ใครหลายคนมักบอกว่ายามตั้งครรภ์อารมณ์ของผู้เป็นแม่จะไม่ปกติ เหมือนคำพูดนั่นจะใช้ไม่ได้กับผม ตั้งแต่ตั้งครรภ์มาก็ผ่านมากว่า 9 เดือนแล้ว และอีกไม่กี่วันจะถึงกำหนดคลอด อารมณ์ของผมยังคงปกติไม่ต่างจากเดิม สาเหตุที่เป็นแบบนั้นอาจเพราะผมมักใช้เวลาไปการตั้งสมาธิและเดินเล่นอยู่ท่ามกลางธรรมชาติก็เป็นได้ สีเขียวของผืนป่าและท้องฟ้าสีครามด้านบนช่วยให้จิตในสงบ
ในแต่ละวันในช่วงใกล้คลอดผมใช้เวลาไปกับการผ่อนคลายอารมณ์
วันนี้เองก็ออกมาเดินเล่นยังป่าริมปราสาท แน่นอนว่าไม่มาคนเดียว
“จะครึ่งชั่วโมงแล้ว เราเดินกลับกันดีไหม” เสียงทุ้มนุ่มเจือปนไปด้วยความห่วงใยดังขึ้นจากองค์ชายฮาล์บที่เดินเคียงข้างกันมาตั้งแต่เข้าบริเวณป่า
“ขออีกแป๊บได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผมต่อรอง ยังรู้สึกอยากเดินเล่นอยู่เลย
“แต่ช่วงนี้ท่านแม่บอกว่าเจ้าไม่ควรออกกำลังมาก”
“การเดินสำหรับกระหม่อมไม่เรียกว่าออกกำหรอกพ่ะย่ะค่ะ” การออกกำลังจริงๆ คือการเคลื่อนไหวร่างกายพร้อมร่ายเวทย์ต่างนับชั่วโมงต่างหาก แต่ก็เข้าใจว่าด้วยร่างกายในตอนนี้ไม่สามารถทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนั้นได้
“10 นาทีได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาสีขาวของผมหันไปประสานกับดวงตาสีฟ้าสว่างระหว่างพูด
“...เจ้าอ้อนข้า?” องค์ชายเหมือนจะอึ้งไปไม่น้อยกับท่าทางของผมที่แสดงออกไป
“กระหม่อมเปล่า...เพียงแค่...”
“ถ้าอยากอยู่ต่ออีกหน่อยก็อ้อนข้าสิ...ซิน” ไม่พูดเปล่าองค์ชายขยับตัวเข้ามาใกล้จับจ้องมายังผมด้วยรอยยิ้ม
“...พระองค์ก็รู้ว่ากระหม่อมอ้อนไม่เป็น” แค่ศัพท์คำว่าอ้อนผมยังแปลความหมายไม่ถูกเลย
“พ่ะย่ะค่ะ” ผมนิ่งก่อนจะตอบไปตามจริง
“ข้าดีใจที่ได้เป็นคนแรก” คำพูดขององค์ชายฮาล์บแปลความหมายได้ว่าสุดท้ายผมก็ต้องทำตามคำพูดนั้นอยู่ดี
“...กระหม่อมทำไม่เป็น” ผมยืนยันอีกรอบ
“ลองดูสิ ข้าอยากรู้เจ้าจะตีความหมายของคำว่าอ้อนยังไง”
หลังพูดจบองค์ชายไม่ได้เอ่ยเร่งอีก ที่ทำมีเพียงยืนนิ่งๆ และจับจ้องมาอย่างรอยคอยปล่อยให้ผมมีเวลาได้คิดและตีความหมาย ไม่ง่ายเลยสำหรับผมกับคำว่าอ้อน
เรียกว่าอยู่ห่างไกลมากคงไม่ผิดนัก
ผมไม่มีใครให้อ้อนจึงไม่เคยอ้อน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ข้างกายมีองค์ชายฮาล์บ
ถ้าถามว่าผมตีความ ‘อ้อน’ ไปในรูปแบบไหนก็คง...
ริมฝีปากผมขบเม้มเข้าหากันอย่างครุ่นคิดก่อนจะก้าวไปตรงหน้าองค์ชายใช้มือสองข้างกอดและซุกตัวอยู่บริเวณแผ่นอกอุ่นๆ พลางคลอเคลียศีรษะกับแผ่กอกนั้นเล็กน้อย ทำได้ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นไปสบกับดวงตาสีฟ้าสว่างที่จับจ้องมองดูการกระทำของผมอยู่ก่อนแล้ว
“อะไร” แม้จะเล็กน้อยแต่ผมสัมผัสได้ว่าเสียงขององค์ชายสั่นเล็กน้อย
“อยู่ต่ออีกสัก 10 นาทีได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผมพยายามที่จะทำเสียงอ้อนทว่าฟังยังไงก็ยังไม่ดูเป็นการอ้อนสักนิด
แต่ถึงจะทำใหม่อีกรอบก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะอ้อนยังไง
สงสัยคงต้องศึกษามากกว่านี้ซะแล้ว
“...เจ้าโกหกข้า” นิ่งไปสักพักก่อนพึมพำกลับมา
“โกหก?” ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เข้าใจว่าไปโกหกองค์ชายเรื่องอะไร
“ไหนเจ้าบอกไม่เคยอ้อนและทำไม่เป็นไง”
“กระหม่อมไม่เคยและทำไม่เป็นจริงๆ” ผมยืนยันได้ ไม่ได้โกหกสักนิด
“จะบอกว่าครั้งแรกเจ้าทำได้ขนาดนี้เลย?” องค์ชายถามกลับ
“...แปลว่ากระหม่อมอ้อนได้ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” ประมวลคำพูดนั้นสักพักผมจึงถามกลับแม้จะต้องพูดประโยคหน้าอายที่พานให้ใบหน้าเริ่มเห่อแดงก็ตาม
“ดีสิ ดีมากด้วย” รอยยิ้มจากองค์ชายคล้ายคำชมทำให้ผมยิ้มตาม
“งั้นขอเดินไปทางนี้ได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผมชี้นิ้วไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของป่า
“อืม...ไม่เคยไปทางนั้น” ผมคลี่ยิ้มบางๆ ยามได้ยินคำตอบ
องค์ชายฮาล์บตั้งแต่เด็กจนโตมักอยู่ฝึกในปราสาทไม่ก็ออกไปเดินในเมืองจึงไม่แปลกหากไม่รู้ว่าภายในป่านี้มีอะไรอยู่บ้าง ซึ่งต่างจากผมที่รู้ทุกซอกทุกมุมของป่าจากการเดินไปมาตั้งแต่วัยเด็ก
“โชคที่ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ” ผมพึมพำพลางเดินนำองค์ชายไป
ระหว่างเดินองค์ชายฮาล์บไม่ยอมปล่อยให้ผมห่างตัว มือผมถูกกุมเอาไว้หลวมๆ จนกระทั่งเดินหลุดพ้นเขตต้นไม้ทึบ ที่ราบกว้างเต็มไปด้วยหญ้าและดอกไม้ป่าเบ่งบานถึงจะยังไม่ได้บานทั้งหมดแต่ก็นับว่าเป็นภาพที่หาดูยาก
“...มีสถานที่แบบนี้ด้วย” องค์ชายพึมพำโดยสายตาจับจ้องไปยังภาพตรงหน้า
“หากรออีกสักสองสัปดาห์ดอกไม้คงจะบานไปทั่ว สวยกว่านี้อีกพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารู้จักป่านี้ทุกซอกมุมเลยรึเปล่านะ”
“ไม่ขนาดนั้น...แค่ส่วนมากเท่านั้นเอง”
“ไว้เรามาดูกันอีกตอนดอกไม้บานเต็มที่เถอะ” รอยยิ้มกว้างและสายตาอันแสนอ่อนโยนที่หันมาสบเรียกรอยยิ้มผมให้เผยออกตาม
“พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายฮาล์บเป็นผู้ชายที่ยิ้มได้น่ามองและน่าดึงดูดที่สุด
ยามราตรีอันเสียงสงัด ความมืดซึ่งดูดกลืนทุกสรรพสิ่งให้จมสู่ห้วงนิทราในคืนนี้กลับต่างออกไป ความเจ็บบริเวณท้องเสียดแทงพร้อมแรงขยับจากด้านในทำเอาดวงตาสีขาวของผมเบิกกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อึก...” ผมค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นนั่ง ข่มความเจ็บปวดนี้สุดความสามารถ
ก่อนหน้านี้ถึงจะเคยปวดตอนเด็กในท้องขยับหรือถีบบ้างแต่ไม่เคยมากเท่านี้มาก่อน
“ซิน?” องค์ชายที่น่าจะนอนหลับสนิทลืมตาตื่นก่อนขยับตัวเข้ามาดูผมใกล้ๆ
“เป็นอะไรซิน ปวดหรือ” องค์ชายถามด้วยสีหน้ากังวล
“...กระหม่อมไม่เป็นไร” ผมกลั้นใจตอบทั้งที่รู้สึกเจ็บแทบขาดใจ
ไม่อยากให้องค์ชายเป็นห่วงหรือกังวล
“สีหน้าเจ้าดูเหมือนคนไม่เป็นไรที่ไหนกัน”
“อึก...อื้อ!” ความเจ็บที่เพิ่มมากขึ้นรุนแรงจนร่างกายเซใกล้ล้ม องค์ชายเองเห็นอาการไม่ดีจึงเข้ามาช่วยประคอง
“...อ่า” แม้จะตอบรับยังทำไม่ได้เลย
ขณะกำลังข่มความเจ็บปวดองค์ชายที่คิดว่าออกไปนอกห้องแล้วกับเดินมาข้างเตียงก่อนจะช้อนร่างผมอุ้มแนบอกแล้วเดินออกไปด้านนอกอีกครั้ง
“ไม่ต้องพูดอะไร อยู่นิ่งๆ ซิน” องค์ชายบอกระหว่างก้าวเดินไปตามทาง
ในตอนกลางคืนทางเดินจะมีไฟประดับไว้ตามทางทำให้เดินง่าย องค์ชายพาผมไปหาหน่วยแพทย์ซึ่งมีการเข้าเวรอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง หัวหน้าทีมแพทย์เข้ามาตรวจดูอาการผมทันทีที่ถูกวางลงบนเตียงด้านข้างห้อง
“พระชายากำลังจะให้กำเนิดพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าหน่วยแพทย์บอก
“...ซิน” องค์ชายดูเหมือนกำลังตกใจ ร้อนรนและกังวลในขณะเดียวกันเมื่อได้ยิน
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยแล้วพยายามยิ้มไม่ให้องค์ชายรู้สึกกังวล
“พวกเราจะรีบเตรียมวาดวงแวนเวทย์พ่ะย่ะค่ะ เพย์ กุน”
“ครับ/ค่ะ” ลูกทีมด้านหลังขานรับแล้ววิ่งออกไปด้านนอก
“องค์ชายทรงอุ้มพระชายาไปด้านนอกได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้สิ” องค์ชายพยักหน้าแล้วอุ้มผมอีกครั้ง
สถานที่ที่พามาคือบริเวณใจกลางห้องโถง เวทมนตร์ไม่ได้ใช้สำหรับโจมตี ป้องกัน ผนึกหรือสื่อสารเท่านั้นแต่ยังคลอบคลุมไปถึงการคลอดลูกด้วย อักขระเวทมนตร์ถูกเขียนด้วยเวทมนตร์เฉพาะซึ่งต้องใช้เวลาในการเตรียมการสักพัก
ในระหว่างนั้นมีทหารได้ไปส่งข่าวให้องค์ราชากะบองค์ราชินีทราบ ทั้งคู่จึงรีบวิ่งมาทั้งที่อยู่ในชุดนอน กำลังใจที่ได้รับทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นทว่าความเจ็บปวดกลับไม่มีทีท่าจะลดลง
“เสร็จรึยัง” องค์ราชาหันไปถามหน่วยแพทย์ซึ่งตอนนี้มารวมตัวกันกว่าสิบคน หากเป็นวงแหวนเวทย์ยามคลอดปกติคงไม่กินเวลานานแบบนี้แต่เพราะผมซึ่งเป็นผู้ชายทำให้ต้องมีการปรับและเขียนอักขระตามแบบที่องค์ราชาเคยรับสั่งให้ทางหน่วยแพทย์ฝึกวาดไว้
ต่อให้เคยฝึกทำแค่ไหนการวาดอักขระที่มีความซับซ้อนมากไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น และอักขระนี่ไม่สามารถวาดทิ้งไว้ก่อนเป็นเวลานานได้ หลังจากวาดหากไม่ใช้งานก็จะสลายหายไปทันที ถือเป็นเวทย์ที่ค่อนข้างมีขั้นตอนซับซ้อนมากและยากทีเดียว
“พ่ะย่ะค่ะ โปรดพาพระชายาไปไว้กลางอักขระเวทย์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าหน่วยแพทย์พูด
“แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดใช่ไหม” องค์ชายถามระหว่างอุ้มผมเดินไปกลางวงของอักขระเวทมนตร์ ความห่วงใยปนกังวลแผ่ออกมาจนผมที่สติไม่ค่อยอยู่กับตัวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน
“พวกเราตรวจดูเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พอได้ยินคำขานนั่นองค์ชายก็คลายหน้ากังวลลงบ้าง
“ซิน อดทนนะ” ฝ่ามืออุ่นๆ แนบลงมาบนผิวแก้มช่างรู้สึกดีเหลือเกิน
“...พ่ะย่ะค่ะ ทรงอย่ากังวลกระหม่อมไม่เป็นไร” ผมบอกด้วยเสียงแผ่วๆ
แผ่นหลังผมสัมผัสกับพื้นซึ่งมีผ้าปูรองก่อนเหล่าหน่วยแพทย์จะเริ่มร่ายเวทย์พร้อมกับวงแหวนเวทย์ที่ประสานเข้าด้วยกัน ร่างของผมถูกยกขึ้นด้วยพลังของเวทมนตร์ห่างจากพื้นเล็กน้อย ด้านบนผมมองเห็นประกายจากเวทมนตร์ที่กำลังทำงาน
พลังเวทย์ซึ่งกระจายไปทั่วบริเวณกำลังมารวมตัวกันบริเวณท้องผม วางแหวนเวทย์แบบพิเศษกางคลุมร่างผมไว้ท่ามกางอักขระเวทย์กำลังส่องแสงอยู่รอบทิศ ความเจ็บปวดและทรมานคล้ายกำลังล่วงหล่นลงไปโดยไม่มีจุดสิ้นสุดสร้างภาระให้แก่ร่างกายมากกว่าที่คิด แต่ผมจะไม่ยอมหมดสติแน่นอน
การคลอดลูกของผมและผู้หญิงเหมือนกันอยู่หลายอย่างและหนึ่งในนั้นคือการประคองสติและสมาธิไม่ให้จมดิ่งหรือขาดหายไป อธิบายง่ายๆ คือต้องตื่นอยู่ตลอดจนกระทั่งเด็กออกมาไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตรายต่อทั้งตัวผมและเด็กในท้องด้วย
“อึก...” ผมกำลังพยายามหายใจเขาออกให้เป็นจังหวะตามที่ได้ยินมาจากเอนฟ์
ยามผมตั้งสติได้เป็นจังหวะเดียวกับที่ความเจ็บปวดอันรุนแรงบริเวณท้องปะทุขึ้น วงแหวนเวทย์กางออกทั้งเหนือท้องและด้านใต้ตัวผมพร้อมกับร่างของเด็กทารกทั้งสองชีวิตค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดแม้จะมีคนอยู่นับสิบ
“อื้ออ~” ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับร่างกายกำลังแตกสลายและแยกออกเป็นชิ้นยังคงดำเนินต่อไป ไม่นานร่างกายผมก็กระตุกอย่างรุนแรงยามเด็กทั้งสองคลอดออกมาได้สำเร็จ แผ่นหลังผมสัมผัสกับพื้นด้านล่างก่อนหนึ่งในหน่วยแพทย์จะก้าวเข้ามาอุ้มทารกน้อยไปดูแลต่อ
ดวงตาสีขาวของผมไม่สามารถลืมได้ ตอนนี้แค่ปรือก็เต็มกลืนแล้ว ภาพขององค์ชายวิ่งเข้ามาประคองร่างผมพร้อมเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงร้อนรนเป็นสิ่งสุดท้ายที่สัมผัสได้
ท่ามกลางความเงียบอันมีแสงสีนวลโอบล้อมร่างกายผมยืนอยู่ท่ามกลางแสงนั่นและก้าวเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ทว่าเสียงเรียกซึ่งไล่หลังมาช่างชวนให้คะนึงหายิ่งกว่าสิ่งใด
อยากเจอทั้งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
ทั้งที่เป็นแบบนั้นผมกลับไม่ลังเลเลยที่จะหันหลังแล้วเดินไปหาเสียงเรียกนั่น
และนั่นคือภาพฝันก่อนดวงตาสีขาวของผมจะค่อยๆ ปรือขึ้นแล้วกระพริบสองสามครั้งเพื่อเรียกสติทั้งหมดให้กลับเข้าร่าง ร่างกายยังคงเจ็บโดยเฉพาะบริเวณท้อง ภาพความทรงจำปรากฏออกมาเป็นฉากๆ ตั้งแต่ตอนปวดคลอดกระทั่งสลบไป
“ลูก!” พอนึกขึ้นได้ผมรีบหันไปมองรอบกาย ตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในห้องขององค์ชายฮาล์บตามลำพัง
“ซิน?” เสียงเปิดประตูดังพร้อมเสียงเรียกอันแสนคุ้นเคยจากองค์ชายฮาล์บที่รีบเดินเข้ามาหาผมโดยในมือมีแฟ้มเอกสารอยู่ประมาณ 4 แฟ้ม
ถ้าให้เดาเขาคงนำงานมาทำในห้องระหว่างคอยดูแลผม
“องค์ชาย...ลูกล่ะพ่ะย่ะค่ะ” ผมถามหาทันที
“อยู่ตรงนั้นไง” องค์ชายบอกพลางชี้ไปยังที่ว่างด้านข้างระหว่างเตียงกับตู้เสื้อผ้า ที่นอนเด็กขนาดไม่ใหญ่มากวางติดกันสองเตียงด้านในมีร่างของทารกน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่
ทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้แต่ผมกลับไม่เห็นสงสัยจะรนเกินไปหน่อย
“พวกเขาแข็งแรงดีใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม แข็งแรงดี เจ้าเถอะไม่เป็นไรใช่ไหม” องค์ชายขยับขึ้นมานั่งบนเตียงระหว่างถาม
“ข้าไม่เชื่อคำของคนที่หลับไป 3 วันเต็มหรอกนะ”
จะบอกว่าผมหลับไปถึง 3 วันเต็ม?!
“ข้าเป็นห่วงมากรู้ไหม ถึงหน่วยแพทย์จะบอกว่าหลังคลอดจำเป็นต้องพักผ่อนก็อดห่วงไม่ได้” น้ำเสียงกังวลปนห่วงใยนั่นทำให้ผมเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าขององค์ชายเบาๆ
“ขอบพระทัยที่ทรงห่วง” ผมส่งยิ้มจางๆ กลับไป
“กระหม่อมพักมา 3 วันแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” นานมากสำหรับผม
“...กระหม่อมไม่เจ็บแล้ว” ผมส่ายหัวเล็กน้อย
“เจ้าโกหกข้าไม่ได้” ดวงตาสีฟ้าสว่างจับจองมายังผม ไม่ใช่แค่ใบหน้าแต่ทุกการเคลื่อนไหวไม่อาจเล็ดรอดไปได้รวมถึงมือผมที่กำลังกุมท้องตัวเองอยู่ก็เช่นกัน
“จะเจ็บน้อยเจ็บมากก็ถือว่าเจ็บ พักต่อเถอะซิน”
“พ่ะย่ะค่ะ” สุดท้ายผมก็ต้องพักตามที่องค์ชายบอก
“หิวสินะ เดี๋ยวข้าไปหาอะไรมาให้ โจ๊กหรือข้าวต้มดี?” ก่อนเปิดประตูออกไปองค์ชายหันกลับมาถาม
“ขอเป็นโจ๊กดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” รู้เลยว่าท้องตัวเองยังรับพวกเม็ดข้าวไม่ค่อยได้
ไม่นานโจ๊กฟักทองร้อนๆ ก็ถูกยกมาให้ถึงบนเตียง ผมเตรียมจะรับถ้วยโจ๊กนั้นมาทว่าองค์ชายกลับยกถ้วยหนีพร้อมใช้ช้อนตักโจ๊กสีเหลืองนวลเป่าเบาๆ ก่อนยื่นมาตรงหน้า
“...กระหม่อมทานเองได้พ่ะย่ะค่ะ” ขืนป้อนแบบนี้ความอยากอาหารที่ไม่ค่อยมีก็ยิ่งติดลบน่ะสิ
“กระหม่อมอยากทานเอง” ผมยังคงไม่ยอมแพ้
“ข้าจะป้อน” คำพูดเดิมถูกเอ่ยซ้ำ
ผมรู้ได้ทันทีว่าต่อให้ยืดเยื้อต่อไปผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนจนอ้าปากยอมรับการป้อนจากองค์ชายอย่างโดยดี ไม่ขัดขืนหรือพูดมากอีก ยอมรับว่าผมทั้งเขิน ทั้งอายและไม่ชินกับการถูกป้อน ยิ่งอีกฝ่ายเผยรอยยิ้มแสนอ่อนโยนผมก็อยากจะหันหน้าหนีไปอีกทางเพื่อไม่ให้มองเห็นใบหน้าที่กำลังเห่อแดงนี้ได้
“...พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ผมเบือนหน้าเล็กน้อยหลังกินโจ๊กมาหลายคำ
“เจ้าเพิ่งกินไปนิดเดียวเองนะ”
“ถ้าเจ้าไม่ทานแล้วจะมีนมให้ลูกได้อย่างไร”
“นม?” จะว่าไปเหมือนจะได้ยินมาจากองค์ราชาอยู่เหมือนกันว่าต่อให้เป็นผู้ชายในช่วงที่เด็กกำลังเติบโตจำเป็นต้องกินนมจากผู้ให้กำเนิด
“ใช่ ระหว่าง 3 วันที่เจ้าหลับหน่วยแพทย์เตรียมนมไว้ให้ทั้งคู่ดื่มแล้วก็จริงแต่ยังไงดื่มจากเจ้าจะดีกว่า” องค์ชายอธิบาย
“งั้นกระหม่อมจะทานต่อ” หากผมกิน สารอาหารเหล่านั้นจะช่วยให้น้ำนมเพิ่ม
เหมือนจะได้ยินมาแบบนั้นนะ
“ข้าชักหึงแล้วนะ” องค์ชายหรี่ตามองมา
“น่าหึงไหมล่ะ ขาบอกให้เจ้าทานอีกหน่อยแต่กลับถูกปฏิเสธ พอบอกว่าลูกต้องการนมเจ้ากลับบอกจะกินต่อซะอย่างงั้น รักลูกมากกว่าข้าแล้วหรือ” พูดจบก็ขยับหน้าเข้ามาเพื่อดูปฏิกิริยาของผม
“ไม่ใช่...กระหม่อมเพียงแค่ห่วงลูก”
“เจ้าตอบไม่ตรงคำถามนะซิน”
“อะ...กระหม่อมรักเท่ากันพ่ะย่ะค่ะ” ผมก้มหน้าลงเล็กน้อยระหว่างตอบ
“รักข้ามากกว่านิดนึงก็ได้นะ”
“ทานต่อเถอะ เสร็จแล้วข้าจะอุ้มลูกมาหาเจ้า” เพราะประโยคนั้นละมั้งถึงทำให้ผมกินโจ๊กฟักทองจนหมดถ้วยในเวลาอันรวดเร็วแม้จะไม่มีความหิวเลยก็ตาม
ทารกตัวน้อยๆ สองคนบัดนี้อยู่ในอ้อมกอดผมโดยมีองค์ชายฮาล์บคอยช่วยประคองไม่ให้ลูกตก แม้จะยังเด็กแต่ผิวขาวอมเหลืองนิดๆ นี่ได้ผมและองค์ชายมาเต็มๆ ต้องรอดูตอนลืมตาว่าดวงตาจะเป็นสีอะไร
“แอ๊...” เสียงเคี้ยวปากจากเจ้าตัวทำเอาผมเผลอยิ้มออกมา
“น่ารักเหมือนเจ้าแหละ สงสัยคงจะหิวละมั้ง”
“หิว? งั้นกระหม่อมต้องให้นม?” ผมหันไปข้อความเห็น
“พ่ะย่ะค่ะ...เอ่อ องค์ชายฮาล์บ” ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อผมเรียกองค์ชายที่ดูเหมือนจะจับจ้องมามากเกินพอดี
“ฮืม?” และเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ด้วยว่าผมกำลังสื่ออะไร
“อย่ามองกระหม่อมได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยขอออกไปตามตรง
“ข้าอยากเห็นนี่” องค์ชายให้เหตุผล
“แต่พระองค์จ้องมากเกินไป” แบบนี้ก็เกร็งจนทำอะไรไม่ถูกพอดี
“...” ผมเม้มปากแน่นพร้อมก้มหน้าลงทำเป็นไม่รู้ว่ามีสายตาจับจ้องมาทุกการเคลื่อนไหว กระดุมเสื้อถูกปลดออกก่อนผมจะอุ้มทารกคนแรกขึ้นมาบริเวณแผ่นอก
แรกขมเม้มพร้อมดูดดึงทำเอารู้สึกแปกๆ แต่ก็ยังไม่เท่าสายตาที่จับจ้องอยู่ไม่ห่าง ทารกอีกคนอยู่ในอ้อมแขนขององค์ชาย เมื่อผ่านไปสักพักผมจึงสลับให้อีกคนได้ดื่มนมบ้าง เหมือนเสียงเคี้ยวปากเมื่อครู่จะเป็นเพราะหิวจริงๆ หลังดื่มนมเสร็จทั้งคู่ก็หลับสนิทองค์ชายจึงพาทารกทั้งสองกลับไปนอนยังเตียงเด็ก
“อะไรซิน” องค์ชายถามกลับระหว่างกลับขึ้นมานั่งบนเตียงข้างผม
“ทรงตั้งชื่อให้ทั้งคู่รึยังพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังเลย ข้าอยากมาถามความเห็นเจ้าก่อน”
“มีหลายชื่อที่ลังเลหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผมถามต่อ
“เปล่า ข้าคิดไว้เพียง 2 ชื่อ” องค์ชายตอบ
“ถ้างั้นทำไมถึงไม่ตั้งเลย...” ผมนึกว่ามีหลายชื่อที่ลังเลอยู่ซะอีก
“บอกแล้วไงว่าอยากถามความเห็นเจ้าก่อน”
“มีชื่ออะไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้หญิงชื่อซีฮาร์ ผู้ชายให้ชื่อไฮเซน”
“ซีฮาร์ ไฮเซน” ผมพึมพำสองชื่อนี้ไปมา หัวใจรู้สึกอุ่นวาบอย่างไม่มีสาเหตุ
“ข้านำตัว ฮ. จากฮาล์บกับตัว ซ. จากซินมารวมกัน เจ้าคิดว่าเป็นยังไง” องค์ชายถามพลางโอบไหล่ผมให้พิงไปยังแผ่นอกตัวเอง
“...เพราะมากพ่ะย่ะค่ะ” ยิ่งรู้ถึงความหมายแฝงของชื่อหัวใจยิ่งเต้นแรงขึ้น
ได้รับทั้งความรักและถูกให้ความสำคัญมากถึงเพียงนี้
ซีฮาร์และไฮเซนเป็นชื่อที่ดีมาก
“งั้นชื่อตกลงตามนี้เลยนะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ผมพยักหน้าเบาๆ
“เสร็จเรื่องชื่อ เรามาเรื่องต่อไปกันดีกว่า” องค์ชายพูดแล้วประสานดวงตาสีฟ้าสว่างกับดวงตาสีขาวของผม
“...เรื่องต่อไป?” เรื่องอะไรกัน
คำถามนั่นทำเอานิ่งเงียบพลางขมวดคิ้ว ในหัวกำลังประมวลและวิเคราะห์ความหมายของประโยคที่ได้ยิน ครั้งนี้องค์ชายไม่ได้ถามซ้ำหรือเร่งรัดอย่างทุกทีผมจึงมีเวลาได้คิดและเรียบเรียงทุกอย่าง
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถามคำถามนี้
“...คนรักพ่ะย่ะค่ะ” แม้จะไม่ต้องคิดแต่ใช่ว่าจะกล้าตอบเต็มปากเต็มคำ
“ทำไมคิดนาน? หรือว่าไม่รักข้าแล้ว...”
“กระหม่อมรักพระองค์ รักแค่พระองค์” ไม่ต้องรอให้องค์ชายพูดจบประโยคผมก็รีบพูดแทรกพร้อมดวงตาสีขาวหันไปมสบดวงตาสีฟ้าสว่างอย่างจริงจัง
ความรู้สึกนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแต่มีมานานมากกว่า 13 ปี
ทั้งที่เป็นแบบนั้นจะไม่รักได้ยังไง
“...ก็กระหม่อมไม่ได้กล้าแสดงออกขนาดนั้น” จะให้พูดตรงๆ มันไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่
“ไม่กล้าแสดงออกแต่พอบอกว่าไม่รักข้า เจ้ากลับพูดสวนเสียงดังจนได้ยินกันทั้งปราสาท” ระหว่างพูดริมฝีปากก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มกว้างอันเปี่ยมไปด้วยความสุขออกมา
“...นั่นเพราะพระองค์กำลังเข้าใจผิด”
“ข้ารู้ รู้อยู่แล้วความรู้สึกของเจ้าน่ะ” ฝ่ามืออุ่นๆ แนบลงมายังแก้มของผมแล้วเกลี่ยเล่นไปมาเบาๆ
“หากรู้แล้วทำไมถึงยังถาม”
“เจ้าไม่รู้?” สีหน้าขององค์ชายคล้ายจะตกใจที่ผมไม่รู้
“ไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ” ถ้ารู้ผมคงไม่ถามหรอก
ต่อให้เป็นผมใช่ว่าจะรู้ทุกเรื่องสักหน่อย
“ในเมื่อข้าเป็นคนรักของเจ้า งั้นทำไมเจ้ายังพูดสุภาพกับข้าขนาดนี้ล่ะ”
“ก็พระองค์เป็นองค์ชายของอาณาจักร...”
“เจ้าเองก็เป็นพระชายาขององค์ชายแห่งอาณาจักรเวธาณาร์” องค์ชายฮาล์บพูดสวน
“เอ่อ...มันเป็นความไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ” ผมพยายามพูดอธิบาย
“ทั้งที่เจ้าเคยเรียกชื่อข้าแท้ๆ” น้ำเสียงคล้ายเด็กกำลังงอนไม่ได้ทำให้ความหนักใจน้อยลงเลย
“กระหม่อมไม่เคยเรียก อ๊ะ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยคภาพในหัวยามผมกำลังถูกอีกฝ่ายกอดพร้อมพร่ำเรียกชื่อนั้นซ้ำไปมาก็ฉายภาพนั้นวนซ้ำอีกหลายต่อหลายรอบ แม้เป็นเพียงความทรงจำก็สามารถทำให้ใบหน้าผมเห่อแดงได้
“นึกออกแล้วใช่ไหมว่าเคยเรียกตอนไหน” ไม่พูดเปล่าองค์ชายยังขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจและปลายจมูกที่เกลี่ยกันเล่นเบาๆ
ร่างกายผมเกร็งไปหมดเพราะไม่เพียงแค่สัมผัสหรือดวงตาที่ประสานมาแต่ยังมีรอยยิ้มกึ่งชื่นชมกึ่งเย้าแหย่เผยออกมาให้เห็นในระยะประชิด
“...ทรงแกล้งกระหม่อมทำไม”
“พระองค์กำลังทำอยู่” ตอนนี้ผมกำลังถูกแกล้งโดยไม่อาจขัดขืนได้
เขารู้ว่าหากใช้ดวงตาสีฟ้าสว่างกับรอยยิ้มนั่นยังไงผมก็ไม่มีทางละสายตาออกไปได้ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ตาม ตัวตนขององค์ชายฮาล์บในหัวใจผมกินพื้นที่มากเกินกว่าจะทานทนไหว
“ข้าเพียงอยากให้คนรักเรียกชื่อตัวเองเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องคำสุภาพก็ได้แค่เรียกชื่อข้า...ได้ไหมซิน” แววตาที่จับจ้องมาราวกับกำลังอ้อนปนร้องขอ
“...ตอนอยู่กันสองคนได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากนิ่งคิดสักพักผมจึงตัดใจยอมให้ครึ่งทาง
จะให้ผมเรียกชื่อห้วนๆ ต่อหน้าคนอื่นในที่สาณารณะมันดูไม่ดีแต่ถ้าแค่ตอนอยู่กันสองคนผมยังสามารถข่มความอายได้
“ได้ งั้นตอนนี้เรียกชื่อข้าให้ฟังหน่อยสิซิน”
“ตอนนี้มีลูกอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ” ผมยกยิ้มเล็กน้อยระหว่างพูด เขาเพิ่งตกลงว่าจะให้พูดตอนอยู่กันสองคนแต่ในเมื่อตอนนี้มีลูกกำลังนอนอยู่ก็ไม่นับว่าอยู่ตามลำพังนะ
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“มิกล้าน้อยล่ะสิ หยวนข้าหน่อยนะซิน” องค์ชายพูดแล้วดึงผมไปกอดแนบกาย เส้นผมสีทองสรวยสยายลงมาเล็กน้อยยามองค์ชายเอียงคอมองใบหน้าผมด้วยรอยยิ้ม
“...ฮาล์บ” ผมซุกหน้าเข้ากับเสื้อสีน้ำเงินเข้มตรงหน้าขณะพึมพำเสียงเบา
“...ฮาล์บ” ครั้งนี้ผมผละออกมาจากเสื้อสีเข้มแต่ยังคงเอ่ยเสียงเบาอยู่ดี
“องค์ชาย” แค่นี้หัวใจก็เต้นแรงจะแย่แล้วนะ
“ข้าอยากได้ยิน เรียกอีกสิซิน” พอถูกดวงตาสีฟ้าสว่างจับจ้องมาการรับรู้ก็ราวกับถูกระงับ
“ฮาล์บ...อื้ออ~” และทันทีที่เรียกริมฝีปากอุ่นๆ ก็ประกบลงมาอย่างอ่อนโยน สัมผัสของการแนบชิดแม้จะเป็นเพียงส่วนเดียวกลับทำให้รู้สึกดีจนไม่อยากแยกจาก
“กระหม่อมไม่ได้ยั่วสักหน่อย” ผมย้ำเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
ศาสตร์ขั้นสูงอย่างการยั่วผมทำไม่เป็นหรอก แถมยังไม่มีเวลาให้ศึกษาด้วย
แค่อ้อนยังแข็งทื่อจนอยากร่ายเวทย์หนีไปซะจริงๆ
“ไม่ยั่วก็ไม่ยั่ว นี่ซิน”
“ข้ามีอีกอย่างที่คาใจและอยากถามมาตลอด”
“เรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองเผลอทำอะไรลงไป
“ในตอนข้ายังเด็กเคยถูกลักพาตัวไป ตอนนั้นข้ากลัวมากคิดว่าคงไม่รอดแน่ๆ แต่กลับถูกคนคนหนึ่งช่วยเอาไว้ สีขาวเป็นเอกลักษณ์เดียวที่ข้าจดจำได้ แม้จะเคยถามหลายครั้งแล้วแต่ข้าก็ยังอยากจะถามอีกครั้ง...คนที่ช่วยข้าในตอนนั้นคือเจ้าใช่ไหม ซิน” ทั้งน้ำเสียง สีหน้าและสายตาที่จ้องมามองนั้นไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามเหมือนกำลังเดิมพันกับอะไรสักอย่างกับคำตอบที่ไม่รู้ว่าจะได้ยินอะไร
จะว่าไปตั้งแต่วันแรกที่ได้กลับมาเผชิญหน้ากันผมก็ถูกเอ่ยถามคำถามเดียวกันนี่มาแล้ว และคำตอบในตอนนั้นคือคำหลีกเลี่ยงเพราะไม่อยากให้ตัวตนของตนเองถูกเปิดเผย
ผมไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังองค์ชายอีก
ทุกเรื่องที่เขาอยากรู้ผมพร้อมจะบอก
“พ่ะย่ะค่ะ...เป็นกระหม่อมเอง” ผมยอมรับออกไปตามตรงโดยไม่โกหกหรือหลีกเลี่ยงเหมือนอย่างทุกครั้ง
“ข้าว่าแล้ว เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย” น้ำเสียงขององค์ชายไม่ได้กำลังโกรธที่ผมโกหก รอยยิ้มบางๆ นั่นคล้ายจะบอกว่าเดาไว้อยู่แล้วถึงคำตอบของผม
“ทรงอภัยที่กระหม่อมปิดบังมาตลอด”
“เจ้ารู้ไหมว่าข้ารักเจ้าตอนไหน” อยู่ๆ องค์ชายก็เปลี่ยนเรื่อง
“ข้าเคยคิดว่าอาจเป็นตอนที่ข้ามีเจ้าอยู่ข้างกายมาตลอด”
“เคยคิดแปลว่าไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ผมถามต่อ
“ใช่ พอมาคิดดูดีๆ ไม่ใช่ตอนนั้นแต่ต้องย้อนกลับไปไกลกว่านั้นอีก บานประตูในห้องเรียนถูกเปิดพร้อมร่างโปร่งบางของใครบางคนที่ก้าวเข้ามา ทั้งผิว เส้นผมหรือสีตาล้วนเป็นสีเดียวกันหมดคือสีขาว ยามมองเจ้าความทรงจำในอดีตเหมือนถูกรื้อฟื้น ความรู้สึกที่หลับใหลอยู่ในนี้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ได้เจอหน้าเจ้า ข้าคงหลงรักเจ้าตั้งแต่วัยเด็กแล้ว” ทุกถ้อยคำถูกเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยความสุขเกินจะบรรยาย
คนฟังอย่างผมเองยังเผยรอยยิ้มตามไปด้วย
“หัวใจของกระหม่อมเองก็เป็นของพระองค์มาตั้งแต่ได้เห็นรอยยิ้มและสัมผัสอันแสนอบอุ่นจากพระองค์ในวัยเยาว์เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาของพวกเราประสานกันตลอดเวลายามเปิดเผยความรู้สึกในก้นบึ้งของหัวใจ
“กระหม่อมก็รักองค์ชายฮาล์บ”
“ตอนนี้ถือว่าเราอยู่กันสองคนนะ” คำพูดนั่นทำให้ผมยิ้มก่อนจะเอ่ยคำเดิมๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกจนหัวใจเต้นแรงและใบหน้าเห่อแดงด้วยความเขินอาย...
“รักซินเหมือนกัน” รอยยิ้มของพวกเราสอดประสานด้วยเสียงหัวใจซึ่งเต้นหลอมรวมเป็นจังหวะเดียวกัน เช่นเดียวกับริมฝีปากที่ขยับเข้าแนบสนิทสนิทกันอย่างเชื่องช้าทว่าลึกล้ำจนไม่อาจแยกจาก
จะในอดีต ปัจจุบันหรือแม้แต่อนาคต
ความรู้สึกนี้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนไป
คนเดียวที่รักและสามารถมอบหัวใจให้ได้โดยปราศจากเหตุผล
สำหรับผมมีเพียงองค์ชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์เท่านั้น
จากนั้นองค์ชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชาอันดับที่ 37 แห่งอาณาจักรเวธาณาร์โดยมีชายาเป็นบุรุษที่นอกจากจะมีความสามารถด้านเวทมนตร์อย่างแตกฉานแล้วยังมีทักษะหลากหลายคอยช่วยค้ำจุนและช่วยเหลือผู้เป็นคนรักได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีลูกฝาแฝดชายหญิงซึ่งสืบสายโลหิตโดยตรง
ภาพที่คนทั้งอาณาจักรต่างได้พบเห็นคือภาพของครอบครัวแสนสุขสันต์อันเต็มไปด้วยรอยยิ้มและบรรยากาศของความสุขซึ่งทำให้เหล่าผู้พบเห็นต้องอมยิ้มไปตามๆ กัน
.....................................จบบริบูรณ์..................................
หลายคนคงจะลุ้นกันนานจนเลิกลุ้นไปแล้วว่าฮาล์บจะรู้ตอนไหนว่าคนที่เคยช่วยชีวิตตัวเองไว้คือซิน คำตอบคือมารู้ตอนนี้ค่า
จากนี้อาจจะเป็นอาทิตย์หน้าหรืออีกอาทิตย์จะมีอัพตอนพิเศษส่งท้ายให้อ่านกันนะคะ
ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนจบ การแต่งเรื่องนี้อย่างที่เคยบอกว่าเป็นหนึ่งในความฝันของเราที่อยากแต่งแนวเวทมนตร์สักครั้งซึ่งอาจจะยังมีช่องโหว่อยู่มากแต่เราก็พยายามแต่งออกมาให้ดีเท่าที่จะทำได้
และหวังว่าทุกคนที่ได้อ่านจะรู้สึกมีความสุข ได้รับรอยยิ้มและความรู้สึกดีๆ ดีไปไม่มากก็น้อยนะคะ
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ สามารถติดตามนิยายเรื่องอื่นๆ ของเราได้ที่เพจ nicedog นะคะ
เข้ามากดติดตามกันได้น้าาา
ใครสนใจเรื่องนี้สามารถเข้าไปพรีกันได้น้าตอนนี้ใกล้ปิดพรีแล้ว
ลิ้งค์นี้เลย>>http://lichtbookstore.lnwshop.com/
ของแถมเฉพาะรอบพรีนั้นเป็นการ์ดใสลายฮาล์บกำลังลูบแก้มซินอยู่ ตัวปกไม่มีคาแร็กเตอร์ตัวละครใครอยากเห็นทั้งคู่ห้ามพลาด!
นอกจากนี้หากซื้อเป็นเป็นเซตรวมกับอีกเรื่องที่กำลังเปิดพรีจะได้ที่คั่นไดคัทตัวละคนของทั้งคู่ซึ่งไม่ใช่รูปเดียวกันกับการ์ดใสอีกด้วย!
สำหรับตอนพิเศษในเรื่องจะมีทั้งหมด7ตอนซึ่งแต่ละตอนนั้นยาวมากกก
อ่านได้อย่างจุใจแน่นอนค่ะ
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ละมุนสุดๆ
ชอบความมั่นคงของทั้งคู่จริงๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอย่างนี้นะคะ ยิ่งช่วงหลายวันมานี้แทบไม่ทำอะไรแล้วตามอ่านแต่นิยายของไรต์เนี่ยยยยยย พลอตเรื่องสนุก น่าสนใจทุกเรื่องเลย เจอคำผิดบ้าง อาจเป็นความเคยชินหรือเปล่า เห็นไรต์พิมพ์บ่อย 555 ก็ค่อยๆแก้ไขกันไปนะคะ (เช่น เร่งงาน น่าจะเป็น เล่นงาน หรืออนุญาติ ควรเป็น อนุญาต) จะรอผลงานดีๆต่อไปนะค้าาาาา ขอบคุณค่า
ชอบมากเลยค่ะ ละมุนมากๆ น่ารักมากเลย ชอบที่มีคาถาต่างๆ เก่งมากๆเลยนะคะคิดได้ยังไง ชอบที่พระนายมั่นคง ไม่โลเลเลย อ่านมา 3 เรื่องแล้ว ชอบทุกเรื่องเลยค่ะ นี่จะไล่อ่านจนครบทุกเรื่องเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องไห้เราได้อ่านกันนะค่ะไรท์
นิยายที่ไรท์แต่งทุกเรื่องคือดีงามพระราม8,9,10เลยจริง
ชอบทุกเรื่องที่ไรท์แต่งเลยยยยย
ติดตามทุกเรื่อง
อ่านทุกเรื่อง
ฟินทุกเรื่อง
โอ้ยยดีต่อใจคร้าาา
รออ่านตอนพิเศษอยู่น้าาา????????