คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๔
14
OBEN-G
2nd day
งานวันที่สองคึกคักกว่าเดิมเมื่อมีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งห้าโรงเรียนว่าวันนี้เป็นวันแข่งของทีมคาลันโชและไอโซระ
เห็นได้จากถนนคนเดินที่อัดแน่นกว่าวันแรก
มียูนิฟอร์มสีสันหลากหลายเดินกันเกลื่อนกราด ไหล่ชนไหล่กันเต็มไปหมด แต่ก็ใช่ว่ามารอดูแค่ทีมนี้ทีมเดียว
ยังมีการแสดงต่าง ๆ และการแข่งขันวิชาการอื่น ๆ
ที่จะจัดแข่งก่อนหน้ายาวไปจนใกล้สามโมง ซึ่งการแข่งวอลเล่ย์บอลชายจัดต่อจากนั้น
พริ้มนั่ง ๆ นอน
ๆ อยู่ด้านในโรงยิมโดยที่มือก็ยังมีพู่กันอันเดิมถือไว้อยู่
ถึงแม้ว่างานจะเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกใจพู่กันเสียเท่าไร
เธอสั่งเก็บรายละเอียดตรงจุดเล็ก ๆ ที่เรามองกันไม่เห็น
สั่งให้ตัดด้วยสีดำเส้นใหญ่ ๆ จะได้เห็นชัด ๆ และก็ซื้อสีเคลือบมาให้ทากันน้ำ ทั้ง
ๆ ที่เราแข่งกันในโรงยิม
“ปวดหลังจังเลยพริ้มมม!!”
“โอ๊ะ!”
อยู่ ๆ
ข้าวฟ่างก็เอนตัวลงมานอนทับหลังเขา พริ้มสะดุ้งตกใจ เผลอตวัดปลายพู่กันออกนอกเส้น
เพื่อนสาวหันมาดูก่อนจะหลุดหัวเราะ
ล้อเลียนพริ้มไปมาพลางหยิบพู่กันของตัวเองมาช่วยระบายกลบสีที่พริ้มทำเลอะ
ท่ากึ่งนั่งกึ่งคร่อมตัวพริ้มทำให้คนโดนขยับตัวไม่ได้
เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่เคยเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้ เพราะไม่เคยมีเพื่อน
เลยไม่รู้ว่าในตอนที่โดนแบบนี้เขาต้องทำตัวยังไง
“ระบายช่องนั้นเสร็จก็เสร็จแล้ว
เย้! จะได้พักสักที”
“ฟ่างมาช่วยระบายหน่อยสิ
จะได้พักไว ๆ”
“ม่ายอ่ะ
แบบนี้เราก็ได้พัก”
เหลือเขากับฟ่างอยู่ระบายสีตรงนี้กันสองคน
ส่วนคนอื่น ๆ ก็คงเดินตลาดกันล่ะมั้ง พริ้มเองก็อยากเดิน
แต่พอมองจำนวนคนแล้วก็ได้แต่นั่งรอให้ซากว่านี้แล้วถึงค่อยไป
ไม่งั้นเขาได้โดนเบียดไปมาหาทางออกไม่ได้เหมือนปีที่แล้วอีก
พริ้มเร่งมือระบายสีส่วนที่เหลือให้เสร็จไว
ๆ โดยมีข้าวฟ่างนอนเล่นอยู่ข้าง ๆ ตั้งใจทำไม่สนใจรอบตัวจนหัวเริ่มฟู
จะปัดก็ไม่ได้เพราะมือเลอะไปด้วยสี และเมื่อปลายพู่กันตวัดกลบพื้นที่สีขาวไปจนหมด
พริ้มก็แทบหงายหลังลงไปนอนคลุกเล่นกับพื้น ถ้าไม่ติดว่าหลังของเขาชนเข้ากับขาของใครบางคนเสียก่อน
“โห่พริ้ม
มึงระบายสีห่วยแตกว่ะ”
พริ้มเงยหน้าขึ้นหาเจ้าของเสียง
ก่อนจะยิ้มให้ผ้าที่ใส่เสื้อแข่งสีม่วงสวยเดินอ้อมมานั่งข้าง ๆ ตามด้วยเทค จอมทัพ
และซานที่อยู่ในชุดเดียวกัน ข้าวฟ่างเด้งตัวขึ้นจากพื้น
ทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งที่หนุ่มหล่อประจำชมรมวอลเล่ย์อยู่ใกล้เธอถึงสี่คน
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็คีพหน้านิ่งเอาไว้ก่อน พลางคิดว่าอยากนั่งข้าง ๆ
พริ้มจังเลยในเวลาแบบนี้
“ตรงไหน
เราระบายไม่ออกนอกเส้นนะ”
“ไม่ออกนอกเส้นแล้วเรียกว่าสวยหรอ”
พริ้มงอปากใส่เพื่อนสนิทที่พอแกล้งสำเร็จก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง
เทคเองก็ลอบยิ้มบาง ๆ อยู่ข้างหลัง
ไม่ต่างอะไรจากจอมทัพที่หัวเราะผสมโรงไปกับผ้าด้วยเช่นกัน
ยกเว้นก็แต่ซานที่ทำหน้าเก๊กขรึม แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าใบหน้าขาวซีดที่เพิ่งงอปากไปเมื่อกี้…
น่ารักจนเกือบหลุดขำออกมาเหมือนกัน
พวกตัวจริงแต่งตัวเต็มยศรอยี่หวาคุยกับอาจารย์เรื่องงานเสร็จแล้วถึงจะได้ซ้อม
เพราะงั้นเราเลยว่างมากพอที่จะเดินเล่นไปทั่วโรงยิมได้
มุกกับเนยแยกตัวไปเดินเล่นที่ตลาด ถึงยี่หวาจะบอกว่าใช้เวลาไม่นาน
แต่นี่ก็เกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้ว
ป่านนี้พวกมันพาเพื่อนพูดมากกวาดไส้กรอกไปจนเรียบแล้วมั้ง
“เออ
พิธีเปิดมีตอนสามโมงใช่ปะวะ?”
“อือ”
“คือมาสคอตก็มาแค่เวลานั้นเลยอ่ะหรอ”
“คงงั้น”
“เชี่ย
จ้างโคตรคุ้ม”
ผ้าถามเทคที่นั่งเลื่อนกล้องของยี่หวามาตั้งแต่เมื่อกี้
พริ้มเผลอจ้องผ้าเพราะคำถามของผ้ามันเกี่ยวกับมาสคอต ผ้าที่รู้สึกถึงสายตาของเพื่อนตัวเล็กเข้าก็เอานิ้วจิ้มจึก
ๆ ที่แก้มนุ่มเบา ๆ
“มองอะไร”
“เปล่า”
“ก็เห็นว่ามองอยู่เนี่ย”
“เราคุยกับผ้า
เราก็มองผ้า จะให้เรามองใครล่ะ”
“เถียงเป็นแล้วหรอ”
พริ้มชวนข้าวฟ่างเก็บของ
นี่ก็ใกล้จะบ่ายแล้ว
เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงที่เขาต้องไปเตรียมตัวเป็นมาสคอตปูส้มเปิดงานพร้อมกับชมรมเชียร์
เห็นคนแถว ๆ นี้ลือกันใหญ่ว่าชมรมเชียร์ของโรงเรียนเราสวยมาก
งานแสดงโชว์เปิดช่วงเช้าก็งดงาม ไม่ผิดหวังที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันดีขนาดนี้
ขวดน้ำที่ถูกตัดก้นขวดมาทำเป็นที่ล้างพู่กันประมาณสี่อันเพราะมีคนทำสี่คน
พริ้มเอาก้นขวดที่มีน้ำอยู่เต็มและมันเป็นสีเข้มไปเททิ้ง หอบเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ
ที่เราใช้ทำงานไปล้างที่ก๊อกน้ำข้างโรงยิม ซึ่งด้านข้างมีน้ำห้องและหน้าห้องน้ำมีสวนหย่อมเล็ก
ๆ กับบรรยากาศร่มรื่น ถึงแม้จะเหม็นกลิ่นห้องน้ำไปเสียหน่อย แต่ก็พออภัยกันได้
ช่วงเที่ยงคนเยอะยิ่งกว่าตอนเช้าเสียอีก
มองไปที่ตลาดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ กว่าพริ้มจะทำใจไปเดินได้ ของที่ขายคงหมดก่อน
เขาเดินหอบเอาอุปกรณ์มากองทิ้งไว้ที่ก๊อกน้ำที่ว่า เป็นก๊อกน้ำที่ไม่ค่อยมีคนใช้ถ้าไม่ได้เรียนที่โรงยิม
แถวนี้สงบกว่าอีกฟาก จะมีก็แต่นักเรียนอซ.เท่านั้นที่จะมาเดินหรือนั่งเล่นกันตรงนี้
ในจังหวะที่พริ้มตั้งใจล้างของต่าง
ๆ ที่เลอะไปด้วยสีน้ำเข้มข้น
ทั้งมือทั้งเล็บเริ่มเปลี่ยนสีไปตามพู่กันที่หยิบมาล้าง นักเรียนอซ.ที่มานั่งเล่นตรงนี้ที่ว่าก็ได้มองเห็นเพื่อนรักของตัวเองเข้าเต็มตา
หญิงสาวเหยียดยิ้มมุมปาก
นึกอะไรสนุก ๆ เล่นฆ่าเวลาก่อนจะถึงการแสดงโชว์ในรอบสามโมงเย็น
นับว่าเป็นโชคดีของเพื่อนรักคนนั้นล่ะนะที่พวกเธออยู่กันครบองค์ประชุม ไม่สิ…ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งนี่นา
“เออแคท
แกรู้เรื่องนั้นยัง ที่มีคนเห็นอีพริ้มมันเดินอยู่กับยี่หวาอ่ะ”
“ตอนไหน?”
รอยยิ้มของแคทค่อย ๆ คลายลงเมื่อได้ยินอะไรที่มันไม่ค่อยจะเข้าหูเท่าไร
“วันสองวันก่อนมั้ง
ตอนชมรมวอลเล่ย์เลิก เห็นเขาบอกว่ายี่หวาเดินไปส่งที่หน้าโรงเรียนเลยนะแก”
ฟรอนท์เม้าท์อย่างออกรสกับข่าวที่เธอได้รับมา
เห็นว่าต้นข่าวน่าจะมาจากคนในชมรม ไม่งั้นก็ไม่น่าจะมีใครอื่นรู้
เพราะกว่าชมรมจะเลิก นักเรียนธรรมดาก็กลับบ้านกันหมดแล้ว และแน่นอนว่าเหตุการณ์แบบนี้แคทนั้นเกลียดแสนเกลียด
เกลียดพวกที่เข้าชมรมเพื่อรอความหวังในตอนที่ชมรมเลิก…คนแบบนั้นน่ะร้ายกว่าเธอเยอะ
“โห
ไม่ธรรมดาเลยว่ะ เห็นติ๋ม ๆ …จริง ๆ ก็อยากได้จนตัวสั่นเหมือนกันสินะ”
“นี่ว่ายี่หวาน่าจะเดินไปทำธุระที่หน้าโรงเรียนปะ
แล้วอีพริ้มก็ตอแหลว่าจะกลับบ้าน เลยถือโอกาสเดินไปกับยี่หวาเลย”
“เหมือนพวกแรดเงียบเลยอ่ะ
ทำตัวใส ๆ แต่ในใจคืออ่อยไปไกลแล้ว”
“แล้วได้อยู่ชมรมกับยี่หวาอีก
กูว่ามันวางแผนมานานน่าดูเลยว่ะ ฮ่า ๆ”
พวกเธอไม่สนหรอกว่าสิ่งที่พูดมันจะเป็นจริงได้มากแค่ไหน
ขอแค่หัวข้อนี้มันมีเรื่องให้คุยแล้วมันสนุกก็เพียงพอแล้ว
เวลาได้ใส่สีตีไข่ให้ตัวเองได้ลับคมปากก็สนุกไปอีกแบบเหมือนกัน แคทนั่งฟังเพื่อนสาวเม้าท์มอยแล้วรู้สึกว่ามันมีเหตุมีผล
อีกนัยหนึ่งก็ยอมรับเลยว่ามันกล้ามากจริง ๆ ที่ยังไม่เลิกยุ่งกับยี่หวา
เห็นทีจะต้องทำให้เข็ดกว่าตอนนั้นซะแล้ว
“เห็นช่วงนี้เท็ดดี้มันไม่ค่อยเข้าไปยุ่งกับอีพริ้มเลยวะ
เพราะมีผ้าหรอ”
“คงใช่
มึงก็รู้ว่าอีเท็ดมันกากเดนจะตาย ไม่กล้าสู้กับกลุ่มยี่หวาหรอก”
แคทยกยิ้มมุมปากอีกครั้งก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ก็ถ้ามีใครสักคนไปยั่วอารมณ์เท็ดดี้…ก็ไม่แน่ใช่มั้ยล่ะ?”
สาวใบหน้าสวยพเยิดหน้าไปทางด้านหลังของตัวเองเพื่อให้เห็นว่ามีใครสักคนที่ว่ายืนอยู่ตรงนั้น
เหนือมุมของพุ่มไม้ปรากฏเป็นผู้ชายร่างบางคนหนึ่งที่กำลังขมวดคิ้วล้างจานสีอยู่ที่ก๊อกน้ำ
ใบหน้าติ๋ม ๆ ที่พวกเธอคุ้นตาเป็นอย่างดีกำลังทำหน้าตั้งใจโง่ ๆ
ไม่ต่างจากตอนที่ต้องเก็บจานของพวกเธอทุกกลางวัน
แคทให้มัฟฟินเดินไปเรียกพริ้ม
ในขณะที่รอเธอก็นั่งไถโทรศัพท์ไปอย่างสบายใจ
แอบเหยียดยิ้มที่มุมปากเป็นครั้งที่สาม เธอสนุกล่วงหน้าอย่างไม่รอใครเพราะนึกสภาพเวลาเจอจุดไคลแมกซ์แล้วตื่นเต้นเป็นบ้า
เพื่อนในกลุ่มก็ช่างเชื่อฟังกันดีเหลือเกิน
ชอบชะมัดเวลาที่เรามองตากันก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไร
รอไม่นานนัก
มัฟฟินก็เดินกลับมาพร้อมกับพริ้ม เด็กหนุ่มตัวเล็กยืนเอามือกลัดกันไปมาที่หน้าท้อง
ความกังวลเกิดขึ้นเสมอเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ พริ้มลอบกลืนน้ำลายดังเอือก
สีหน้าของทุกคนที่กำลังมองมาอยู่นั้น…มีแต่รอยยิ้มที่รู้สึกขยะแขยง
“ม…มีอะไรหรอ”
“ไม่มีอะไร
ก็แค่เรียกพริ้มคนดังมานั่งคุยเล่นก็เท่านั้นเอง” หนึ่งในเพื่อนสาวพูดขึ้น
“เห็นช่วงนี้พริ้มสนิทกันดีกับเพื่อนห้องอื่น
เพื่อนห้องเดียวกันอย่างพวกเราก็น้อยใจน่ะสิ”
พริ้มก้มหน้าเดินเข้ามาใกล้ตามมือแคทที่กวักเรียก
“เหมือนไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ
หน้าดูสดใสขึ้นนี่? แต่แคทชอบหน้าพริ้มตอนหม่นหมองมากกว่านะ”
“…”
“เหมือนพวกหมาขี้แพ้…อะไรอย่างนั้น”
ว่าจบก็หันไปหัวเราะคิกคักกันกับเพื่อนในกลุ่ม
ทิ้งให้พริ้มเม้มปากด้วยความเจ็บใจเพราะโต้ตอบอะไรกลับไปไม่ได้สักอย่าง
เขาเสียเปรียบแคทมาอยู่ตลอด และมันจะเป็นอย่างนั้นถ้าเขายังเป็นแบบนี้…
“จะไปไหน?”
“ก็…ถ้าแคทไม่มีอะไร…เราเองก็มีงานที่ต้องทำต่อ”
“เดี๋ยวนี้กล้าเดินหนีแล้วหรอ
ว้าว…ไม่เบานี่พริ้ม”
“เราขอ…
เราไม่ได้เดินหนี”
“พอมีเพื่อน…ก็รู้สึกว่าจะกล้าขึ้นเยอะ
เหมือนเมื่อก่อนเลยเนอะ ว่ามะ?”
วูบหนึ่งในใจของพริ้มกระตุก
คำว่า ‘เมื่อก่อน’ ของแคทเป็นเหมือนปุ่มรีเพลย์ย้อนเหตุการณ์ที่พริ้มพยายามลบมันแทบตายยังไงมันก็ยังอยู่ที่เดิม…เหมือนเดิมทุกฉาก…และชัดเจนขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกัน
บรรยากาศและรอยยิ้มของแคทเหมือนกับในวันนั้น นั่นเลยทำให้พริ้มเริ่มกระวนกระวายใจ
เขาอยากวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้
แต่มันไม่น่าจะจบลงที่เส้นชัย
“แคทไม่ได้จะทำอะไรพริ้มสักหน่อย
กลัวอะไรกันเล่า เห็นเราใจยักษ์ใจมารขนาดนั้นเลยหรอ”
“ป…เปล่า”
“ใช่มั้ยล่ะ?
ที่เราให้มัฟฟินเรียกพริ้มมา…ก็เพราะว่ามีเรื่องที่อยากจะช่วยเฉย ๆ”
แคทพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบราวกับตัวร้ายในละครไม่มีผิดเพี้ยน
แต่กับเหตุการณ์จริงมันไม่เหมือนกัน พริ้มสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกจากตัวแคท
มันเย็น…แต่ก็ร้อนแรงเหมือนกับไฟ สร้างความกลัวนับร้อยในหัวของเขา
และต่อไปก็คงไม่พ้นบาดแผล…
“บางทีแคทก็สงสารพริ้มเหมือนกันนะ
พริ้มควรมีเราเป็นเพื่อนสนิทแค่กลุ่มเดียวก็พอ…”
“…”
“แคทเห็นเท็ดดี้แกล้งพริ้มบ่อย
ๆ บอกตรง ๆ ว่าก็เสียใจนะที่เราเข้าไปช่วยอะไรไม่ได้เลย”
เป็นครั้งแรกที่พริ้มอยากจะพูดอะไรหยาบคายต่อหน้าผู้หญิงคนนี้
“แคทมีอะไรจะพูด…ก็พูดตรง
ๆ กับเราเลยได้มั้ย”
“เรารู้นะว่าพริ้มก็ไม่ได้อยากอดทนตลอดไปหรอก”
“…เราไม่เข้าใจ”
“ก็…เป็นอะไรที่แคทเสี่ยงตายเพื่อที่จะช่วยพริ้มเลยนะจ๊ะ”
เธอว่าไว้แค่นั้นก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า
ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาทางเขา
เปิดอะไรบางอย่างในนั้นและยื่นมันมาให้พริ้มดูในระดับสายตา
มันเป็นภาพแอบถ่ายที่มีวิวแย่ ๆ และคนอยู่ในนั้น ใช่…
มันเป็นภาพเท็ดดี้ยืนสูบบุหรี่อยู่ในโรงเรียน
แคทเลื่อนให้ดูหลายรูป
แต่ละรูปเห็นใบหน้าของเท็ดดี้ชัดเจน ทั้งท่าทาง ทั้งสิ่งของ ไม่รวมเหล่าเพื่อน ๆ
ที่ยืนอยู่ในเฟรมเช่นเดียวกัน พริ้มเหงื่อตก เขาพยายามคิดให้ทันแคท
แต่แคทก็มักจะคิดเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าวเสมอ
“อยากได้มั้ย?
เราให้พริ้มได้หมดเลยนะ”
พริ้มสบตากับแคทสลับกับเลื่อนดูรูปในโทรศัพท์
แคทน่าจะให้เขาเอารูปพวกนี้ส่งห้องปกครองเป็นแน่ ถ้าหากเขาทำ…เท็ดดี้จะโดนไล่ออกแบบไม่มีข้อโต้แย้งใด
ๆ เพราะด้วยหลักฐานต่าง ๆ ที่แคทถ่ายมานั้นล้วนมีน้ำหนักมาก
แต่เขาไม่เชื่อว่าแคทจะให้เขาฟรี ๆ
“เรา…ไม่เอา”
“ทำไมล่ะพริ้ม?
มันช่วยพริ้มได้นะ เท็ดดี้แทบอ้าปากไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“เราไม่ไว้ใจแคท
แคทไม่ใจดีขนาดที่จะช่วยเราหรอก”
ดูท่าว่าพริ้มจะไปสะกิดต่อมปรี๊ดแตกของแคทเสียแล้ว…
สาวเจ้าเหวอไปนิดหน่อยที่โดนเบ๊ต่ำต้อยใช้วาจาได้น่าหมั่นไส้ ถึงเธอจะร้ายจริง ๆ
แต่คนอย่างพริ้มก็ไม่มีสิทธิ์ใช้คำแบบนี้กับเธอ แคททำเสียงขึ้นจมูกไม่สบอารมณ์
ว่าจะเย้าแหย่ไปเรื่อย ๆ เห็นทีคงต้องเปลี่ยนโทนกันเสียตั้งแต่ตอนนี้
“รู้มั้ยว่าระดับคนอย่างแกน่ะ…ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรแบบนี้กับฉัน!!”
“…!”
“แค่ทำเป็นใจดีด้วยหน่อยก็อย่าคิดเหลิงว่ากูจะไม่กล้าลงมือกับมึงนะอีพริ้ม! ยิ่งกูมองหน้ามึง ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน ทำเป็นตาใส คิดหรอว่าคนเขาไม่รู้ว่าจริง
ๆ แล้วมึงน่ะร้ายกว่ากูอีก!!!”
แคทไล่จี้อก
กดนิ้วลงไปแรง ๆ จนพริ้มต้องถอยหลังหนี เพื่อนคนอื่น ๆ รีบกรูเข้ามาใกล้
ล้อมหน้าล้อมหลัง กั้นทางหนีของพริ้มเอาไว้ไม่ให้ลูกแมวตัวนี้ได้ถอยหลังอีก
ร่างเล็กกำโทรศัพท์ในมือแน่น มันเป็นของเพียงสิ่งเดียวที่พริ้มจะระบายความกลัวออกไปได้
ใบหน้าแคทโกรธจัด
ดวงตาของเธอเบิกกว้าง เน้นย้ำทุกคำเพื่อให้ทาสผู้ต่ำต้อยรู้ตัว
“แล้วมึงจะรู้ว่าคนชื่อพริ้ม…ไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุข”
สักพักเธอก็ปรับสีหน้า
จากโกรธจัดเป็นเศร้าสร้อย ดึงหูตาตกอย่างรวดเร็วจนพริ้มตามเกมไม่ทัน
คนตัวเล็กเลิกลักมองซ้ายมองขวา นับจังหวะกับตัวเองในใจ…ถ้าเขาจะวิ่งก็ต้องวิ่งสุดแรงเกิด
“เรามาคุยกันดี
ๆ มั้ยพริ้ม ทำไมพริ้มต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย!”
“…?”
“ถึงเราจะชอบแกล้งพริ้ม
แต่แบบนี้มันก็ใจร้ายไปนะ!!”
งงไปหมด…
พริ้มตามแคทไม่ทัน เพื่อนในกลุ่มของแคทเองก็เช่นกัน ไม่มีใครตามเกมของอีกคนทัน
เพราะคนคนนี้ชอบเล่นเกมคนเดียว แต่ชอบให้มีคนมาเอี่ยวเยอะ ๆ
“อะไรกันวะ?”
เสียงที่พริ้มเกลียดที่สุดดังขึ้นด้านหลังของแคท
ก่อนเจ้าของเสียงจะแหวกเหล่าสาว ๆ
ที่รายล้อมพริ้มราวกับแมลงวันตอมออกเพื่อดูว่าใครกันที่หลงมาเป็นเหยื่อเพื่อนสาวสุดร้ายของเขา
แคทเบะปากก่อนจะปัด ๆ ที่จมูก จากนั้นก็เล่นละครของตัวเองต่อ
“ไม่มีอะไรหรอกเท็ดดี้
เราก็แค่…เสียใจที่พริ้ม…”
“โว้ว ๆ
เดี๋ยวนี้ไอ้ก้างนี่มันแกล้งมึงได้แล้วหรอวะ สุดยอดไปเลยว่ะเพื่อนรัก”
เท็ดดี้ตบหัวพริ้มเป็นการทักทาย
คนตัวเล็กทำอะไรไม่ถูกเมื่ออยู่ท่ามกลางของคนที่รังเกียจเขา มือไม้นิ่งงัน
กำโทรศัพท์ของแคทเอาไว้แน่นราวกับคนสติหลุด
ปากชาวาบพูดอะไรไม่ออกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าในนี้มีรูปของเท็ดดี้อยู่เต็มไปหมด
และแต่ละรูปก็…
“พริ้มคงโกรธเรามากจริง
ๆ ถึงทำกับเราขนาดนี้ เราขอโทษนะพริ้ม”
“ทำไม
มันทำไรมึง?”
“เท็ดดี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้
เราไม่อยากเอาเท็ดดี้เข้ามายุ่ง”
“กูถามว่ามันทำอะไรมึง”
เท็ดดี้ย้ำอีกครั้งเป็นจังหวะที่แคทยกยิ้มกระหย่องในใจ
เข้าทางไปเสียหมด…เกมนี้นี่มันสนุกจริง ๆ
ไม่คิดเลยว่าแปวจะลากเท็ดดี้ออกมาทันเวลาเป๊ะ ๆ
“พริ้ม…จะแบล็คเมล์เรา”
“…ไม่ใช่นะ!”
“มันจะไม่ใช่ได้ยังไง! ก็พริ้มเอารูปมาขู่เรา บอกว่าถ้าเราไม่เลิกแกล้ง
พริ้มก็จะส่งให้ห้องปกครอง พริ้มเป็นคนพูดเอง!!”
“ไม่ใช่นะ! เราไม่ได้…!!”
เท็ดดี้แย่งโทรศัพท์ที่ว่านั่นไปจากมือเขา
พริ้มน่าจะเอะใจตั้งแต่โทรศัพท์ราคาแพงแต่กลับไม่มีการล็อคพาสเวิร์ดเอาไว้แล้ว
ยืนโง่ถือไว้ในมือได้ตั้งนาน แล้วยังแตกตื่น
ตั้งสติไม่ได้ว่านั่นไม่ใช่โทรศัพท์ตัวเองอีก แต่คนที่โง่กว่าพริ้มก็คือเท็ดดี้
หมอนี่โง่หลงเชื่อคำของแคทเสมอ โดยที่ไม่ถามเลยว่าโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นของใคร
“นี่มัน…”
“ไม่นะ…เราไม่ได้ทำนะ”
“นี่มึง…แอบถ่ายรูปกูหรอไอ้พริ้ม!!!”
หมัดหนัก ๆ
ฟาดเข้าเต็มแรงที่แก้มซ้าย รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ในปาก
ไม่นานแผลที่มุมปากก็ฉีกออกให้เลือดสีข้นไหลลงมารดอยู่ที่คาง พริ้มช็อคทันทีที่โดนต่อย
ทั้งความแรง…ความกลัว…ความเจ็บ ประเดประดังเข้ามาไม่ลดละ จนสติเริ่มหลุดไปทีละนิด
ตั้งแต่โดนแกล้งมา
นี่เป็นครั้งแรกที่พริ้มโดนต่อย
“มึงกะจะเล่นงี้เลยสินะ
ได้…ได้ไอ้เวร! กูจะเล่นกับมึงเอง!”
“ปล่อยนะ!”
“อยากเข้าห้องปกครองนักใช่มั้ย
มึงได้เข้าสมใจยากแน่”
“เราไม่ได้ทำนะ
ปล่อยเราไปเถอะนะเท็ดดี้ เราขอโทษ!”
พริ้มโดนลากคอเสื้ออย่างทุลักทุเลไปหลังห้องน้ำ
ที่เดิมกับที่เท็ดดี้เพิ่งเดินออกมา เพื่อนผู้ชายคนอื่น ๆ ก็เดินยิ้มกริ่มตามมา
ไม่มีใครเลยที่จะช่วยห้ามหรือแย้งกับการกระทำแย่ ๆ แบบนี้ แม้กระทั่งแคท…ที่ยืนโบกมือส่งยิ้มให้เขา
ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่เธอคิด
ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการใช้คนโง่อย่างเท็ดดี้เป็นหมากอีกแล้ว
พริ้มร้องไห้ตัวโยน
สะบัดตัวให้หลุดแต่มือของเท็ดดี้ที่จับคอเสื้อเขาอยู่นั้นแน่นเกินไปจนแทบไม่กระดิก
มันเหวี่ยงเขาไปที่กำแพง เสียงดังอักพร้อมกับเลือดที่กระเด็นออกมาจากปากเล็ก
พริ้มคุกเข่า กระวนกระวายยกมือขึ้นมาพนมไว้
ร้องขอเท็ดดี้ว่าอย่าได้ทำอะไรกับเขามากไปกว่านี้อีกเลย
“เราขอโทษ…เราขอโทษ
เราไม่ได้เป็นคนทำจริง ๆ นะ”
“กูไม่เชื่อ!! หลักฐานมันทนโท่อยู่เต็มตากู มึงจะแก้ตัวว่าไม่ได้ทำได้ยังไง”
“น…นั่นไม่ใช่โทรศัพท์ของเรานะเท็ดดี้
เราไม่ได้ทำจริง ๆ”
พริ้มเสียงสั่นเพราะร้องไห้และเริ่มพูดไม่เป็นภาษา
ตอนนี้ในหัวสมองไม่มีอะไรนอกจากความกลัว
บรรยากาศรอบข้างที่เขาเห็นเริ่มมืดลงเหมือนคนสิ้นหวัง
ไม่มีอะไรให้เขามองนอกจากรองเท้าของผู้ชายตรงหน้า น้ำตาไหลรินเลอะเปรอะเปื้อนผสมกับเลือดสีแดงที่มุมปาก
สะอึกสะอื้นอยู่เพียงหนึ่งเดียวเหมือนคนบ้าที่ไม่มีใครสนใจจะฟัง
“เชื่อเราเถอะนะ
เราไม่ได้ทำจริง ๆ”
“เฮ้ยไอ้แซค
มึงบอกว่าอยากเล่นอะไรน่าอาย ๆ ไม่ใช่หรอวะ”
“อ๋อ… เออ
น่าสนว่ะ กำลังเบื่อ ๆ อยู่พอดี”
“เอาให้ร้องไม่ออกไปเลย”
พริ้มถอยหลังกรูดไปติดเข้ากับกำแพงสกปรก
ห้องน้ำตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีคนใช้ แล้วยิ่งเป็นงานเทศกาลที่จัดอย่างคึกคักที่อีกฟาก
ตรงนี้ก็แทบจะเงียบเหงากันเลยทีเดียว พริ้มพยายามลุกขึ้นจากพื้น
แต่ก็โดนเท้ายันไหล่ให้ล้มกลับลงไปอย่างเดิม
“เอาน่า
เล่นกันแปปเดียว เดี๋ยวก็จบแล้ว”
“ปล่อยเราไปเถอะนะ
เราขอร้อง…เราเจ็บ”
“ไหน ๆ
เจ็บตรงไหน เดี๋ยวช่วยดูให้”
รอยยิ้มหื่นกระหายทำเอาพริ้มขนลุกวาบ
ถีบแซคออกไปจากตรงนี้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีก่อนจะรู้ว่าที่ตัวเองทำนั้นมันโง่มากแค่ไหน
“นี่มึงถีบกูหรอ!!”
“โอ๊ย!”
แซคกระชากเขากลับไปที่เดิม
ใบหน้าของมันแดงก่ำด้วยความโกรธ ทุกอย่างดูรวดเร็วจนพริ้มเริ่มปวดหัว
สายตาของมันหลุบมองที่คอเสื้อของเขา และนั่นทำให้พริ้มเข้าใจเจตนาของคำว่า ‘น่าอาย’ ได้อย่างชัดเจน
มือเล็กยกขึ้นกุมคอเสื้อตัวเองไว้ แต่ก็ช้ากว่าคนตรงหน้าไปเพียงนิดเดียว
แควก!!
มันกระชากคอเสื้อของพริ้มจนขาด
เสื้อตีมงานโอเบงในปีนี้ใส่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…
เหยื่อผู้โชคร้ายพยายามร้องขอให้คนที่อยู่ด้านบนปล่อยตัวเขาไป
พริ้มไม่เห็นอะไรนอกจากภาพมัว ๆ ที่ถูกน้ำตาฉโลมจนเบลอ
เสียงหัวเราะสนุกสนานของเท็ดดี้ดังอยู่ในรูหูราวกับคนกระซิบ
นึกโทษโชคชะตาหรือแม้กระทั่งฟ้าดินที่ทำให้พริ้มต้องมาเจออะไรแบบนี้
แต่เขาก็ค้นพบว่าแท้จริงแล้ว
พริ้มเองก็มีโชคดีกับเขาอยู่บ้าง…
ตัวของแซคลอยออกไปจากตัวเขา
เสียงตุ้บตั้บอะไรสักอย่างและเสียงตะโกนก่นด่าดังแทนเสียงหัวเราะของเท็ดดี้ก่อนหน้านี้
พริ้มนอนนิ่งงันอยู่บนพื้น หมดเรี่ยวหมดแรง แม้แต่การกะพริบตาก็ยังทำได้ยาก …ความเจ็บปวดตามจุดต่าง
ๆ ได้เลือนหายไปเหลือแต่ความชาที่หัวใจ
และมือของใครบางคน
“พริ้ม”
“…”
“พริ้ม!”
เสียงนั่นดูร้อนใจ
แต่มันไม่ใช่เวลาจะมารู้สึกดีที่มีคนเป็นห่วง พริ้มค่อย ๆ
ขยับเปลือกตาไล่น้ำสีใสที่เกาะอยู่เต็มดวงให้ไหลออกไป พลันภาพที่เห็นก็เริ่มชัดขึ้น…ชัดขึ้น…ชัดขึ้น…
“…ยี่หวา”
ยี่หวาอุ้มพริ้มมาที่ห้องพักนักกีฬา
ดีที่โรงยิมมีประตูลับด้านหลัง ก็เลยไม่เป็นภาพให้ใครแตกตื่น
ตลอดทางไม่มีใครพูดอะไรสักคำ พริ้มเอาแต่เงียบอยู่ในอ้อมแขนของยี่หวา
ส่วนยี่หวาก็เอาแต่เดินดุ่ม ๆ ไปที่ห้องพัก
จะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้
เพราะหลังจากที่ยี่หวาคุยกับอาจารย์เสร็จ
เขาก็เดินกลับมาที่โรงยิมเพื่อเตรียมตัวซ้อมกับคนอื่น ๆ
แต่ระหว่างนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะไปคุยกับพริ้มเรื่องมาสคอต
แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ถามเพื่อนทีมหญิงที่อยู่กับพริ้มเป็นคนสุดท้ายก็ได้ความว่าพริ้มเอาอุปกรณ์ไปล้าง
แต่ไม่รู้ว่ากลับมาหรือยัง เธอเองก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการติดป้ายเลยไม่ได้สังเกต
พอได้ยินแบบนั้นยี่หวาก็รีบสับขายาว
ๆ ของตัวเองไปที่ก๊อกน้ำข้างโรงยิมทันที ตอนแรกเขามองไปรอบ ๆ
มันไม่มีใครอยู่ตรงนี้ แต่อุปกรณ์และคราบของสีที่เพิ่งเกิดขึ้นมาหมาด ๆ
เป็นตัวบอกเขาว่าพริ้มอยู่ตรงนี้จริง ๆ
สักพักก็ได้ยินเสียงอู้อี้อะไรสักอย่างที่หลังห้องน้ำ
และก็พบกับคำตอบทุกอย่าง…
เขานึกหงุดหงิดที่ปล่อยให้เท็ดดี้หนีไปได้
แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะไอ้หมูตัวนั้นมันไม่กล้าสู้กับเขาอยู่แล้ว
จำได้ว่าเขาอัดพวกมันไปคนละหนึ่งทีก่อนจะวิ่งแตกกระเจิงไปจนหมด
ยี่หวาวางพริ้มลงเบา
ๆ ที่โซฟายาว
ลอบมองใบหน้าของคนตัวเล็กที่นิ่งเงียบไปหลายนาทีและไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปากพูดอะไรเลย
ร่างสูงลุกไปเตรียมอุปกรณ์ทำแผลโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน แต่ในจังหวะต่อจากนั้น เสียงประตูห้องก็ดังขึ้น
“พริ้ม!!!”
“เกิดอะไรขึ้นวะ!?”
“เฮ้ย! หน้าไปโดนอะไรมา…”
ผ้ารุดเข้ามานั่งข้าง
ๆ พริ้ม จับนู้นจับนี่ ก่อนจะจับเสื้อที่ขาดของพริ้มเบา ๆ
มองใบหน้าด้านข้างของพริ้มที่ไม่แม้แต่จะมองมาที่ตัวเองแล้วยิ่งปวดหัวใจ…ใบหน้าที่คิดว่าตัวเองไม่มีใครแบบนั้น…
กล่องปฐมพยาบาลใบเดิมถูกวางไว้บนโต๊ะ ผ้ารีบคว้าเพราะอยากทำแผลให้กับเพื่อนตัวเล็กคนนี้
แต่กัปตันทีมกลับปัดมือเขาออกไปก่อนที่จะโดนกล่องเสียอีก
“ไปซ้อม
เดี๋ยวทำเอง”
“ไม่! นี่เพื่อนกู กูจะทำ”
“งั้นยี่หวา
มึงมาคุยกับพวกกู”
จอมทัพเรียกกัปตันทีมให้ออกไปคุยกันที่หน้าห้อง
บรรยากาศเคร่งเครียดปล่อยออกมาจากตัวยี่หวาผ่านสายตาที่ดุดันของมัน
ต่างคนต่างตกใจที่เห็นสภาพของพริ้มแย่กว่าที่มองเผิน ๆ
เทคที่เป็นคนอารมณ์เย็นที่สุดและมักเป็นตัวเบรกอารมณ์ของคนอื่น ๆ
ในตอนนี้กลับคุกรุ่น พร้อมเอาเรื่องไอ้ตัวการได้ตลอดเวลา
“ใครเป็นคนทำ?”
“พวกเท็ดดี้”
“ไอ้พวกเหี้ยนี่อีกแล้วหรอ”
เทคก่นด่า
“แล้วมึงเป็นไรมั้ย?”
ซานถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แม้ใบหน้าของยี่หวาจะไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยก็ตามที
“ไม่”
“ก็ดีแล้ว”
ซานไม่กล้าพูดอะไรต่อ
เพราะอยู่กับยี่หวามานาน กับอีแค่เรื่องอารมณ์เขารู้อยู่แล้วว่าเพื่อนคนนี้กำลังรู้สึกอะไรอยู่
เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ในห้องแล้วรู้สึกใจหาย
ตอนแรกที่คุยกันยังงอปากใส่ไอ้ผ้าอยู่เลย
แต่ตอนนี้ริมฝีปากคู่นั้นไม่แม้แต่จะขยับเลยด้วยซ้ำ…
“กูว่าครั้งนี้มันทำแรงไปว่ะ
ถึงขั้นชกต่อยในโรงเรียน กูว่าเราควรจัดการแม่งจริง ๆ จัง ๆ ได้แล้ว”
“กูเห็นด้วยกับไอ้จอมนะ
ตั้งแต่เรื่องคราวนั้นก็ปล่อยไปเพราะไม่อยากมีเรื่อง
แต่กูว่าครั้งนี้ปล่อยไม่ได้ว่ะ ยังไงพริ้มก็อยู่ชมรมวอลเล่ย์ด้วยเหมือนกัน”
ซานอึกอักที่ต้องพูดประโยคหลัง ลอบมองคนอื่น ๆ ว่าจะล้ออะไรเขามั้ย
แต่คงลืมไปว่านี่ไม่ใช่เวลามาตลกอะไรตอนนี้
“ซานพูดถูก
แต่ถึงพริ้มจะไม่ได้อยู่ชมรมวอลเล่ย์ กูก็ไม่คิดจะปล่อยมันไว้เหมือนกัน”
ยี่หวานิ่งเงียบก่อนจะเอ่ยตอบออกมาอย่างหนักแน่น
“กูจัดการเอง”
เสียงประตูบานเลื่อนดังขึ้นขัดพวกเขาคุยกัน
เป็นผ้านั่นเองที่เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก จะให้ทำหน้าตาระรื่นได้ยังไง
ในเมื่อเพื่อนที่ตัวเองเอ็นดูถูกทำร้ายยับเยินซะขนาดนี้
เขาต้องไม่มีทางโอเคอยู่แล้ว แต่จะให้อยู่กับพริ้มในนั้นนาน ๆ ก็ใช่ว่าจะไหว
พริ้มไม่พูดอะไร หรือแม้แต่จะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดตอนทำแผลเลยสักแอะ ผ้าเลยตัดสินใจที่จะเดินออกมาทำใจ
“กูไม่ไหวแล้วว่ะ”
“ทำไม
เกิดไรขึ้น”
“พริ้มไม่พูดอะไรเลย
กูถามก็แค่พยักหน้า สีหน้าอ่อนล้าจนใจกูแป้วไปหมดแล้ว”
“มันคงยังไม่พร้อมที่จะคุยตอนนี้
แล้วนี่มึงทำแผลเสร็จหรือยัง?”
“ยังเลย
เหลืออีกนิดหน่อย หวามึงช่วยทำต่อที กูขอไปสงบจิตสงบใจหน่อย”
หวาพยักหน้ารับก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง
“แล้วมึงจะไปไหนไอ้ผ้า”
“ไปทำให้หัวหายร้อน!! ไอ้เหี้ยเช็ดขี้!! มึงจะต้องไม่ตายดี ไอ้ชักโครก!!!”
มือหนาค่อย ๆ
เลื่อนบานประตูจนปิดสนิท ไม่ลืมที่จะกดล็อคเพราะเขาไม่อยากให้ใครเข้ามาวุ่นวาย
ในห้องกลับมาเงียบเหมือนอย่างตอนแรกที่เขาพาอีกฝ่ายเข้ามา ลอบมองใบหน้าที่ดูดีขึ้นกว่าตอนนั้น…
ตอนที่เขาเห็นแต่น้ำตาเลอะเกรอะกังใบหน้าขาวไปจนหมด
ร่างสูงเดินไปนั่งข้างพริ้ม
ไอ้ผ้าใส่ยาทิ้งไว้เรียบร้อยแต่ไม่อดทนอีกนิดปิดพลาสเตอร์ยาให้ด้วย
นิ้วเรียวยาวหยิบเอาพลาสเตอร์ยาแผ่นใหญ่ขึ้นมาแกะกาวออก จับคางเล็กให้หันมาหา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ดวงตาของพริ้มขยับมอง
เหมือนคนตรงหน้าจะรู้สึกตัวแล้ว…
“…หวัดดียี่หวา”
“ทักทายตอนนี้เนี่ยนะ?”
พริ้มไม่ได้ตอบอะไร
รู้สึกเหมือนหัวสมองมันคำนวณช้าไปหลายอึดใจเลยทำได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
สัมผัสอ่อนโยนของนิ้วโป้งที่คางของพริ้มทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
หวาค่อย ๆ แนบแผ่นพลาสเตอร์ลงไปเบา ๆ จากนั้นก็ลูบมันไปมาสองสามที
“เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?”
“…ไม่แล้ว
ขอบคุณนะ”
“…”
พริ้มไม่เคยนั่งใกล้หวาขนาดนี้
แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ใจเต้นแรงเหมือนอย่างทุกที รับรู้ได้เลยว่าตอนนี้ร่างกายของเขานั้นไม่เปิดรับความรู้สึกอะไรอีกแล้ว…นอกจากความเจ็บ
เจ็บที่มุมปากสุด ๆ ไปเลย ที่พริ้มเอาแต่เงียบเพราะส่วนหนึ่งเขาเจ็บแผลมาก ๆ
พริ้มไม่เคยโดนต่อย เขาเผลอกัดปาก กัดลิ้นตัวเอง ตอนนี้ก็เลยระบมไปหมด
อีกส่วนก็เพราะว่าเขายังคงช็อคอยู่…
ต่อให้แกล้งกันแรงแค่ไหน
เท็ดดี้ก็ไม่เคยต่อยเขาแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเท็ดดี้เองก็กลัวรูปพวกนั้น
หมอนั่นทำผิดเอาไว้มาก โดนทัณฑ์บนจะครั้งที่สามแล้ว
และเท็ดดี้ไม่เหมือนอดีตตัวพ่อคนเก่า เท็ดดี้ไม่ใหญ่พอที่จะคุมผ.อ.ได้เหมือนพี่คนนั้น
เสียงเก็บของทำให้พริ้มรู้สึกดีขึ้น
เพราะนั่นหมายความว่ามีคนอยู่ข้าง ๆ เขาในตอนนี้ หลายครั้งที่เขาโดนกลั่นแกล้ง
ไม่มีแม้สักคนจะยื่นมือเข้ามา…มีแต่สายตาที่จ้องมอง เขาโดดเดี่ยวมาหลายปี
แต่ปีนี้เขามีเพื่อนคนอื่น ๆ และมียี่หวา…
“ล้างหน้ามั้ย”
“ผ้าเอาผ้าเย็นให้เราเช็ดแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่พริ้มไม่เข้าใจสายตาของยี่หวา…
ร่างสูงมองมายังเขา
เหมือนจะทำหรือพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เลือกที่จะเงียบ
พริ้มนั่งกุมมืออยู่ตรงนี้มานานเท่าไรไม่อาจรู้ได้ เขาปวดไปทั่วทั้งร่าง
รู้สึกผิดต่อผ้าที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ตอบอะไรกลับไปเลย
“แม่นายสอนมั้ย…ว่าเวลาเสียใจให้ปลอบยังไง”
พริ้มหันหน้าไปหาด้วยความไม่เข้าใจ
“แม่ฉันสอนแบบนี้…”
ยี่หวายื่นมือมารั้งหัวของพริ้มเข้าไปใกล้
ก่อนจะกดซบลงที่ไหล่กว้างเบา ๆ ปลอบประโลมตามคำสอนที่ตัวเองอ้างด้วยการลูบช้า ๆ
จากโคนผมจรดท้ายทอย
เป็นกอดที่คิดว่าเพื่อนคนนี้จะช่วยปลอบโยนเพื่อนอีกคนได้เป็นอย่างดี
แม้จะอ่อนโยนกว่าการกอดพวกไอ้ซานหรือไอ้จอมมากนัก แต่ก็เป็นการกอดที่จริงใจ…
พริ้มห้ามหัวใจให้หยุดเต้นเบาลงกว่านี้ไม่ได้
เลยทำได้แค่หลับตาซึมซับความอบอุ่นจากตัวยี่หวาให้ได้มากที่สุด
อ้อมกอดที่แข็งแกร่งเป็นตัวกระตุ้นต่อมน้ำตาชั้นดีของพริ้ม
เขาคิดว่าตัวเองเข้มแข็งมาโดยตลอด ทุกครั้งที่โดนแกล้ง เขาจะยิ้มให้ตัวเองจาง ๆ
แล้วบอกกับตัวเองว่า ‘พรุ่งนี้จะไม่เจ็บเท่าวันนี้’
แต่อ้อมกอดของยี่หวาแทนยิ่งกว่าคำนั้น…
“แม่เราก็บอกเสมอว่าถ้าเศร้าให้กอดกัน”
“…หึ
แล้วนี่ไม่ได้ทำอยู่หรือไง”
“…”
พริ้มส่ายหน้าเข้ากับไหล่แกร่ง
“เราไม่กล้ากอดยี่หวาหรอก”
เราเงียบกันอีกครั้ง
ต่างคนต่างคิดกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หวาจะผละตัวออกไป คำพูดของพริ้มที่บอกว่าไม่กล้ากอด…ก็เป็นแบบนั้นจริง
ๆ คนตัวเล็กไม่กล้ายกแขนขึ้นมากอดเขาตอบ มีแค่ยี่หวาที่ใช้แขนข้างเดียวกอดพริ้มเอาไว้
ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากโซฟา
พริ้มมองตามก่อนจะตัดสินใจลุก แต่โดนนิ้วของหวาดันเอาไว้
“อยู่นี่แหละ”
“…?”
“รอตรงนี้”
พริ้มมองตามหวาที่เดินหายเข้าไปยังประตูด้านหลัง
เข้าไปทำอะไรในห้องซักผ้า? พริ้มนั่งอยู่เฉย ๆ พลางคิดอะไรหลาย ๆ อย่างในหัว
ทั้งเรื่องที่โดนเท็ดดี้ต่อย โดนแซคฉีกเสื้อ และยี่หวาที่กอดเขา
อย่างหลังสุดนี่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย… อยู่ ๆ
ก็สงสัยว่าทำไมไม่มีใครถามเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย
ผ้าเองก็เอาแต่ถามว่าเจ็บมั้ย อยากให้ไปแก้แค้นแทนมั้ย
ซึ่งพริ้มทำแค่พยักหน้ากับส่ายหน้าเท่านั้น
พวกเขาใส่ใจพริ้มมากเกินไปหรือเปล่า…ไม่ชินเลย
สักพักยี่หวาก็เดินออกมาจากห้องนั้นพร้อมกับเสื้อตัวหนึ่ง
ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยื่นเสื้อสีเทามาตรงหน้าเขา พริ้มทำหน้าไม่เข้าใจ…แต่ก็รับมันมา
เขากางเสื้อตัวนั้นออกดูว่ามันคือเสื้ออะไรและมันเป็นเสื้อของใคร
แต่สีแบบนี้คุ้นตามากเหลือเกิน …เหมือนเสื้อที่เขาเคยไปช่วยดูแลตอนแข่งสาย
พริ้มค่อย ๆ
พลิกด้านของเสื้อตัวนี้ช้า ๆ
“ใส่เสื้อตัวนี้ไปก่อน”
และมันเป็นไปตามที่เขาคิดจริง
ๆ ด้วย
“ไปเปลี่ยนซะ”
Akirah T. เบอร์ 9
เสื้อแข่งสายของยี่หวา…
#พริ้มเพียงหวา
(เสื้อแข่งชิงเป็นสีม่วงนี้ค่ะ ขออนุญาตยืมภาพปลากรอบ)
ถ้าถามว่ารวมเล่มมั้ย รวมแน่ ๆ ค่ะ เราอยากเก็บเล่มฟิคของเราทุกเรื่องอยู่แล้ว นี่คือความปราถนาอีกหนึ่งข้อในชีวิตนี้ แต่น่าจะได้รวมปีหน้า เราไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะแต่งเสร็จเร็ว งานเยอะมากๆเลยค่ะ
เนื้อเรื่องม่าเจ้มจ้นจัง หัวใจรับไม่ไหว
ความคิดเห็น