คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Diary หน้าที่ 15 : คนโง่..
หนึ่งปี..สำหรับบางคนมันอาจจะผ่านไปเร็วมาก
แต่สำหรับโจคยูฮยอนแล้ว..
แค่หนึ่งวัน..
มันช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน..
03/02/13
‘ของขวัญวันเกิด..กับบุคคลปริศนา’
ของขวัญวันเกิดกล่องสีขาวถูกวางไว้หน้าห้องในขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไปสอบ
มันน่าประหลาดใจมากที่มีคนให้ของขวัญกับผมในขณะที่ผมยังอยู่มหาลัยนรกนี่
ผมหยิบกล่องของขวัญขึ้นมาก่อนจะหันไปมองประตูลิฟท์ที่มีใครบางคนกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน
รูปร่างของเขาสูงใหญ่ดูคุ้นตา.. จนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่านั่นจะเป็นเจ้าของกล่องของขวัญปริศนานี่รึเปล่า?
ผมวิ่งตามเขาไปจนถึงหน้าประตูลิฟท์ แต่แล้วก็ไม่ทัน..
ประตูลิฟท์ปิดลงต่อหน้าต่อตาผม ..ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเห็นเสี้ยวหน้าของเขา
ผมชะเง้อหน้าออกไปข้างนอก.. คิดไว้ว่าเขาต้องเดินออกมาทางนี้แน่..
แต่รอเท่าไหร่.. คนๆ นั้นก็ไม่เดินออกมาสักที..
ของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่ได้รับ.. ผมค่อยๆ แกะมันออกอย่างประณีตในขณะที่ในหัวของผมยังมีเรื่องราวของบุคคลปริศนาอยู่..
‘เขาเป็นใคร?’
ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่ง ก็อาจจะเป็นใครสักคนที่อยู่หอพักแล้วก็บังเอิญเดินออกมาจังหวะนั้นพอดีก็ได้
แต่ถ้าคิดในแบบของคนโง่..
เขาคนนั้น..จะเป็นนายได้รึเปล่านะซีวอน
.
.
RRrrrr…!!!
ร่างโปร่งหันมองไปตามเสียงก่อนจะวางปากกาลงพลางเก็บไดอารี่เข้าที่แล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับ
“ฮัลโหล”
‘ไปกินข้าวกัน’
“ไม่ล่ะ มึงก็ไปกินกับรูมเมทสุดที่รักมึงสิ” แขวะพร้อมกับเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาก่อนจะเอาแขนเกยหน้าผากแล้วหลับตาลง
‘อะไร กูชวนมึงไปแดกนะ เกี่ยวอะไรกับคนอื่นวะ’
“แน่ใจเหรอว่าคนอื่นน่ะ..”
นึกแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อนึกถึงอีทงเฮที่ชอบทำตัวปากแข็งไม่ยอมรับความจริงสักที
ปากบอกไม่ชอบอีฮยอกแจ.. แต่ที่ทำอยู่ทุกวันนี่ไม่ต่างจากคนเป็นแฟนกันเลยสักนิด
“กูพึ่งกินไปเมื่อกี้นี้เอง”
“กินแล้วก็กินอีกได้”
“ฟังกูนะทงเฮ พรุ่งนี้กูสอบตัวสุดท้าย และกูก็ต้องอ่านหนังสือ ไว้พรุ่งนี้มากวนตีนใหม่ก็ยังไม่สาย ..แค่นี้ก่อนนะ” พูดแล้วก็ตัดสายทิ้งทันทีก่อนที่ทงเฮจะโวยวายซะก่อน
ยิ่งเรียนงานก็ยิ่งเยอะจนแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน ช่วงสอบปลายภาคของปีสองได้เข้ามาเยือนอีกแล้ว คยูฮยอนต้องอ่านหนังสือให้มากกว่าเทอมก่อนถ้าเขาคิดจะเอาเกรดสวยๆ ไปฝากแม่ที่บ้าน
ถ้าพูดถึงข้อเสีย..ก็คงเป็นเรื่องนอนไม่พอ และนั่นเป็นต้นเหตุของการป่วยอิดออด จะหายก็ไม่หายสักที.. เจ็บคอบ้างล่ะ ปวดหัวบ้างล่ะ ครั่นเนื้อครั่นตัวบ้างล่ะ แบบนี้จะมองว่าเป็นข้อเสียได้ไหมนะ?
แต่คงไม่หรอก.. เพราะข้อดีมันก็มีอยู่เหมือนกัน..
เพราะอย่างน้อย..มันก็ทำให้คนปากแข็งรู้รสชาติของชีวิตตัวคนเดียวได้มากขึ้น..ทำให้ได้รู้ซึ้งถึงความผิดพลาดที่ตัวเองได้ทำลงไปเป็นครั้งที่สอง
คุณได้รับข้อความจาก..
‘ทงเฮ’
[กูไม่ได้ชวนมึงออกไปเที่ยวเล่น.. แค่อยากพาไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันในวันเกิดมึงก็เท่านั้น ..มึงอยู่ตัวคนเดียวบนโลกรึไงวะ?]
ริมฝีปากบางยิ้มออกมาเมื่อได้อ่านข้อความที่แฝงไปด้วยความห่วงใยของทงเฮก่อนจะส่งข้อความกลับไป
คุณกำลังส่งข้อความถึง..
‘ทงเฮ’
[ไว้หลังสอบได้ไหม? พอถึงวันนั้นมึงเตรียมกระเป๋าฉีกได้เลยครับ *smile*]
ใบหน้ามนเหลือบมองของขวัญที่ถูกแกะออกมาวางไว้บนโต๊ะ จ้องมองมันอยู่อย่างนั้นถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ ‘นาฬิกาทราย’ ที่ดูธรรมดาและหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป
‘Happy Birthday
Did you see? It's tangible..’
สุขสันต์วันเกิด
เห็นรึเปล่า? ว่ามันมีอยู่จริง..
“ทรายที่อยู่ในนั้นน่ะมีแต่ของปลอมทั้งนั้นแหละ” ดวงตากลมจ้องมองนาฬิกาทรายที่ถูกตั้งโชว์อยู่หน้ากระจกขณะที่เขาทั้งคู่กำลังเดินซื้ออุปกรณ์ที่ต้องใช้ในงานโรงเรียน
“ทรายสีขาวไม่มีอยู่จริงสักหน่อย”
“มีสิ” ร่างสูงตอบ ก่อนจะมองหน้าคนรักที่ทำหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“ถึงมันจะหาได้ยากในโลกใบนี้..แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริงสักหน่อย”
นาฬิกาทรายสีขาว..ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ..
มีเพียงแค่ทรายเม็ดเล็กๆ ที่ร่วงลงมาอย่างช้าๆ จนกว่าจะหมด..
และถึงตอนนั้น...คนที่เฝ้ารอมันก็ได้แค่พลิกกลับเพื่อที่จะให้มันไหลลงมาอีกครั้ง..
เหมือนกับเขาในตอนนี้...
ที่รอคอยใครบางคนอย่างไร้จุดหมาย..
.
.
ซ่า....
สายฝนที่ตกลงมาไม่หยุดถึงแม้ว่าจะตกยาวนานมาร่วมสามชั่วโมงแล้ว.. เปลือกตาบางปิดลงพร้อมกับแฟ้มรายงานในมือที่ต้องเอาไปแก้ก่อนพรีเซนท์ในวันพรุ่งนี้.. ใบหน้ามนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
นี่ก็ปีสามแล้ว.. จะว่าเวลาผ่านไปเร็วก็ไม่ใช่.. จะว่าช้าก็ไม่เชิง..
เป็นคนเห็นคุณค่าของเวลาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะโจคยูฮยอน
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะหากแต่ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้ร่างโปร่งเลยแม้แต่น้อย
เพราะเวลาฝนตก..ผมมักจะคิดถึงเขาเสมอ..
“รู้ว่าไม่ชอบพกร่ม..แต่อากาศแบบนี้ตอนเย็นฝนอาจจะตกนะ”
ถึงแม้ว่าซีวอนจะไม่อยู่แล้ว..แต่ผมก็ยังคงเหมือนเดิม..
ไม่ชอบพกร่มยังไง ในวันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
แต่ก็เพราะไม่ชอบพกร่มนี่แหละนะ..ถึงได้ต้องมานั่งซังกะตายรอให้ฝนหยุดอยู่อย่างนี้
“ผมเดินไปส่งนะครับ” คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นมองตามเจ้าของเสียงตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศรีษะ หรี่ตามองขณะที่ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
ร่มสีขาวถูกกางออกพร้อมกับข้อมือที่ถูกร่างสูงพันธนาการเอาไว้.. คยูฮยอนมองมือตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง
“นายไม่มีเรียนรึไง”
“ผมเรียนเสร็จแล้วครับ ผมจะต้องเดินผ่านหน้าหอพี่พอดี ไม่ลำบากหรอก” พูดดักเอาไว้เพราะรู้ดีว่าคยูฮยอนนั้นขี้เกรงใจสักแค่ไหน
“ร่มคันแค่นี้กางไปก็เปียกทั้งคู่..นายกลับไปเถอะ เดี๋ยวฝนก็หยุดแล้วล่ะ”
“คิดมากทำไม.. ก็แค่เปียกเองครับ”
ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาทำให้ชางมินเข้าใจอะไรได้มากขึ้น.. ทั้งพฤติกรรมของรุ่นพี่คนอื่นที่ไม่น่าเคารพสักเท่าไหร่.. หลายๆ คนยังคงแอนตี้คยูฮยอนอยู่ ถึงแม้ว่าบางส่วนจะเข้ามาคุยบ้างแล้ว
ในตอนนี้เข้าใจดีแล้ว..ว่าทำไมคยูฮยอนถึงได้ปิดกั้นตัวเองขนาดนี้
แต่ก็แค่อยากให้ไว้ใจ..ว่าชิมชางมินจะไม่มีวันทำร้ายโจคยูฮยอนเด็ดขาด
“บอกแล้วว่าร่มมันเล็ก..เปียกหมดแล้วเห็นไหม รีบเอาหนังสือออกมาตากเร็ว” คิดแล้วก็น่าโมโหจริงๆ นี่ชางมินเห็นเขาเป็นพี่บ้างรึเปล่า ทำไมเจ้าเด็กบ้าคนนี้ไม่เคยเชื่อฟังเขาเลย
“รับทราบแล้วครับ~ ว่าแต่ผมตากเสื้อกับกางเกงได้ที่ไหนเนี่ย?” ร่างสูงถามขณะที่อยู่ในสภาพบ๊อกเซอร์และเสื้อกล้ามสีขาวตัวเดียว
คยูฮยอนเดินมาหยิบเสื้อนักศึกษากับกางเกงมาโดยไม่มีท่าทีเขินอายเลยแม้แต่น้อยจนร่างสูงประหลาดใจอยู่ไม่น้อย.. ไม่เขินเลยรึไงกัน?
“อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอครับ”
“เอาหนังสือออกมาตาก” พูดย้ำอีกครั้งเพราะเจ้าตัวยังคงนิ่งเฉย ชางมินอมยิ้มก่อนจะรับไม้แขวนเสื้อมาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยฝ่ายอีกฝ่ายกำลังรู้สึกแย่เพราะคำพูดตัวเองแค่ไหน
“แต่อย่างน้อยแฟ้มพี่ก็ปลอดภัยนะครับ” เอาความดีขึ้นมาพูดบ้างหวังให้อีกคนเห็นใจ แต่ดูเหมือนจะไร้ผล
“จะกินอะไรรึเปล่า” เปลี่ยนบทสนทนาเอาดื้อๆ ทำเอาอีกฝ่ายคอตก ร่างสูงเดินไปนั่งบนโซฟาพลางจ้องมองพี่รหัสที่กำลังเอาเสื้อผ้าของเขาไปผึ่งไว้กับพัดลม
“เอาบะหมี่สำเร็จรูปก็ได้ครับ ง่ายดี”
ร่างสูงกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง ขณะที่ร่างโปร่งเดินเข้าห้องครัวไป อยากรู้มานานแล้วว่าห้องของคยูฮยอนนั้นจะเป็นแบบไหน จะเป็นคนชอบสะสมการ์ตูนหรือแผ่นเกมส์รึเปล่า?
ภายในห้องสีขาวที่มีโปสการ์ดติดอยู่ข้างผนังเต็มไปหมด ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีลวดลายของสถานที่ท่องเที่ยวอย่างที่ควรจะเป็นก็ตาม แต่ก็อดสงสัยไม่ได้เลยว่าโปสการ์ดเหล่านั้นมันคืออะไรกันแน่?
ขายาวเดินมาเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เย็นก่อนจะสะดุดตากับแก้วที่วางอยู่ แก้วกระเบื้องสีฟ้าถูกหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ พลิกดูซ้ายขวาไปมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น คยูฮยอนเดินออกมาพร้อมกับบะหมี่ถ้วยที่อยู่ในมือก่อนจะหยุดยืนนิ่งๆ เมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย
“ผมเคยได้ยินมาว่ารูมเมทของพี่..”
“วางมันลงซะ..” ร่างสูงหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายจับข้อมือของเขาไว้ ชางมินหันกลับไปมองพี่รหัสที่จ้องเขาด้วยแววตาจริงจัง
“………….” แก้วสีฟ้าถูกชูขึ้นสูงเหนือศรีษะ ร่างโปร่งยังคงจ้องหน้าชางมินอยู่อย่างนั้นไม่มีแม้แต่จะมองตามแก้วที่ถูกชูขึ้นสูงเลยสักนิด
“รูมเมทพี่ไปไหนเหรอครับ?”
“………….”
“พี่ไม่คิดจะเล่าเรื่องของพี่..ให้ผมฟังบ้างเลยเหรอ..” เอ่ยน้ำเสียงตัดพ้อทั้งที่ยังสบตากับอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น
“...............”
“พี่อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ไม่ได้หรอกนะ..”
“วางมันลง..ชิมชางมิน”
“...............”
“พี่จะปิดกั้นตัวเองไปถึงไหน…..”
เพล๊ง!!!!
ร่างสูงเบิกตากว้างเมื่อคยูฮยอนโผเข้ามาแย่งแก้วจากมือเขาจนเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น
ให้ตายเถอะ..ที่แย่กว่านั้นคือเขากำลังทับตัวคยูฮยอนเต็มๆ เลยน่ะสิ
“....เจ็บไหมครับ!” ร่างสูงผละออกพร้อมกับสำรวจร่างกายคนที่นอนนิ่งอยู่ข้างใต้ด้วยความเป็นห่วง
“……..”
“ผมขอโทษ พี่เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
“……..”
“พี่ครับ”
“กลับไปเถอะ” เอ่ยเสียงแผ่วทั้งที่สายตายังคงจ้องมองซากเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น.. ร่างสูงมองใบหน้ามนที่เอ่ยเสียงเย็นชาและไม่หันมามองเขาด้วยความรู้สึกผิด
แย่แล้วล่ะชิมชางมิน..
“คือ..”
“ออกไป”
นั่นเป็นประโยคสุดท้าย.. ที่ชิมชางมินได้ยินจากปากของโจคยูฮยอน..
.
.
ซ่า........
สายฝนยังตกลงมาไม่ขาด.. เสียงฟ้าร้องตอกย้ำความรู้สึกในขณะที่คยูฮยอนกำลังพยายามนั่งประติดประต่อเศษแก้วให้กลับมาเหมือนเดิม..
“……!!” ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองนิ้วมือตัวเองที่เลือดกำลังไหลออกมา.. บ้าจริง..
“เดี๋ยวเราเก็บเอง คยูฮยอนไปอ่านหนังสือต่อเถอะ”
มือเรียวสั่นสะท้าน น้ำใสคลอหน่วงขณะจ้องมองแก้วรูปร่างบิดเบี้ยวที่พยายามนั่งประกอบอยู่เป็นชั่วโมง.. รอยแผลที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ยังไม่สร้างความเจ็บปวดให้ได้เท่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย..
ครั้งที่สองแล้วโจคยูฮยอน.. นายทำมันแตกเป็นครั้งที่สองแล้ว..
“อึ่ก..” หยาดน้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา.. โทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า..
ไม่ว่าจะทำอะไร..ก็ดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปซะทุกเรื่อง..
.
.
เช้าวันรุ่งขึ้น..
ฝนยังคงเทกระหน่ำลงมาไม่หยุดตั้งแต่เมื่อวานนี้ ถ้าระบบระบายน้ำของมหาลัยไม่ดีป่านนี้น้ำคงท่วมไปแล้วเป็นแน่.. นิ้วเรียวทั้งสิบมีพลาสเตอร์สีน้ำตาลติดอยู่เกือบห้านิ้ว เนกไทถูกสวมอย่างสุภาพเพื่อเตรียมเข้าพรีเซนท์งานในวันนี้.. ร่มสีฟ้าที่ใครอีกคนเคยให้ถูกหยิบขึ้นมาถือไว้ในมืออีกข้างก่อนจะเดินไปสำรวจร่างกายหน้ากระจกอีกครั้ง
เรียบร้อย.. ถูกระเบียบทุกอย่างแล้วนะ
ดวงตากลมหันไปมองแก้วสีฟ้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดซีวอนยังอยู่.. เขาจะทำสีหน้ายังไง เมื่อแก้วใบเดียวที่เหลืออยู่นั้น..
“เฮ้อ..”
ไม่เอาน่าโจคยูฮยอน.. นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้วนะ นายควรจะทำใจได้แล้ว.. ยิ่งรอก็ยิ่งเจ็บ.. นายไม่ชอบทำร้ายตัวเองไม่ใช่เหรอ?
ถึงแม้ว่าจะได้รับโปสการ์ดแปลกๆ ทุกเดือน.. แต่นั่นก็ทำให้ตีความหมายออกมาไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร กระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นเดียวที่ไม่มีแม้แต่คำพูดทักทายนั่น..
ผมดูเหมือนคนตาบอด.. ปิดหูปิดตาไม่ยอมรับความจริง เอาแต่ยืนอยู่กับที่แล้วก็รอให้เขาเดินกลับมา
ซึ่งความหวังนั้นมันช่างริบหรี่เสียเหลือเกิน..
.
.
ราวกับว่า.. ผมมีชีวิตอยู่ได้เพราะลมหายใจของเมื่อวาน..
....มีแต่ความทรงจำเก่าๆ ..ที่มันเลือนลาง
ร่มสีฟ้าถูกกางออกก่อนที่ร่างโปร่งจะเดินออกมาจากหอพัก.. เรียวขาหยุดชะงักเมื่อเห็นใครบางคนยืนกางร่มอยู่ตรงหน้า ควันสีขาวพ่นออกมาจากริมฝีปากหยักบ่งบอกว่าอีกฝ่ายยืนรออยู่นานแล้ว.. ทั้งที่ฝนตกอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ แต่ชิมชางมินก็เลือกที่จะมายืนรอ..
เพียงเพราะแค่อยากพูดว่าขอโทษเท่านั้น..
“.......”
“...คือ”
“ไม่มีเรียนรึไง”
“เรื่องอื่นไว้ก่อนเถอะครับ..ที่ผมมาวันนี้..ผมตั้งใจจะมาขอโทษพี่”
“ถ้าเรื่องแก้วใบนั้นน่ะช่างมันเถอะ”
“ช่างไม่ได้หรอกครับ..ผมไม่รู้..ว่าแก้วใบนั้นสำคัญสำหรับพี่แค่ไหน” ร่างสูงก้มหน้าลง เมื่อคืนรู้สึกผิดมากจนนอนไม่หลับ อยากจะโทรมาขอโทษแต่ก็กลัวว่าจะทำให้คยูฮยอนโกรธยิ่งกว่าเดิม..
เขายังจำแววตาคยูฮยอนในตอนนั้นได้ดี..
“อยากเป็นหวัดตายรึไง..ไปเข้าเรียนได้แล้วนะ” ร่างโปร่งเดินสวนอีกคนออกมาจากตรงนั้นคิดตัดปัญหา เพราะขืนอยู่ต่อชิมชางมินคงไม่เลิกโทษตัวเองแน่
“พี่ซีวอนใช่ไหมครับ”
คยูฮยอนหยุดชะงักเมื่อได้ยินชื่อนั้นออกจากปากร่างสูง.. ทั้งคู่หยุดยืนอยู่กับที่ท่ามกลางสายฝน โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก..
“มันเป็นของสำคัญ..ของพี่ซีวอนใช่ไหมครับ..”
“...........”
“เตียงที่ว่างเปล่าในห้องของพี่..นั่นก็คงเป็นของพี่ซีวอน....”
“...........”
“เขาคือ..”
“...........”
ไม่มีคำตอบจากปากคยูฮยอนถึงแม้ว่าอีกฝ่ายยังคงถามไม่หยุด.. ความรู้สึกผิดก่อนหน้านี้ถูกความสงสัยกลบไปหมด.. รอยยิ้มที่แต่งเติมบนใบหน้าหล่อของร่างสูงนั้นในวันนี้ค่อยๆ จางหายไป..
ตลอดเวลาปีกว่าที่ผ่านมา ชิมชางมิน พยายามมาตลอด.. พยายามทำให้คยูฮยอนมีความสุขหลังจากที่รู้เรื่องราวต่างๆ ในอดีตของเขา..
ชางมินไม่ได้ต้องการคำว่า ‘ขอบคุณ’ จากปากคยูฮยอน..
สิ่งที่ต้องการมากที่สุด..ก็คือรอยยิ้มของเขาก็เท่านั้น
“จะบอกอะไรให้..อย่าคิดที่จะมัดใจคยูฮยอนมันเลย นี่พี่ไม่ได้ตัดพ้อแกหรอกนะ” น้ำเสียงของลุงรหัสที่ดูจริงจังไปกว่าทุกครั้งทำให้ชางมินหวั่นใจอยู่ไม่น้อย
“เอ่อ..ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับพี่อีทึก”
“จะบอกว่าที่ทำมาเป็นปีๆ เนี่ย..มันก็แค่พี่รหัสกับน้องรหัสเท่านั้นเหรอ?”
ตอบไม่ได้...
“ในตอนนี้แกอาจจะยังทนไหว..แต่คนเราจะวิ่งตามสิ่งที่จับต้องไม่ได้อีกนานสักแค่ไหนกัน”
“……….”
“พระเจ้าสร้างอดัมกับอีฟขึ้นมาเป็นมนุษย์คู่แรกบนโลกใบนี้ ทั้งคู่รักกันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน”
“……….”
“แต่ถ้าเกิดพระเจ้าสร้างใครอีกคนขึ้นมาพร้อมกับอดัมกับอีฟล่ะ? บางที..ทั้งคู่อาจจะไม่ได้รักกันเหมือนอย่างที่ได้ยินกันมาก็ได้..”
“อีฟอาจมีใจให้อีกคน..ในขณะที่อดัมเองก็รักอีฟหมดทั้งหัวใจ..”
“............”
“พี่จะไม่ห้ามแกหรอกนะ.. แค่อยากเตือนว่าคนเราน่ะ..ถ้าจะพยายาม..มันก็ได้..แต่เผื่อใจไว้บ้างก็ดี..เพราะคนที่ใช่สำหรับเราน่ะ..”
“เขาอาจจะเป็นคนที่ใช่สำหรับคนอื่นในเวลาเดียวกันก็ได้”
“.......ชางมิน”
“แกน่ะเหมือนซีวอนมากเลยนะ..ในตอนนี้ถ้าคยูฮยอนมันจะเจ็บเพราะแกมันก็ไม่แปลกหรอก” มือแกร่งตบลงบนบ่าหลานรหัสเบาๆ ก่อนจะจะยันตัวลุกขึ้นยืนเมื่อใครอีกคนมายืนรออยู่หน้าประตูแล้ว
คำพูดทุกประโยคที่อีทึกเล่าให้ฟังมันทำให้ร่างสูงพูดไม่ออก.. มือเรียวยาวยกขึ้นป้องปากตัวเอง..ภาพต่างๆ ในอดีตฉายขึ้นมาในหัว
“ซีวอน..”
ใช่.. เขาได้ยินชื่อนี้จากปากคยูฮยอนมาก่อน..
ฝนเริ่มซาลงถึงแม้ว่าก้อนเมฆสีเทาจะเคลื่อนออกไปบ้างแล้ว แสงสว่างจากดวงอาทิตย์เริ่มสาดส่องลงมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้คนสองรู้สึกคนอบอุ่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย..
“เขาคือ..คนที่พี่รักใช่ไหมครับ...”
“..................”
“..................”
“ถ้าได้คำตอบ นายจะรู้สึกดีขึ้นใช่ไหม” เป็นประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด ไม่ได้หมายความแบบนั้น ไม่ได้ต้องการให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น.. แต่ก็แค่อยากรับรู้เรื่องราวของคยูฮยอนบ้างก็เท่านั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา.. เขาเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่รู้จักคยูฮยอนดีระดับนึงรองจากพี่ทงเฮ แต่จริงๆ แล้ว..
ชิมชางมินแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคยูฮยอนเลยสักนิด..
ทำไมไม่เอะใจ.. เตียงฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่า.. ถึงจะไม่เคยถามชื่อรูมเมทที่จากไปของคยูฮยอน รู้แค่เพียงว่าคนๆ นั้นได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ..และจะไม่กลับมาที่นี่อีก..
แต่ทำไม..ผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มยังคงปูไว้อยู่อย่างนั้น
“ใช่”
“..................”
“พี่รักเขา”
“..................”
“..................”
“......ผมทำให้พี่.....รู้สึกแย่ใช่ไหมครับ.....” คำตอบที่ได้รับถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขารู้สึกจุกในอก..แต่ก็ยังคงถามต่อไป..
“พี่บอกว่าไม่เป็นไรไง”
“พี่รู้สึกแย่เพราะต้องทนเห็นหน้าผมในขณะที่พี่กำลังฝืนใจไม่ให้คิดถึงเขาใช่ไหมครับ...”
.
.
ใครบางคนก็ต้องการคำพูดสั้นๆ เพียงคำเดียว
เพียงเพราะต้องการความมั่นใจ..
ในขณะเดียวกัน.. ใครอีกคนก็ใช้สัมผัสทางกายแทนคำพูดทั้งหมดของหัวใจ
“พี่ทงเฮ!” ร่างหนาหันกลับไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะหันกลับไปสเก๊ตรูปต่อ ร่างอวบนั่งลงข้างๆ พี่รหัสพร้อมกับฉีกยิ้มก่อนจะชูพวงกุญแจขึ้นมาตรงหน้า
“สุขสันต์วันเกิด~” มือหนาหยุดชะงักเมื่อมีพวงกุญแจหน้าตาประหลาดๆ ลอยอยู่ตรงหน้า ทงเฮถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับหันไปมองหน้าน้องรหัสหน้าหวานที่ยังคงยิ้มให้อยู่ตรงนั้น
“.....?”
“น่ารักไหมครับ~”
“นี่อะไร?”
“พวงกุญแจลายปลานี่โม่ไงครับ ผมทำเองเลยนะ” ก็รู้ว่าเป็นพวงกุญแจรูปปลา แต่..
“ขอบใจมาก” รับมาพร้อมกับขยี้หัวอีกคน ใบหน้าหวานยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าพี่รหัส
ยังคงจำได้..วันนั้นที่เขานั่งดรอว์อิ้งตามลำพังอยู่ในห้องคนเดียวจนฟ้ามืด แต่ผลงานที่ออกมาก็ยังไม่เป็นที่พอใจเมื่อมองรูปในกระดาษกับหุ่นต้นแบบที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง..
ทั้งที่วาดตามแบบแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงออกมาไม่ได้ดั่งใจ
จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่ช่วงหลังก่อนที่มีมือหนาของใครบางคนมากุมมือที่ถือดินสอของเขาไว้พร้อมกับแรเงาทับลงไปตามแสงเงาของรูปแม้ว่าบางส่วนเขาจะแรเงาลงไปบ้างแล้ว ดวงหน้าหวานหันไปมองเจ้าของมือปริศนาก่อนจะเบิกตากว้างในขณะที่มือเรียวยังคงแรเงาอยู่อย่างนั้นโดยการควบคุมของใครอีกคน
พี่ทงเฮ..
“เห็นรึเปล่าว่าตรงนี้มันยังไม่มีมิติ.. ต้องแรเงาทับลงไปอีก” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบข้างหูทำเอาดวงหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่อ..
“อย่ามัวแต่กล้าๆ กลัวๆ ใช้ใจสิ เห็นรึเปล่า?” ได้แต่มองมือตัวเองที่ถูกมือหนากุมเอาไว้ หัวใจเต้นแรงขึ้นยิ่งกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายวางมือลงบนไหล่ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่เขานั้นไม่เคยเข้าถึง
“เป็นไง ดูมีมิติขึ้นมาแล้วใช่ไหม” ถามพร้อมกับยิ้มให้คนตรงหน้าก่อนจะผละออก.. ดวงหน้าหวานมองผลงานที่อีกฝ่ายช่วยแต่งเติมให้ทั้งที่ในเวลานี้ไม่น่าจะมีใครอยู่บนตึกแล้ว.. แต่ทำไม...
“รีบกลับได้แล้ว ข้าวเย็นไม่กินไง?” มือหนาขยี้หัวคนที่นั่งทำหน้าเอ๋อเบาๆ ก่อนจะผิวปากเดินออกจากห้องดรอว์อิ้งไป เหลือไว้เพียงแค่สัมผัสอุ่นๆ ที่ทำให้หัวใจเต้นแรง..
ยิ่งเวลาผ่านไป..มันยิ่งชัดเจนมากขึ้น..
ว่าความรู้สึกที่มีต่ออีทงเฮนั้น..
มันมากขึ้นจนเกินกว่าคำว่า ‘พี่รหัสกับน้องรหัส’ ไปแล้ว
.
.
“วันนี้จะไปฉลองที่ไหนรึเปล่าครับ..” ภาวนาให้ตอบว่าไม่.. ถ้าคำตอบตรงกับที่หวังจะได้รวบรวมความกล้าชวนไปฉลองด้วยกัน.. ถึงแม้ว่าความหวังนั้นมันจะริบหรี่
“ฉลองเหรอ..” ใบหน้าคมขมวดคิ้วพลางนึกถึงใครอีกคนเมื่อปีที่แล้ว..
‘ทำไมยังไม่แต่งตัวอีก’
‘ทำไมฉันต้องแต่งด้วย’
‘ไม่แต่งแล้วจะออกไปในสภาพนี้งั้นเหรออีฮยอกแจ’ พูดพลางมองคนที่อยู่ในชุดนอนสีฟ้า ร่างบางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงจนคนที่ยืนแต่งตัวรอหงุดหงิดขึ้นมาทันที
อีฮยอกแจอยากตายใช่ไหม ถึงได้หักหน้าเขาขนาดนี้?
‘ลุกเดี๋ยวนี้’ ร่างหนานั่งลงข้างเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มออกก่อนจะดึงข้อมือเล็กให้ลุกขึ้นมานั่ง
‘อะไรกันเล่า..’
‘วันนี้วันเกิดนาย เห็นปฏิทินไหม?’
‘อื้อ เห็นแล้ว’ ร่างบางขยี้ตาพลางมองไปตามนิ้วที่ทงเฮชี้ไป
‘แล้ววันนี้ฉันอุตส่าห์สละเวลามาเพื่อที่จะพานายไปข้างนอก’
‘หา?’
‘ยังจะมาหาอีก’
‘แล้วทำไมต้องออกไปข้างนอกด้วย อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ขอร้องให้นายมาทำแบบนี้สักหน่อย’
ยิ่งได้ยินคำตอบแล้วยิ่งรู้สึกเสียฟอร์ม บ้าจริง! สิ่งที่อีฮยอกแจควรทำในตอนนี้คือเขินจนหน้าแดงแล้วรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำต่างหากเล่า!
‘นายอยากตายใช่ไหมอีฮยอกแจ’
‘วันเกิดของฉันมันก็เหมือนกับทุกๆ วันนั่นแหละ..ไม่เห็นจะมีอะไรต่างไปจากเมื่อวาน..แค่ได้รับคำอวยพรจากครอบครัวและเพื่อนๆ ก็พอแล้ว’
‘............’
แค่นั้นก็พอ..งั้นเหรอ..
อีทงเฮไม่เคยสัมผัสคำๆ นั้นหรอก
.
.
“ไม่ได้ไปไหนหรอก” ตอบพร้อมกับหันกลับไปสเก๊ตภาพต่อ คนได้ฟังยิ้มกว้างก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า
‘ทำไมฉันต้องให้ของขวัญนายด้วย’
‘เพราะมันคือวันเกิดฉันไง’
‘มันก็ใช่ แต่ของขวัญน่ะมีใครที่ไหนเค้าทวงกันแบบนี้บ้าง’
‘เพราะถ้าฉันอยากได้..นายก็ต้องไปหามาให้ฉัน’ พูดเอาแต่ใจก่อนจะทิ้งตั๋วหนังลงบนโต๊ะ
‘.....อะไร’
‘ตั๋วหนังไง’
‘กำลังจะชวนฉันไปดูหนังเหรอ?’
‘ซื่อบื้อ! ทำไมต้องถามอะไรโง่ๆ ด้วยเนี่ย’
‘ก็นายไม่เคยชวนฉันนี่’
‘ฉันไม่ได้ชวนนาย แต่พรุ่งนี้ทุ่มนึงฉันต้องเห็นนายที่หน้าคณะ’
.
.
“ถ้าพี่ไม่ได้ไปไหน..เราไป....”
“อ้าว..มาถึงแล้วทำไมไม่เดินเข้ามาล่ะ” ยังไม่ทันจะพูดจบอีทงเฮก็แทรกขึ้นมาก่อน ซองมินมองตามสายตาของอีกฝ่ายก่อนจะเห็นร่างผอมบางยืนเลิกลั่กอยู่หน้าคณะ ดวงหน้าหวานชาวูบอย่างบอกไม่ถูกเพียงแค่ได้เห็นแววตาที่อีทงเฮมองคนๆ นั้น..
คงเพราะว่าไม่เคยเห็นใครมาหาทงเฮถึงที่นี่แบบนี้มาก่อน..
“นายสายไปสี่สิบแปดนาที” ทันทีที่ร่างบางเดินมาหยุดตรงหน้า ร่างหนาก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาจับผิดทันที
“ขอโทษ..พอดีว่าฉัน..”
“เพราะว่าวันนี้เป็นวันเกิดของฉัน ฉันจะไม่ทำโทษนายหนึ่งวันก็แล้วกัน” พูดจบก็เก็บอุปกรณ์ใส่กระเป๋าสะพายข้างก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างบาง
ฮยอกแจมองอีกคนที่ได้แต่นั่งมองเขาทั้งคู่..นี่คือน้องรหัสของทงเฮ ฮยอกแจจำได้ สีหน้าของเขานั้นดูไม่ดีสักเท่าไหร่..
“จะไปกันรึยัง หนังรอบสามทุ่มครึ่งนะ ไหนจะต้องพาหมูอย่างนายไปกินข้าวอีก” พูดพร้อมกับคว้าข้อมือเล็กของฮยอกแจเอาไว้ ร่างบางเลิกคิ้วมองคนเอาแต่ใจก่อนจะผลักไหล่แรงๆ หากแต่คนถูกผลักนั้นกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนี้..
อีซองมินรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเพียงแค่อากาศธาตุที่อยู่รอบๆ ตัว..
ที่เขา.. ไม่เคยสัมผัสได้..
ภาพที่เห็นมันคงทำให้เข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น.. ความหวังเพียงเล็กน้อยของเขาค่อยๆ เลือนหายไป.. ต้องเตือนตัวเองแล้วนะอีซองมิน.. เตือนตัวเองไว้ว่านายเป็นเพียงแค่น้องรหัสเท่านั้น..
เพราะว่าในแววตาของอีทงเฮ..ไม่เคยมีอีซองมินอยู่ในนั้นเลยสักครั้ง
.
.
คุณได้รับข้อความจาก..
‘ชางมิน’
[ผมเสียใจ..]
คุณกำลังส่งข้อความถึง..
‘ชางมิน’
[ไม่เป็นไร]
มือถือถูกเก็บเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะทอดสายตามองออกไปข้างหน้า.. ริมแม่น้ำฮันที่เงียบสงบในเวลาค่ำคืน.. เส้นผมปลิวไสวไปตามแรงลมรู้สึกเย็นที่ปลายจมูก.. มือเรียวกระชับผ้าพันคอสีขาวขึ้นสูงจนปิดริมฝีปากอิ่ม..
ตอนนี้รู้สึกอะไรอยู่.. ยังตอบตัวเองไม่ได้เลย..
‘ว่างเปล่า’
คงเป็นความรู้สึกนี้ล่ะมั้ง.. ที่มันชัดเจนอยู่ในใจ
ในตอนนี้เข้าใจซีวอนแล้วล่ะ.. เข้าใจแล้วว่าเวลาที่เอาแต่พูดคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ นั้นมันรู้สึกยังไง
‘ไม่เป็นไร’ พูดออกไปเพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
กับ..
‘ไม่เป็นไร’ พูดตัดบทเพื่อให้อีกฝ่ายลืมเรื่องนั้นไปสักที
หลายคนกลัวความมืดและความเงียบ.. แต่ผมกลับไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นเลย ถึงมันจะทำให้เรารู้สึกว้าเหว่..หวาดกลัว..แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น
ผมเชื่ออย่างนั้น.. ถึงในความมืดผมอาจจะหวาดกลัวที่จะต้องก้าวเดินไปข้างหน้าตามลำพังโดยที่ไม่มีแสงไฟ..
แต่ถ้าทนอยู่กับสิ่งที่ทำให้หวาดกลัวได้..วันข้างหน้าผมก็จะไม่รู้สึกกลัวมันอีก
.
.
“ไม่ยักรู้ว่านายชอบดูหนังรัก” ฮยอกแจป้องปากกระซิบเบาๆ เว้นระยะห่างไว้พอสมควร.. ทงเฮขมวดคิ้วทำท่าเงี่ยหูเพราะได้ยินไม่ชัด
“ฉันพูดว่า ไม่ยักรู้ว่านายน่ะชอบดูหนังรัก!” พูดจบอีทงเฮก็เอนหลังพิงพนักโซฟาที่นั่งสวีทที่เขาเองตั้งใจโทรจองไว้ล่วงหน้าโดยที่ไม่บอกฮยอกแจ
“ฉันได้ตั๋วมาฟรีหรอก เพื่อนที่คณะให้มาเป็นของขวัญวันเกิด.. ใครอยากจะมาดูหนังรักกับนายกัน”
“ไม่อยากแล้วชวนฉันมาทำไม” แสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด อีทงเฮนิสัยไม่ดี พูดแบบนี้อีกแล้วนะ
“ก็ไม่รู้จะชวนใคร นายเองก็ว่างไม่ใช่รึไง”
“ฉันไม่เคยบอกเลยนะว่าฉันว่าง”
“ก็ดีแล้ว อยู่กับฉันจะได้ไม่ว่าง”
“แล้วทำไมไม่ชวนน้องรหัสนายมาล่ะ บ้าจริง” ป๊อปคอร์นถูกหยิบเข้าปากไม่ได้หยุด อีทงเฮกำลังทำให้อีฮยอกแจมีน้ำโหเพราะปากเขา...
“หึ..ฉันไม่ปล่อยให้นายไปอยู่กับไอ้เด็กหน้าตี๋ขับสกู๊ตเตอร์ติ๋มๆ นั่นหรอก” พูดจบก็คว้าแก้วน้ำอัดลมขึ้นมาดื่มดับอารมณ์ คิดจะชวนทะเลาะงั้นเหรออีฮยอกแจ..ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร
หนังดำเนินไปถึงช่วงกลางเรื่องฉากที่พระเอกตัดสินใจเข้าไปสารภาพรักกับนางเอกก่อนที่ตัวเองจะต้องเข้าพิธีแต่งงานกับคนอื่น
หยาดน้ำใสคลอหน่วง อินกับหนังมันเป็นเรื่องปกติของอีฮยอกแจอยู่แล้ว ทงเฮเหลือบมองอีกฝ่ายที่นั่งเบะปากยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ แต่ถึงอย่างนั้นป๊อปคอร์นก็ยังถูกหยิบเข้าปากไม่หยุด
“...เอ๋?” ใบหน้าหวานขมวดคิ้วเมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ในกล่องป๊อปคอร์น มือเล็กหยิบมันขึ้นมาก่อนจะพลิกหน้าพลิกหลังด้วยความสงสัย.. นี่มันกล่องอะไร.. ทำไมมาอยู่ในกล่องป๊อปคอร์นได้
ร่างบางเปิดกล่องสีดำขึ้นมาก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ.. นี่มัน..
“อีทง...” ยังไม่ทันได้พูดอะไร ริมฝีปากสีเชอรี่ก็ถูกปิดด้วยริมฝีปากของใครอีกคน.. ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเพราะตั้งตัวไม่ทันกับรสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้ มือหนารั้งท้ายทอยร่างบางให้เชิดขึ้นก่อนจะส่งลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากหวาน.. เปลือกตาบางค่อยๆ ปิดลง มือเล็กยังคงถือกล่องกำมะหยี่สีดำไว้อยู่อย่างนั้น.. ปล่อยให้หัวใจได้ซึมซับสัมผัสที่แสนอ่อนโยนของคนตรงหน้า
ร่างหนาผละริมฝีปากออกอย่างเสียดายขณะที่ยังจ้องดวงหน้าหวานที่ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น..
“.............”
“.............”
“ไอ้นี่..ของนายไม่ใช่เหรอ” ฮยอกแจก้มหน้าลงพร้อมกับยื่นกำไลเงินให้
“ใช่ นั่นของฉันเอง”
“.....ก็เอาไปสิ”
“ฉันให้นาย”
“.............”
“เพราะว่าวันนี้เป็นวันเกิดของฉัน..ฉันถึงให้นายเป็นคนเก็บมันไว้ยังไงล่ะอีฮยอกแจ”
.
.
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ปี 2014
ของขวัญหลายกล่องที่ได้รับจากพี่รหัส น้องรหัส และหลานรหัสหลังจากช่วงสอบปลายภาคในช่วงปีสามเทอมสองถูกหอบกลับมาที่หอพักอย่างลำบาก ไม่เคยคิดว่าสายรหัสจะรวมหัวกันอำเขาได้ขนาดนี้
ฝีเท้าหยุดอยู่กับที่เมื่อเห็นใครบางคนกำลังวางกล่องของขวัญไว้ที่หน้าห้องเขา.. ร่างสูงยันตัวลุกขึ้นก่อนจะหันหน้ากลับมา.. ทั้งคู่สบตากันนิ่งไม่มีใครพูดอะไร แต่ดูร่างสูงจะตกใจอยู่ไม่น้อย
“คุณเป็นใคร”
“เอ่อ...”
“........”
“คือ....” ร่างสูงตอบตะกุกตะกักพลางเกาท้ายทอย รู้สึกได้ถึงกลิ่นเหล้าที่ติดอยู่ตามตัวอีกฝ่าย
ร่างโปร่งก้มลงมองกล่องของขวัญสีขาวที่วางอยู่บนพื้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง.. นี่มันกล่องแบบเดียวกับที่เขาได้รับเมื่อปีที่แล้วเลยไม่ใช่เหรอ..
“คุณ..ส่งผิดห้องใช่ไหม..” ถามพร้อมกับจ้องหน้าเค้นเอาความจริง หวังให้อีกฝ่ายตอบกลับมาว่า ‘ใช่’
“.............” กล่องของขวัญและช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือตกลงไปกองกับพื้นเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา.. นั่นยิ่งทำให้คยูฮยอนรู้สึกหวาดกลัวกับคำตอบยิ่งกว่าเดิม
“.............”
“หรือว่าจะเป็นของซีวอน.. ซีวอนฝากคุณมาให้ผมใช่ไหมครับ..”
ของขวัญที่ได้รับเมื่อปีที่แล้วมันต้องเป็นของซีวอนสิ.. แล้วของขวัญชิ้นนี้ก็ด้วย..
ร่างสูงก้มหลงหยิบกล่องของขวัญขึ้นมาก่อนจะยื่นให้อีกฝ่าย.. คยูฮยอนรับมันมาก่อนจะเงยหน้ามองร่างสูงอีกครั้ง..
“...สุขสันต์วันเกิดครับ”
.
.
ในตอนนี้..สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดได้มากที่สุด..
ก็คือการเหยียบย่ำความรู้สึกของตัวเอง
“อะไรน่ะ?” อีทึกถามขณะที่ทั้งคู่ยืนมองรุ่นน้องปีหนึ่งที่กำลังจะขึ้นปีสองร่วมกิจกรรมกันอย่างสนุกสนานเพื่อเตรียมงานรับน้องในเทอมหน้า
“....โปสการ์ดครับ” พูดจบอีทึกก็แย่งไปดูก่อนจะขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าอีทึกจะเรียนจบไปแล้วแต่เขาก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวนี้เพราะด้วยความเป็นช่างภาพอิสระ ไม่ต้องไปทนนั่งอุดอู้อยู่ในออฟฟิต
“รูปอะไรวะ? แล้วใครส่งมา?”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ได้แบบนี้มาสามปีแล้ว” คยูฮยอนรับโปสการ์ดสีม่วงเก็บไว้ในกระเป๋า
“จากซีวอนรึเปล่า~ ไอ้หมอนี่นั่นคิดอะไรอยู่นะ ส่งโปสการ์ดแปลกๆ มา แถมยังไม่เขียนอะไรเลยสักตัวแบบนี้” อีทึกเอาศอกสะกิดแขนร่างโปร่งที่ยืนเงียบอยู่ตรงนั้น
พูดได้ไม่เต็มปาก.. ว่าโปสการ์ดที่ได้รับมาเกือบสามสิบใบนั้นเป็นของซีวอน หลังจากที่เขาได้รับของขวัญจากคนแปลกหน้าในวันนั้น..
ราวกับความฝันแหลกสลายไปในพริบตา.. เท่ากับว่าคยูฮยอนหลอกตัวเองมาตลอด.. ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยได้รับนั้นคือสิ่งที่ซีวอนมอบให้..
เปล่าเลย..
“ไม่ใช่หรอกครับ..” ตอบเบาๆ ทำเอาคนฟังหน้าเจื่อนไปในทันที
“.......แล้วของใครวะ?”
“ผมไม่รู้จักเขา”
“เหอ? หมายความว่าไง? เขาในที่นี้ของแกคือ..?”
“ผมเห็นคนๆ หนึ่งเอาของขวัญมาวางไว้หน้าห้องตอนปีสามเทอมสอง.. กล่องของขวัญชิ้นนั้นมันหน้าตาเหมือนกับกล่องของขวัญเมื่อตอนปีสองไม่มีผิด”
“อ่า.......”
“คนๆ นั้นไม่พูดอะไรกับผมเลยนอกจากคำว่า..สุขสันต์วันเกิด..” ร่างโปร่งหลุบตาลงพลางถอนหายใจ
หรือว่าบางที.. เขาก็ควรจะเลิกหวังลมๆ แล้งๆ แบบนี้สักที..
“คยูฮยอน”
“ครับ”
“พี่จะไม่โทษที่แกรู้ตัวช้าหรอกนะ แต่แกคิดไว้รึยัง..ว่าถ้าซีวอนกลับมา..แกจะทำยังไง” นั่นสิ.. ถ้าซีวอนกลับมาจริงๆ คยูฮยอนจะทำยังไง
“ผม..”
“นี่ผ่านมากี่ปีแล้ว พี่รู้ว่าแกรักมันมาก แต่เวลาผ่านไปอะไรก็เปลี่ยน..” ร่างโปร่งมองหน้าอีทึกเมื่อได้ยินคำพูดเรียกสติคนโง่อย่างเขา.. นั่นน่ะสิ.. เวลาผ่านไปกี่ปีแล้ว..
“ระยะทาง..ความห่างเหิน..บวกกับอดีตที่แสนเจ็บปวด..ในความคิดของพี่..”
“...............”
“โทษทีว่ะ ช่างมันเถอะ”
“พูดมาเถอะครับ ผมรับได้”
“....มันอาจจะปล่อยแกแล้วจริงๆ ก็ได้”
“...............”
“จะรอไปถึงเมื่อไหร่ อีกไม่กี่เดือนก็จะรับปริญญาแล้วนะ”
ความรู้สึกจุกในอก พูดไม่ออก.. มันเป็นอย่างนี้นี่เองสินะ..
เอาแต่คิดว่าจะรอ.. โดยที่ไม่นึกถึงความเป็นจริงเลยว่าตอนนี้เขาไปถึงไหนแล้ว
“แล้วถ้าเกิดซีวอนมันไม่ได้กลับมาคนเดียว..แกจะทำยังไง?”
.
.
ปัง!!!!
เสียงประตูถูกปิดอย่างแรงก่อนที่ขาเรียวจะวิ่งเข้ามากระชากโปสการ์ดทั้งหมดที่ติดอยู่บนผนังเหวี่ยงลงไปกับพื้นห้อง เศษกระดาษปลิวว่อนไปทั่ว บรรยากาศที่เงียบสงบมีเพียงแค่เสียงหอบหายใจของคนที่สิ้นหวัง..
ดวงตาแข็งกร้าวที่มีหยาดน้ำใสคลอหน่วงก่อนจะหันไปเห็นสมุดไดอารี่สีขาวที่เขามักจะเขียนเรื่องราวและความรู้สึกที่มีต่อซีวอนลงไป
“แล้วถ้าเกิดซีวอนมันไม่ได้กลับมาคนเดียว..แกจะทำยังไง?”
ไดอารี่สีขาวหน้าแรกถูกเปิดออกเผยให้เห็นรูปถ่ายนับสิบ นั่นยิ่งทำให้ร่างโปร่งรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า.. มือเรียวที่สั่นสะท้านกำกระดาษหน้าแรกไว้แน่นพลางหลับตาลง
ไดอารี่ที่ตั้งใจจะฉีกทิ้ง....
แต่สุดท้ายก็ไม่กล้า.. ภาพรอยยิ้มของเขามันยังคงชัดเจน
ทิ้งไว้ให้ทำไม?
ร่างโปร่งทรุดลงไปกองกับพื้น หมดเรี่ยวแรง ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น
ทั้งที่เมื่อก่อนตอนเลิกกันยังไม่เห็นเสียใจอะไรมากมายขนาดนี้.. แล้วตอนนี้มันอะไรกันล่ะโจคยูฮยอน?
รอเหมือนคนโง่..
คนโง่ที่ยังคงรอให้เขากลับมาทุกวัน..รออย่างไร้จุดหมาย
ภาวนาว่าจะเห็นเขายืนกางร่มรออยู่ที่หน้าคณะ..
ภาวนาว่าจะได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วพูดว่า ‘กลับมาแล้ว’ ในทุกๆ วัน..
ภาวนาว่าตื่นมาในตอนเช้าแล้วเตียงฝั่งตรงข้ามจะยังคงมีเขานอนหลับอยู่ตรงนั้น..
แต่ทุกอย่าง.. มันเป็นเพียงแค่เรื่องโกหกงั้นเหรอ..
ระยะเวลา.. ใช่.. มันผ่านมาสามปีครึ่งแล้ว..แต่ก็ยังคงรออยู่อย่างนั้นถึงแม้ว่าจะดูเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่นก็ตาม..
ความห่างเหิน.. กำแพงที่เขาเป็นคนสร้างมัน เพื่อปิดกั้นไม่ให้ซีวอนได้ก้าวผ่านเข้ามาได้..
อดีตที่แสนเจ็บปวด.. หกปีที่แล้วคยูฮยอนเป็นคนสร้างรอยแผลเป็นนั้นไว้ให้ก่อนจากกัน.. พอเวลาผ่านไปถึงแม้ว่าความเจ็บปวดจากบาดแผลนั่นจะหายไปแล้วแต่รอยแผลเป็นก็ยังคงอยู่..
และเขา..ก็เป็นคนกลับมาซ้ำรอยแผลนั้นอีกครั้ง
.
.
สิ่งที่ผมต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คือ..
‘เวลา’
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีโปสการ์ดมากมายกระจายอยู่ทั่วพื้นห้อง แสงแดดยามเช้าลอดเข้ามาหากแต่ร่างโปร่งที่นอนเหม่อลอยอยู่บนพื้นยังคงไม่ได้นอนจนถึงตอนนี้..
คุณได้รับข้อความจาก..
‘ทงเฮ’
[บ่ายนี้กูลองชุดครุยเสร็จแล้วจะเข้าไปหานะ ไปกินข้าวกัน]
คุณได้รับข้อความจาก..
‘ชางมิน’
[อรุณสวัสดิ์ครับ..ผมพึ่งผ่านหน้าหอพักพี่เมื่อกี้เห็นไฟเปิดอยู่..พึ่งตื่นหรือยังไม่ได้นอนครับ?]
ร่างโปร่งค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางกวาดสายตาไปทั่วห้องก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ.. มือเรียวยันขอบอ่างไว้ทั้งสองข้างพร้อมกับจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียว อีกทั้งขอบตาที่บวมช้ำของตัวเอง
ดูสภาพตัวเองในตอนนี้สิโจคยูฮยอน.. ดูไม่ได้เลยจริงๆ
.
.
ร่างโปร่งแขวนผ้าขนหนูไว้หลังจากอาบน้ำเสร็จก่อนจะเดินมาจัดการกับโปสการ์ดที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นห้องหลังจากใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่นาน
มือเรียวค่อยๆ รวบโปสการ์ดมารวมกันก่อนจะหยุดชะงักเมื่อการ์ดสองใบที่วางอยู่ข้างกันนั้นดูเหมือนว่าจะเอามาประติดประต่อกันได้..ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อโปสการ์ดทั้งสองใบที่มีรูปคล้ายคลึงกันนั้น..
มันเป็นรูปเดียวกัน..
ร่างโปร่งกระจายโปสการ์ดทั้งหมดออกก่อนอย่างรีบร้อนจะเริ่มหารูปที่ใกล้เคียงมาวางข้างๆ กัน.. โปสการ์ดทั้งหมดออกมาเป็นรูปร่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้นหลังจากที่สลับปรับเปลี่ยนไปมาอยู่เกือบชั่วโมง.. คยูฮยอนยืนมองการ์ดทั้งหมดที่วางเป็นระเบียบอยู่บนพื้นก่อนที่หยาดน้ำตาจะใหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ..
โปสการ์ดสามสิบกว่าแผ่นถูกวางเรียงเหมือนจิ๊กซอว์...รูปดอกไลแล็คเด่นชัดจนกลั้นน้ำตาแทบไม่ไหว... ประโยคบรรยายตรงมุมขวาล่างของรูปที่คยูฮยอนไม่เคยเอะใจเลยสักนิด.. ทั้งที่ถูกเขียนด้วยปากกาสีขาวตัดกับสีพื้นแล้วแท้ๆ ทำไมถึงเดาไม่ออก..
The happy time in my life is doing everything for you..
ช่วงเวลาที่มีความสุขของผม..คือการได้กระทำทุกสิ่งเพื่อคุณ..
*พูดคนเดียว*
ต่อไปตอน 16 จะจบในตอนนั้นนะค๊าบ
ความคิดเห็น