้ม

    “แอตแลนติสไม่ใช่โมบี้ดิ๊ก โมบี้ดิ๊กตายไม่ได้หมายความว่าแอตแลนติสจะสิ้นสภาพความเป็นเมือง เพียงแต่ถ้าโมบี้ดิ๊กตายไป แอตแลนติสก็จะจมลงไปเท่านั้น และเมื่อนั้นแหละ คือแอตแลนติสล่มสลายไปจริงๆ” ทาเนียเอ่ยออกมาเรียบๆ เธอยังจำเงื่อนไขของเมืองได้ตั้งแต่ครั้งที่เธอเป็นเจ้าเมือง

    “อ๊ะ!! ถ้าเป็นอย่างนั้นหลังจากที่หัวใจโดนทำลาย ก็ยังพอมีเวลาเหลือพอให้ส่งภารกิจได้น่ะสิ” ชายหนุ่มหัวฟูเอ่ยออกมาอย่างยินดี ในที่สุดเขาก็หาทางออกได้

    “ไม่ได้นะ! นายจะทำลายโมบี้ดิ๊กไม่ได้ แอตแลนติสเป็นเมืองที่เป็นความฝันของทาเนียนะ” สปีน่าเอ่ยออกมาอย่างร้อนใจ

    “นั่นไม่ใช่เรื่องที่ชั้นต้องใส่ใจ แถมแอตแลนติสก็ถูกคนอื่นยึดไปแล้วด้วย ยังจะเก็บไว้อีกทำไม คนอื่นมายึดเมืองเรา ถ้าเราแย่งคืนไม่ได้ก็ทำลายมันทิ้งซะเลยสิ ถ้าข้าไม่ได้คนอื่นก็อย่าหวังไง ฮ่าๆๆๆ” มาตาร์พูดพร้อมกับหัวเราะออกมา

     

    “ทาเนีย เธอกำลังสูญเสียตัวตนของเธอไปนะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นท่าทางของหญิงสาวที่เป็นเจ้าเมือง

    “เธอมาเพื่อพูดเรื่องนี้เหรอบร็อคร์” หญิงสาวตอบกลับชายหนุ่มที่เธอไม่ได้เจอหน้ามาเกือบยี่สิบปี

    “ดูสิ่งที่เธอเป็นตอนนี้สิทาเนีย ปกติเธอร่าเริงกว่านี้ แอตแลนติสนี่ถึงจะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ แต่มันก็แค่คุกเคลื่อนที่ของเธอเท่านั้นเอง เธอกำลังโดนวัลแคนมันปั่นหัวอยู่นะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาอย่างมีอารมณ์

    “บร็อคร์ ชั้นเคยบอกไปแล้วไง ว่าชั้นไม่ชอบ ที่พวกเธอมาว่าร้ายใส่กันแบบนี้ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ แต่ไปจากที่นี่ซะเถอะ” หญิงสาวตอบกลับเสียงแข็ง

    “ซักวันนึงเธอจะได้รับรู้ ว่าชั้นนี่แหละที่เป็นห่วงเธอที่สุด และสิ่งที่ชั้นพูดมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง!” ชายหนุ่มขึ้นเสียง

    “บร็อคร์!! ...ไปซะ” หญิงสาวตวาดขึ้นมาคำหนึ่งก่อนจะเบาเสียงลง

     

    เธอทำอย่างนี้ทำไมวัลแคน ทำไมเธอถึงมอบแอตแลนติสให้ชั้น แล้วทำไมเธอถึงต้องการพรากมันไปจากชั้นล่ะ ชั้นไม่เข้าใจเธอเลย ทาเนียคิดถึงคำพูดของบร็อร์แล้วต้องสะท้านขึ้นมาในใจ

    “ทำลายมันเถอะ” ทาเนียเอ่ยออกมาเบาๆ

    “หา? เอาจริงเหรอทาเนีย เธอแน่ใจนะ” สปีน่าถามเจ้านายของเธออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

    “ทำลายมันไปให้หมดเลย! ถ้าเค้าต้องการก็เรื่องของเค้าสิ ชั้นไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์เลือกนี่นา” ทาเนียเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า

    “ทาเนีย” สปีน่าเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สลด เธอเข้าใจดีว่าเจ้านายของเธอกำลังพูดเรื่องอะไร ความรักที่แสนรันทด

    “งั้นผมไม่เกรงใจล่ะนะหัวหน้า” มาตาร์เอ่ยออกมาเรียบๆ พร้อมกับเดินไปทางห้องหัวใจ โดยไม่สนใจท่าทางที่ดูน่ารันทดของทาเนียเลย

    เย่! จะได้รางวัลภารกิจซักที ...ส่วนเรื่องแขน ...อืมม มาตาร์คิดถึงแผนการทั้งหมดหลังจากที่เขาเข้าเมืองแอตแลนติสพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย โชว์สุดท้ายอันเร้าใจบนแอตแลนติส ...เอาให้มันสุดๆไปเลยละกัน ฮึๆๆๆ

     

    ใครรู้สึกมั่งว่าจริงๆแล้วสาเหตุของความวุ่นวายก็คือวัลแคนนี่แหละ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×