ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #6 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๕

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 23.33K
      2.27K
      28 ส.ค. 61






    5

     



    หน้าโรงเรียนในตอนใกล้ ๆ จะห้าโมงแน่นไปด้วยนักเรียนเครื่องแบบสีเดียวกัน เป็นความไม่เข้าใจอย่างหนึ่งในวันนี้ที่ว่าทำไมห้าโมงแล้วถึงยังมีนักเรียนยืนออกันเหมือนกับตอนเลิกปกติ หรือเป็นเพราะข่าวด่วนที่นักเรียนหญิงส่วนใหญ่ได้รับผ่านทางกลุ่มแชท ว่ามีจุดสีม่วงจุดหนึ่ง…

     

    ที่ใหญ่และเด่นกว่าใครยืนอยู่กับพวกเธอ

     

    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเห็นจุดสีม่วงที่ว่านั้นออกมายืนทำตัวว่าง ๆ แจกใบหน้าหล่อเหลาที่ตายด้านอยู่หน้าโรงเรียนตัวเอง ในเวลาแบบนี้ใคร ๆ ก็รู้กันดีว่าเจ้าตัวคงอยู่ที่โรงยิม แตกต่างกับลูกพี่ลูกน้อง…ที่ทั้งโรงเรียนเพิ่งรู้ รายนั้นหาตัวจับได้ยาก อย่างกับเงาในโรงเรียน ถ้าพี่เขาไม่แสดงตัว ก็ไม่มีทางหาพบ

     

    แต่ถ้าเป็นยี่หวา…เดินไปที่โรงยิมสิ

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงเกินร้อยแปดสิบไปหลายเซ็น ยืนพิงรั้วเหล็กหน้าโรงเรียนพลางพ้อยท์เท้าอย่างเท่ในสายตาของเด็กผู้ชายด้วยกัน มีหลายคนที่คิดทำตาม แต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนล้อว่าเหมือนขี้เมาหาที่พักพิง สายตานับสิบที่ส่วนมากเป็นเด็กผู้หญิงต่างก็ใช้ยี่หวาเป็นจุดพักสายตา ความงามที่พวกเธอเคยได้เห็นจากพี่เก้านั้น…ถูกทดแทนโดยยี่หวา ที่ถึงแม้จะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เหมือนคนพี่ก็เถอะ

     

    ยืนรอได้สักพัก รถยนต์คันเดิมที่มักจะขับผ่านหน้าบ้านเขาก็หักเลี้ยวเข้ามาจอดในเส้นขาว และเมื่อประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างเจ้าของรถ สาว ๆ ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ก็พากันร้องวี้ดว้ายในลำคอเสียยกใหญ่

     

    รียูเนี่ยนหรืออย่างไรกันนะวันนี้!!

     

    ผู้ชายในชุดมหาลัยสองคนเดินลงมาจากรถแล้วตรงมายังเขาที่ถือแฟ้มสีดำอยู่ในมือ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ยี่หวาทิ้งสนามเพื่อมายืนรอโง่ ๆ หลายนาทีแทนการคุมคนในทีม เด็กมัธยมปีสุดท้ายยื่นแฟ้มเอกสารนั่นให้กับลูกพี่ลูกน้องตัวเองที่ด้านข้างมีผู้ชายตัวเล็ก ๆ เดินเกาะชายเสื้อตามมาเงียบ ๆ

     

    “ขอบใจ”

    “ไม่เป็นไร”

    “…”

    “…”

     

    ยีนส์เด่นของตระกูล ‘ธาราเดชากุล’ ก็คือไม่มีปาก ใบหน้าได้รูป ส่วนสูงที่เป็นความได้เปรียบ ไหล่กว้างที่อยากลองซบสักครั้งในชีวิตและอื่น ๆ ที่เรียกว่าข้อดีนั้น ถือเป็นยีนส์ด้อยของตระกูลนี้ทั้งหมด เพราะการไม่มีปากถือเป็นยีนส์เด่นเพียงข้อเดียวที่ทุกคนในตระกูลมีเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพ่อ ลุง ปู่ พี่เก้า หรือแม้กระทั่ง…เขา

     

    แต่เอาเข้าจริง…เขามักจะเห็นพ่อพูดเยอะในเวลาที่อยู่กับแม่ นั่นคงเป็นอย่างเดียวที่ทำให้เขารู้ว่าพ่อก็มีปากเหมือนกัน

     

    “เก้า ๆ นี่ใครหรอ?”

    “น้อง”

    “เก้ามีน้องด้วยหรอ เหมือนเรามีน้องเลย!”

    “ชื่อยี่หวา”

    “หวัดดียี่หวา เราชื่อเจ้ยนะ”

    “มึงเป็นพี่ แทนตัวเองว่าพี่สิ”

    “ตอนเราคุยกับน้องพุดซา เราก็เรียกเราว่าเรา”

     

    ยี่หวาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แอบส่งสายตาถามพี่ชายตัวเองว่าคนคนนี้ใช่แฟนมั้ย แต่ฝ่ายนั้นก็เอาแต่ก้มหน้าเช็คเอกสารในแฟ้ม โดยที่มือก็ยีหัวคนข้าง ๆ เล่นจนมันยุ่งเหยิง…แล้วก็จัดทรงกลับให้ เขาลอบมองมือข้างนั้นที่ลูบเล่นอยู่บนหัวของคนชื่อเจ้ย…และผู้คนรอบข้าง

     

    เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้แปลกใจอยู่คนเดียว

     

    “ครบ”

    “อืม”

     

    เขากับพี่เก้าเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วยความที่ตอนนั้นเขาเป็นพวกที่ไม่ชอบเข้าสังคม พี่เก้าเลยเปรียบเสมือนเพื่อนและพี่ชายในเวลาเดียวกัน แม่ของเรามักเอาเขากับพี่เข้าเรียนที่เดียวกัน ไปเที่ยวที่ไหนก็จะพาไปด้วยกันเสมอ แต่พอโตขึ้น…เราต่างก็เปลี่ยนไป นิสัยไม่เอาใครของยี่หวาเริ่มหนักขึ้น ตรงข้ามกับพี่เก้าที่เริ่มมีสังคม

     

    จุดเปลี่ยนของเขาคือตอนมอต้น ยี่หวาเริ่มเปิดใจตามคำแนะนำของพี่เก้าที่ว่า ‘ถ้าเราไม่มีเพื่อน มันจะลำบากเอาตอนทำงานกลุ่ม’ คำแนะนำของเด็กอายุสิบสามมันก็มีสาระให้ได้เท่านี้ หลังจากนั้นซานกับจอมทัพก็เข้ามา ถึงจะน่ารำคาญหน่อย ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราสามคนกอดคอกันหาสิ่งที่ชอบได้สำเร็จ

     

    ในตอนมอต้นก็มีจุดเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน เจ้าของไม่ใช่เขา…แต่เป็นพี่เก้า เรื่องชื่อนั่นแหละ ไม่รู้อีท่าไหน คนถึงเรียกพี่แกว่า ‘เก้า’ ทั้ง ๆ ที่ชื่อไนน์มาตั้งแต่เด็ก ตอนแรกเขาเองก็งง ว่าคนที่ชื่อเก้ากับไนน์นั้นชื่อเดียวกันมั้ย กลับบ้านไปถามเอากับเจ้าตัว ก็ได้คำตอบมาว่าเพื่อนสนิทสองตัวมันเล่นพิสดารเปลี่ยนชื่อให้ แล้วคนก็ดันเชื่อ ก็เลยกลายเป็นพี่เก้านับแต่นั้นมา

     

    ยี่หวาเองก็เรียกซะติดแล้วด้วย

     

    “แฟน?”

    “…”

     

    คนโดนถามเหล่ตามองคนตัวเล็กกว่าที่กำลังมองสายไหมสีหวานอีกที

     

    “ยัง”

    “คนนี้ใช่มั้ย?”

    “อือ”

     

    เขาขอตัวไปซ้อมต่อ ทิ้งสนามมานานแล้วมันไม่ชิน โบกมือลาเพื่อนตัวเล็กที่มาด้วยในตอนที่อีกฝ่ายเลื่อนกระจกรถลงแล้วเริ่มโบกมือจนตัวโยน แอบสงสัยถึงพลังร่าเริงที่ไม่รู้ว่ามีเยอะขนาดนั้นได้ยังไง การขยับตัวที่ดูกระตือรือร้นกว่าคนทั่ว ๆ ไปนั่นอีก ดูไม่เหมาะกับพี่ชายของเขาเลยสักนิด

     

    รองเท้าคู่โปรดย่ำลงไปบนพื้นอิฐของฟุตบาท มีเด็กนักเรียนมากมายที่ยังนั่งเล่นกันอยู่ในบริเวณนี้ สนามฟุตบอลไม่เคยว่าง สนามบาสเองก็เช่นกัน ยิ่งเข้าใกล้การแข่งสาย ชมรมของโรงเรียนก็ต้องเริ่มซ้อมกันเป็นจริงเป็นจังมากกว่านี้ โค้ชนัดพวกเขามาซ้อมในวันหยุดแล้ว เพราะสายการแข่งในปีนี้โหดกว่าปีก่อนมากโข อีกทั้งยังมีเรื่องของพิธีเปิดสนามที่ทำให้เราต้องไปเช่ามาสคอตมาสร้างสีสัน แต่เจ้าปูนั่นก็ยังไปไม่ถึงไหนสักที

     

    วิ่งมายังไม่ทันถึงหน้าประตูโรงยิม เสียงโวยวายก็ดังลอดออกมาอย่างดังจนต้องขมวดคิ้วสงสัย น้ำเสียงชัดเจนเลยว่าเป็นผู้หญิงที่กำลังตะคอกกันอยู่ข้างสนาม คนในชมรมหยุดกิจกรรมของตัวเองแล้วเพ่งความสนใจไปยังจุดเกิดเหตุ รวมไปถึงเขาที่ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้

     

    “มึงไม่ใช่เจ้าของสนามปะอีพู่!! มีสิทธิ์อะไรมาไล่พวกกู!”

    “ก็ถ้ามึงมีปัญหากับลูกบอลมากนัก มึงก็ไปซ้อมที่อื่น!”

    “ก็พวกกูจะซ้อมกันตรงนี้!!”

    “งั้นก็อย่าบ่นเวลาบอลไปโดนพวกมึง!!!”

    “อ้าวอีนี่! บอลมันก็ต้องตบให้เป็นทิศเป็นทาง ไม่ใช่ปลิวไปโดนชาวบ้านเขามั่วซั่ว เพราะแบบนี้ไงทีมหญิงของมึงถึงไม่เคยได้รางวัล!”

    “อีแคท!!”

     

    ทะเลาะกันเรื่องราวใหญ่โตเพียงเพราะลูกบอลลูกเดียวที่ปลิวไปโดน ต่างคนต่างพุ่งเข้าหากันจนเกือบจับไว้ไม่ทัน ยี่หวาแหวกวงล้อมเข้าไปใกล้ ดันพู่กันที่เป็นกัปตันทีมหญิงให้ออกห่าง ถ้ายัยนี่หลุดไปตะลุมบอนได้ เผลอ ๆ เรื่องใหญ่กว่าเดิมอีก

     

    การปรากฏตัวของยี่หวาทำเอาทุกคนอึกอัก สายตาดุดันของร่างสูงยังใช้ข่มคนอื่นได้ดีเสมอ พอเห็นว่ายี่หวาอยู่ในโหมดจริงจังที่พวกเธอไม่อาจต่อความยาวสาวความยืดในการปะทะกันได้ ก็เลยสงบสติอารมณ์ลงมาระดับหนึ่ง แคททำตัวไม่ถูกเมื่อเงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นสันกรามของยี่หวาเด่นชัด เนื่องจากเจ้าตัวพยายามกัดมันเพื่อข่มอารมณ์ตัวเอง ไม่ว่าเธอจะมีความกล้ากับใครต่อใครมากมาย แต่กลับยี่หวาที่เป็นคนในใจ…เธอก็ได้แต่หวั่นใจที่ยี่หวายื่นมือเข้ามา เรื่องนั้นก็อีก…

     

    “ทะเลาะอะไรกัน?”

     

    ความเรียบนิ่งของเสียงทำเอาคนโดนถามรู้สึกเย็นยะเยือก แววตาแข็งกร้าวไล่สบตากับพวกเธอทีละคนเพื่อขอคำตอบที่น่าฟัง ปกติตาของยี่หวาก็ดุและเหมือนคนขุ่นเคืองอยู่ตลอดเวลา แต่ในตอนนี้มันกลับน่ากลัวยิ่งกว่าและดูเหมือนจะโกรธได้ทุกเมื่อ

     

    “เราตบบอลพลาดไปโดนแม่สาวสวยที่ซ้อมกันอยู่ข้างสนาม!” พู่กันแดกดัน

    “โดนแคทเต็ม ๆ เลยหวา ถ้าเราไม่บอกให้คุณกัปตันเขาขอโทษ…ก็คงไม่มีปากเสียงกัน” นางงามดัดจริตตีสองหน้า ก้มหน้าก้มตาทำคิ้วย่นให้ดูน่าสงสาร

    “เหอะ! เราพูดขอโทษตั้งแต่บอลมันปลิวไปแล้วเหอะ เป็นแกเองไม่ใช่หรอที่โวยวาย!”

    “แคทโวยวายพู่…ก็เพราะพู่ทำหน้ารำคาญใส่คนของเราก่อนนี่ แคทได้ยินนะที่นินทากัน ด่าให้พวกเราออกไปจากโรงยิมอ่ะ”

    “แคทททท ความคิดปัญญาอ่อนแบบนี้ยังกล้าพูดใส่หวาอีกหรอวะ ที่พวกแกต้องมาซ้อมก็เพราะต้องคิดงานโชว์ร่วมกัน พวกเราจะไปไล่พวกแกทำไม อย่ามาตอแหลดิ!”

    “ใครตอแหล!! พูดจาให้มันดี ๆ หน่อยพู่กัน!!”

     

    ยี่หวาดันไหล่พู่กันจนเกือบหงายท้อง ห้ามศึกที่พวกเธอสองคนจะพุ่งเข้าหากันอีกแล้ว ยี่หวาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เขาตัดสินใครไม่ได้ว่าคนไหนพูดความจริงกันแน่

     

    “พอได้แล้ว”

    “หวาก็เห็นนี่ว่าคนของหวาด่าแคทก่อน”

    “ก็แกตอแหลจริง ๆ นี่ ต่อหน้ายี่หวาก็มาทำเป็นพูดเพราะ ทีตอนด่ากันยังกูมึงใส่อยู่เลย!!”

    “อีพู่กัน!!”

     

    นิ้วเรียวยาวจนเห็นข้อกระดูกชี้ใส่หน้าพู่กันทันทีที่เธอทำท่าจะพุ่งใส่ แววตาของยี่หวาวาวโรจน์กว่าเมื่อตอนแรกที่เธอเผลอสบมันเข้า พู่กันเม้มปากไม่กล้าขัดคำสั่ง เทียบกันแล้วยี่หวาน่ากลัวกว่าโค้ชหลายเท่า แคทลอบยิ้มแสยะใส่ที่เธอโดนดุ แต่นั่นก็เป็นเพราะยี่หวาสนิท ถ้าไม่สนิทก็อย่าหวังว่าไอ้ดุนี่จะสนใจ

     

    ก็เหมือนกับเธอที่หวามันไม่มีแม้แต่จะมองหน้า

     

    “วิ่งรอบสนามห้าสิบรอบ”

    “…ไอ้บ้า”

     

    ไทยมุงแตกสลายเมื่อพู่กันเดินแหวกออกไป แคทยิ้มชอบใจลับหลังยี่หวา ก่อนจะเปลี่ยนหน้ากลับมาเศร้าทันทีที่ร่างสูงหันมาสนใจเธอต่อ ใช้มือจับเข้าที่ตำแหน่งของต้นแขนที่เพิ่งโดนบอลกระทบพื้นมาสะกิดเบา ๆ

     

    “ขอบคุณมากนะยี่หวา”

     

    …ผู้หญิงคนเมื่อวานนี่เอง

     

    “เจ็บมากมั้ยอ่ะแคท” เด็กสาวที่อยู่ในชมรมเชียร์เดินเข้ามาลูบที่ต้นแขน

    “ไม่เท่าไรแล้วล่ะ ดีที่ได้ยี่หวาช่วยไว้ ไม่งั้น…เราคงโดนพู่…”

    “ขอโทษแทนพู่กันด้วย” เสียงทุ้มพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกมา ทิ้งให้พวกเธออ้าปากพะงาบ ๆ เพราะมีอะไรจะพูดอีกเยอะแยะแต่ดูท่าจะไม่ทันเสียแล้ว

     

    กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทุกคนแยกย้ายกันไปสนใจหน้าที่ตัวเองดังเดิม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองกันและกันไปมา เรื่องที่พู่กันกับแคทด่ากันดังออกไปถึงข้างนอก ไม่ใช่แค่คนในสนามเท่านั้นที่ได้ยิน ดีที่โค้ชอยู่ในห้อง เห็นว่าเคลียร์งานหลายอย่าง บวกกับยี่หวาออกไปเอาของให้พี่ เพราะแบบนั้นเรื่องถึงได้เกิด

     

    เจ้าของเรือนผมสีอเมทิสต์ตรงดิ่งไปยังเพื่อนสนิทผิวเข้มที่กำลังโยนลูกบอลให้กับมาสคอตที่ทั้งชมรมเรียกว่า ‘ปูส้ม’ แต่พอโยนเสร็จก็หันมองพวกหลีดที่อยู่ไม่ไกลเท่าไร จอมทัพชอบผู้หญิงสวย พวกเชียร์ลีดเดอร์ที่เหมือนคัดหน้าตาเข้า มันก็มักจะมองอยู่บ่อย ๆ …มองกระโปรงของพวกเธอตอนที่เดินไปมาหรือยกขา มองแขนเสื้อที่เลิกขึ้นตอนที่ถือพู่เชียร์ขึ้นสูง แล้วก็มีบ้างที่มองค้างไว้อย่างนั้นในเวลาที่พวกเธอมองมา

     

    เป็นคนชอบมองผู้หญิงสวย ๆ แต่ไม่อยากได้

     

    ยี่หวาเดินผ่านจอมทัพที่นึกว่าตัวเองเป็นเป้าหมายไปยังปูส้มที่พยายามเอากล้ามปูอ้วน ๆ เหวี่ยงให้โดนบอล ตั้งแต่ซ้อมมา สิบลูกก็เพิ่งจะโดนไปหนึ่ง ไส้ในน่าจะเป็นคนที่เล่นกีฬานี้ไม่เป็น ยี่หวาหยุดยืนอยู่หน้ามาสคอต โน้มตัวลงไปใกล้กับช่องสามเหลี่ยมเล็ก ๆ ก่อนจะพูดด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันแค่นี้

     

    “ทำไมเมื่อวานคุณไม่มาซ้อม”

     …

    “ตอบครับ”

     

     

    ไม่มีข้อยกเว้นกับความลำบากของใคร เขารั้นขอคำตอบจากไส้ในที่ลุงกุนบอกว่าเป็นมืออาชีพในการใส่ชุด แต่ไม่น่าจะหายไปโดยไม่บอกไม่กล่าว เช้าวันนี้ลุงกุนแกเพิ่งโทรมาขอโทษเรื่องที่ไส้ในติดธุระ ดูจากวันและเวลาที่ใช้โทร เหมือนลุงแกเองก็เพิ่งรู้เลยรีบโทรมาเหมือนกัน

     

    ยี่หวาเคาะที่ช่องนั้นสองสามที เร่งให้คนข้างในตอบและยืนยันว่าถ้าตอบ…เขาจะได้ยินแน่ ปูส้มอึกอักเล็กน้อย ก้าวเท้าเข้ามาสั้น ๆ จนช่องระบายอากาศแผ่นนั้นชิดกับใบหูของเขา ก่อนเสียงอู้อี้จะดังลอดออกมา

     

     "ขอโทษครับ"

     

    เขายืดตัวขึ้น ลอบถอนหายใจเบา ๆ

     

    “ทีหลังถ้าคุณจะหยุด…ต้องแจ้งผมก่อนเสมอ”

     

    “เข้าใจมั้ยครับ?”

     (โค้งตัวสองที)

     

    ยี่หวาพยักหน้ารับ แล้วหันไปตามเสียงเรียกของมุกที่ชวนเขาไปเล่นทีมในสนาม ปกติแล้วการเล่นทีมจะมีอาทิตย์ละสองสามครั้ง ขึ้นอยู่กับสมาชิกว่าอยากเล่นด้วยมั้ย การจับทีมจะไม่แน่นอน แล้วแต่ว่าใครอยากจะลงฝั่งไหน แต่สำหรับวันนี้…ซานเลือกแล้วว่าจะลงตรงข้ามกับยี่หวา

     

    จอมทัพไม่ได้ตามเข้ามาเล่นด้วย เขากำลังสนุกกับการดูแลมาสคอตปูจ๋าตัวนี้ พออยู่กับมันทุกวัน ๆ ก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นมา เวลาที่เรียกรวมพลมันจะยืนอยู่คนเดียวนิ่ง ๆ แล้วมองมาทางพวกเราเสมอ ทำเหมือนเขาเรียกมันรวมพลด้วย พอยี่หวาปล่อยแถวมันถึงจะเริ่มขยับตัว แต่น่าพิศวงตรงที่ไม่มีใครเห็นว่าปูตัวนี้เดินออกมาที่สนามตอนไหน หรือใครที่เข้าไปในห้องพักมาสคอตเมื่อไร บางทีโค้ชอาจจะโดนลุงกุนขู่ให้บอกประตูลับก็เป็นได้

     

    เจ้าปูส้มหมุนตัวมองตามทิศทางการเดินของเขา ลูกบอลถูกหยิบจากบนพื้น จากนั้นมันก็เดินเข้ามาใกล้ ๆ เอากล้ามอวบ ๆ ดันไปมา

     

    แล้วจู่ ๆ บอลลูกนั้นก็ปลิวออกไป

     

    “เฮ้ย!!”

     

    ปูส้มกระโดดดึ๋ง ๆ

     

    “ไหนลองอีกรอบดิ๊” จอมทัพหยิบบอลลูกใหม่ขึ้นมาหวังจะทดสอบอีกครั้ง กล้ามของมันเล็งที่บอลอยู่สองสามที และเมื่อมันเหวี่ยงแขนรอบสุดท้ายมาด้วยความมั่นใจ กลับหวืดหวดลมไปซะเต็มแรง

     

    “อะไรวะ ฟลุ๊คนี่หว่า”

     

    แวบหนึ่งที่ได้ยินเสียงใครสักคนขำเบา ๆ ลอยมา

     

    “เมื่อกี้ขำหรอ?”

     

    “เมื่อกี้ขำหรอครับ?” จอมทัพยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ ๆ

     

    มันโค้งตัวตอบกลับพร้อมกับเสียงนกหวีดดัง

     

    การแข่งกันเล่น ๆ ของคนในชมรมเริ่มขึ้นแล้ว ฝั่งของซานเป็นฝ่ายรุกก่อน พวกหลีดกรูเข้ามาที่ข้างสนาม สั่นพู่สีสันสดใสในมือ เชียร์นักกีฬาในสนามที่ตะโกนเป็นชื่อยี่หวาซะส่วนใหญ่ จอมทัพมองสาว ๆ พวกนั้นจนลืมมาสคอตปูจ๋าเสียแล้ว ถึงแคทจะนิสัยไม่ค่อยดีเท่าที่ได้ยินมา แต่หน้าตาสวยขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นกำไรดวงตาได้นิดหนึ่ง

     

    การแข่งของทั้งสองทีมที่มีตัวจริงกับตัวสำรองผสมปนเปกันไป แต่ทีมยี่หวาดูเสียเปรียบกว่าเพราะไอ้ซานมันเอาเด็กใหม่ ๆ ใส่ในทีมตรงข้ามเกือบทั้งหมด มีแค่ยี่หวากับมุกเท่านั้นที่เป็นตัวจริง ที่เหลือไปแน่นฝั่งมัน แต่การงัดยี่หวาก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ว่าตัวสำรองหน้าใหม่จะไม่ได้เก่งอะไร แต่แค่เปิดบอลแรกได้ บอลสองเข้ามุก แล้วมุกส่งบอลสามให้ยี่หวา…เป็นอันจบ

     

    เล่นกันมาได้เกินครึ่งเกม โดยทีมยี่หวาเป็นฝ่ายขึ้นนำด้วยแต้มที่ไม่ได้ห่างกันมากเท่าไร ถึงยี่หวาจะเก่ง แต่การแบกทีมก็สร้างความลากเลือดในการได้แต้มจากฝั่งตรงข้ามที่มีตัวจริงถึงสี่คน ซานคึกคักเมื่อคะแนนเริ่มได้มาง่ายขึ้น อย่างว่า…ตัวสำรองหน้าใหม่ไม่เก่งพอที่จะช่วยไอ้หวามันได้ ถ้าอยากได้แต้มก็แค่เล็งไปที่จุดอ่อน

     

    สกอร์บนแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนช่องว่างของคะแนนเหลือเพียงหนึ่งแต้ม ซานเห็นจังหวะในการทำคะแนน ตะโกนเรียกเนยที่เป็นมือเซ็ตทันทีที่เทคเปิดบอลแรกได้

     

    จังหวะขึ้นเทคตัวตบของซานทำเอาคนในทีมของยี่หวารับมือไม่ถูก ฝีมือการตบบอลเร็วของซานเป็นที่เลื่องชื่อ ไม่ว่าคนเซ็ตจะเป็นมุกที่ซ้อมด้วยกันมาหลายปีจนรู้ใจ แต่กับคนที่ไม่รู้ฝีมือเป็นยังไงเซ็ตให้ มันก็ตบได้ง่าย ๆ สมคำล่ำลือ บอลเร็วและหนักของซานโดนแขนของยี่หวา แต่ลูกดันเบี่ยงออกนอกสนามสูงโด่งแบบไม่มีทางเล่นต่อได้ และนั่นกลายเป็นคะแนนของ ‘ทีมซานซ่าท้ายี่หวา’

     

    เพื่อนผิวขาวร้องเฮดีใจลั่นสนามแล้ววิ่งไปทั่ว รู้สึกดีใจปนสะใจที่ตบใส่แล้วมันรับไม่ได้ โอกาสทอง ๆ อย่างนี้มีมาไม่บ่อย นับได้เลยว่าที่ยี่หวารับบอลเขาไม่ได้ลูกนี้คือครั้งที่ 2 เสียงหลีดแผ่วลงเมื่อยี่หวาทำพลาด แต่ก็มีบางส่วนที่ส่งเสียงเชียร์ให้ ระหว่างทางที่กำลังวิ่งดีใจออกนอกหน้านอกตาอย่างกับชนะโอลิมปิก ดันเจอปูส้มตัวบาน ๆ ยืนเหวี่ยงกล้ามเล่นเพราะไอ้จอมเอาแต่มองสาว

     

    พุ่งเข้าไปกอดเจ้าปูส้มตัวนั้นจากทางด้านหลัง แกล้งยกมันขึ้นจากพื้นจนขาป้อมแกว่งไปมาด้วยความตกใจ ตัวของมันเบากว่าที่คิด ไม่นึกเลยว่าน้ำหนักชุดกับน้ำหนักคนรวมกันจะเบาได้ขนาดนี้ ซานกระชับกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะหมุนไปมาสองสามที

     

    “ตัวเบาจังอ่ะ”

     

    “กินข้าวบ้างนะ”

     

    พูดยังไม่ทันจบ ลูกบอลก็ปลิวมากระแทกเข้าเต็ม ๆ กลางท้ายทอย ซานลูบหัวปอย ๆ ก่อนจะขอโทษไส้ในตามคำสั่งของยี่หวา เดินกลับเข้ามายังสนามเพื่อแข่งต่อให้จนจบ ปล่อยน้องมาสคอตยืนมึนงงกับการหมุนเล่นอยู่สักพักหนึ่ง เป็นจังหวะเดียวกันกับจอมทัพหันมาพอดี

     

    “โทษที มองเพลินไปหน่อย”

     (ส่ายตัว)

    “ไม่ต้องขยับมา ถอยหลังไปอีก”

     

    เขาปัดมือไล่ปูส้มให้ถอยออกไป แต่มันไม่ทำตาม เดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางรีบร้อน เอากล้ามปูสะกิดยิก ๆ ที่ไหล่ ใช้ภาษามือแบบงง ๆ อยู่ครู่หนึ่งถึงจะรู้ว่ามันอยากให้เขาโน้มตัวลงมา

     

     "ชิ๊งฉ่อง"

    “อ๋อ ปวดฉี่หรอ”

     (เอากล้ามปูมาไขว้กัน)

    “อ่า ๆ ไปเถอะ”

     

    พอได้รับคำอนุญาตก็รีบวิ่งเตาะแตะออกจากสนามไป แต่ด้วยความทุลักทุเลของชุดเลยเผลอสะดุดล้มหน้าทิ่มตรงเนินเล็ก ๆ บนพื้นเสียได้ เล่นเอาทั้งสนามฮาลั่น เด็กแถว ๆ นั้นรีบเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้นเดิน จากนั้นมันก็หายเข้าไปในห้อง จอมทัพเลิกคิ้วแปลกใจนิดหน่อยที่ตัวเองขำไม่ต่างจากคนอื่น เขารู้สึกว่าแค่มองก็รู้สึกขำแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่ได้เป็นแบบนี้

     

    ยี่หวารับผ้าเช็ดหน้าจากจอมทัพที่เดินเข้ามารวมทีหลัง หลังจากที่มาสคอตตัวนั้นวิ่งหายเข้าห้องไป ดวงตาดุเหลือบมองห้องพักมาสคอตที่เป็นมุมอับอยู่พอสมควร แต่ถ้ารู้มุมก็มองเห็นได้ไม่ยาก เขาเห็นประตูถูกปิดย้ำ ๆ สองสามทีราวกับคนรีบร้อน แต่กลอนดันไม่ลงล็อคให้

     

    ดูท่าทางน่าเป็นห่วงชอบกล

     

    โยนผ้าเปียกเหงื่อให้พาดไว้กับเก้าอี้ ไม่สนใจใยดีว่าหลังจากนี้จะมีคนแอบเอามันไปสูดดมหรือเปล่า กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ห้องเก็บอุปกรณ์เก่า ซึ่งในตอนนี้ถูกบูรณาการให้เป็นห้องพักมาสคอตอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว มือหนาเอื้อมไปจับลูกบิดของประตูเบา ๆ และพบว่ามันไม่ได้ล็อค

     

    แสงจากหลอดไฟเพียงหนึ่งเดียวในนั้น…ฉายลงมายังกลางลำตัวของมนุษย์ปูที่กำลังรีบเร่งถอดซิปด้านหลังที่ร่นลงมาได้ครึ่งตัว ยี่หวาปิดประตูเข้ากลอนเบา ๆ แต่ดังพอที่อีกฝ่ายจะได้ยิน…

     

    แผ่นหลังบางตรงหน้าสะดุ้งเล็กน้อย

    …แต่กลับไม่หันมาดูว่าเป็นใคร

     

    “…”

    “…”

     

    ต่างคนต่างเงียบราวกับลองเชิงกันและกัน เมื่อใดก็ตามที่ยี่หวาก้าวเท้าเข้าไปใกล้ ไหล่เล็กของไส้ในก็จะสะดุ้งเบา ๆ เส้นผมสีชาขยับไหวไปมาเล็กน้อยทั้งที่ในนี้ไม่มีพัดลมสักตัว เขากระแอมใส่แผ่นหลังนั่นที่ทำให้รู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ ไปด้วย

     

    “คุณ…”

    “เฮือก!!!”

    “ไม่ต้องตกใจ ผมไม่ได้จะทำอะไร”

    “ข…เข้ามาทำไมครับ?!”

     

    น้ำเสียงของผู้ชายตรงหน้าสั่นเครือ แฝงไปด้วยความหวาดระแวงและความกลัวในระดับเท่า ๆ กัน ยี่หวามองผู้ชายคนนั้นในระยะห่างที่ไม่มากนักเพราะห้องนี้มันแคบ ส่วนคนที่อยู่ในชุดปูครึ่งตัวก็กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะพลางก้มหน้าหนี

     

    “เห็นคุณดูท่าทางรีบ ๆ คิดว่าน่าจะถอดชุดไม่ได้”

    “…”

     

    ตัวเล็กอย่างที่ไอ้ซานมันว่าจริง ๆ นั่นแหละ

     

    “ซิป…อยากให้ช่วยมั้ย?”

    “ม…ไม่เป็นไร”

     

    หัวของชายแปลกหน้าส่ายไปมา พาลให้นึกถึงปูส้มตอนส่ายขาเล็ก ๆ ของมัน แวบหนึ่งที่ยี่หวามองเห็นจุดดำเล็ก ๆ ที่ซอกหูข้างซ้ายยามที่ผู้ชายคนนั้นหันหน้าหนี แต่เกินกว่าจะใส่ใจ… พลันสัญญาฉบับนั้นก็เด้งขึ้นมาในหัว ไส้ในที่อยู่ในความดูแลของเขาไม่ควรปฏิเสธเขาสิ หรือบางทีผู้ชายคนนี้อาจจะไม่รู้ว่าเขามีสิทธิ์เห็น

     

    “คุณอยู่ในการดูแลของผม…”

     

    ร่างสูงก้าวยาว ๆ เข้าไปไกล

     

    “ผมมีสิท—”

    “อย่าเข้ามา!!”

     

    กระเป๋าสะพายถูกคว้ามาบังไว้ที่หน้าทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้ จู่ ๆ บริเวณโดยรอบก็นิ่งสนิททั้งที่ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวนอกจากเราสองคน ยี่หวาถอยหลังออกมาจนหยุดอยู่ที่หน้าประตู รู้สึกว่ายิ่งเข้าใกล้ไหล่คู่นั้นก็จะยิ่งสั่นไหวอย่างกับแผ่นดินที่กำลังจะถล่ม พอเห็นว่าเขาถอยออกมาไกลจากจุดเดิม คนตรงหน้าก็ลดกระเป๋าลงแล้วเปลี่ยนมาเป็นกอดเอาไว้แน่น

     

    “คุณดูไม่ค่อยโอเค”

    “อ…โอเคสิ ออกไปก่อน…ได้มั้ยครับ…”

    “…”

     

    เส้นเสียงเล็กที่เหมือนกลับจะร้องไห้

     

    “ถ้าต้องการความช่วยเหลือ เราจะบอก…”

    “…”

    “…ขอบคุณครับ”

     

    ยี่หวาไม่ได้ตอบอะไร… เขาจ้องแผ่นหลังขาวนั่นเพียงแค่วินาทีเดียวก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป เขาไม่เห็นใบหน้าของไส้ในทั้ง ๆ ที่เขาได้สิทธิ์นั้น ยิ่งคิดคิ้วยิ่งขมวดเข้าหากัน ผู้ชายคนนั้นดูน่าหงุดหงิด… ผลักไสเขาจนอยากจะกระโชกโฮกฮากทำตามใจดูใบหน้าที่หวงนักหวงหนาซะให้มันจบ ๆ

     

    แต่เขาเห็นแค่แผ่นหลังบาง ๆ ที่ดูอ่อนแอและมีรอยช้ำเล็ก ๆ ประปราย มันกระเพื่อมไม่เป็นจังหวะยามที่เขาก้าวเท้าเดินไปมาในห้องนั้น มันจะเริ่มแรงขึ้นเมื่อเขาเข้าใกล้…และผ่อนลงอย่างสบายใจเมื่อเขาออกห่าง ถึงแม้ภายในห้องจะไม่มีอะไรนอกจากโต๊ะและล็อกเกอร์ แต่มีสิ่งหนึ่งเป็นเหมือนกับตะขอตักความทรงจำ…ที่บ่อยครั้งมันไม่ได้ถูกเอามาใช้ให้รื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับคนอื่น

     

    แต่เขากลับจำกระเป๋าลูกนั้นได้…เป็นอย่างดี



    #พริ้มเพียงหวา










    กว่าฟีลจะมา...

    เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ไปพร้อม ๆ กันทุกช่วงเวลา เราจะเดินไปโรงยิมด้วยกันแทนการกระโดดนะคะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×