*·~หลอม¤ครั้งที่ XXII ~·*
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการดูแลคนที่กำลังตั้งครรภ์โดยเฉพาะการที่คนคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นผู้ชายอย่างผม อาการแพ้ท้องรุนแรงในช่วงตั้งแต่ 3 เดือนถึง 6 เดือน เรียกว่าผมแทบมีห้องน้ำเป็นห้องนอน กินอะไรเข้าไปมากก็ไม่ได้ พวกยาบำรุงหรืออาหารบำรุงมากมายซึ่งได้รับมาจากองค์ราชาและองค์ราชินีบัดนี้ยังวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะทั้งวิตตามิน ทั้งอาหารเสริม
ด้วยอาการแพ้ท้องของผมค่อนข้างรุนแรงองค์ชายฮารล์บจึงกังวลมาก ปกติเขาจะทำงานยังห้องทรงงานและออกเดินตรวจตามสถานที่ต่างๆ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ทว่าตอนนี้กลับสั่งให้คนยกโต๊ะทรงงานมาไว้ในห้อง เอกสาร งานทุกอย่างองค์ชายจัดการโดยมีผมอยู่ในสายตาเสมอ
ช่วงดึกเองก็เป็นอีกช่วงที่ผมมีอาการแพ้ท้องรุนแรง ทุกครั้งที่ผมวิ่งเข้าห้องน้ำองค์ชายจะลุกตามมาช่วยลูบแผ่นหลังผมเบาๆ คล้ายจะบอกว่าเขาอยู่ตรงนี้ด้วย
การตั้งครรภ์โดยผู้ชายเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ อาจใกล้เคียงกับคำว่าปาฏิหาริย์ ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามค้นคว้าหาข้อมูลจากหอสมุดหรือที่ไหนต่างก็ไม่มีเขียนไว้ คงเป็นอย่างที่องค์ราชาคาราสเล่าว่าเป็นเรื่องที่สืบทอดกันมาปากต่อปาก และเพราะไม่มีข้อมูลอะไรผมเลยค่อนข้างกังวลว่าตัวเองทำดีแล้วรึยัง มีเรื่องไหนต้องคอยระวังเป็นพิเศษไหมหรือแม้แต่พวกท่านอนซึ่งอาจส่งผลอันตรายต่อลูกในท้องได้
หากเป็นหนังสือดูแลคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ผมได้มีหยิบมาอ่านบ้าง แน่นอนว่าแค่อ่านสำหรับผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่จึงอยากหาคำแนะนำจากใครสักคน ประจวบเหมาะกับเวทย์สื่อสารที่ส่งจดหมายเวทมนตร์ฉบับหนึ่งมาให้พอดี
เนื้อความในจดหมายเกริ่นในตอนแรกว่าตนเป็นใคร เจ้าของจดหมายฉบับนี้คือคู่ดูตัวขององค์ชายฮาล์บก่อนหน้านี้ที่ผมเป็นคนเลือกท่านหญิงวาภาเอนฟ์นั่นเอง ในวรรคสองของจดหมายพูดแสดงความยินดีเรื่องการตั้งครรภ์ก่อนจะปิดท้ายด้วยสัญลักษณ์ยิ้ม จดหมายในมือทำให้ผมคิดได้ว่าสามารถปรึกษาเรื่องตั้งครรภ์กับเธอได้ ประมาณต้นปีก่อนผมได้รับข่าวมาว่าท่านหญิงวาภาเอนฟ์ได้คลอดบุตรสาวโดยทางครอบครัวยอมรับคนรักของเธอเรียบร้อยแล้ว
“...องค์ชาย” ผมพึมพำเสียงเบา ช่วงเช้าของวันองค์ชายถูกเรียกให้เข้าประชุมใหญ่ประจำปีจึงจำต้องออกไปประชุมให้ผมรออยู่ในห้อง ตอนแรกผมกะจะตามไปอารักขาทว่าดวงตาสีฟ้าสว่างที่หรี่มองมาอย่างไม่พอใจทำให้ผมหมุนตัวกลับเดินไปนั่งยังโซฟาทันที
ผมอยากพูดประโยคนั้นออกไปเหลือเกิน
กว่าจะประชุมเสร็จน่าจะใช้เวลาเกือบทั้งวันได้
แปลว่าถ้าผมรีบไปแล้วรีบกลับมาก่อนองค์ชายก็คงจะไม่เป็นปัญหาสินะ
“ประกายแสงสีขาวจากหมู่มวลเวทมนตร์อันทรงพลังจงแนบชิดกายาและสยายปีกสีขาวล้วนดุจดั่งนกที่โลดแล่นบนท้องนภาให้แก่เรา” ผมร่ายเวทย์พร้อมพาตัวเองออกจากระเบียงสยายปีกสีขาวพาร่างขึ้นสู่ท้องฟ้าสีครามในยามสายโดยมีเป้าหมายอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกลูอีเทอร์โนส
ชื่อเต็มของท่านหญิงวาภาเอนฟ์คือ วาภาเอนฟ์ อีเทอร์โนส บุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้ากรมการค้าระหว่างอาณาจักร ได้ชื่อว่าคฤหาสน์คงไม่ใช่บ้านหลังเล็กๆ รั้วสีขาวตัดกับสีเขียวของสวนขนาดยักษ์ได้อย่างลงตัว ด้านหน้าเป็นสวนเตี้ยโดยด้านหลังมีสวนดอกไม้อยู่ริมสระน้ำ เส้นผมสีดำยาวของท่านหญิงวาภาเอนฟ์เป็นจุดเด่นแม้จะมองจากบนฟ้าลงไป เธอกำลังเดินเล่นอยู่ริมสระน้ำโดยในอ้อมกอดมีเด็กตัวเล็กนอนหลับอยู่
ปีกสีขาวกระพืบขึ้นลงเพื่อลดความเร็วยามลงสู่พื้น คนด้านล่างเงยหน้าขึ้นมามองด้านบนพร้อมดวงตาสีดำของท่านหญิงวาภาเอนฟ์ที่เบิกกว้างขึ้นยามเห็นผมสลายเวทย์ปีกแล้วลงสู่พื้นด่างล่างตรงหน้าเธอ
“พระชายา? ทำแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ...แรงกระแทกยามลงสู่พื้นอาจทำให้ทารกในครรภ์เป็นอันตรายได้” เธอก้าวเข้ามาผมด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่ควรทำสินะ...ผมไม่ค่อยรู้ คราวหน้าจะระวัง ว่าแต่อยากเรียกผมพระชายาเลยมันฟังดูแปลกๆ” ผมบอกตามตรง คำว่าพระชายาไม่ว่าฟังกี่ทีก็รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งไป
“แต่พระชายาเป็นพระชายานี่เพคะ?”
“เรียกผมว่าซินเถอะครับ แล้วก็อย่าใช้คำสุภาพขนาดนั้นเลย”
“งั้น...ท่านซิน” เธอรองเรียกอีกรอบ
“เรียกแค่เอนฟ์ก็ได้ค่ะท่านซิน” ระหว่างฟังผมมองมือที่ลูบแผ่นหลังของบุตรสาวเพื่อเก็บข้อมูล
“ได้ ขอโทษที่มารบกวนนะเอนฟ์ พอดีว่าผมมีเรื่องอยากขอคำปรึกษาหน่อย” ผมเข้าประเด็นทันที
“เรื่องของการดูแลตัวเองยามตั้งครรภ์ใช่หรือไม่” เอนฟ์ถามกลับคล้ายรู้ทัน
“ใช่...อยากให้ช่วยบอกหน่อย”
“ได้สิ ท่านตั้งครรภ์ 8 เดือนแล้วใช่ไหมคะ”
“...” ผมพยักหน้าตอบระหว่างอีกฝ่ายก้มลงมองยังหน้าท้องผมเล็กน้อย แม้จะ 8 เดือนแล้วแต่ท้องผมไม่ได้ใหญ่มาก อาณาจักรของเรายามตั้งครรภ์แม้จะท้องใหญ่ขึ้นทว่าไม่ได้มาก มองเผินๆ อาจคิดว่าผมอ้วนลงพุงก็ยังได้
“ได้ออกกำลังกายเพิ่มเสริมความแข็งแรงให้กับลูกรึเปล่า”
“...ออกกำลังกาย...หมายถึงฝึกต่อสู้?” ผมถามกลับ
“ว้าย! อย่าเชียวนะคะ ไม่ใช่ต่อสู้สิ นั่นหนักเกินไปค่ะ” สีหน้าตกใจของเธอทำให้ผมรู้สึกผิดอยู่พอควรที่ตัวเองไม่ได้รู้อะไรเลย ตั้งแต่ท้ององค์ชาย องค์ราชาและองค์ราชินีต่างลงความเห็นว่าให้ผมพักงานและการฝึกทุกอย่างจนกว่าจะผ่านช่วงนี้ไป
“งั้นควรออกกำลังกายยังไง”
“เดินเล่น อย่างเดินพวกตลาดหรือในสวน ที่ไหนก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายค่ะ” เอนฟ์อธิบายต่อ
“แบบนี้นี่เอง” ผมจะจำไว้ ต่อให้การเดินสำหรับผมจะห่างไกลกับคำว่าออกกำลังกายมากก็ตามที การออกกำลังกายของผมผมการฝึกเวทมนตร์และต่อสู้
“เราจะไปเดินเด่นข้างนอกพอดี ไปด้วยกันไหมคะ” อีกฝ่ายเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นผมจึงออกไปเดินเล่นกับเอนฟ์บริเวณสะพานข้ามแม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวคฤหาสน์นัก อาณาจักรเวธาณาร์มีแม่น้ำ 3 สายตัดผ่าน และแม่น้ำแต่ละสายจะมีการสร้างสะพานข้ามเชื่อมต่อกันเพื่อให้สะดวกในการเดินทาง บรรยากาศสบายๆ บวกกับสายลมเย็นๆ ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายกว่าการเดินท่ามกลางผู้คน
“เอนฟ์ เด็กคนนี้ชื่ออะไรหรือ” ผมถามพลางขยับเข้าไปมองเด็กในอ้อมกอด อายุขวบนิดๆ ยังไม่อยู่ในช่วงวัยที่สามารถโต้ตอบได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถมองเห็นเส้นผมสีดำสนิทเหมือเอนฟ์และผิวขาวๆ บ่งบอกว่าเมื่อเติบโตต้องเป็นสาวสวยดั่งมารดา
“แอนคีร์ แล้วท่านได้ตั้งชื่อแล้วหรือยังคะ” เอนฟ์ถามกลับ
“ยังเลย มีเวลาอีกตั้งนาน” เคยคุยๆ เรื่องตั้งชื่อกับองค์ชายอยู่เหมือนกัน องค์ชายบอกว่าจะหาชื่อมาให้แล้วพวกเราค่อยมาเลือกด้วยกันอีกที
“นั่นสิ แป๊บๆ ก็ผ่านไป 8 เดือนแล้ว” ผมรู้สึกเหมือนอาการแพ้ท้องเพิ่งหายไปเมื่อไม่กี่วันเอง
“ดูท่านมีความสุขจัง” เอนฟ์บอกพร้อมดวงตาสีดำที่เงยขึ้นมาประสานด้วยรอยยิ้มบางๆ
“...อืม” ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่จริง ในตอนนี้ผมมีความสุขแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าหน้าที่ของแม่ต้องทำยังไงก็ตาม
ผมกังวลเรื่องผู้สืบทอดราชบัลลังค์ต่อจากองค์ราชาคาราสมาตลอด ยิ่งได้รู้ความรู้สึกขององค์ชายฮาล์บผมก็ยิ่งกังวล ทั่วทั้งโลกต่างรู้กันดีว่าคนธรรมดาไม่คู่ควรกับการอยู่เคียงข้างองค์ชายแถมยังเป็นบุรุษเพศซึ่งไม่อาจมีทายาทได้อีก ทว่าในตอนนี้อุปสรรคเหล่านั้นกลับหายไป ในท้องผมมีลูกขององค์ชายกับผมอยู่ คนในอาณาจักรเองแม้จะมีต่อต้านว่าไม่เหมาะสมแต่ไม่นานก็เข้าใจในที่สุด
“อากาศเริ่มเย็นแล้วเรากลับกัน...เอนฟ์” ยังไม่ทันพูดจบประโยคผมก็ดึงเอนฟ์และลูกในอ้อมแขนให้มาอยู่ด้านหลังเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรผิดปกติ กลุ่มชายประมาณ 10 คนที่ผมคิดว่าเป็นเพียงชาวบ้านกำลังเดินข้ามสะพานกลับตีวงล้อมผมและเอนฟ์จนต้องก้าวถอยหลังไปเกือบติดราวสะพาน
จิตสังหารที่แผ่ออกมานี่ทำให้สัญชาตญาณระวังตัวของผมทำงานแม้จะช้าไปก็ตามที
“ท่านซิน” เอนฟ์ใช้มือข้างนึงกำชายเสื้อผมแน่น
“ไม่เป็นไร ผมจะจัดการเอง” แค่นี้ไม่ครนามือผมหรอก
“ท่านไม่ควรฝืนร่างกายโดยเฉพาะตอนนี้” ผมเข้าใจว่าเธอกำลังสื่ออะไรใน การใช้แรงหนักคงส่งผลต่อลูกในท้องได้ แต่จะให้ร่ายเวทย์ปีกแล้วฟ้าตัวเองและเอนฟ์หนีคงไม่ง่าย ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายคงเชี่ยวชาญทั้งการต่อสู้และเวทมนตร์พอดู
“คุยกันเสร็จรึยังบุตรสาวแห่งตระกูลอีเทอร์โนสและพระชายาแห่งอาณาจักรเวธาณาร์” คำพูดจากชายตรงหน้าบอกข้อมูลได้หลายอย่างทีเดียว พวกเขารู้ว่าผมและเอนฟ์เป็นใครแต่ก็ยังกล้าที่จะทำแบบนี้
ผมน่าจะให้คนของตระกลูอีเทอร์โนสตามมาด้วยก่อนจะออกจากตัวคฤหาสน์
“ต้องการอะไร” ผมถามตามตรง หากเลือกได้ก็อยากให้จบเรื่องนี้โดยไม่ต้องมีการปะทะ
“เงินและชีวิตของพวกคุณหนูไงล่ะ” พูดจบเสียงหัวเราะก็ดังตามมาติดๆ
ดวงตาสีขาวของผมเริ่มหรี่ลงยามมองใบหน้าของชายตรงหน้าดีๆ ใบหน้านี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าเป็น...
“แจ๊คเทย์” ผมพึมพำชื่อที่คิดออกมา
“โอ้ ช่างเป็นเกลียด เอ้ย! เกรียติจริงๆ ที่พระชายาทรงรู้จักกระหม่อม” น้ำเสียงล้อเลียนแทบไม่เข้าหูเมื่อได้รับคำตอบว่าชายตรงหน้าเป็นคนเดียวกับที่คิด
แจ๊คเทย์ หัวหน้ากลุ่มโจรพ่วงด้วยผู้ก่อการร้ายที่ทางการต้องการตัวอยู่ในขณะนี้ ไม่เพียงแค่ปล้นแต่ยังฆ่าเหยื่อทุกคนอย่างเหี้ยมโหด เห็นว่าไล่ปล้นฆ่าตั้งแต่อาณาจักรคาชาโลญทางตะวันตกมาจนถึงอาณาจักรเวธาณาร์ ขนาดเจ้าหน้าที่รักษาการประจำชายแดนยังถูกจัดการ
ผมรู้เรื่องนี้มาจากการมองเอกสารในมือองค์ชายแบบผ่านๆ จึงไม่มั่นใจว่าเป็นคนเดียวกันจริงไหม
การเจรจาโยนทิ้งไปได้เลย กลุ่มหัวรุนแรงไม่สนใจหรอก
“กระแสนน้ำเอ๋ยจงหมุนวนรอบกายข้า สร้างกระแสนน้ำวนอันทรงพลังกีดกันทุกแรงปะทะที่ย่างเข้ามาในอาณาเขตของพลัง” ผมร่ายเวทย์ป้องกันอย่างรวดเร็ว วงเวทย์สีขาวปรากฏขึ้นพร้อมกระแสน้ำถูกสร้างเป็นเกราะคอยคุ้มกันผมและเอนฟ์ไว้
“ร่ายเวทย์ได้เร็วดีนี่ แต่คิดว่าจะสามารถต้านข้าได้งั้นเหรอ พวกเรา” สิ้นสียงแจ๊คเทย์เหล่าลูกน้องก็ตั้งท่าพร้อมร่ายเวทย์...
“เปลวเพลิงอันหมอดไหม้จงทยานสู่ท้องฟ้าและพุ่งตกลงมา กระหน่ำโจมตีดุจพายุคลั่ง” เวทย์ที่ไม่ได้ใช้คนคนเดียวร่ายแต่เป็นคนกว่า 10 คนทำให้เกิดเป็นการประสาทเวทย์เดิมซ้ำๆ ช่วยเพิ่มพลังในการโจมตี
เพียงพริบตาที่เปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่เกราะสีฟ้าใสก็ปริแตกอย่างรวดเร็ว
เวทย์ธรรมดาทนการโจมตีรุนแรงขนาดนั้นไม่ได้หรอก
แต่ที่ผมห่วงไม่ใช่เกราะที่กำลังแตกแต่เป็นสะพานที่กำลังเกิดความเสียหายนี่ต่างหาก เวทย์ป้องการไม่ใช่ลอยตัว หากสะพานถูกทำลายพวกเราจะล่วงลงสู่ผืนน้ำด้านล่างทันที
“เอนฟ์ร่ายเวทย์ป้องกันได้ไหม” ผมหันไปถาม
“ได้ค่ะ กิ่งก้านของหมู่มวลพฤกษาจงแห่ขยายปกคลุม...” ระหว่างเอนฟ์กำลังร่ายเวทย์ปกกันผมก็ตั้งสมาธิเตรียมร่ายอีกเวทย์นึง
“ประกายแห่งเหล็กกล้าที่อยู่ใต้สุดแห่งพสุฐาจงปะทุขึ้นมาเหนือผืนดินและอาบสะพานนี้ให้แข็งแกร่งดุงดั่งเหล็กกล้าที่ไม่มีเวทย์ใดจะทำลายได้” วงแหวนเวทย์สีขาวของผมแผ่ขยายไปทั่วบริเวณสะพานกินพื้นที่ไปหลายสิบเมตรรองรับการโจมตีจากกลุ่มชายตรงหน้า
ยามร่ายเวทย์ผมจะมีสติอยู่กับเวทย์นั้นๆ จนไม่สนใจสิ่งรอบข้างมากนักทำให้พอหันกลับมามองเวทย์ป้องกันที่เอนฟ์ร่ายก็แตกพอดี ผมรีบเอาตัวเองเข้าไปกันเอนฟ์ไว้นั่นส่งผลให้แจ๊คเทย์คว้าข้อมือผมได้ก่อนจะออกแรงบิดและดึงแรงๆ จนเซ
แต่มีเหรอผมจะยอมถูกตกเป็นเฝ้าฝ่ายเดียว ในเมื่อมือถูกจับผมเลยเปลี่ยนไปใช้ขาเตะเสยเข้ายังใบหน้าแจ๊คเทย์เต็มแรง มือที่ถูกจับถูกปล่อยทว่าลูกน้องคนอื่นๆ กลับกรูกันวิ่งเข้าใส่
“แสง...อุก” ในขณะกำลังร่ายเวทย์อาการวิงเวียนชวนอาเจียนแล่นเข้ามา ร่างกายผมทรุดลงไปกองกับพื้นทั้งที่กำลังถูกคนนับสิบวิ่งเข้ามาใกล้
อาการแพ้ท้องอาจหายไปแล้วแต่ใช่ว่าจะไม่มีเลย เวลาอยู่ในที่คนพลุกพล่านหรือคนเยอะๆ เข้ามาเบียดในระยะประชิดผมมักจะมีอาการนี้เสมอ ยิ่งตอนนี้อยู่บนสะพานทำให้ร่างการโครงเครงพานให้เกิดอาการวิงเวียนขึ้นมาได้ง่ายๆ
“ท่านซิน!” เอนฟ์ตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“อึก...อุก...” แม้จะพยายามตั้งสติแต่กลับยากเกินจะทนไหว
“ดวงตาสีทองอันน่าหวั่นเกรง กรงเล็บและเขียวแสนคมกริบจงลืมตื่นขึ้นตามเสียงเรียกข้า ด้วยพันธะสัญญาแห่งเลือดนี้จงปรากฏตัวขึ้นเคียงข้างข้าราชาแห่งเหล่าสรรพสัตว์ผู้ยืนอยู่เหนือสุดของห่วงโซ่แห่งนักล่า” เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้นพร้อมเสียงคำรามของสัตว์ป่าตัวยักษ์ที่พุ่งเข้าโจมตีกลุ่มชายตรงหน้าอย่างไม่ปราณี
ร่างกายและแผงคอสีน้ำตาลทองกับดวงตาสีทองอร่ามของสิงโตตัวใหญ่ยักษ์ทำเอาบรรยากาศค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละน้อย
ผมรู้ตั้งแต่ได้ยินเสียงแล้วว่าใครที่มาช่วย
ยิ่งได้เห็นสัตว์อัญเชิญยิ่งมั่นใจ
สิงโตเป็นสัตว์นักล่าผู้เป็นราชา ดังนั้นผู้ที่จะได้ครอบครองจึงเป็นผู้ที่เหนือสุดของอาณาจักรซึ่งมีเพียง 2 คนในตอนนี้คือองค์ราชาคาราสและ...
องค์ชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์
“ความร้อนแรงจากดวงสุริยาจงแผดเผาผู้ที่บังอาจแตะต้องอัญมณีแสนล้ำค่าด้วยพายุเพลิงซึ่งจะทำลายทุกสิ่งยามถูกสัมผัส” องค์ชายฮาล์บร่ายเวทย์ต่ออีกหนึ่งเวทย์โดยปล่อยให้สิงโตตัวใหญ่กระโจนเข้าใส่กลุ่มคนตรงหน้า
พอคนเริ่มน้อยอาการวิงเวียนก็น้อยลงตาม
“วารีแสนบริสุทธิ์จงดูกลืนความร้อนจากพายุเพลิงแล้วกลั่นตัวสร้างสร้างสายฟ้าสีแดงฉานโจมตีทุกการเคลื่อนไหวภายในวงเวทย์นี้” ผมร่ายเวทย์ประสานเข้ากับเวทย์โจมตีขององค์ชาย ด้วยเวทย์ประสานนี้ส่งผลให้เปลวเพลิงถูกอัดแน่นอยู่ในรูปของสายฟ้าพุ่งเข้าโจมตีได้ตรงจุดกว่าพายุเพลิงเมื่อครู่
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีหลังองค์ชายปรากฏตัวทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ องค์ชายฮาล์บไม่ได้เสด็จมาตามลำพัง นอกจากจะมีองครักษ์แล้วยังมีชายอีกคนตามมาด้วย ชายคนนี้ผมเคยเห็น เชนคนรักของเอนฟ์นั่นเอง
“เอนฟ์” เขารีบวิ่งเข้ามาหาคนรักด้วยน้ำใบหน้ากังวล
“เชน” เอนฟ์เองก็วิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มโล่งใจที่ทุกอย่างถูกจัดการแล้ว
“อีม ท่านซินช่วยปกป้องไว้” เอนฟ์บอกพลางหันมาขอบคุณผม ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้ารับโดยในหัวกำลังเรียบเรียงคำพูดหลายๆ อย่าง
องค์ชายฮาล์บไม่ได้วิ่งเข้ามาก็จริงแต่ดวงตาสีฟ้าสว่างที่จับจ้องระหว่างก้าวเข้ามาใกล้สื่อความหมายออกมาหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความกังวล ความห่วงใยทว่าสิ่งที่เด่นชัดที่สุดกลับเป็นความโกรธ
และผมรู้ดีว่าองค์ชายโกรธเรื่องอะไร
“ซิน” เพียงเสียงเรียกเบาๆ ก็ทำให้ผมสะดุ้งได้
“...พ่ะย่ะค่ะ” ผมก้มหน้าลงเล็กน้อยเนื่องจากไม่อยากเงยหน้ามองอีกฝ่ายตอนนี้
“...” ผมปฏิเสธด้วยการส่ายหัวเล็กน้อย
“เจ้าตอบไม่ตรงคำถาม” องค์ชายพูดต่อ
“ทำไมถึงไม่เงยหน้าขึ้นมามองข้า” องค์ชายถามซ้ำอีกรอบ
“เพราะพระองค์กำลังโกรธ...”
“...” ผมเลือกที่จะเงียบและเม้มปากตัวเองแน่น น้ำเสียงขององค์ชายเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ มันเต็มไปด้วยความเสียใจ ปลงและไม่รู้จะทำยังไง
“ที่เจ้าไม่เงยหน้าขึ้นมามองข้าเพราะเจ้ารู้ตัวว่าทำผิดจนข้าต้องโกรธ”
“...” ไม่มีการปฏิเสธใดๆ เนื่องจากเป็นความจริง
องค์ชายพูดถูก ผมรู้ตัวว่าทำผิด
และเพราะรู้จึงไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาสีฟ้านั่น
“ทั้งที่รู้ว่าข้าต้องโกรธทำไมยังทำอีก”
“ข้าเคยบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าอย่าออกไปไหนตามลำพัง อย่าทำอะไรโดยไม่บอกข้าแต่เจ้าก็ยังทำ รู้ไหมตอนข้ากลับห้องแล้วไม่เจอเจ้าข้ารู้สึกยังไง...เป็นห่วง กังวล หงุดหงิด โกรธและไม่เข้าใจ” องค์ชายอธิบายทุกอย่างด้วยน้ำเสียงที่ทำเอาคนฟังรู้สึกเจ็บ
“กระหม่อมขออภัย กระหม่อมเพียงแค่อยากมาขอคำแนะนำกับเอนฟ์ เอ่อ ท่าหญิงวาภาเอนฟ์เรื่องการดูแลตัวเองระหว่างนี้ กระหม่อมคิดว่าจะกลับไปทันพระองค์แต่กลับมาเจอพวกของแจ๊คเทย์ กระหม่อมผิดเองที่ไม่บอกพระองค์ ทำให้ทรงเป็นห่วงและรู้สึกแย่” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาสีฟ้าระหว่างพูด
“กระหม่อมไม่ได้ผิดสัญญา” ผมรีบเอ่ยค้าน
“แต่เจ้าออกมาโดยไม่บอกข้า”
“กระหม่อมเขียดโน้ตบอกไว้แล้ว...บนโต๊ะ” ผมไม่มีทางทำผิดสัญญาที่เคยให้ไว้ โดยเฉพาะสัญญาที่ให้ไว้กับองค์ชายฮาล์บ
องค์ชายให้บอกผมก็บอก เพียงแค่ไม่ได้บอกตรงๆ เท่านั้นเอง
“บนโต๊ะ? ตอนกลับมาแล้วไม่เห็นเจ้าข้าไม่มีเวลาเดินไปดูบนโต๊ะหรอกนะ ทำไมไม่ใช้เวทย์สื่อสาร” องค์ชายขมวดคิ้วยามได้ยินคำอธิบาย
“...กระหม่อมไม่ทันคิด” จะว่าไปหากใช้เวทย์สื่อสารคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้
“เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกทำให้ข้าห่วงสักที”
“...กระหม่อมยังไม่ชินกับการมีคนมาคอยห่วง คอยดูแลหรือคอยรัก พระองค์ก็ทรงทราบว่ากระหม่อมโตมายังไง แต่ครั้งหน้ากระหม่อมจะบอกพระองค์ตรงๆ” ไม่ใช้เขียนโน้ตอีกแล้ว
“ข้าควรล่ามโซ่เจ้าดีไหม” ไม่รู้ว่าองค์ชายกำลังล้อเล่นหรือคิดจริงจัง
“เฮ้อ บาดเจ็บตรงไหนไหม” หลังถอนหายใจองค์ชายจึงไล่มองว่าผมได้รับบาดเจ็บตรงไหนไหม
“มีแค่ตรงข้อมือพ่ะย่ะค่ะ” ผมตอบพลงยกบริเวณที่ถูกบิดให้ดู
“ถ้าข้าสามารถใช้เวทย์รักษาได้ก็คงดี” องค์ชายพึมพำระหว่างใช้มือสัมผัสบริเวณที่มีบาดแผล
“แค่ความห่วงใยจากพระองค์ก็มากพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ แสงสีเขียวแห่งการรักษาโปรดช่วยฟื้นฟูบาดแผลด้วยพลังแห่งเรา” พูดจบผมจก็ใช้เวทย์รักษาต่อ บาดแผลค่อยๆ จางจนกระทั่งหายไป
หลังจากจบเรื่ององค์ชายได้ไปส่งเอนฟ์และคนรักยังคฤหาสน์ก่อนจะเดินทางกลับปราสาท มื้อค่ำวันนี้มีองค์ราชาและองค์ราชินีร่วมโต๊ะพร้อมคำบ่นทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใยที่ได้ข่าวว่าผมหายไป ตกดึกผมเดินออกมารับลงบริเวณระเบียงห้อง ท้องฟ้ายามนี้ถูกประดับด้วยดวงดาวมากมายแม้จะไม่งดงามเท่าไปดูในป่าก็ตาม
“ซิน” เสียงเรียกเบาๆ มาพร้อมกับอ้อมแขนซึ่งโอบเอวผมเอาไว้หลวมๆก่อนแก้มข้างขวางจะถูกสัมผัสอย่างอ่อนโยน
“องค์ชายฮาล์บ” ผมไม่ตกใจเวลาถูกเรียกหรือโอบกอดแต่การจูบเบาๆ หรือหอมแก้มผมไม่ชิน
“ไม่ควรออกมายืนตากลมรู้ไหม”
“แค่ไม่นานพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้กระหม่อมขอไปเดินเล่นในป่าได้หรือไม่” ผมเอ่ยถามก่อนเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาสีฟ้าสว่างด้านหลัง
“ถ้าจะเดินเล่นในสวนหลังปราสาทก็ได้นี่” องค์ชายเสนอ
“กระหม่อมอยากเดินเล่นในป่ามากกว่า” ไม่ต้องอยู่ในสายตาของใคร เป็นพื้นที่อันเงียบสงบและเต็มไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลายกว่าเดินในสวนหลังปราสาท
“หยุดวันนึง” องค์ชายตอบด้วยรอยยิ้ม
“กระหม่อมไม่เป็นไร พระองค์ไม่ต้องห่วง”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเก่ง ต่อให้เจออะไรคงสามารถจัดการได้แต่การห้ามไม่ให้ห่วงข้าคงทำไม่ได้ รักขนาดนี้จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง” ระหว่างพูดองค์ชายก็กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
“ยิ่งตอนนี้เจ้ากำลังมีอีกสองชีวิตอยู่ด้วยข้ายิ่งเป็นห่วง” มือที่โอบกอดเลื่อนมาสัมผัสหน้าท้องผมก่อนลูบเบาๆ สีหน้าขององค์ชายดูมีความสุขจนคนมองอย่างผมต้องยิ้มตาม
ใช่...ตอนนี้ผมมีอีกสองชีวิตที่กำลังจะกำเนิดขึ้นมาในอีกไม่ช้า
ทีมแพทย์ของทางอาณาจักรได้ทำการผลัดกันตรวจผมอยู่ทุกอาทิตย์และเมื่อไม่กี่เดือนก่อนก็ได้รับข่าวดีที่ทำให้องค์ราชินีถึงกับกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ
เด็กในท้องผมมี 2 คน ดูเหมือนจะเป็นแฝด
ผมเองยังตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากปากหมอเลย
“สรุปให้ข้าไปด้วยนะ” พอไม่เห็นผมตอบรับองค์ชายจึงถามซ้ำ
“...องค์ชาย” ผมรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นมาหลายสิบครั้งแล้วนะ
“ข้าจะขอจนกว่าจะยอมให้ไปด้วย”
“ทรงทำตัวเหมือนเด็ก” พูดแบบนั้นแต่ผมกลับชอบนิสัยนี้คล้ายกำลังถูกออดอ้อน
“เจ้าไม่ชอบเด็กหรือ” องค์ชายถามเสียงนิ่ง
“ข้าให้เจ้าตอบใหม่” คำพูดซึ่งกระซิบข้างหูกับสัมผัสของใบหน้ายามขยับเข้ามาคลอเคลียช่างทำให้ใจเต้นเกินกว่าจะทานทน
“...กระหม่อมไม่เข้าใจ” ให้ตอบใหม่คืออะไร
บอกให้อย่าพูดกำกวมก็ตอบแล้วว่าชอบทำไมยังต้องให้ตอบใหม่ด้วย
“เจ้าควรตอบว่าไม่ชอบเด็กแต่ชอบข้า”
“อะ...องค์ชาย” ผมถึงกับพูดติดอ่างด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
จะให้พูดแบบนั้น...ไม่ไหวหรอก
“ไม่พูดได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่ก็ยังเอ่ยถามออกไป
“ไม่ได้” น้ำเสียงยามพูดไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ทันทีว่าคนด้านหลังกำลังยิ้มกว้าง
“กระหม่อมไม่ได้น่ารัก” ผมย้ำเรื่องนี้หลายรอบแล้ว รูปร่างผมอาจผอมไปบ้างสำหรับผู้ชายวัยกำยำทว่าไม่ได้ปวกเปียกหรือผอมแห้ง ดวงตาเองก็เรียวปกติไม่ได้กลมโตน่ารักเหมือนผู้หญิงสักนิด
“ให้ข้ารู้ถึงความน่ารักของเจ้าคนเดียวก็พอแล้ว”
“องค์ชาย” จะทำให้ผมละลายกลายเป็นไอให้ได้ใช่ไหม
“ตอบข้าซิน...เจ้าไม่ชอบเด็กหรือ” คำถามเดิมถูกพูดซ้ำ แถมครั้งนี้ยังพูดในระยะประชิดกว่าที่เคยอีก
อยากจะร่ายเวทย์หนีสถานการณ์นี้ซะเหลือเกิน แต่ก็รู้ดีว่าหนียังไงก็ได้แต่ร่างกายเพราะหัวใจไม่สามารถหนีจากคนคนนี้ได้...ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่มีวันหนีพ้น
“กระหม่อมไม่ชอบเด็ก...แต่ชอบพระองค์” ผมกลั้นใจตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“พระองค์ที่ว่าหมายถึงใครซิน”
“องค์ชาย” แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ
“บอกให้ข้ารู้ที นะซิน” ถูกพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้นใครจะกล้าปฏิเสธได้ล่ะ
ไม่จำเป็นต้องออดอ้อนผมก็ยอมให้อย่างหมดหัวใจ
ยิ่งได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนปนร้องขอยิ่งทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากอก แบบนี้ผมจะตอบอะไรได้อีกล่ะนอกจาก...
“กระหม่อมรักเพียงองค์ชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์พ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นพรุ่งนี้ข้าไปเดินป่ากับเจ้านะ” องค์ชายอาศัยช่วงที่ผมกำลังเขินอายถามต่อทั้งที่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
“ทรงรู้คำตอบอยู่แล้ว” ต่อให้ผมปฏิเสธเขาคงถามซ้ำจนกว่าจะได้รับคำตอบที่ต้องการอยู่ดี
องค์ชายผู้แสนอ่อนโยนกลับมีด้านดื้อดึงและเอาแต่ใจ
เป็นด้านที่ผมได้เห็นเพียงคนเดียว
..................................................................................
เป็นอีกหนึ่งตอนที่เราชอบมาก
เราไม่ได้บรรยายถึงช่วงการท้องของซินมากนักเลยอาจดำเนินเรื่องในช่วงนี้เร็วไปหน่อย
ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของเรื่องแล้ว
ค่อนข้างใจหายที่อีกเดี๋ยวก็จะไม่ได้อัพเรื่องนี้แล้ว
ก่อนหน้านี้เราเพิ่งเปิดนิยายเรื่องใหม่ซึ่งเป็นเรื่องแนวแฟนตาซีเกี่ยวกับเงือก ใครสนใจสามารถเข้าไปอ่านได้นะคะ
สามารถติดตามการอัพนิยายเรื่องอื่นๆ ของเราได้ทางเพจ nicedog เช่นกัน
วันศุกร์นี้อย่าลืมเข้ามาอ่านบทสรุปของฮาล์บและซินกันนะคะ
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ลุ้นมาก กลัวว่าจะกระทบกับลูก แต่ปลอดภัยก็ดีแล้ว องค์ชายกับซินก็ยังหวานกันเหมือนเดิม
ออันนี้ความคิดด้านแย่ของเราน่ะ:คือบางทีก็หงุดหงิดซินอ่ะไม่รุ้จ่ะเกรงใจสามีตัวเองไปถึงไหนอยาก
ไห้อ้้อนบ่างพูดหวานๆกับองค์ชายบ่างอ่ะโว้ยยหงุดหงิด
อันนี้ด้านดี:แม่งโคตรชอบเลยซินกับองค์ชายน่ารักมากก
ไรท์แต่งได้อินมากชอบบบๆๆๆๆ
ลุ้นว่าจะคลอดยังไง