ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #15 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๔

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ย. 61







    14

     



    OBEN-G 2nd day

    งานวันที่สองคึกคักกว่าเดิมเมื่อมีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งห้าโรงเรียนว่าวันนี้เป็นวันแข่งของทีมคาลันโชและไอโซระ เห็นได้จากถนนคนเดินที่อัดแน่นกว่าวันแรก มียูนิฟอร์มสีสันหลากหลายเดินกันเกลื่อนกราด ไหล่ชนไหล่กันเต็มไปหมด แต่ก็ใช่ว่ามารอดูแค่ทีมนี้ทีมเดียว ยังมีการแสดงต่าง ๆ และการแข่งขันวิชาการอื่น ๆ ที่จะจัดแข่งก่อนหน้ายาวไปจนใกล้สามโมง ซึ่งการแข่งวอลเล่ย์บอลชายจัดต่อจากนั้น

     

    พริ้มนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ด้านในโรงยิมโดยที่มือก็ยังมีพู่กันอันเดิมถือไว้อยู่ ถึงแม้ว่างานจะเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกใจพู่กันเสียเท่าไร เธอสั่งเก็บรายละเอียดตรงจุดเล็ก ๆ ที่เรามองกันไม่เห็น สั่งให้ตัดด้วยสีดำเส้นใหญ่ ๆ จะได้เห็นชัด ๆ และก็ซื้อสีเคลือบมาให้ทากันน้ำ ทั้ง ๆ ที่เราแข่งกันในโรงยิม

     

    “ปวดหลังจังเลยพริ้มมม!!”

    “โอ๊ะ!”

     

    อยู่ ๆ ข้าวฟ่างก็เอนตัวลงมานอนทับหลังเขา พริ้มสะดุ้งตกใจ เผลอตวัดปลายพู่กันออกนอกเส้น เพื่อนสาวหันมาดูก่อนจะหลุดหัวเราะ ล้อเลียนพริ้มไปมาพลางหยิบพู่กันของตัวเองมาช่วยระบายกลบสีที่พริ้มทำเลอะ ท่ากึ่งนั่งกึ่งคร่อมตัวพริ้มทำให้คนโดนขยับตัวไม่ได้ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่เคยเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้ เพราะไม่เคยมีเพื่อน เลยไม่รู้ว่าในตอนที่โดนแบบนี้เขาต้องทำตัวยังไง

     

    “ระบายช่องนั้นเสร็จก็เสร็จแล้ว เย้! จะได้พักสักที”

    “ฟ่างมาช่วยระบายหน่อยสิ จะได้พักไว ๆ”

    “ม่ายอ่ะ แบบนี้เราก็ได้พัก”

     

    เหลือเขากับฟ่างอยู่ระบายสีตรงนี้กันสองคน ส่วนคนอื่น ๆ ก็คงเดินตลาดกันล่ะมั้ง พริ้มเองก็อยากเดิน แต่พอมองจำนวนคนแล้วก็ได้แต่นั่งรอให้ซากว่านี้แล้วถึงค่อยไป ไม่งั้นเขาได้โดนเบียดไปมาหาทางออกไม่ได้เหมือนปีที่แล้วอีก

     

    พริ้มเร่งมือระบายสีส่วนที่เหลือให้เสร็จไว ๆ โดยมีข้าวฟ่างนอนเล่นอยู่ข้าง ๆ ตั้งใจทำไม่สนใจรอบตัวจนหัวเริ่มฟู จะปัดก็ไม่ได้เพราะมือเลอะไปด้วยสี และเมื่อปลายพู่กันตวัดกลบพื้นที่สีขาวไปจนหมด พริ้มก็แทบหงายหลังลงไปนอนคลุกเล่นกับพื้น ถ้าไม่ติดว่าหลังของเขาชนเข้ากับขาของใครบางคนเสียก่อน

     

    “โห่พริ้ม มึงระบายสีห่วยแตกว่ะ”

     

    พริ้มเงยหน้าขึ้นหาเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มให้ผ้าที่ใส่เสื้อแข่งสีม่วงสวยเดินอ้อมมานั่งข้าง ๆ ตามด้วยเทค จอมทัพ และซานที่อยู่ในชุดเดียวกัน ข้าวฟ่างเด้งตัวขึ้นจากพื้น ทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งที่หนุ่มหล่อประจำชมรมวอลเล่ย์อยู่ใกล้เธอถึงสี่คน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็คีพหน้านิ่งเอาไว้ก่อน พลางคิดว่าอยากนั่งข้าง ๆ พริ้มจังเลยในเวลาแบบนี้

     

    “ตรงไหน เราระบายไม่ออกนอกเส้นนะ”

    “ไม่ออกนอกเส้นแล้วเรียกว่าสวยหรอ”

     

    พริ้มงอปากใส่เพื่อนสนิทที่พอแกล้งสำเร็จก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง เทคเองก็ลอบยิ้มบาง ๆ อยู่ข้างหลัง ไม่ต่างอะไรจากจอมทัพที่หัวเราะผสมโรงไปกับผ้าด้วยเช่นกัน ยกเว้นก็แต่ซานที่ทำหน้าเก๊กขรึม แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าใบหน้าขาวซีดที่เพิ่งงอปากไปเมื่อกี้…

     

    น่ารักจนเกือบหลุดขำออกมาเหมือนกัน

     

    พวกตัวจริงแต่งตัวเต็มยศรอยี่หวาคุยกับอาจารย์เรื่องงานเสร็จแล้วถึงจะได้ซ้อม เพราะงั้นเราเลยว่างมากพอที่จะเดินเล่นไปทั่วโรงยิมได้ มุกกับเนยแยกตัวไปเดินเล่นที่ตลาด ถึงยี่หวาจะบอกว่าใช้เวลาไม่นาน แต่นี่ก็เกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้ว ป่านนี้พวกมันพาเพื่อนพูดมากกวาดไส้กรอกไปจนเรียบแล้วมั้ง

     

    “เออ พิธีเปิดมีตอนสามโมงใช่ปะวะ?”

    “อือ”

    “คือมาสคอตก็มาแค่เวลานั้นเลยอ่ะหรอ”

    “คงงั้น”

    “เชี่ย จ้างโคตรคุ้ม”

     

    ผ้าถามเทคที่นั่งเลื่อนกล้องของยี่หวามาตั้งแต่เมื่อกี้ พริ้มเผลอจ้องผ้าเพราะคำถามของผ้ามันเกี่ยวกับมาสคอต ผ้าที่รู้สึกถึงสายตาของเพื่อนตัวเล็กเข้าก็เอานิ้วจิ้มจึก ๆ ที่แก้มนุ่มเบา ๆ

     

    “มองอะไร”

    “เปล่า”

    “ก็เห็นว่ามองอยู่เนี่ย”

    “เราคุยกับผ้า เราก็มองผ้า จะให้เรามองใครล่ะ”

    “เถียงเป็นแล้วหรอ”

     

    พริ้มชวนข้าวฟ่างเก็บของ นี่ก็ใกล้จะบ่ายแล้ว เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงที่เขาต้องไปเตรียมตัวเป็นมาสคอตปูส้มเปิดงานพร้อมกับชมรมเชียร์ เห็นคนแถว ๆ นี้ลือกันใหญ่ว่าชมรมเชียร์ของโรงเรียนเราสวยมาก งานแสดงโชว์เปิดช่วงเช้าก็งดงาม ไม่ผิดหวังที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันดีขนาดนี้

     

    ขวดน้ำที่ถูกตัดก้นขวดมาทำเป็นที่ล้างพู่กันประมาณสี่อันเพราะมีคนทำสี่คน พริ้มเอาก้นขวดที่มีน้ำอยู่เต็มและมันเป็นสีเข้มไปเททิ้ง หอบเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เราใช้ทำงานไปล้างที่ก๊อกน้ำข้างโรงยิม ซึ่งด้านข้างมีน้ำห้องและหน้าห้องน้ำมีสวนหย่อมเล็ก ๆ กับบรรยากาศร่มรื่น ถึงแม้จะเหม็นกลิ่นห้องน้ำไปเสียหน่อย แต่ก็พออภัยกันได้

     

    ช่วงเที่ยงคนเยอะยิ่งกว่าตอนเช้าเสียอีก มองไปที่ตลาดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ กว่าพริ้มจะทำใจไปเดินได้ ของที่ขายคงหมดก่อน เขาเดินหอบเอาอุปกรณ์มากองทิ้งไว้ที่ก๊อกน้ำที่ว่า เป็นก๊อกน้ำที่ไม่ค่อยมีคนใช้ถ้าไม่ได้เรียนที่โรงยิม แถวนี้สงบกว่าอีกฟาก จะมีก็แต่นักเรียนอซ.เท่านั้นที่จะมาเดินหรือนั่งเล่นกันตรงนี้

     

    ในจังหวะที่พริ้มตั้งใจล้างของต่าง ๆ ที่เลอะไปด้วยสีน้ำเข้มข้น ทั้งมือทั้งเล็บเริ่มเปลี่ยนสีไปตามพู่กันที่หยิบมาล้าง นักเรียนอซ.ที่มานั่งเล่นตรงนี้ที่ว่าก็ได้มองเห็นเพื่อนรักของตัวเองเข้าเต็มตา

     

    หญิงสาวเหยียดยิ้มมุมปาก นึกอะไรสนุก ๆ เล่นฆ่าเวลาก่อนจะถึงการแสดงโชว์ในรอบสามโมงเย็น นับว่าเป็นโชคดีของเพื่อนรักคนนั้นล่ะนะที่พวกเธออยู่กันครบองค์ประชุม ไม่สิ…ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งนี่นา

     

    “เออแคท แกรู้เรื่องนั้นยัง ที่มีคนเห็นอีพริ้มมันเดินอยู่กับยี่หวาอ่ะ”

    “ตอนไหน?” รอยยิ้มของแคทค่อย ๆ คลายลงเมื่อได้ยินอะไรที่มันไม่ค่อยจะเข้าหูเท่าไร

    “วันสองวันก่อนมั้ง ตอนชมรมวอลเล่ย์เลิก เห็นเขาบอกว่ายี่หวาเดินไปส่งที่หน้าโรงเรียนเลยนะแก”

     

    ฟรอนท์เม้าท์อย่างออกรสกับข่าวที่เธอได้รับมา เห็นว่าต้นข่าวน่าจะมาจากคนในชมรม ไม่งั้นก็ไม่น่าจะมีใครอื่นรู้ เพราะกว่าชมรมจะเลิก นักเรียนธรรมดาก็กลับบ้านกันหมดแล้ว และแน่นอนว่าเหตุการณ์แบบนี้แคทนั้นเกลียดแสนเกลียด เกลียดพวกที่เข้าชมรมเพื่อรอความหวังในตอนที่ชมรมเลิก…คนแบบนั้นน่ะร้ายกว่าเธอเยอะ

     

    “โห ไม่ธรรมดาเลยว่ะ เห็นติ๋ม ๆ …จริง ๆ ก็อยากได้จนตัวสั่นเหมือนกันสินะ”

    “นี่ว่ายี่หวาน่าจะเดินไปทำธุระที่หน้าโรงเรียนปะ แล้วอีพริ้มก็ตอแหลว่าจะกลับบ้าน เลยถือโอกาสเดินไปกับยี่หวาเลย”

    “เหมือนพวกแรดเงียบเลยอ่ะ ทำตัวใส ๆ แต่ในใจคืออ่อยไปไกลแล้ว”

    “แล้วได้อยู่ชมรมกับยี่หวาอีก กูว่ามันวางแผนมานานน่าดูเลยว่ะ ฮ่า ๆ”

     

    พวกเธอไม่สนหรอกว่าสิ่งที่พูดมันจะเป็นจริงได้มากแค่ไหน ขอแค่หัวข้อนี้มันมีเรื่องให้คุยแล้วมันสนุกก็เพียงพอแล้ว เวลาได้ใส่สีตีไข่ให้ตัวเองได้ลับคมปากก็สนุกไปอีกแบบเหมือนกัน แคทนั่งฟังเพื่อนสาวเม้าท์มอยแล้วรู้สึกว่ามันมีเหตุมีผล อีกนัยหนึ่งก็ยอมรับเลยว่ามันกล้ามากจริง ๆ ที่ยังไม่เลิกยุ่งกับยี่หวา เห็นทีจะต้องทำให้เข็ดกว่าตอนนั้นซะแล้ว

     

    “เห็นช่วงนี้เท็ดดี้มันไม่ค่อยเข้าไปยุ่งกับอีพริ้มเลยวะ เพราะมีผ้าหรอ”

    “คงใช่ มึงก็รู้ว่าอีเท็ดมันกากเดนจะตาย ไม่กล้าสู้กับกลุ่มยี่หวาหรอก”

     

    แคทยกยิ้มมุมปากอีกครั้งก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

     

    “ก็ถ้ามีใครสักคนไปยั่วอารมณ์เท็ดดี้…ก็ไม่แน่ใช่มั้ยล่ะ?”

     

    สาวใบหน้าสวยพเยิดหน้าไปทางด้านหลังของตัวเองเพื่อให้เห็นว่ามีใครสักคนที่ว่ายืนอยู่ตรงนั้น เหนือมุมของพุ่มไม้ปรากฏเป็นผู้ชายร่างบางคนหนึ่งที่กำลังขมวดคิ้วล้างจานสีอยู่ที่ก๊อกน้ำ ใบหน้าติ๋ม ๆ ที่พวกเธอคุ้นตาเป็นอย่างดีกำลังทำหน้าตั้งใจโง่ ๆ ไม่ต่างจากตอนที่ต้องเก็บจานของพวกเธอทุกกลางวัน

     

    แคทให้มัฟฟินเดินไปเรียกพริ้ม ในขณะที่รอเธอก็นั่งไถโทรศัพท์ไปอย่างสบายใจ แอบเหยียดยิ้มที่มุมปากเป็นครั้งที่สาม เธอสนุกล่วงหน้าอย่างไม่รอใครเพราะนึกสภาพเวลาเจอจุดไคลแมกซ์แล้วตื่นเต้นเป็นบ้า เพื่อนในกลุ่มก็ช่างเชื่อฟังกันดีเหลือเกิน ชอบชะมัดเวลาที่เรามองตากันก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไร

     

    รอไม่นานนัก มัฟฟินก็เดินกลับมาพร้อมกับพริ้ม เด็กหนุ่มตัวเล็กยืนเอามือกลัดกันไปมาที่หน้าท้อง ความกังวลเกิดขึ้นเสมอเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ พริ้มลอบกลืนน้ำลายดังเอือก สีหน้าของทุกคนที่กำลังมองมาอยู่นั้น…มีแต่รอยยิ้มที่รู้สึกขยะแขยง

     

    “ม…มีอะไรหรอ”

    “ไม่มีอะไร ก็แค่เรียกพริ้มคนดังมานั่งคุยเล่นก็เท่านั้นเอง” หนึ่งในเพื่อนสาวพูดขึ้น

    “เห็นช่วงนี้พริ้มสนิทกันดีกับเพื่อนห้องอื่น เพื่อนห้องเดียวกันอย่างพวกเราก็น้อยใจน่ะสิ”

     

    พริ้มก้มหน้าเดินเข้ามาใกล้ตามมือแคทที่กวักเรียก

     

    “เหมือนไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ หน้าดูสดใสขึ้นนี่? แต่แคทชอบหน้าพริ้มตอนหม่นหมองมากกว่านะ”

    “…”

    “เหมือนพวกหมาขี้แพ้…อะไรอย่างนั้น”

     

    ว่าจบก็หันไปหัวเราะคิกคักกันกับเพื่อนในกลุ่ม ทิ้งให้พริ้มเม้มปากด้วยความเจ็บใจเพราะโต้ตอบอะไรกลับไปไม่ได้สักอย่าง เขาเสียเปรียบแคทมาอยู่ตลอด และมันจะเป็นอย่างนั้นถ้าเขายังเป็นแบบนี้…

     

    “จะไปไหน?”

    “ก็…ถ้าแคทไม่มีอะไร…เราเองก็มีงานที่ต้องทำต่อ”

    “เดี๋ยวนี้กล้าเดินหนีแล้วหรอ ว้าว…ไม่เบานี่พริ้ม”

    “เราขอ… เราไม่ได้เดินหนี”

    “พอมีเพื่อน…ก็รู้สึกว่าจะกล้าขึ้นเยอะ เหมือนเมื่อก่อนเลยเนอะ ว่ามะ?”

     

    วูบหนึ่งในใจของพริ้มกระตุก คำว่า เมื่อก่อนของแคทเป็นเหมือนปุ่มรีเพลย์ย้อนเหตุการณ์ที่พริ้มพยายามลบมันแทบตายยังไงมันก็ยังอยู่ที่เดิม…เหมือนเดิมทุกฉาก…และชัดเจนขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกัน บรรยากาศและรอยยิ้มของแคทเหมือนกับในวันนั้น นั่นเลยทำให้พริ้มเริ่มกระวนกระวายใจ

     

    เขาอยากวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้

    แต่มันไม่น่าจะจบลงที่เส้นชัย

     

    “แคทไม่ได้จะทำอะไรพริ้มสักหน่อย กลัวอะไรกันเล่า เห็นเราใจยักษ์ใจมารขนาดนั้นเลยหรอ”

    “ป…เปล่า”

    “ใช่มั้ยล่ะ? ที่เราให้มัฟฟินเรียกพริ้มมา…ก็เพราะว่ามีเรื่องที่อยากจะช่วยเฉย ๆ”

     

    แคทพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบราวกับตัวร้ายในละครไม่มีผิดเพี้ยน แต่กับเหตุการณ์จริงมันไม่เหมือนกัน พริ้มสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกจากตัวแคท มันเย็น…แต่ก็ร้อนแรงเหมือนกับไฟ สร้างความกลัวนับร้อยในหัวของเขา และต่อไปก็คงไม่พ้นบาดแผล…

     

    “บางทีแคทก็สงสารพริ้มเหมือนกันนะ พริ้มควรมีเราเป็นเพื่อนสนิทแค่กลุ่มเดียวก็พอ…”

    “…”

    “แคทเห็นเท็ดดี้แกล้งพริ้มบ่อย ๆ บอกตรง ๆ ว่าก็เสียใจนะที่เราเข้าไปช่วยอะไรไม่ได้เลย”

     

    เป็นครั้งแรกที่พริ้มอยากจะพูดอะไรหยาบคายต่อหน้าผู้หญิงคนนี้

     

    “แคทมีอะไรจะพูด…ก็พูดตรง ๆ กับเราเลยได้มั้ย”

    “เรารู้นะว่าพริ้มก็ไม่ได้อยากอดทนตลอดไปหรอก”

    “…เราไม่เข้าใจ”

    “ก็…เป็นอะไรที่แคทเสี่ยงตายเพื่อที่จะช่วยพริ้มเลยนะจ๊ะ”

     

    เธอว่าไว้แค่นั้นก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาทางเขา เปิดอะไรบางอย่างในนั้นและยื่นมันมาให้พริ้มดูในระดับสายตา มันเป็นภาพแอบถ่ายที่มีวิวแย่ ๆ และคนอยู่ในนั้น ใช่…

     

    มันเป็นภาพเท็ดดี้ยืนสูบบุหรี่อยู่ในโรงเรียน

     

    แคทเลื่อนให้ดูหลายรูป แต่ละรูปเห็นใบหน้าของเท็ดดี้ชัดเจน ทั้งท่าทาง ทั้งสิ่งของ ไม่รวมเหล่าเพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่ในเฟรมเช่นเดียวกัน พริ้มเหงื่อตก เขาพยายามคิดให้ทันแคท แต่แคทก็มักจะคิดเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าวเสมอ

     

    “อยากได้มั้ย? เราให้พริ้มได้หมดเลยนะ”

     

    พริ้มสบตากับแคทสลับกับเลื่อนดูรูปในโทรศัพท์ แคทน่าจะให้เขาเอารูปพวกนี้ส่งห้องปกครองเป็นแน่ ถ้าหากเขาทำ…เท็ดดี้จะโดนไล่ออกแบบไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เพราะด้วยหลักฐานต่าง ๆ ที่แคทถ่ายมานั้นล้วนมีน้ำหนักมาก แต่เขาไม่เชื่อว่าแคทจะให้เขาฟรี ๆ

     

    “เรา…ไม่เอา”

    “ทำไมล่ะพริ้ม? มันช่วยพริ้มได้นะ เท็ดดี้แทบอ้าปากไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

    เราไม่ไว้ใจแคท แคทไม่ใจดีขนาดที่จะช่วยเราหรอก

     

    ดูท่าว่าพริ้มจะไปสะกิดต่อมปรี๊ดแตกของแคทเสียแล้ว… สาวเจ้าเหวอไปนิดหน่อยที่โดนเบ๊ต่ำต้อยใช้วาจาได้น่าหมั่นไส้ ถึงเธอจะร้ายจริง ๆ แต่คนอย่างพริ้มก็ไม่มีสิทธิ์ใช้คำแบบนี้กับเธอ แคททำเสียงขึ้นจมูกไม่สบอารมณ์ ว่าจะเย้าแหย่ไปเรื่อย ๆ เห็นทีคงต้องเปลี่ยนโทนกันเสียตั้งแต่ตอนนี้

     

    “รู้มั้ยว่าระดับคนอย่างแกน่ะ…ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรแบบนี้กับฉัน!!

    “…!

    “แค่ทำเป็นใจดีด้วยหน่อยก็อย่าคิดเหลิงว่ากูจะไม่กล้าลงมือกับมึงนะอีพริ้ม! ยิ่งกูมองหน้ามึง ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน ทำเป็นตาใส คิดหรอว่าคนเขาไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมึงน่ะร้ายกว่ากูอีก!!!

     

    แคทไล่จี้อก กดนิ้วลงไปแรง ๆ จนพริ้มต้องถอยหลังหนี เพื่อนคนอื่น ๆ รีบกรูเข้ามาใกล้ ล้อมหน้าล้อมหลัง กั้นทางหนีของพริ้มเอาไว้ไม่ให้ลูกแมวตัวนี้ได้ถอยหลังอีก ร่างเล็กกำโทรศัพท์ในมือแน่น มันเป็นของเพียงสิ่งเดียวที่พริ้มจะระบายความกลัวออกไปได้

     

    ใบหน้าแคทโกรธจัด ดวงตาของเธอเบิกกว้าง เน้นย้ำทุกคำเพื่อให้ทาสผู้ต่ำต้อยรู้ตัว

     

    “แล้วมึงจะรู้ว่าคนชื่อพริ้ม…ไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุข”

     

    สักพักเธอก็ปรับสีหน้า จากโกรธจัดเป็นเศร้าสร้อย ดึงหูตาตกอย่างรวดเร็วจนพริ้มตามเกมไม่ทัน คนตัวเล็กเลิกลักมองซ้ายมองขวา นับจังหวะกับตัวเองในใจ…ถ้าเขาจะวิ่งก็ต้องวิ่งสุดแรงเกิด

     

    “เรามาคุยกันดี ๆ มั้ยพริ้ม ทำไมพริ้มต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย!

    “…?”

    “ถึงเราจะชอบแกล้งพริ้ม แต่แบบนี้มันก็ใจร้ายไปนะ!!

     

    งงไปหมด… พริ้มตามแคทไม่ทัน เพื่อนในกลุ่มของแคทเองก็เช่นกัน ไม่มีใครตามเกมของอีกคนทัน เพราะคนคนนี้ชอบเล่นเกมคนเดียว แต่ชอบให้มีคนมาเอี่ยวเยอะ ๆ

     

    “อะไรกันวะ?”

     

    เสียงที่พริ้มเกลียดที่สุดดังขึ้นด้านหลังของแคท ก่อนเจ้าของเสียงจะแหวกเหล่าสาว ๆ ที่รายล้อมพริ้มราวกับแมลงวันตอมออกเพื่อดูว่าใครกันที่หลงมาเป็นเหยื่อเพื่อนสาวสุดร้ายของเขา แคทเบะปากก่อนจะปัด ๆ ที่จมูก จากนั้นก็เล่นละครของตัวเองต่อ

     

    “ไม่มีอะไรหรอกเท็ดดี้ เราก็แค่…เสียใจที่พริ้ม…”

    “โว้ว ๆ เดี๋ยวนี้ไอ้ก้างนี่มันแกล้งมึงได้แล้วหรอวะ สุดยอดไปเลยว่ะเพื่อนรัก”

     

    เท็ดดี้ตบหัวพริ้มเป็นการทักทาย คนตัวเล็กทำอะไรไม่ถูกเมื่ออยู่ท่ามกลางของคนที่รังเกียจเขา มือไม้นิ่งงัน กำโทรศัพท์ของแคทเอาไว้แน่นราวกับคนสติหลุด ปากชาวาบพูดอะไรไม่ออกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าในนี้มีรูปของเท็ดดี้อยู่เต็มไปหมด และแต่ละรูปก็…

     

    “พริ้มคงโกรธเรามากจริง ๆ ถึงทำกับเราขนาดนี้ เราขอโทษนะพริ้ม”

    “ทำไม มันทำไรมึง?”

    “เท็ดดี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราไม่อยากเอาเท็ดดี้เข้ามายุ่ง”

    “กูถามว่ามันทำอะไรมึง”

     

    เท็ดดี้ย้ำอีกครั้งเป็นจังหวะที่แคทยกยิ้มกระหย่องในใจ เข้าทางไปเสียหมด…เกมนี้นี่มันสนุกจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าแปวจะลากเท็ดดี้ออกมาทันเวลาเป๊ะ ๆ

     

    “พริ้ม…จะแบล็คเมล์เรา”

    “…ไม่ใช่นะ!

    “มันจะไม่ใช่ได้ยังไง! ก็พริ้มเอารูปมาขู่เรา บอกว่าถ้าเราไม่เลิกแกล้ง พริ้มก็จะส่งให้ห้องปกครอง พริ้มเป็นคนพูดเอง!!

    “ไม่ใช่นะ! เราไม่ได้…!!

     

    เท็ดดี้แย่งโทรศัพท์ที่ว่านั่นไปจากมือเขา พริ้มน่าจะเอะใจตั้งแต่โทรศัพท์ราคาแพงแต่กลับไม่มีการล็อคพาสเวิร์ดเอาไว้แล้ว ยืนโง่ถือไว้ในมือได้ตั้งนาน แล้วยังแตกตื่น ตั้งสติไม่ได้ว่านั่นไม่ใช่โทรศัพท์ตัวเองอีก แต่คนที่โง่กว่าพริ้มก็คือเท็ดดี้ หมอนี่โง่หลงเชื่อคำของแคทเสมอ โดยที่ไม่ถามเลยว่าโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นของใคร

     

    “นี่มัน…”

    “ไม่นะ…เราไม่ได้ทำนะ”

    “นี่มึง…แอบถ่ายรูปกูหรอไอ้พริ้ม!!!

     

    หมัดหนัก ๆ ฟาดเข้าเต็มแรงที่แก้มซ้าย รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ในปาก ไม่นานแผลที่มุมปากก็ฉีกออกให้เลือดสีข้นไหลลงมารดอยู่ที่คาง พริ้มช็อคทันทีที่โดนต่อย ทั้งความแรง…ความกลัว…ความเจ็บ ประเดประดังเข้ามาไม่ลดละ จนสติเริ่มหลุดไปทีละนิด

     

    ตั้งแต่โดนแกล้งมา นี่เป็นครั้งแรกที่พริ้มโดนต่อย

     

    “มึงกะจะเล่นงี้เลยสินะ ได้…ได้ไอ้เวร! กูจะเล่นกับมึงเอง!

    “ปล่อยนะ!

    “อยากเข้าห้องปกครองนักใช่มั้ย มึงได้เข้าสมใจยากแน่”

    “เราไม่ได้ทำนะ ปล่อยเราไปเถอะนะเท็ดดี้ เราขอโทษ!

     

    พริ้มโดนลากคอเสื้ออย่างทุลักทุเลไปหลังห้องน้ำ ที่เดิมกับที่เท็ดดี้เพิ่งเดินออกมา เพื่อนผู้ชายคนอื่น ๆ ก็เดินยิ้มกริ่มตามมา ไม่มีใครเลยที่จะช่วยห้ามหรือแย้งกับการกระทำแย่ ๆ แบบนี้ แม้กระทั่งแคท…ที่ยืนโบกมือส่งยิ้มให้เขา ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่เธอคิด ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการใช้คนโง่อย่างเท็ดดี้เป็นหมากอีกแล้ว

     

    พริ้มร้องไห้ตัวโยน สะบัดตัวให้หลุดแต่มือของเท็ดดี้ที่จับคอเสื้อเขาอยู่นั้นแน่นเกินไปจนแทบไม่กระดิก มันเหวี่ยงเขาไปที่กำแพง เสียงดังอักพร้อมกับเลือดที่กระเด็นออกมาจากปากเล็ก พริ้มคุกเข่า กระวนกระวายยกมือขึ้นมาพนมไว้ ร้องขอเท็ดดี้ว่าอย่าได้ทำอะไรกับเขามากไปกว่านี้อีกเลย

     

    “เราขอโทษ…เราขอโทษ เราไม่ได้เป็นคนทำจริง ๆ นะ”

    “กูไม่เชื่อ!! หลักฐานมันทนโท่อยู่เต็มตากู มึงจะแก้ตัวว่าไม่ได้ทำได้ยังไง”

    “น…นั่นไม่ใช่โทรศัพท์ของเรานะเท็ดดี้ เราไม่ได้ทำจริง ๆ”

     

    พริ้มเสียงสั่นเพราะร้องไห้และเริ่มพูดไม่เป็นภาษา ตอนนี้ในหัวสมองไม่มีอะไรนอกจากความกลัว บรรยากาศรอบข้างที่เขาเห็นเริ่มมืดลงเหมือนคนสิ้นหวัง ไม่มีอะไรให้เขามองนอกจากรองเท้าของผู้ชายตรงหน้า น้ำตาไหลรินเลอะเปรอะเปื้อนผสมกับเลือดสีแดงที่มุมปาก สะอึกสะอื้นอยู่เพียงหนึ่งเดียวเหมือนคนบ้าที่ไม่มีใครสนใจจะฟัง

     

    “เชื่อเราเถอะนะ เราไม่ได้ทำจริง ๆ”

    “เฮ้ยไอ้แซค มึงบอกว่าอยากเล่นอะไรน่าอาย ๆ ไม่ใช่หรอวะ”

    “อ๋อ… เออ น่าสนว่ะ กำลังเบื่อ ๆ อยู่พอดี”

    “เอาให้ร้องไม่ออกไปเลย”

     

    พริ้มถอยหลังกรูดไปติดเข้ากับกำแพงสกปรก ห้องน้ำตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีคนใช้ แล้วยิ่งเป็นงานเทศกาลที่จัดอย่างคึกคักที่อีกฟาก ตรงนี้ก็แทบจะเงียบเหงากันเลยทีเดียว พริ้มพยายามลุกขึ้นจากพื้น แต่ก็โดนเท้ายันไหล่ให้ล้มกลับลงไปอย่างเดิม

     

    “เอาน่า เล่นกันแปปเดียว เดี๋ยวก็จบแล้ว”

    “ปล่อยเราไปเถอะนะ เราขอร้อง…เราเจ็บ”

    “ไหน ๆ เจ็บตรงไหน เดี๋ยวช่วยดูให้”

     

    รอยยิ้มหื่นกระหายทำเอาพริ้มขนลุกวาบ ถีบแซคออกไปจากตรงนี้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีก่อนจะรู้ว่าที่ตัวเองทำนั้นมันโง่มากแค่ไหน

     

    “นี่มึงถีบกูหรอ!!

    “โอ๊ย!

     

    แซคกระชากเขากลับไปที่เดิม ใบหน้าของมันแดงก่ำด้วยความโกรธ ทุกอย่างดูรวดเร็วจนพริ้มเริ่มปวดหัว สายตาของมันหลุบมองที่คอเสื้อของเขา และนั่นทำให้พริ้มเข้าใจเจตนาของคำว่า น่าอายได้อย่างชัดเจน มือเล็กยกขึ้นกุมคอเสื้อตัวเองไว้ แต่ก็ช้ากว่าคนตรงหน้าไปเพียงนิดเดียว

     

    แควก!!

     

    มันกระชากคอเสื้อของพริ้มจนขาด เสื้อตีมงานโอเบงในปีนี้ใส่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว… เหยื่อผู้โชคร้ายพยายามร้องขอให้คนที่อยู่ด้านบนปล่อยตัวเขาไป พริ้มไม่เห็นอะไรนอกจากภาพมัว ๆ ที่ถูกน้ำตาฉโลมจนเบลอ เสียงหัวเราะสนุกสนานของเท็ดดี้ดังอยู่ในรูหูราวกับคนกระซิบ นึกโทษโชคชะตาหรือแม้กระทั่งฟ้าดินที่ทำให้พริ้มต้องมาเจออะไรแบบนี้

     

    แต่เขาก็ค้นพบว่าแท้จริงแล้ว

    พริ้มเองก็มีโชคดีกับเขาอยู่บ้าง…

     

    ตัวของแซคลอยออกไปจากตัวเขา เสียงตุ้บตั้บอะไรสักอย่างและเสียงตะโกนก่นด่าดังแทนเสียงหัวเราะของเท็ดดี้ก่อนหน้านี้ พริ้มนอนนิ่งงันอยู่บนพื้น หมดเรี่ยวหมดแรง แม้แต่การกะพริบตาก็ยังทำได้ยาก …ความเจ็บปวดตามจุดต่าง ๆ ได้เลือนหายไปเหลือแต่ความชาที่หัวใจ

     

    และมือของใครบางคน

     

    “พริ้ม”

    “…”

    “พริ้ม!

     

    เสียงนั่นดูร้อนใจ แต่มันไม่ใช่เวลาจะมารู้สึกดีที่มีคนเป็นห่วง พริ้มค่อย ๆ ขยับเปลือกตาไล่น้ำสีใสที่เกาะอยู่เต็มดวงให้ไหลออกไป พลันภาพที่เห็นก็เริ่มชัดขึ้น…ชัดขึ้น…ชัดขึ้น…

     

    “…ยี่หวา

     





















    ( ถ้าเปิด Smile On My Face - EXO ด้วยก็น่าจะดีนะคะ )

     

    ยี่หวาอุ้มพริ้มมาที่ห้องพักนักกีฬา ดีที่โรงยิมมีประตูลับด้านหลัง ก็เลยไม่เป็นภาพให้ใครแตกตื่น ตลอดทางไม่มีใครพูดอะไรสักคำ พริ้มเอาแต่เงียบอยู่ในอ้อมแขนของยี่หวา ส่วนยี่หวาก็เอาแต่เดินดุ่ม ๆ ไปที่ห้องพัก

     

    จะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะหลังจากที่ยี่หวาคุยกับอาจารย์เสร็จ เขาก็เดินกลับมาที่โรงยิมเพื่อเตรียมตัวซ้อมกับคนอื่น ๆ แต่ระหว่างนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะไปคุยกับพริ้มเรื่องมาสคอต แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ถามเพื่อนทีมหญิงที่อยู่กับพริ้มเป็นคนสุดท้ายก็ได้ความว่าพริ้มเอาอุปกรณ์ไปล้าง แต่ไม่รู้ว่ากลับมาหรือยัง เธอเองก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการติดป้ายเลยไม่ได้สังเกต

     

    พอได้ยินแบบนั้นยี่หวาก็รีบสับขายาว ๆ ของตัวเองไปที่ก๊อกน้ำข้างโรงยิมทันที ตอนแรกเขามองไปรอบ ๆ มันไม่มีใครอยู่ตรงนี้ แต่อุปกรณ์และคราบของสีที่เพิ่งเกิดขึ้นมาหมาด ๆ เป็นตัวบอกเขาว่าพริ้มอยู่ตรงนี้จริง ๆ สักพักก็ได้ยินเสียงอู้อี้อะไรสักอย่างที่หลังห้องน้ำ

     

    และก็พบกับคำตอบทุกอย่าง…

     

    เขานึกหงุดหงิดที่ปล่อยให้เท็ดดี้หนีไปได้ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะไอ้หมูตัวนั้นมันไม่กล้าสู้กับเขาอยู่แล้ว จำได้ว่าเขาอัดพวกมันไปคนละหนึ่งทีก่อนจะวิ่งแตกกระเจิงไปจนหมด

     

    ยี่หวาวางพริ้มลงเบา ๆ ที่โซฟายาว ลอบมองใบหน้าของคนตัวเล็กที่นิ่งเงียบไปหลายนาทีและไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปากพูดอะไรเลย ร่างสูงลุกไปเตรียมอุปกรณ์ทำแผลโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน แต่ในจังหวะต่อจากนั้น เสียงประตูห้องก็ดังขึ้น

     

    “พริ้ม!!!

    “เกิดอะไรขึ้นวะ!?”

    “เฮ้ย! หน้าไปโดนอะไรมา…”

     

    ผ้ารุดเข้ามานั่งข้าง ๆ พริ้ม จับนู้นจับนี่ ก่อนจะจับเสื้อที่ขาดของพริ้มเบา ๆ มองใบหน้าด้านข้างของพริ้มที่ไม่แม้แต่จะมองมาที่ตัวเองแล้วยิ่งปวดหัวใจ…ใบหน้าที่คิดว่าตัวเองไม่มีใครแบบนั้น… กล่องปฐมพยาบาลใบเดิมถูกวางไว้บนโต๊ะ ผ้ารีบคว้าเพราะอยากทำแผลให้กับเพื่อนตัวเล็กคนนี้ แต่กัปตันทีมกลับปัดมือเขาออกไปก่อนที่จะโดนกล่องเสียอีก

     

    “ไปซ้อม เดี๋ยวทำเอง”

    “ไม่! นี่เพื่อนกู กูจะทำ”

    “งั้นยี่หวา มึงมาคุยกับพวกกู”

     

    จอมทัพเรียกกัปตันทีมให้ออกไปคุยกันที่หน้าห้อง บรรยากาศเคร่งเครียดปล่อยออกมาจากตัวยี่หวาผ่านสายตาที่ดุดันของมัน ต่างคนต่างตกใจที่เห็นสภาพของพริ้มแย่กว่าที่มองเผิน ๆ เทคที่เป็นคนอารมณ์เย็นที่สุดและมักเป็นตัวเบรกอารมณ์ของคนอื่น ๆ ในตอนนี้กลับคุกรุ่น พร้อมเอาเรื่องไอ้ตัวการได้ตลอดเวลา

     

    “ใครเป็นคนทำ?”

    “พวกเท็ดดี้”

    “ไอ้พวกเหี้ยนี่อีกแล้วหรอ” เทคก่นด่า

    “แล้วมึงเป็นไรมั้ย?” ซานถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แม้ใบหน้าของยี่หวาจะไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยก็ตามที

    “ไม่”

    “ก็ดีแล้ว”

     

    ซานไม่กล้าพูดอะไรต่อ เพราะอยู่กับยี่หวามานาน กับอีแค่เรื่องอารมณ์เขารู้อยู่แล้วว่าเพื่อนคนนี้กำลังรู้สึกอะไรอยู่ เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ในห้องแล้วรู้สึกใจหาย ตอนแรกที่คุยกันยังงอปากใส่ไอ้ผ้าอยู่เลย แต่ตอนนี้ริมฝีปากคู่นั้นไม่แม้แต่จะขยับเลยด้วยซ้ำ…

     

    “กูว่าครั้งนี้มันทำแรงไปว่ะ ถึงขั้นชกต่อยในโรงเรียน กูว่าเราควรจัดการแม่งจริง ๆ จัง ๆ ได้แล้ว”

    “กูเห็นด้วยกับไอ้จอมนะ ตั้งแต่เรื่องคราวนั้นก็ปล่อยไปเพราะไม่อยากมีเรื่อง แต่กูว่าครั้งนี้ปล่อยไม่ได้ว่ะ ยังไงพริ้มก็อยู่ชมรมวอลเล่ย์ด้วยเหมือนกัน” ซานอึกอักที่ต้องพูดประโยคหลัง ลอบมองคนอื่น ๆ ว่าจะล้ออะไรเขามั้ย แต่คงลืมไปว่านี่ไม่ใช่เวลามาตลกอะไรตอนนี้

    “ซานพูดถูก แต่ถึงพริ้มจะไม่ได้อยู่ชมรมวอลเล่ย์ กูก็ไม่คิดจะปล่อยมันไว้เหมือนกัน”

     

    ยี่หวานิ่งเงียบก่อนจะเอ่ยตอบออกมาอย่างหนักแน่น

     

    “กูจัดการเอง”

     

    เสียงประตูบานเลื่อนดังขึ้นขัดพวกเขาคุยกัน เป็นผ้านั่นเองที่เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก จะให้ทำหน้าตาระรื่นได้ยังไง ในเมื่อเพื่อนที่ตัวเองเอ็นดูถูกทำร้ายยับเยินซะขนาดนี้ เขาต้องไม่มีทางโอเคอยู่แล้ว แต่จะให้อยู่กับพริ้มในนั้นนาน ๆ ก็ใช่ว่าจะไหว พริ้มไม่พูดอะไร หรือแม้แต่จะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดตอนทำแผลเลยสักแอะ ผ้าเลยตัดสินใจที่จะเดินออกมาทำใจ

     

    “กูไม่ไหวแล้วว่ะ”

    “ทำไม เกิดไรขึ้น”

    “พริ้มไม่พูดอะไรเลย กูถามก็แค่พยักหน้า สีหน้าอ่อนล้าจนใจกูแป้วไปหมดแล้ว”

    “มันคงยังไม่พร้อมที่จะคุยตอนนี้ แล้วนี่มึงทำแผลเสร็จหรือยัง?”

    “ยังเลย เหลืออีกนิดหน่อย หวามึงช่วยทำต่อที กูขอไปสงบจิตสงบใจหน่อย”

     

    หวาพยักหน้ารับก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง

     

    “แล้วมึงจะไปไหนไอ้ผ้า”

    “ไปทำให้หัวหายร้อน!! ไอ้เหี้ยเช็ดขี้!! มึงจะต้องไม่ตายดี ไอ้ชักโครก!!!

     

     

     

    มือหนาค่อย ๆ เลื่อนบานประตูจนปิดสนิท ไม่ลืมที่จะกดล็อคเพราะเขาไม่อยากให้ใครเข้ามาวุ่นวาย ในห้องกลับมาเงียบเหมือนอย่างตอนแรกที่เขาพาอีกฝ่ายเข้ามา ลอบมองใบหน้าที่ดูดีขึ้นกว่าตอนนั้น…

     

    ตอนที่เขาเห็นแต่น้ำตาเลอะเกรอะกังใบหน้าขาวไปจนหมด

     

    ร่างสูงเดินไปนั่งข้างพริ้ม ไอ้ผ้าใส่ยาทิ้งไว้เรียบร้อยแต่ไม่อดทนอีกนิดปิดพลาสเตอร์ยาให้ด้วย นิ้วเรียวยาวหยิบเอาพลาสเตอร์ยาแผ่นใหญ่ขึ้นมาแกะกาวออก จับคางเล็กให้หันมาหา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ดวงตาของพริ้มขยับมอง เหมือนคนตรงหน้าจะรู้สึกตัวแล้ว…

     

    “…หวัดดียี่หวา”

    “ทักทายตอนนี้เนี่ยนะ?”

     

    พริ้มไม่ได้ตอบอะไร รู้สึกเหมือนหัวสมองมันคำนวณช้าไปหลายอึดใจเลยทำได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ สัมผัสอ่อนโยนของนิ้วโป้งที่คางของพริ้มทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว หวาค่อย ๆ แนบแผ่นพลาสเตอร์ลงไปเบา ๆ จากนั้นก็ลูบมันไปมาสองสามที

     

    “เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?”

    “…ไม่แล้ว ขอบคุณนะ”

    “…”

     

    พริ้มไม่เคยนั่งใกล้หวาขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ใจเต้นแรงเหมือนอย่างทุกที รับรู้ได้เลยว่าตอนนี้ร่างกายของเขานั้นไม่เปิดรับความรู้สึกอะไรอีกแล้ว…นอกจากความเจ็บ เจ็บที่มุมปากสุด ๆ ไปเลย ที่พริ้มเอาแต่เงียบเพราะส่วนหนึ่งเขาเจ็บแผลมาก ๆ พริ้มไม่เคยโดนต่อย เขาเผลอกัดปาก กัดลิ้นตัวเอง ตอนนี้ก็เลยระบมไปหมด อีกส่วนก็เพราะว่าเขายังคงช็อคอยู่…

     

    ต่อให้แกล้งกันแรงแค่ไหน เท็ดดี้ก็ไม่เคยต่อยเขาแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเท็ดดี้เองก็กลัวรูปพวกนั้น หมอนั่นทำผิดเอาไว้มาก โดนทัณฑ์บนจะครั้งที่สามแล้ว และเท็ดดี้ไม่เหมือนอดีตตัวพ่อคนเก่า เท็ดดี้ไม่ใหญ่พอที่จะคุมผ..ได้เหมือนพี่คนนั้น

     

    เสียงเก็บของทำให้พริ้มรู้สึกดีขึ้น เพราะนั่นหมายความว่ามีคนอยู่ข้าง ๆ เขาในตอนนี้ หลายครั้งที่เขาโดนกลั่นแกล้ง ไม่มีแม้สักคนจะยื่นมือเข้ามา…มีแต่สายตาที่จ้องมอง เขาโดดเดี่ยวมาหลายปี แต่ปีนี้เขามีเพื่อนคนอื่น ๆ และมียี่หวา…

     

    “ล้างหน้ามั้ย”

    “ผ้าเอาผ้าเย็นให้เราเช็ดแล้ว”

     

    เป็นอีกครั้งที่พริ้มไม่เข้าใจสายตาของยี่หวา…

     

    ร่างสูงมองมายังเขา เหมือนจะทำหรือพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เลือกที่จะเงียบ พริ้มนั่งกุมมืออยู่ตรงนี้มานานเท่าไรไม่อาจรู้ได้ เขาปวดไปทั่วทั้งร่าง รู้สึกผิดต่อผ้าที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ตอบอะไรกลับไปเลย

     

    “แม่นายสอนมั้ย…ว่าเวลาเสียใจให้ปลอบยังไง”

     

    พริ้มหันหน้าไปหาด้วยความไม่เข้าใจ

     

    “แม่ฉันสอนแบบนี้…”

     

    ยี่หวายื่นมือมารั้งหัวของพริ้มเข้าไปใกล้ ก่อนจะกดซบลงที่ไหล่กว้างเบา ๆ ปลอบประโลมตามคำสอนที่ตัวเองอ้างด้วยการลูบช้า ๆ จากโคนผมจรดท้ายทอย เป็นกอดที่คิดว่าเพื่อนคนนี้จะช่วยปลอบโยนเพื่อนอีกคนได้เป็นอย่างดี แม้จะอ่อนโยนกว่าการกอดพวกไอ้ซานหรือไอ้จอมมากนัก แต่ก็เป็นการกอดที่จริงใจ…

     

    พริ้มห้ามหัวใจให้หยุดเต้นเบาลงกว่านี้ไม่ได้ เลยทำได้แค่หลับตาซึมซับความอบอุ่นจากตัวยี่หวาให้ได้มากที่สุด อ้อมกอดที่แข็งแกร่งเป็นตัวกระตุ้นต่อมน้ำตาชั้นดีของพริ้ม เขาคิดว่าตัวเองเข้มแข็งมาโดยตลอด ทุกครั้งที่โดนแกล้ง เขาจะยิ้มให้ตัวเองจาง ๆ แล้วบอกกับตัวเองว่า พรุ่งนี้จะไม่เจ็บเท่าวันนี้

     

    แต่อ้อมกอดของยี่หวาแทนยิ่งกว่าคำนั้น…

     

    “แม่เราก็บอกเสมอว่าถ้าเศร้าให้กอดกัน”

    “…หึ แล้วนี่ไม่ได้ทำอยู่หรือไง”

    “…”

     

    พริ้มส่ายหน้าเข้ากับไหล่แกร่ง

     

    เราไม่กล้ากอดยี่หวาหรอก

     

    เราเงียบกันอีกครั้ง ต่างคนต่างคิดกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หวาจะผละตัวออกไป คำพูดของพริ้มที่บอกว่าไม่กล้ากอด…ก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ คนตัวเล็กไม่กล้ายกแขนขึ้นมากอดเขาตอบ มีแค่ยี่หวาที่ใช้แขนข้างเดียวกอดพริ้มเอาไว้

     

    ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากโซฟา พริ้มมองตามก่อนจะตัดสินใจลุก แต่โดนนิ้วของหวาดันเอาไว้

     

    “อยู่นี่แหละ”

    “…?”

    “รอตรงนี้”

     

    พริ้มมองตามหวาที่เดินหายเข้าไปยังประตูด้านหลัง เข้าไปทำอะไรในห้องซักผ้า? พริ้มนั่งอยู่เฉย ๆ พลางคิดอะไรหลาย ๆ อย่างในหัว ทั้งเรื่องที่โดนเท็ดดี้ต่อย โดนแซคฉีกเสื้อ และยี่หวาที่กอดเขา อย่างหลังสุดนี่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย… อยู่ ๆ ก็สงสัยว่าทำไมไม่มีใครถามเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ผ้าเองก็เอาแต่ถามว่าเจ็บมั้ย อยากให้ไปแก้แค้นแทนมั้ย ซึ่งพริ้มทำแค่พยักหน้ากับส่ายหน้าเท่านั้น

     

    พวกเขาใส่ใจพริ้มมากเกินไปหรือเปล่า…ไม่ชินเลย

     

    สักพักยี่หวาก็เดินออกมาจากห้องนั้นพร้อมกับเสื้อตัวหนึ่ง ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยื่นเสื้อสีเทามาตรงหน้าเขา พริ้มทำหน้าไม่เข้าใจ…แต่ก็รับมันมา เขากางเสื้อตัวนั้นออกดูว่ามันคือเสื้ออะไรและมันเป็นเสื้อของใคร แต่สีแบบนี้คุ้นตามากเหลือเกิน …เหมือนเสื้อที่เขาเคยไปช่วยดูแลตอนแข่งสาย

     

    พริ้มค่อย ๆ พลิกด้านของเสื้อตัวนี้ช้า ๆ

     

    “ใส่เสื้อตัวนี้ไปก่อน”

     

    และมันเป็นไปตามที่เขาคิดจริง ๆ ด้วย

     

    “ไปเปลี่ยนซะ”

     

    Akirah T. เบอร์ 9

    เสื้อแข่งสายของยี่หวา…



    #พริ้มเพียงหวา










    (เสื้อแข่งชิงเป็นสีม่วงนี้ค่ะ ขออนุญาตยืมภาพปลากรอบ)

    ถ้าถามว่ารวมเล่มมั้ย รวมแน่ ๆ ค่ะ เราอยากเก็บเล่มฟิคของเราทุกเรื่องอยู่แล้ว นี่คือความปราถนาอีกหนึ่งข้อในชีวิตนี้ แต่น่าจะได้รวมปีหน้า เราไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะแต่งเสร็จเร็ว งานเยอะมากๆเลยค่ะ

    เนื้อเรื่องม่าเจ้มจ้นจัง หัวใจรับไม่ไหว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×