ออกมาเป็น 3 เผ่าพันธ์ุ
1.มนุษย์ มากสติปัญญา ชอบคิดค้นสิ่งใหม่ๆเสมอ ใช้เวทย์มนต์ได้ ตามธาตุกำเนิดของตัวเอง
2.เซเลนเทียร์ เชี่ยวชาญเวทย์มนต์ ส่วนมากจะมีปีก สามารถบินได้
3.ดีเวียร์ ร่างกายแข็งแกร่ง รวดเร็ว ว่องไว แต่ไม่ชำนาญเวทย์มนต์
เทพบรรพกาลได้มอบสภาพแวดล้อม แหล่งน้ำ พืชพันธ์ุ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เมื่อได้ทำการสร้างโลกจนเสร็จสมบูรณ์ เทพบรรพกาลองค์สุดท้าย ได้จำแลงร่างของตนลงมาอาศัยอยู่บนโลกและขึ้นปกครอง ในฐานะ พระเจ้า
โลกทำเนินไปอย่างสงบเป็นเวลากว่า4,000ปี แต่ทว่า...เวลาของนั้นเทพพระเจ้าที่ปกครองพวกเขานั้นก็ได้มาถึง เทพบรรพกาลองค์นั้นหมดอายุขัย และ สูญสลายไป พลังแห่งเทพบรรพกาลได้ลอยขึ้นไป บนฝากฟ้า และแตกกระจายออกเป็น 12 ส่วน ปลิวหายไปตามส่วนต่างๆของโลก ....
ความเศร้าเสียใจจากการสูญเสียพระเจ้าของพวกเขากินเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น..หลังจากนั้นคำถามที่ว่า "แล้วใครควรที่จะเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้" ...ก็เกิดขึ้นตามมา
ทั้ง3เผ่าพันธ์ุที่เคยอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง บัดนี้ ...ได้หันคมดาบ อาวุธ และ เวทย์มนต์ เข้าหาซึ่งกันและกัน มหาสงครามระหว่างทั้ง3 เผ่าพันธ์ุได้เริ่มปะทุขึ้น...และกินเวลายาวนานกว่า 300 ปี สิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกต่างฝ่ายต่างพลังทลายย่อยยับ มหาสงครามนั้้นได้แบ่งแยกพื้นโลกออกเป็น 3 ส่วน ที่เป็นที่อยู่อาศัยของ3เผ่าพันธ์ุ ได้แก่
1.แผ่นดิน พื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์
2.สรวงสวรรค์ ผืนแผ่นดินลอยฟ้า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ของเซเลนเทียร์
3.แดนรกร้าง ดินแดนแห้งแล้งแห่งดีเวียร์
ท่ามกลางไฟสงคราม เลือดและศพมากมายทับถมไปทั่วทั้งพื้นโลก ทว่า..มหาสงครามที่ยาวนานนั้นก็ได้สิ้นสุดลง สิ่งมีชีวิตปริศณาที่เรียกตนเองว่า ชิ้นส่วนแห่งพระเจ้า ได้ปรากฏขึ้นและได้ทำการโจมตีกองทัพของทั้ง 3 เผ่าพันธ์ุ... ว่ากันว่า ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว กองทัพของทั้ง3เผ่าพันธ์ุก็ถูกทำลายจนย่อยยับ....
สงครามที่กำลังปะทุอยู่หยุดชะงักลงทั้ง3 เผ่าพันธ์ุได้มีความเห็นตรงกัน....การสู้รบกันเองนั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระ พวกเขาได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและน่าหวาดหวั่นมากพอๆกับเทพบรรพกาล
ทั้งสามเผ่าพันธ์ุได้ร่วมกันลงสัญญาสงบศึก และสงครามอันยาวนานนั้นก็ได้สิ้นสุดลง หลังจากเหตุการณ์นั้นโลกก็ค่อยๆพื้นตัวขึ้นทีละน้อย สงครามที่ยาวนานกว่า300ปี ทำให้ประชากรบนโลกนั้นลดลงเหลือเพียงแค่ 8%
.........................................................................................................................................................................................................
"เป็นไงบ้างล่ะ ฮาฟ นิทาน ของโลกใบนี้น่ะ"
เสียงคุณลุงสูงวัยที่ดูใจดีดังขึ้นขณะที่กำลังขนลังผลไม้ ข้างๆมีชายหนุ่มอายุราวๆ18ปี ก็กำลังแบกลังผลไม้เช่นกัน
"ฟังดูเกินจริงไปยังไงไม่รู้ครับ.. ลุงไปเอาเรื่องเล่านี้มาจากไหนกัน.?? ถ้าไปฟังคนอื่นเล่ามาอีกทีล่ะก็ บอกเลยเป็นเรื่องแต่งแน่นอน!!"
"ฮ่าๆๆๆๆ ก็นั่นสินะ ฮ่าๆๆๆๆๆ"
เสียงหัวเราะของชายสูงวัยดังขึ้น
สายลมจากทะเลพัดผ่านสู่หน้าผาที่ตั้งตระหง่า ศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่อีกแห่งของแผ่นดินมนุษย์ กลิ่นไอสดชื่นของทะเล พัดโชยเข้ามาสู่โซนประสาทของเหล่าผู้คนที่เดินกันอย่างชุกชม
....ใช่แล้ว..... ณ ตอนนี้คือโลกอันแสนสงบสุข.....โลกภายหลังจากสงคราม....
"อยากให้โลก มันเป็นแบบนี้ไปอีกนานๆจังเลยนะครับ"
ชายหนุ่มกล่าวลอยๆ พร้อมกับมองออกไปยังวิวทะเล
"ข้าก็ได้แต่หวังให้มันเป็นเช่นนั้น.."
แล้วบทสนทนาของ ชายสูงวัยตัวอ้วน ชายหนุ่มผมยาวมัดผมหางม้าด้านหลังก็จบลง...แม้ปัจจุบันจะเงียบสงบ เป็นยุคสมัยแห่งการฟื้นฟูโลกก็ตาม ความบาดหมางจากสงครามของทั้ง3เผ่าพันธ์ุนั้นยังคงไม่เลือนหายยังฟังรากอยู่ข้างในภายใต้จิตสำนึก อยู่ในจิตใจแฝงตัวอย่างเงียบเชียบอยู่แบบนั้น ความสูญเสียจากสงครามเป็นสิ่งที่ไม่อาจย้อนคืนกลับมาได้ ความโศกเศร้า โกรธแค้น ความเจ็บปวด ยังไม่ได้หายไปไหน ความสงบสุขของโลกหลังสงครามนี้...จะยืนยาวได้สักเพียงไหนกันนะ.....
ความคิดเห็น