ตอนที่ 14 : Young Master : Chapter 12
หยาดฝนเม็ดโตจากฟากฟ้าด้านบนตกกระทบลงบนผืนดินและสิ่งปลูกสร้างจนเกิดเสียงดังอื้ออึงผสมไปกับเสียงฟ้าที่ยังคงแปรปรวน แรงพัดของลมยังคงโหมกระหน่ำเข้าใส่เดอะฮิลล์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ต่างจากสถานการณ์ในเดอะฮิลล์ที่กำลังปั่นป่วนจนเรียกได้ว่าแทบจะรับมือไม่ไหว
อัลฟ่านับร้อยที่ได้กลิ่นโอเมก้านั้นต่างเริ่มเสียสติในการควบคุมตนเองจนยากที่จะจัดการ แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่อัลฟ่าส่วนใหญ่นั้นจะมียาระงับติดตัวอยู่เสมอจึงทำให้เหตุการณ์น่าวุ่นวายไม่ได้หนักหนาขนาดที่จะห้ามไว้ไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่วุ่นวายเสียเมื่อไหร่ เพราะยาระงับที่อยู่ในหน่วยพยาบาลเองก็ต้องถูกเอาออกมาใช้ไปไม่น้อย
ตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างโอเมก้าสาวแดนใต้เองก็ถูกสั่งให้เก็บตัวอยู่ในห้องที่ปิดล็อกอย่างแน่นหนาหลังจากที่ได้ยาระงับอาการฮีทแบบฉุกเฉินเข้าไป
แพทย์หนุ่มอย่างเอริคถึงกับขบกรามแน่นเมื่อเห็นภาพชุลมุนวุ่นวายตรงหน้าของตัวเอง ทั้งอัลฟ่าและเบต้าต่างวิ่งกันให้วุ่น บ้างก็พยายามยื้อยุดฉุดกระชากเพื่อนของตัวเองที่เกิดอาการรัทบ้าง บ้างก็กำลังช่วยกันฉีดยาระงับฉุกเฉินด้วยความทุลักทุเล
หยดน้ำที่เกาะพราวตามใบหน้า ลามไปถึงไหล่กว้างที่อยู่ภายใต้ชุดสีสะอาด ทำให้เมอร์เรย์รู้สึกรำคาญไม่น้อย พายุฝนที่เทกระหน่ำคือปัญหาที่สร้างความลำบากให้กับการช่วยเหลือคนในหน่วยยากขึ้นไปอีก ทั้งลูฟทั้งโจชัวเองที่พึ่งวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาก็มีสภาพเปียกปอนไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
มิหนำซ้ำทั้งสองคนนั่นก็ได้บาดแผลมาเป็นร่องรอยประดับร่างกาย ถ้าจะให้เอริคเดาแล้วก็คงไม่พ้นจะได้เจออัลฟ่าที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่เป็นแน่
“ฉันคิดแล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายและมันก็เกิดขึ้นจริง” ลูฟดูหัวเสียไม่น้อยเมื่อเห็นสภาพคนในหน่วยที่เละเทะจนเรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่ต้องจัดการให้เด็ดขาดอย่างจริงจัง
“ใจเย็น ๆ น่าลูฟ” โจชัวบีบบ่าของเพื่อนสนิทที่กำลังหงุดหงิดให้อารมณ์เย็นลง แต่นั่นก็คงไม่ได้ช่วยให้ลูฟใจเย็นเลยสักนิด
“แล้วเชสไปไหน? ปกติถ้าเกิดเรื่องแบบนี้หมอนั่นจะต้องเป็นคนแรกที่โผล่มาด้วยซ้ำ”
เมื่อลูฟเอ่ยถึงหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ขึ้นมา ก็ทำให้ทั้งเอริคและโจชัวต่างฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามีใครบางคนหายไป ทั้งที่ในความจริง เชส ไทเลอร์ ไม่สมควรจะหายไปด้วยซ้ำ นอกเสียจาก...
“อย่าบอกนะ ว่าอลิสตั้งใจฮีทใส่เชส?” ลูฟเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ความไม่ชอบในตัวโอเมก้าสาวนั่นที่มีอยู่เป็นทุนเดิมทำให้ลูฟไม่สามารถคิดอะไรที่ดีกว่านี้ไปได้อีก
“ใช่... เธอตั้งใจทำแบบนั้น” เอริคที่แวะไปดูอาการของอลิเซียมาก่อนหน้านี้เอ่ยตอบอย่างปลง ๆ “แต่ไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้นล่ะ ไม่งั้นแม่นั่นคงไม่โดนไล่ตะเพิดออกจากบ้านกลับมาที่บ้านพักขนาดนั้น”
“นายว่าไงนะริค!”
เป็นโจชัวที่ร้องถามหมอหนุ่มด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองลูฟที่กำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เท่าที่ฉันรู้คืออลิสไปหาเชสที่บ้าน...”
“เวรเอ้ย ให้มันได้แบบนี้สิวะ!” ลูฟสบถลั่นก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากส่วนกลางของหน่วย โดยไม่สนใจฝนที่กำลังตกกระหน่ำ ท่ามกลางความตกใจของเมอร์เรย์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย ว่าอะไรที่ทำให้เชอร์ชิลกล้าวิ่งฝ่าฝนที่กำลังตกหนักนั้นออกไป
“เดี๋ยวก่อนสิลูฟ นายจะไปทั้งแบบนั้นได้ยังไง!!” โจชัวตะโกนไล่หลังคนที่วิ่งออกไปด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ ๆ เพื่อนสนิทก็หุนหันพลันแล่นออกไป
“หมอนั่นจะไปไหน?”
“ไปหาเชส! ป่านนี้เลสลีย์จะไปยังไงบ้างก็ไม่รู้ ฉันไม่น่าปล่อยให้หมอนั่นกลับไปที่บ้านเลย ให้ตายเหอะ!”
“เลสลีย์ไม่ได้อยู่กับนายสองคนหรือ?”
“ฉันกับลูฟออกไปทำงานมา ส่วนเลสลีย์น่ะ พวกฉันสองคนให้กลับไปก่อนตั้งแต่ก่อนที่ฝนจะตกด้วยซ้ำ”
ไม่ต้องให้โจชัวได้อธิบายอะไรต่อเอริคก็สามารถปะติปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว ลำพังตัวหมอหนุ่มเองก็คิดด้วยความเคยชินว่าเลสลีย์นั้นจะต้องอยู่กับโจชัวไม่ก็ลูฟ เพราะโดยปกติแล้วเลสลีย์เองก็มักจะขลุกตัวอยู่กับสองคนนี้เป็นประจำ
“ฉันว่าเราควรจะรีบไป”
“นายอย่าลืมสิว่าเชสเองก็มียา.. ฉันว่าไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบที่นายกังวลหรอกนะ” เมอร์เรย์ใช้เหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
“ถ้าฉันไม่ความจำสั้น เชสพึ่งบ่นกับฉันไปเมื่อวานว่ายาระงับหมด ถ้าให้เดาล่ะก็ฉันว่าหมอนั่นคงยังไม่ได้แวะมาเอายาที่นายหรอกจริงไหม?”
มันก็จริงอย่างที่โจชัวว่าจริง ๆ เพราะตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้เอริคเองก็ยังไม่ได้เจอกับหัวหน้าหน่วยเลยสักนิด
“ถ้าเกิดเลสลีย์เป็นอะไรขึ้นมา หมอนั่นต้องเอาฉันตายแน่” เมอร์เรย์ว่าอย่างหัวเสีย หมอนั่นที่เจ้าตัวว่าก็คงไม่พ้นคุณชายเลสลีย์ที่ตัวเอริคเองพึ่งจะได้พบเจอไปเมื่อไม่นานมานี้
“ก่อนคิดว่าตัวเองจะตาย ฉันว่าเราควรรีบตามลูฟไปก่อนจะดีกว่า”
ถ้าโชคยังเข้าข้างแอชเชอร์บ้าง เอริคก็ขอภาวนาให้ไม่เกิดอะไรขึ้นกับเลสลีย์คนเล็กอย่างที่หวังไว้
แต่ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่เอริคภาวนาไว้ ทั้งโจชัวและเอริคที่วิ่งตามลูฟมาที่บ้านของหัวหน้าหน่วยทีหลังนั้นได้แต่ยืนทอดมองแผ่นหลังกว้างของลูฟที่หยุดยืนนิ่งอยู่บริเวณหน้าบ้าน แม้เสียงของฝนที่ตกนั้นจะรุนแรงแค่ไหนแต่แว่วเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากบ้านก็ทำให้ทุกคนต่างหยุดนิ่งไปเหมือนกันหมด
กลิ่นประจำตัวของเชสที่เจ้าตัวตั้งใจปล่อยออกมาเพื่อแสดงอาณาเขตและสื่อความหมายโดยนัยที่อัลฟ่าด้วยกันเองต่างรู้ดีว่าไม่ควรเข้าไปล้ำเส้นของอัลฟ่าที่กำลังรัทอย่างเต็มที่
พวกเขามาช้าเกินไป.. ช้าเกินกว่าที่จะดึงตัวของเลสลีย์ให้ออกห่างจากไทเลอร์
“เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วลูฟ..” โจชัวที่เห็นเพื่อนสนิทยังยืนนิ่งก็ได้แต่เดินเข้าไปตบไหล่ของลูฟ ซึ่งอัลฟ่าร่างสูงก็ยังคงเงียบ
“ทำไมต้องเกิดเรื่องพวกนี้..”
“เราทุกคนต่างก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดทั้งนั้น” สายฝนเย็นฉ่ำแม้จะบดบังการมองเห็นไปบ้างแต่โจชัวเองก็ยังคงมองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความขมขื่นของลูฟ
“มันไม่ควรเกิดขึ้นอีกไม่ว่าจะกับใคร...”
“ทำใจเถอะลูฟ ถึงเข้าไปตอนนี้มันก็ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมา” เอริคว่าก่อนจะก้มลงมองเท้าของตัวเองด้วยความรู้สึกผิดเช่นกัน
“ยัยนั่นต้องรับผิดชอบเรื่องนี้” ยัยนั่นที่ว่าก็คงหนีไม่พ้นอลิเซียที่เป็นตัวปัญหา “เพราะโอเมก้านั่นที่ทำให้เราต้องวุ่นวายกันไปหมด ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเชสถึงกันพวกตัวปัญหานั่นหนักหนา”
“ลูฟ...”
โจชัวเข้าใจดีว่าลูฟนั้นรู้สึกอย่างไร แม้จะไม่ใช่หัวหน้าหน่วยแต่ลูฟเองก็มีสถานะไม่ได้น้อยไปกว่าใคร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้คนที่รับผิดชอบอะไรหลายอย่างอดแค้นเคืองไม่ได้
“นายคิดว่าเชสจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ งั้นหรือ นายก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันคือความผิดพลาดซ้ำสอง”
“....”
ใช่.. มันไม่ผิดจากที่ลูฟว่าเลยสักนิด ความผิดพลาดในรูปแบบเดิมที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง มันไม่น่าให้อภัยเลยสักนิดเดียว
“ไม่ว่าจะเลสลีย์คนไหน พวกเขาก็ไม่ควรต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้”
ฟ้าฝนที่กำลังโหมกระหน่ำทำให้แสงสว่างจากด้านนอกเพียงน้อยนิดนั้นไม่สามารถช่วยให้ภายในห้องสว่างสักได้อย่างที่ควร เตาผิงในห้องนอนนั้นเองก็ยังคงไม่ถูกแตะต้องแต่อย่างใด ในเมื่อเจ้าของห้องไม่แต่จะสนใจเรื่องความอบอุ่นภายในห้องเลยสักนิด
ความชื้นจากฝนที่ตกกระหน่ำคงไม่อาจเทียบเท่ากับความชื้นของลิ้นร้อนที่เกี่ยวกระหวัดกันไปมาจนเกิดเสียงตามจังหวะของริมฝีปากของอัลฟ่าแดนเหนือและทรูอัลฟ่าหนุ่มซึ่งกำลังลิ้มลองของหวานรสเลิศตรงหน้า เสียงหอบหายใจหนักสลับกับเสียงบดจูบที่เคล้าคลอสลับกันไปมา ไม่ต่างจากเนื้อผ้าบนร่างกายของอัลฟ่าแดนเหนือและทรูอัลฟ่าที่เสียดสีกันจนเจ้าของผิวขาวซีดนั้นได้ร่องรอยแดงมาแต่งแต้มบนร่างกาย
จูบลึกซึ้งครั้งแล้วครั้งเล่าที่ต่างมอบให้แก่กันซ้ำ ๆ ยังคงมัวเมาให้ต่างฝ่ายต่างโหยหาสัมผัสซึ่งกันและกันจนยากจะหักห้าม จิตใต้สำนึกที่สมควรรู้สึกผิดชอบชั่วดีนั้นถูกกดให้ต่ำลงเข้าไปอีกเมื่อทุกอย่างไม่ได้ถูกควบคุมด้วยสมองแต่กลับถูกควบคุมด้วยสัญชาตญาณที่ปลุกสันดานดิบ
แรงกอดรัดและกลิ่นไม้สนซีดาร์ที่เริ่มเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้อัลฟ่าแดนเหนือกระวนกระวายและรู้สึกตื่นกลัวอย่างบอกไม่ถูก ลมหายใจร้อนระอุรินรดบริเวณผิวเนื้ออ่อนตรงซอกคอขาวที่มีกลิ่นหอมกรุ่นของดอกกุหลาบดามัสก์ลอยฟุ้ง นัยน์ตาสีอ่อนของเชส ไทเลอร์ ยังคงฉายแววดุดันไม่เปลี่ยนในขณะที่ไล่สำรวจความงดงามของอัลฟ่าแดนเหนือที่อยู่ใต้ร่างของตนเอง
ผิวเนื้อนวลเนียนของเลสลีย์แท้จริงแล้วนั้นบอบบางไม่แพ้กับกลีบดอกไม้ที่สวยงาม ความสวยงามที่มองได้เห็นจากภายนอก ยังคงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่กลีบดอกไม้นั้นห่อหุ้มความงดงามที่แท้จริงเอาไว้
กลิ่นหอมชวนน่าหลงใหลประจำตัวของร่างขาวเองก็ไม่ต่างจากตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้ไทเลอร์ยิ่งรู้สึกขาดสติ
ความปรารถนาที่อยากจะครอบครอง ไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่ต้องการเติมเต็ม...
เส้นผมสีสว่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อไล่ปรกตามใบหน้ารูปสลัก จนเป็นทรูอัลฟ่าหนุ่มเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่บดบังใบหน้ากระจ่างให้พ้นทาง นัยน์ตาคู่สวยที่ไทเลอร์เคยนึกชมอยู่ในใจเสมอนั้นฉ่ำเยิ้มพาลให้รู้สึกถูกเชิญชวนเสียจนน่ารังแก
ทุกอย่างที่เป็น แอชเชอร์ เลสลีย์ กำลังเข้ามามีอิทธิพลกับความรู้สึกของ เชส ไทเลอร์
"นายกำลังทำให้ฉันคลั่งจนแทบบ้า.."
เจ้าของใบหน้าคมที่กำลังซุกไซ้อยู่บริเวณซอกคอขาวเอ่ยเสียงพร่า กลิ่นหอมอ่อน ๆ ชวนให้ยิ่งอยากสัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอดสร้างร่องรอยไว้เป็นหลักฐานบนผิวกายสีหิมะ
ยามใดที่ริมฝีปากร้อนของไทเลอร์ลงแรงกับผิวกายขาวของนายน้อยแดนเหนือ ยามนั้นไทเลอร์เองก็จะได้รับแรงบีบหนักที่ช่วงต้นแขนจากเจ้าของผิวขาว ไม่นับกับเสียงครางอื้ออึงในลำคอที่หลุดออกมาให้ได้ยินอยู่เนือง ๆ
“ดะ ได้โปรด..”
เจ้าของดวงตาคู่สวยร้องขอออกมาอย่างทรมานเมื่อรับรู้แล้วว่าร่างกายของตัวเองนั้นคงทนไม่ไหวอีกต่อไป ทั้งไม่เคยรับมือ ไม่เคยเรียนรู้ที่จะควบคุม ทุกอย่างมันกำลังชี้นำให้แอชเชอร์ต้องเลือกเดินไปในทางรอดที่เหลือเพียงทางเดียว
มือเรียวสวยของอัลฟ่าแดนเหนือยกขึ้นมากอบกุมใบหน้าคมของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ด้วยแรงที่เหลือของตัวเอง ความดุดันที่แสดงออกมาให้เห็นของไทเลอร์แม้จะน่าหวาดกลัวแต่กลับเป็นตัวดึงดูดทำให้แอชเชอร์รู้สึกต้องการอย่างช่วยไม่ได้
เขาปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าต้องการ เชส ไทเลอร์...
“ดะ ได้โปรดครอบครองฉัน..”
“ถึงนายไม่ขอ ฉันก็คงไม่ปล่อยนายเหมือนกัน”
คำตอบของ เชส ไทเลอร์ เองก็ชัดเจนเสียจนไม่ต้องหาคำอะไรมาอธิบายให้มันมากความ
แผ่นหลังสีเข้มของทรูอัลฟ่าหนุ่มที่นั่งอยู่บริเวณปลายเตียง ยังเต็มไปด้วยรอยแดงที่เกิดจากการขีดข่วนของคนที่ยังนอนหลับสนิทจมอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ร่องรอยแดงประดับไล่ตั้งแต่ซอกคอขาวลามมาจนถึงช่วงลาดไหล่และแผ่นอกบาง ไม่นับบางส่วนซึ่งยังถูกปกปิดอยู่ภายใต้ผ้าห่มสีเข้มที่คลุมร่างกายขาวเนียน
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แม้เชสจะไม่ได้มีสติคิดทบทวนทุกอย่างเต็มร้อยแต่ตัวหัวหน้าหน่วยเองก็รู้สึกถึงความผิดพลาดของตัวเองที่ไม่สมควรเกิดขึ้น ทั้งความสะเพร่าที่ปล่อยปะละเลยยาที่สมควรจะมีติดตัว หรือแม้กระทั่งการห้ามใจของตัวเองก็ด้วย
ช่วงเช้าตรู่ที่เชสรู้สึกตัวตื่นขึ้นมานั่นก็ทำให้เจ้าตัวเองรู้สึกเมื่อยล้าไม่น้อย ยิ่งเห็นสภาพของ แอชเชอร์ เลสลีย์ที่นอนขดอยู่ในอ้อมอกของตัวเองแล้วก็ยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องทุกอย่างนั้นคือความจริง ภาพทุกอย่างที่ทั้งคู่ได้กระทำลงไปก่อนหน้านี้ฉายชัดเข้ามาในหัวทีละฉากจนปะติปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้
ใครกันจะคาดคิดว่าอลิเซียจะกล้าทำแบบนั้นกับ เชส ไทเลอร์ การที่เจ้าหล่อนตั้งใจมาหาเชสในช่วงที่ใกล้ฮีทแบบนี้มันก็คือความจงใจทั้งสิ้นที่จะจับคู่กับทรูอัลฟ่าหนุ่ม มันไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธได้ว่าเจ้าหล่อนไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีเลยสักนิด..
และเชสเองก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกันว่าเลสลีย์จะโผล่เข้ามาในจังหวะที่ไม่สมควร ทั้งที่จริงแล้วเจ้าตัวควรจะไปขลุกอยู่ที่ไหนสักแห่งในเดอะฮิลล์
หากนี่คือบททดสอบของพระเจ้า เชส ไทเลอร์ คงต้องยอมรับว่าตัวเขาเองก็ไม่สามารถฝืนสัญชาตญาณของตัวเองได้...
สุดท้ายแล้วไทเลอร์ก็ผิดหนึ่งในสัญญาที่เคยให้ไว้กับ อาเธอร์ เลสลีย์ อย่างไม่น่าให้อภัย...
‘ฉันหวังว่านายจะเป็นคนสุดท้ายที่จะทำร้ายแอชเชอร์’
ประโยคที่เชสได้พูดคุยเพียงลำพังกับอาเธอร์เมื่อครั้งล่าสุดที่พบเจอย้อนกลับเข้ามาในหัวซ้ำไปซ้ำมา จนทรูอัลฟ่าหนุ่มใช้มือเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออกลวก ๆ
ใบหน้าดุคมยังคงเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกอะไรแต่ภายในหัวนั้นกลับคิดทุกอย่างให้วุ่นไปหมด เชื่อเถอะว่าถ้าหากคนที่กำลังนอนหลับสนิทนั้นตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ เชส ไทเลอร์ คงจะได้รับพบเจอสิ่งที่น่าปวดหัวมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นแน่
คราบเหนียวเหนอะหนะตามร่างกายของอัลฟ่าแดนเหนือนั้นถูกเช็ดทำความสะอาดด้วยฝีมือของหัวหน้าหน่วย โดยที่เจ้าของผิวสีเข้มพยายามจะเบามือให้ได้มากที่สุดกับร่างกายของแอชเชอร์ แม้อัลฟ่าแดนเหนือจะมีร่างกายที่แข็งแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแต่การที่ต้องพบเจอกับเรื่องอย่างว่าก็ดูเหมือนจะมากเกินกว่าที่ร่างกายของเจ้าตัวจะรับไหว
ปลีน่องขาวนวลที่เชสชื่นชมมันหนักหนาเต็มไปด้วยรอยฟันที่ขบกัดและดูดดึงจนได้รอยแดงช้ำ แต่ก็คงไม่เท่าส่วนหวงห้ามที่เชสได้เข้าไปสัมผัสมานับครั้งไม่ถ้วนที่แดงช้ำจนน่ากลัว
แม้จะเป็นอัลฟ่าแต่ถ้าเทียบกับเรี่ยวแรงของทรูอัลฟ่าแล้ว มันก็ไม่แปลกสักนิดที่ทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ ต่อให้นุ่มนวลหรืออ่อนโยนสักเท่าไหร่พละกำลังที่มีเป็นทุนเดิมมันก็ยากจะควบคุม
เสื้อผ้าเนื้อบางที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ถูกหยิบออกมาสวมใส่ให้กับร่างของอัลฟ่าแดนเหนือซึ่งยังคงหลับสนิท อันที่จริงเลสลีย์เองก็ค่อนข้างจะผอมลงกว่าเดิมถ้าเทียบกับครั้งแรกที่ทั้งคู่เจอกัน
ใบหน้ารูปสลักแม้จะมีร่องรอยของความอ่อนเพลียแต่ก็ยังคงงดงามเหมือนเคย ยิ่งกลีบปากบางที่บวมช้ำนั่นก็ยิ่งเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าเชสนั้นเอาแต่ใจตัวเองมากแค่ไหนยามจูบกับอีกฝ่าย
“อื้อ..”
เสียงร้องครางเบา ๆ ในลำคอที่ออกมาจากริมฝีปากบางทำให้ทรูอัลฟ่าหนุ่มหยุดชะงักมือที่กำลังผูกเชือกที่เสื้อด้านหน้าของแอชเชอร์ เปลือกตาสีอ่อนที่มีร่องรอยแดงช้ำจาง ๆ ค่อยเปิดขึ้นก่อนที่เชส ไทเลอร์จะได้เห็นดวงตาคู่งาม
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งคู่เสียจนน่าอึดอัด ยามที่ปรับสายตาให้เข้ากับแสงภายในห้องได้แล้วแอชเชอร์ก็ได้แต่ปิดปากเงียบปล่อยให้ทรูอัลฟ่าหนุ่มจัดแจงผูกเชือกที่เสื้อให้กับตัวเอง ร่างกายที่ยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดแล่นริ้วสร้างความรู้สึกชาวาบไปทั้งร่างกายของนายน้อยเลสลีย์
ร่องรอยแดงตามแผ่นอกสีเข้มของไทเลอร์ที่สวมใส่เพียงกางเกงหมิ่นเหม่สะโพกสอบ ก็คงไม่พ้นที่จะเป็นฝีมือของแอชเชอร์เองที่ปัดป่ายไปตามร่างกายของอีกคนยามร่วมรัก
“เรื่องจริงสินะ” เจ้าของผิวสีหิมะยกยิ้มขมขื่นในขณะที่ยังคงมองใบหน้าของไทเลอร์ไปด้วย “ระหว่างนายกับฉัน”
แอชเชอร์กัดฟันหยัดตัวลุกขึ้นจากเตียงทั้งที่แขนของตัวเองยังคงสั่นไม่น้อย แทบทั้งร่างของเจ้าตัวมันอ่อนแรงไปเสียหมดจนน่าหงุดหงิด
“ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง” ไทเลอร์ตอบเสียงเรียบ พลางจ้องมองคนตัวขาวที่พยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสิ่งที่แอชเชอร์เกลียดที่สุดนั้นจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป
“น่าสมเพช”
ราวกับว่าคำพูดที่แอชเชอร์เคยได้พูดไว้กับอาเธอร์ต่างย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองจนแทบล้มทั้งยืน บางทีนี่อาจจะเป็นความรู้สึกของอาเธอร์ที่แอชเชอร์ไม่เคยได้รับรู้ก็ได้ ใครจะรู้...
“เซเบอร์คงยังไม่ได้กินอะไร..” แอชเชอร์ฝืนลุกขึ้นมายืนเผชิญหน้ากับทรูอัลฟ่าที่ยืนอยู่ข้างเตียง ก่อนจะเอ่ยประโยคที่งี่เง่าที่สุดในชีวิตออกไป “เมื่อวานฉันทิ้งมันไว้ข้างนอก ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
ขอแค่ตอนนี้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับไทเลอร์คงเป็นสิ่งที่เดียวที่แอชเชอร์ต้องการ
เขาไม่ได้มีความรู้สึกโกรธต่ออีกฝ่ายแต่อย่างใด เพราะในเมื่อตัวแอชเชอร์เองก็รู้อยู่แก่ใจเหมือนกันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เกิดจากการถูกบังคับ แต่มันเกิดเพราะความต้องการของเราเองทั้งคู่ จะโทษใครก็คงไม่ได้ นอกเสียจากโทษตัวเองที่โชคร้าย
“โจชัวกับลูฟดูแลเจ้านั่นให้แล้ว นายไม่ต้องห่วงหรอก”
ไทเลอร์ยังคงยืนขวางไม่ให้คนตัวขาวได้ออกไปไหน มันเป็นสถานการณ์ที่ เชส ไทเลอร์เองก็ยากที่จะรับมือเช่นกัน เพราะเลสลีย์เองก็กลับนิ่งผิดจากที่คาดเดาไปโดยสิ้นเชิง
“แต่ฉันอยากไปดูมันเอง..”
“นายกำลังหลบหน้าฉันเลสลีย์” มือใหญ่คว้าต้นแขนของคนที่จะเดินหนีตัวเองไว้ในทันที “นี่มันไม่ใช่นายเลยสักนิด”
“ฉันควรพูดอะไร? ฉันในตอนนี้ควรทำอะไร นายตอบได้ไหม!”
นัยน์ตาสีอ่อนที่เริ่มแดงก่ำจ้องใบหน้าของทรูอัลฟ่าด้วยความรู้สึกอึดอัดเต็มทน แค่ที่รู้สึกมันก็สับสนมากพออยู่แล้ว ยิ่งไทเลอร์นั้นมากดดันกันแบบนี้แอชเชอร์เองก็ยิ่งรู้สึกหมดหนทางเข้าไปใหญ่
“อย่างน้อยเราก็ควรคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกันให้รู้เรื่อง”
“ฉันไม่ได้เดือดร้อน” เลสลีย์ตอบกลับเสียงแข็ง “ถ้าฉันกับนายไม่ใส่ใจ มันก็จะไม่เป็นปัญหา”
“แต่ฉันเดือดร้อน”
“!!!”
“ถึงฉันจะไม่ได้กัดนาย แต่สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นฉันเองก็ควรจะทำอะไรสักอย่าง”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าไม่ต้องการ.. นายจะยังดึงดันทำงั้นสิ” ร่องรอยของความเจ็บปวดยังฉายชัดอยู่ในแววตาของเลสลีย์ไม่เปลี่ยน แม้เจ้าตัวจะกลับมามีท่าทีดื้อดึงเหมือนเคย
“....”
“นายไม่จำเป็นต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องพวกนี้เลยสักนิด”
“นายกำลังพูดไม่รู้เรื่องนะเลสลีย์” เชสว่าเสียงเข้ม พลางใช้ตัวขวางคนที่ยังคงจะดึงดันออกไปข้างนอกห้อง
“ฉันเป็นอัลฟ่า.. นายเองก็เป็นทรูอัลฟ่า แค่นี้มันก็ผิดทุกอย่างแล้วไทเลอร์ นายไม่เข้าใจอะไร!” เสียงติดแหบของอัลฟ่าแดนเหนือตะโกนออกมาอย่างเหลืออด มือเรียวสวยเองก็ไม่วายที่จะผลักอกของไทเลอร์เป็นเชิงดูถูก “นายเองไม่ได้เดือดร้อนเลยสักนิด! คนที่อยู่สูงสุดแบบนายไม่จำเป็นต้องมาใส่ใจว่าฉันจะรู้สึกยังไง”
“ฉันไม่สนใจระบบวรรณะบ้าบออะไรพวกนั้น”
“....”
“เหมือนที่พี่นายไม่เคยสนใจ”
“อาเธอร์เป็นแบบนั้นก็เพราะทรูอัลฟ่าแบบนายไง! เพราะไอ้ความรักงี่เง่านั่นที่ทำให้พี่ฉันต้องเป็นแบบนั้น ยังไงแล้วพวกนายก็ต้องคู่กับโอเมก้าไม่ใช่อัลฟ่าแบบพวกฉัน”
“น้อยใจหรือ?” ไทเลอร์ใช้มือเชยคางได้รูปของคนที่กำลังเดือดดาล
“ไม่เลยสักนิด” แต่เลสลีย์ก็ยังคงเป็นเลสลีย์
“แต่อย่างน้อยฉันก็อยากให้นายรู้ไว้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าใคร..”
“พูดบ้าอะไรของนาย”
“ไม่เรียกฉันว่าเชสเหมือนตอนนั้นแล้วหรือ?”
ใบหน้าคมของทรูอัลฟ่าหนุ่มโน้มลงมาใกล้ใบหน้าขาวจนต่างฝ่ายต่างรับรู้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ของกันและกัน
“ไม่!”
“พูดให้ฉันฟังชัด ๆ สิว่านายไม่ได้รู้สึกดีเหมือนกับฉันตอนที่ฉันกอดนาย”
“หยุดพูดถึงเรื่องนั้นสักที ฉันไม่อยากนึกถึงมัน”
“งั้นหรือ...” ฝ่ามือหนาแกล้งปัดผ่านไปที่บริเวณหน้าท้องของเลสลีย์ก่อนจะกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเอ่ยประโยคคำถามที่ทำให้ใบหูขาวแดงก่ำ “แล้วนายจำได้ไหม ว่าตอนนั้นฉันเข้าไปในตัวนายลึกแค่ไหน”
“ไทเลอร์!”
“ฉันจำได้ดีเลยล่ะว่ามันดีแค่ไหน”
พลั่ก!
มือขาวกำเข้าหากันแน่นก่อนที่จะง้างหมัดชกเข้าไปที่ใบหน้าหล่อของทรูอัลฟ่าหนุ่มเต็มแรง จนเจ้าของผิวสีเข้มนั้นได้เลือดที่บริเวณมุมปาก
“งั้นก็อย่าลืมจำนี่ไว้ด้วยแล้วกัน!”
“หมัดหนักใช่ได้เลยนี่..” ไทเลอร์ใช้หลังมือเช็ดมุมปากลวก ๆ โดยที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับมุมปากไม่จาง “แต่ก็คงไม่หนักเท่าที่ฉันกอดนาย”
“ฉันไม่ตลกกับนายหรอกนะ”
“แล้วฉันดูตลกมากงั้นหรือ?”
“ถ้ามันไม่มากเกินไปกว่าที่นายจะได้ ฉันก็ขอให้เรื่องระหว่างฉันกับนายมันจบกันแค่นี้ ฉันจะถือซะว่ามันเป็นความผิดพลาดของตัวเอง”
“คงเป็นแบบที่นายว่าไม่ได้หรอก”
“!!!”
“ในเมื่อตอนนี้นายเป็นคนของไทเลอร์”
ทรูอัลฟ่าหนุ่มผิวสีเข้มที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าแอชเชอร์กลับทรุดลงนั่งคุกเข่าให้กับร่างขาว ท่ามกลางความตกใจของอัลฟ่าแดนเหนือที่ได้แต่ยืนนิ่งมองการกระทำที่ไม่คาดคิดของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ การกระทำที่แสดงออกถึงความนอบน้อมและเคารพมันฉายชัดอยู่ในดวงตาของแอชเชอร์เสียจนเจ้าตัวปิดปากเงียบ
“เลสลีย์เองก็มีเกียรติและแน่นอนว่าไทเลอร์ก็มีเกียรติมากพอเช่นกัน”
“คุกเข่าให้ฉันแบบนี้ทำไมไทเลอร์”
ขาเรียวที่สั่นเทาของแอชเชอร์เผลอก้าวถอยหลังในทันทีแต่ก็ไม่ไวเท่ากับมือใหญ่ที่คว้าเข้ากับมือเรียวสวย
“ต่อไปนี้นายถือว่าเป็นคนของไทเลอร์โดยสมบูรณ์แอชเชอร์”
ใครจะคิดกันว่าวันหนึ่ง เชส ไทเลอร์ จะยอมคุกเข่าให้กับ แอชเชอร์ เลสลีย์ อย่างไม่มีข้อแม้แบบนี้ ความรู้สึกที่สมควรจะลอยละล่องกลับกลายเป็นว่าทำให้แอชเชอร์ว่างเปล่าไปเสียหมดเพราะความสับสน ก้อนในที่อยู่ภายในอกเต้นถี่ระรัวเมื่อยามที่ริมฝีปากหยักนั้นจรดจูบบนหลังมือขาว ทาบทับกลีบเนื้อนิ่มอุ่นร้อนนั่นไว้นานเสียจนยามที่ละออกไปก็ยังคงทำให้ร่างขาวรู้สึกถึงสัมผัส
คนของไทเลอร์อย่างงั้นหรือ...
ไทเลอร์ที่ไม่เคยคิดจะลดตัวให้ต่ำกว่าแอชเชอร์ในตอนนี้น่ะหรือที่ยอมคุกเข่าให้กับเขา ถ้านี่เป็นฝันก็คงเป็นความฝันที่เหมือนจริงจนน่ากลัวเลยล่ะ
“พอลองเดาได้ไหมว่าต่อไปนี้ ฉันเองก็คงปล่อยนายให้คลาดสายตาไม่ได้อีกแล้ว”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ ไรท์สู้ๆน๊าาาา
เข้าใจความรู้สึกทั้งคู่เลยแงงง😭😭😭
แต่ใดๆก็ตาม ฟสกาหสากากสหสหสกสหวกสกนหยกสดสกสกาดวหสกสหวหากสหสกาดสหสปมปมกมหสกสกสห คุณไรท์เขียนดีมาก แบบมากๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ เราน้ำตาจะไหลแล้ว สุดยอดมากกก แงงงงงงงงง ที่สุดกว่าคือคุกเข่า!!!!! เหมียนขอแต่งงาน มะไหวแร้ววววหาหสหสหสหสหสหสผวว
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด เขินมากเขินไม่ไหวแงงงง