ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #60 : Puubate's Eyes ♛ Eps.03

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 30.19K
      60
      28 มี.ค. 64

    http://i.imgur.com/nzIErzk.jpg

    Puubate’s Eyes 03

    My Heart Always Drift Away

     

           โทษทีน้า ไม่ทันได้มอง เจ็บมั้ยอะ

             น้ำตาของฉันร่วงเมื่อได้ยินคำถามที่เหมือนจะขอโทษของอีกฝ่าย แต่มันไม่ใช่แบบนั้นในความรู้สึกเลย ฉันเจ็บเหมือนข้อเท้าหักไปแล้ว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ก็กลั้นเสียงหัวเราะที่มันอาจจะทำให้ใครหลายคนรำคาญเอาไว้ได้

             “ไหน ขอดูหน่อยสิ เจ็บข้อเท้าเหรอ” พวกเธอพยายามจะดูข้อเท้าที่ฉันเจ็บให้ได้ ฉันก็พยายามจะปกป้องตัวเองที่สุด แต่เสียงที่ตั้งใจจะบอกมันก็หายไปจนฟังไม่ได้ศัพท์ กลายเป็นเสียงครางเพราะความเจ็บที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

             “ยกเท้าขึ้นมาสิ เนี่ย เอาก้อนหินออกให้แล้ว”

             ฉันก็อยากจะยกเท้าขึ้นเหมือนกันนะ แต่ว่าฉันยังยกไม่ขึ้นนี่สิ มันเจ็บ มันปวดเหมือนว่าถูกเลื่อยข้อเท้าทิ้งอย่างไรอย่างนั้นเลย

             “ป่าน!” เสียงใครสักคนหนึ่งเรียกชื่อของฉัน ฉันเลยเงยหน้ามองแล้วพบว่าเป็นรูมเมทที่เราเคยพักด้วยกันนั่นเอง เธอคือสายธารที่เดินเข้ามาหาฉันด้วยความตกใจ

             “ป่าน เป็นอะไรน่ะ” เมื่อสายธารมา กลุ่มสาว ๆ ก่อนหน้านี้ก็สลายตัวกันในทันที ส่วนฉันก็เจ็บจนพูดไม่ออก ปากมันสั่นระริกไปหมด

             “เฮ้ย ข้อเท้าบวมแล้วเขียวจนม่วงเลยอะ เดี๋ยวก่อนนะ อย่าเพิ่งขยับไปไหนนะ” เธอบอก ฉันเองก็ขยับไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว ได้แต่นั่งน้ำตาร่วงด้วยความเจ็บปวด หัวใจเต้นแรงตุบ ๆ เหงื่อซึมจนเปียกชื้นไปทั้งตัว เจ็บจนเหมือนจะเป็นลมให้ได้

             รู้ตัวอีกทีก็มีคนมาแตะไหล่แล้วถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตกใจจนลนลาน

             “นิ่ม!

             ชื่อที่คุ้นเคย ถึงมันจะไม่ใช่ชื่อจริง ๆ ของฉันเองก็ตามทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด เงยหน้ามองน้ำตาก็ยิ่งไหลหนักกว่าเดิม

             “ภูเบศ” น้ำเสียงของฉันแห้งผากฟังแทบไม่รู้เรื่อง สายตาก็แทบมองอะไรไม่เห็นทั้งเหงื่อทั้งน้ำตาที่ไหลลงมากลบสายตาการมองเห็นไปหมด

             “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย แป๊บนะ” ภูเบศถอดเสื้อตัวนอกออกและถอดเสื้อยืดตัวในที่สวมอยู่ออกอีกชิ้น เขาสวมเสื้อคลุมตัวนอกเหมือนเดิม แต่เอาเสื้อยืดตัวในมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับฉัน

             “เหงื่อเธอชุ่มตัวเหมือนอาบน้ำมาเลย เดี๋ยว นี่ขาแพลงหรือขาหัก” เขาถาม ฉันได้แต่ส่ายหน้าเพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันหักหรือแค่แพลง อยากร้องไห้ระบายความเจ็บก็ยังทำไม่ได้ เพราะมันปวดจนพูดอะไรไม่ออก

             “เจ็บมากมั้ย?” เขาถาม ฉันก็ได้แต่พยักหน้า พอมือของภูเบศเลื่อนไปทำท่าจะจับข้อเท้าฉันก็รีบส่งสายตาเว้าวอนให้ไป

             “เจ็บ” ฉันคราง น้ำตาไหลไม่หยุดจนภูเบศมองหน้าอย่างไม่พอใจ

             “เดินยังไงให้เท้าไปติดซอกหินได้วะ โง่รึเปล่า”

             ได้ยินแล้วก็อยากจะเถียง คนฉลาดไม่เคยหกล้มหรือพลาดอะไรกันบ้างเหรอ แต่ฉันก็เลือกจะเงียบไม่โต้ตอบ แล้วสายธารก็กลับมาพร้อมกับอาจารย์ที่ดูแลการเข้าค่ายครั้งนี้

             “นายนี่มาเร็วมากเลยนะภูเบศ” สายธารว่ายิ้ม ๆ แล้วอาจารย์ก็ถามฉันอย่างเป็นห่วง

             “เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากมั้ย”

             ฉันพยักหน้าให้อาจารย์ทั้งน้ำตา อยากจะพูดบอกแต่มันก็พูดไม่ออกจริง ๆ ได้แต่กัดปากตัวสั่นไปหมด ทั้งเหงื่อทั้งน้ำตามันท่วมตัวจนไม่รู้ว่าอะไรมันเยอะมากกว่ากัน

             “งั้นอดทนหน่อย จะพาไปโรงพยาบาล”

             ต่อมาฉันก็ถูกดามเท้าเอาไว้อย่างแน่นหนา แล้วถูกพาตัวไปยังโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ฉันเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ตาบวมก่ำ หน้าก็ซีดเผือด มันเจ็บซะจนคิดว่าเท้ามันหายไปจากตัวฉันแล้ว มันปวดแทบตลอดเวลาจนหายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนใจหวิว ๆ จนจะเป็นลม พอมาถึงโรงพยาบาลฉันก็วูบไปไม่รู้ตัว เพราะมันเจ็บมากก็เลยมึน ๆ รู้สึกเลือน ๆ สะลึมสะลือตลอดเวลา

             และสุดท้ายฉันก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้ว ความมืดและแสงไฟจากภายในห้องบอกให้รู้ว่าตอนนี้ค่ำหรือไม่ก็คงดึกมากแล้ว และในห้องไม่มีใครอยู่ด้วยเลยสักคน ฉันเกิดความรู้สึกสับสนและกลัวนิด ๆ เพราะไม่รู้จะเรียกหาให้ใครมาช่วยได้ในตอนนี้

             พอพยุงตัวเองนั่งบนเตียงได้ก็เห็นว่าข้อเท้าถูกใส่เฝือกเอาไว้แน่นหนา และยังรู้สึกปวดมากจนต้องนิ่วหน้า ฉันทั้งตกใจทั้งกลัวทั้งเจ็บ สับสนจนทำอะไรไม่ถูก ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง

             “ภูเบศ

     

             “เวรเอ๊ย!” ภูเบศสบถหลังจากที่เขาช่วยประคอง เอ่อ ไม่หรอก เขาอุ้มฉันเข้าห้องน้ำ แล้วก็อุ้มกลับมาที่เตียงเรียบร้อยแล้ว ทีแรกฉันคิดว่าเขาด่าฉันแต่มันกลับเป็นดัมเบล ใช่ อันที่มันเคยอยู่ในกระเป๋าเดินทางของฉันนั่นแหละ ตอนนี้มันก็ยังอยู่ที่เดิมของมัน เพียงแต่ว่าเขาเป็นคนเอามันมาให้ฉันจากที่ค่าย แล้วเขาคงหงุดหงิดที่เป็นคนแบกมาให้ถึงที่นี่ บอกว่าสมน้ำหน้าจะดีรึเปล่านะ

             “หัวเราะอะไรวะ” เขาถามอย่างเป็นมิตร ฉันก็เลยแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ว่าภูเบศก็ยังไม่พอใจ เขาเดินเข้ามาหา(เรื่อง)แล้วก็บีบหน้าของฉันด้วยมือเพียงข้างเดียวจนแก้มโย้

             “ฉันอุตส่าห์แบกมันมาให้จากที่ค่ายนะ แล้วมาหัวเราะอีกเหรอ เธอนี่มันน่า

             ฉันหลบสายตาของเขาเหมือนทุกครั้ง ไม่กล้าจะมองหน้าสบตาด้วยตรง ๆ แต่ก็ยังมีเรื่องที่อยากถามก็เลยเบี่ยงหน้าหนีจากมือของเขา

             “แล้วค่ายล่ะ” ฉันไม่ค่อยสบายใจ กลัวว่าจะไม่ผ่านกิจกรรมนี้แล้วต้องทำรายงาน

             “อ้อ ฉันทำเรื่องให้แล้ว เราสองคนไม่ต้องกลับค่ายแล้ว”

             “จริงเหรอ!” ฉันถามอย่างตื่นเต้น แล้วก็ใจแป้วในนาทีต่อมา

             “แต่ต้องทำรายงานแทน ทำเผื่อฉันด้วย”

             “เผื่อนาย?” ฉันถามอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะทำหน้าไม่ถูกกับคำตอบที่ได้

             “ใช่ ก็พี่เป็นคนขอให้น้องนิ่มออกจากค่ายเพราะขาหักแล้วพี่ก็ต้องเป็นคนดูแลน้องนิ่ม ถ้าพี่กลับไปแล้วใครจะอยู่ดูน้องนิ่มล่ะ” ภูเบศเลิกคิ้วถาม ส่วนฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนไปหมด อธิบายความรู้สึกตอนนี้ไม่ได้เลย

             “แล้วทำไม ทำแบบนั้นล่ะ ฉันดูแลตัวเองได้” เสียงฉันหายไปเมื่อเห็นสายตาของเขามองมาอย่างเอาเรื่อง

             “เหรอ แล้วเมื่อกี้ใครกันวะครับ ที่พี่เบศอุ้มไปส่งที่ห้องน้ำให้”

             “นายมัน” ฉันเหนื่อยที่จะสู้รบปรบมือกับเขาแล้ว อยู่ด้วยกันทีไรมีเรื่องให้ทะเลาะกันตลอด แถมเขายังเอาแต่ใจมากด้วย

             “ทุกคนเข้าใจว่าเราเป็นผัวเมียกันหมดแล้ว ผัวก็ต้องมาดูแลเมียสิ

             หลังจากที่เขาพูดคำนั้นออกมา ฉันก็ไม่ยอมคุยกับเขาด้วยอีกเลย จนถึงตอนกินข้าวนี่แหละ

             “มากินข้าว” ปากบอกแบบนั้น แต่เขาเลื่อนที่วางถาดอาหารมาถึงเตียงแล้ว

             นี่เขาลืมไปแล้วรึเปล่า ว่าเราไม่ได้อยู่ที่ค่ายแล้ว ไม่ต้องกินข้าวด้วยกัน ไม่ต้องป้อนกันแล้ว ยังไม่ทันได้ถามผัดไก่อะไรสักอย่างก็ถูกส่งมาถึงปากแล้ว

             “อ้าปากสิวะ”

             “ไม่เอา ฉันกินเองได้” ฉันเบือนหน้าหนี แล้วพอเปิดปากพูดผัดไก่นั่นก็ถูกยัดเข้ามาในปากแล้ว แต่เพราะว่าปากฉันเล็กไปก็เลยกลืนทีเดียวไม่หมด มากกว่าครึ่งหนึ่งที่เหลือในช้อนเลยเข้าไปอยู่ในปากของเขา

             “อันนี้ฉันซื้อเข้ามาเอง อร่อยมั้ย?

             ฉันไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้จริง ๆ ตอนนี้เขามาทำอะไรกับฉันในโรงพยาบาลแบบนี้เหรอ ฉันอยากถามแต่ก็กลัวคำตอบที่จะได้เหลือเกิน

             “อันนี้ก็อร่อยนะ” เขาชวนคุย แต่ฉันไม่ทันได้ตอบ เพราะมีของกินส่งเข้าปากแทบตลอดเวลา พอกลืนปุ๊บก็มีกับข้าวอีกคำส่งเข้ามาอีก และเหมือนเดิมครึ่งหนึ่งที่ฉันกินไม่หมดก็อยู่ในปากของเขา เพราะสถานการณ์มันพิกลฉันก็เลยกินจนอิ่มไม่รู้ตัว

             “พอแล้ว” ฉันรู้สึกอยากจะเรอออกมาให้ได้ ไม่รู้ว่ากินไปเยอะเท่าไหร่แล้ว

             “อิ่มแล้วเหรอ?” เขาถามแล้วก็ตักข้าวเข้าปากอีกคำ

             “แล้วนายไม่กลับบ้านเหรอ” ฉันถามอย่างระมัดระวัง เลยถูกสายตาพิฆาตของภูเบศส่งกลับมาอย่างน่ากลัว

             “ก็แล้วนายจะมาอยู่ที่นี่ทำไมล่ะ ไม่เที่ยวเหรอ”

             ขนาดแก้วน้ำเขาก็ยังป้อนถึงปาก ฉันละล่ำละลักดื่มแทบไม่ทัน ภูเบศก็มองหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วฉันถามอะไรผิดล่ะ มันก็เป็นปกติแล้วไม่ใช่เหรอ เขาทำแบบนี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเข้าค่ายและไม่ต้องทำรายงาน ไปสนุกสุดเหวี่ยงไม่ใช่เหรอ

             “จะอาบน้ำมั้ย พรุ่งนี้หมอเข้ามาดูอาการอีกที แล้วก็ได้กลับบ้านแล้ว”

             ฉันไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร ถามสองคำถามในครั้งเดียวแบบนี้ แล้วฉันควรตอบคำถามไหนก่อนดีล่ะ เพื่อที่เขาจะไม่ได้ไม่โกรธ

             “เอ่อ” หัวของฉันตอนนี้เหมือนคอมพิวเตอร์ที่กำลังคำนวณว่าควรจะตอบแบบไหนและกำลังโหลดดิ้งอยู่ แล้วก็ถูกอุ้มให้ตัวลอยจากเตียงโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

             “งั้นอาบน้ำแล้วก็นอน” เขาวางร่างของฉันลงกับพื้นในห้องน้ำ ก่อนจะหันกลับไปหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าเดินทาง และกลับมาพร้อมกับชุดชั้นในชิ้นล่างหนึ่งชิ้นถ้วน

             “ในห้องน้ำมีชุดคนไข้อยู่แล้วนี่ ไม่ต้องใส่บราหรอก นอนแล้วหายใจไม่ออก

             ฉันบอกขอบคุณเขาด้วยการดึงเอาอันเดอร์แวร์มาจากมือของเขาพร้อมกับปิดประตูใส่หน้าโดยไม่รู้จักคำว่ากลัวตาย ฉันเกลียดเขา!

     

           ฉันไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนเจ็บหรือว่าภูเบศเป็นคนเจ็บกันแน่ เตียงนอนแคบ ๆ ขนาดสามฟุตครึ่งเขาก็ยังพาตัวเองมานอนเบียดได้ ท่านอนของเราสองคนมันก็แบบ

             ยังดีที่เขารู้ว่าฉันเจ็บขาและมันกระทบกระเทือนไม่ได้จริง ๆ เขาก็เลยยกขาฉันพาดบนต้นขาของเขา ซึ่งมันเฉียดเอ้อ ตรงนั้นไปนิดเดียวจริง ๆ ฉันล่ะอยากจะร้องไห้

             ในเมื่อเขาหาเรื่องออกจากค่ายมาได้แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมกลับไปนอนที่คอนโดของเขาล่ะ ฉันอยากจะเข้าห้องน้ำเลยขยับตัว แล้วก็ถูกแขนของเขาตวัดกอดเอาไว้ทั้งตัวจนร่างของฉันแทบจะจมหายกับอกของเขา ร่างกายของเขาอุ่นมาก และเรียบลื่นจนรู้สึกอิจฉา ผิวของเขาขาวมากและมันยิ่งสว่างจ้าเมื่อแสงแดดสาดส่องเข้ามาให้ห้อง แถมเขายังไม่สวมเสื้อนอนอีก สวรรค์ ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมอากาศเมืองไทยมันถึงได้ร้อนขนาดนี้

             “ขอขอฉันลงจากเตียงก่อนนะภูเบศ” ฉันละล่ำละลักบอกเขาเมื่อได้ยินเสียงเขาครางพร้อมกับเอาคางที่สากเพราะหนวดของเขาเริ่มขึ้นมาถูกับแก้มของฉันจนคัน ๆ จั๊กจี้ แล้วมือของเขาก็เริ่มลูบเข้าไปใต้ชายเสื้อ ปลายนิ้วที่อุ่นพอ ๆ กับผิวกายของเขาก็ลูบที่หน้าท้องแล้วก็ใต้ฐานอกของฉันด้วย

           “อือ รู้แล้ว ง่วงจะตาย น้องนิ่มนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ เลย” เขาครางจิ๊จ๊ะในคอแล้วก็อุ้มฉันลงเตียงอีกครั้ง จนฉันไม่กล้านับเลยว่าสองสามวันมานี้เราเข้าถึงเนื้อถึงตัวกันแบบนี้กี่ครั้งแล้ว

           “เธอจะอาบน้ำมั้ย ถ้าหมอมาดูอาการเราจะได้กลับกันเลย เฮ้ย

             ภูเบศเสียหลักลื่นในห้องน้ำ ฉันก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หลับตาแน่นยกแขนกอดเขาไม่รู้ตัวเพราะกลัวว่าตัวเองจะเจ็บตัวอีก แต่รู้ตัวอีกทีฉันก็นั่งอยู่บนตักของเขา ส่วนภูเบศล้มไม่เป็นท่า มือข้างหนึ่งกอดฉันเอาไว้แน่น อีกข้างยันพื้นห้องน้ำเอาไว้ไม่ให้หัวฟาดพื้นแล้วหัวร้างข้างแตกกันอีก

             “เจ็บมั้ยนิ่ม!” เขาถามท่าทางตกใจมาก รีบมองดูขาของฉันเป็นการใหญ่

             “มะ ไม่หรอก แต่ว่านายได้แผลนี่” พอเขาชักแขนกลับมาฉันเลยเห็นรอยถลอกเป็นแผลมีเลือดซิบจนน่าตกใจ

             “เว้ย เธอนี่มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ เลย อาบน้ำได้แล้ว แสบชะมัด”

             บางครั้งฉันก็ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร พูดหลายเรื่องในประโยคเดียว และคงมีแต่เขาเท่านั้นที่เข้าใจ

             “ภูเบศ” ฉันกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเขาดันฉันนั่งลงที่ชักโครกซึ่งปิดฝาลงแล้ว จัดการพาดขาของฉันกับอ่างล่างหน้าแล้วถอดเสื้อของฉันคงไม่ต้องถามหรอกนะว่าสภาพของฉันตอนนี้มันทุเรศทุรังมากแค่ไหน

             “เดี๋ยวก็ล้มอีกอะ

             ม่าย ม่ายช่ายแล้ว เมื่อกี้นายล้มเอง และถ้าฉันเข้าห้องน้ำเองก็คงไม่เป็นแบบนั้นด้วย ใจฉันร่วงไปกองที่ตาตุ่มเมื่อภูเบศไม่ฟังบ้าฟังบออะไรเลย เขาไม่สวมเสื้อและเขาถอดเสื้อผ้าฉันออกจากตัว แถมยังใกล้กันซะจนต้องแลกเปลี่ยนลมหายใจกันไปโดยปริยาย ฆ่าฉันให้ตายไปเลยดีกว่าไหม

             “เธอนี่ขาวจังว่ะ” เพราะยังตกใจกับอะไรหลาย ๆ อย่าง รู้สึกตัวอีกทีทั้งตอนนี้กางเกงก็เลยไปกองที่ข้อเท้าซึ่งมันมีเฝือกพันอยู่ ส่วนเสื้อก็หลุดออกจากตัวไปแล้วด้วย

             “…!” ฉันตกใจจนพูดไม่ออกยกมือปิดหน้าอกเอาไว้แทบไม่ทัน และเห็นได้ชัดเจนว่าผิวของฉันมันค่อย ๆ มีสีเลือดระเรื่อทั่วทั้งตัว

           “โถ แม่คุณมือเล็กแบบนั้นปิดไม่มิดหรอก” มุมปากหยักของคนร้ายกาจยกยิ้มเจ้าเล่ห์น่ากลัวให้เห็น

             “ตัวน้องนิ่มไม่มีไขมันมั่งเลยเหรอ แต่ทำไมจับแล้วนุ่มนิ่มจัง

             ตอนนี้ภูเบศกลายเป็นหมาป่าไปแล้ว เขาเลียมุมปากด้วยท่าทางน่ากลัว จนฉันแทบร้องไห้ แต่ในความกลัวมันก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างปะปนจนมันหวิว ๆ อยู่ในอกอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้

             ฉันเผลอสบตากับเขาเนิ่นนาน และแลบลิ้นเมียปากที่มันแห้งผากของตัวเองตามเขาอย่างไม่รู้ตัว

             ใบหน้าของภูเบศขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นกว่าเดิมจนปลายจมูกของเราชนกันเบา ๆ ยิ่งเขาเบี่ยงหน้าจนองศาริมฝีปากของเราแทบจะแนบชิดติดกัน ร่างกายของฉันก็เหมือนกลายเป็นน้ำมันเดือด ๆ ในพริบตาเดียว

             “นุ่มนิ่ม” เขาเรียกฉัน ด้วยโทนเสียงที่นุ่มนิ่มเหมือนกัน

             “ปากแห้งเหรอ ช่วยเอามั้ย?” เขาแตะริมฝีปากของเขากับเรียวปากของฉันแผ่วเบา ก็เหมือนว่าโลกทั้งในของฉันมันสะเทือนเลื่อนลั่น เหมือนฟ้าถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น

             “เธอว่า ถ้าจูบกันตรงนี้มันจะโรแมนติกมั้ย?” ภูเบศหัวเราะเสียงใส เปลี่ยนภาพลักษณ์จากปีศาจน่ากลัวที่เอาแต่แกล้งรังแกฉันมาตลอด กลายเป็นเทวดาน่ารักไปโดยปริยาย

             “ทำแบบนี้ท่าจะเมื่อยนะ” เขาพูดเองเออเองฉันก็ขัดอะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ยังสงสัยว่ามันเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่

             มันต้องเป็นความฝันสิ ภูเบศตัวจริงไม่มีทางทำอะไรแบบนี้แน่ ๆ ฉันบอกตัวเองในใจขณะที่ขาข้างที่ใส่เฝือกถูกจับให้วางลงกับพื้น ก่อนที่หมาป่าวายร้ายจับเข่าของฉันแยกห่างจากกัน และตัวของเขาก็แทรกกลางเข้ามาจนชิด ท่อนล่างของเราแนบชิดกัน ถึงจะยังมีปราการเสื้อผ้าขวางกั้นแต่มันก็กั้นความร้อนและความของเขาไว้ไม่ได้

             “จูบในห้องน้ำจะโรแมนติกมั้ยนะ”

             ฉันสั่นหน้าเป็นพัลวัน มารู้สึกตัวว่าอะไรเป็นอะไรก็ตอนที่ความรุ่นร้อนของเขาแนบชิดบดเบียดกับส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของฉัน รู้สึกว่าร้อน ร่างกายจะไหม้เพราะกระแสไฟฟ้าแรงสูงไหลผ่านอย่างหนักหน่วงรุนแรง ก่อนหน้านี้ก็มันมึนงงเพราะเพิ่งตื่น ฉันพยายามจะดิ้นหนี สุดท้ายก็ต้องครางเพราะความเจ็บเมื่อภูเบศกระตุกเส้นผมตรงท้ายทอยจนใบหน้าแหงนหงาย ก่อนจะถูกเรียวปากรุ่มร้อนของเขาจูบไซ้ซอกคอย่างรุนแรงจนเจ็บแปลบ เขาจูบไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ซอกคอ ใบหู ก่อนจะกลับมากัดปากฉันเบา ๆ โดยที่ฉันดิ้นรนขัดขืนแรงของเขาไม่ไหว

             “เป็นเมียพี่มั้ย จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีเลย

             ฉันยกมือกั้นริมฝีปากของเขาเอาไว้ เมื่อเขาทำท่าจะจูบอีกครั้ง แต่อะไรก็ห้ามความน่ากลัวของเขาไม่ได้

             อย่านะ หยุดนะ! คำง่าย ๆ แค่สองคำทำไมฉันถึงพูดออกมาไม่ได้ก็ไม่รู้ หัวใจก็เต้นเหมือนไม่เคยเต้นมาก่อน เรียวปากของเขาร้อนซะจนใจกลางฝ่ามือของฉันที่กั้นไม่ให้เขาจูบตัวเองอีกครั้งเหงื่อชุ่มไปหมด แล้วคนร้ายอย่างภูเบศก็ยังหาเรื่องแกล้งด้วยการใช้ลิ้นกวาดไล้มันเบา ๆ เหมือนจะแกล้งจนฉันสะดุ้งรีบชักมือออกมาแทบไม่ทัน

             “ว่าไง มันคงเร้าใจกว่าตอนไอ้เจย์เยอะนะ”

             “นายทำแบบนี้มันไม่ถูกนะ”

             “ยังไง ยังไม่ได้ปล้ำซะหน่อย พูดบอกก่อนด้วย ให้เตรียมตัวยังไงล่ะ” เขาแสยะยิ้มหน้ากลัวก่อนจะโน้มหน้าลงมาจนได้ ฉันเม้มปากแน่นเอียงหน้าหนีสุดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นภูเบศก็ยังรังแกได้อย่างง่ายดาย เรียวปากอุ่นระอุของเขาจูบลงตรงริมฝีปากบ้าง ตรงคางบ้าง และลามไปถึงแก้ม ต้นคอ โอ๊ย มันทุกจุดที่เขาจะจูบถึงนั่นแหละ

           ร่างกายของฉันเหมือนกับช็อกโกแลตที่มันกำลังจะละลาย คิดว่าคงจะกลายเป็นอาหารของเขาซะแล้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดปิดประตูของห้องพัก ซึ่งมันอยู่ใกล้ ๆ กับห้องน้ำที่ฉันกับภูเบศที่กำลังนัวเนียกันได้ที่

             “คุณปานรดาคะ อยู่ในห้องน้ำรึเปล่า

     

             ฉันแทบจะแทรกแผ่นดินเมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้ว

             เรื่องของเรื่องก็เพราะว่าทั้งคุณหมอคนสวยและนางพยาบาลต่างพากันหน้าแดงแอบหัวเราะกันคิก ๆ คัก ๆ หลังจากที่เรียกฉันแล้ว อีกห้านาทีฉันถึงได้ออกมาจากห้องน้ำ และแน่นอนว่าเขาช่างเป็นตัวของตัวเอง เดินตามออกมาด้วยทันที ไม่สนใจว่าฉันจะขอร้องอ้อนวอนให้เขาตามออกมาอีกห้านาทีหลังยังไงก็ตาม

             คนนะไม่ใช่เงือก จะหายใจในน้ำได้ จะให้อยู่ในห้องน้ำนาน ๆ ได้ยังไงวะครับ เขาบอกมาแบบนั้น

             ก็บอกเอาไว้แล้ว ว่าคงแค่มีแค่เข้าใจคนเดียวว่าตัวเองพูดอะไรออกมา นางพยาบาลเข้าใจว่าฉันอยู่ในห้องน้ำคนเดียวและยังใส่เฝือกด้วย เพราะอย่างนั้นเธอเลยยืนกรานว่าจะรอจนกว่าฉันจะออกมาจากห้องน้ำ และจะไม่ไปไหนทั้งนั้น สุดท้ายทุกคนก็เลยรู้ว่าภูเบศอยู่ในห้องน้ำกับคนป่วยข้อเท้าหักอย่างฉัน

             อ้อ เรื่องข้อเท้าหัก ฉันก็เพิ่งรู้จากคำบอกของภูเบศนี่แหละ เล่นเอาสยองและรู้สึกเจ็บมากขึ้นกว่าตอนที่ไม่รู้ซะอีก

             “อาการก็ทรงตัวมากขึ้นนะคะ ยังไงก็มาหาหมอเพื่อดูอาการตามที่นัดหมายเอาไว้นะคะ ตอนนี้ก็กลับบ้านได้แล้วค่ะ” คุณหมอสาวบอกพลางยิ้มหวาน ฉันไม่กล้าจะสบตาใครทั้งนั้น ครั้นจะบอกว่าไม่ได้มีอะไรกับภูเบศในห้องน้ำจริง ๆ นะ ก็กลัวทุกคนจะเข้าใจว่าฉันร้อนใจพูดออกไปเอง

             และมันก็เป็นความจริงนะ เพราะภูเบศช่วยฉันอาบน้ำอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาพยายามลวนลามต่าง ๆ นานา ซึ่งคิดแล้วก็อยากตายเพื่อล้างอายเหลือเกิน

             “ขอบคุณครับ” ภูเบศเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างให้ โดยที่ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรยังไงดีแล้วเหมือนกัน

             “เธอรออยู่ที่นี่นะ ฉันจะไปถามเรื่องเฝือกแบบถอดได้ให้เธอก่อน แล้วจะไปจ่ายเงิน”

             “เอ่อ ค่าโรงพยาบาลเท่าไหร่เหรอ” ได้ยินเรื่องนี้แล้วมันไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้

             ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชนด้วย ค่ารักษาพยาบาลมันก็แพงกว่าโรงพยาบาลรัฐบาลไม่รู้กี่เท่า คิดแล้วใจก็ห่อเหี่ยว ไม่รู้ว่าเงินจะพอรึเปล่าด้วย

             “ก็ไม่รู้เหมือนกัน กำลังจะไปดูนี่แหละ” ภูเบศพูดด้วยท่าทางหงุดหงิด

             ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเขาหาเรื่องรังแกฉันในห้องน้ำไม่สำเร็จน่ะสิ เพราะหมอเข้ามาดูอาการซะก่อน ผู้ชายคนนี้มีความมั่นใจผิด ๆ แบบนี้ได้ยังไง หาเรื่องรังแกคนป่วยแล้วก็รังแกฉันมาตลอดด้วย ฉันไม่ได้ลืมหรอกนะ ว่าเขาให้เพื่อนของเขามาจีบฉันเพื่อจะหัวเราะเยาะทีหลัง ที่ฉันกลายเป็นผู้หญิงเซ่อซ่าโดนหลอกได้ตลอดเวลา แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ แล้วเขาก็ยังมาพูดบ้า ๆ ทำเรื่องบอ ๆ กับฉันอีก

             ฉันยังลงจากเตียงไม่ได้ เลยต้องนั่งรอภูเบศกลับมาในห้อง ซึ่งเขาก็กลับมาพร้อมกับใบเสร็จซึ่งส่งมาให้ฉันอย่างตั้งใจ

             สามหมื่นห้าพันบาทถ้วนนั่นคือค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดที่เจอไปเมื่อวานกับวันนี้ ฉันรู้สึกหน้ามืดเลย และคงหน้าซีดด้วยเพราะภูเบศหัวเราะใส่หน้าฉันทันที ด้วยความสัตย์จริง ฉันเกลียดเขา!

           “ฉันเอ่อ มีเงินไม่พอ คือว่า ฉัน” ฉันอยากจะร้องไห้ ทำไมต้องมาขอร้องกับคนที่หาเรื่องจะปล้ำตัวเองในห้องน้ำด้วยก็ไม่รู้ อีกอย่าง ถ้าถามขอยืมเงินจากเขา ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ภูเบศจะมีเงินพอรึเปล่า เพราะสามหมื่นห้ามันก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลย

             “ฉันจ่ายให้แล้ว ไม่ต้องห่วง ฉันคิดดอกเบี้ยถูก ๆ ร้อยละยี่สิบต่อวันเอง” เขายิ้มกว้าง ส่วนฉันก็ลมจะจับ ภูเบศนี่มันภูเบศจริง ๆ เลย ให้ตายสิ

             “ได้เฝือกแบบถอดออกมาแล้วด้วย เอาไว้ใส่ประคองอีกชั้นเวลาเดินไปไหนมาไหน ทีนี้ก็กลับกันได้แล้ว”

             ฉันก็เพิ่งสังเกตว่าเขามาพร้อมกับรถเข็นพยาบาลด้วย ภูเบศอุ้มฉันเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าสองสามวันนี้เขาอุ้มฉันมากี่ครั้งแล้ว จนเริ่มชินไม่รู้ตัว และอย่าคิดว่ามันจะหวานแหววจี๋จ๋านะ เพราะเขาเอากระเป๋าเดินทางของฉันที่ข้างในมีดัมเบลนั่นแหละวางทับตักฉันด้วย เขาหัวเราะเหมือนตัวโกงในการ์ตูนที่แสดงตัวโจ่งแจ้งว่าตัวเองเป็นตัวร้ายน่ะ แบบนั้นเลย

             “ถ้าฉันวิ่งแล้วเข็นเธอไปด้วย เธอว่ามันจะสนุกมั้ย” ภูเบศถามคำถามไร้สาระที่ดูน่ากลัวมากตอนที่เราออกมาจากห้องพักฟื้น ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ อย่าคิดว่าเขาจะพูดเล่นเชียวนะ ลืมไปแล้วเหรอว่าเขาเป็นจอมมารร้ายน่ะ

             “ไม่เอานะ ฉันเจ็บอยู่นะ” ฉันบอกเขาเสียงสั่น ๆ มือเริ่มหาที่ยึดเผื่อว่าเขาจะเล่นพิเรนทร์แบบที่พูดขึ้นมาจริง ๆ

             “งั้นก็พูดดี ๆ หวาน ๆ เพราะ ๆ กับฉันด้วย”

             “ฮะ!?” ฉันไม่เข้าใจว่ามันเป็นมุกตลกแบบไหนของคนที่ชื่อภูเบศ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะจริงจังกับที่พูดมามาก ๆ

             “เรียกพี่ว่าพี่เบศสิ

             “หือ!?” อยู่กับเขาฉันเหมือนคนโง่เลย คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง อ่านใจเขาไม่ได้อีกต่างหาก

             “น้องนิ่มต้องเรียกพี่ ว่าพี่เบศ แล้วต้องแทนตัวเองว่าน้องนิ่มด้วย ไม่งั้น หลังจากนี้เราคงมีเรื่องให้ต้องคุยต้องสนุกกันอีกยาว”

             สาบานได้ว่าฉันขนลุกซู่กับคำขู่ของเขา แต่ก็ยังไม่มีเรื่องอุบัติเหตุจนหัวร้างข้างแตกเกิดขึ้น ฉันลงมาถึงลานจอดรถได้อย่างปลอดภัย แบบว่า เหมือนอยู่กับคนเมาเลยล่ะ เดาทางไม่ถูกว่าภูเบศจะทำอะไรเป็นอย่างต่อไป รู้สึกเหมือนว่าอะดรีนาลีน[1]หลั่งมาสามลิตรครึ่งเห็นจะได้ เหมือนนั่งรถไฟเหาะตลอดเวลา นั่นแหละ การอยู่ใกล้ภูเบศมันเป็นแบบนั้นเลย

             “เอ่อ แล้วนายจะไม่ถามว่าฉัน โอ๊ย!” ฉันร้องวี้ดเมื่อภูเบศเหยียบเบรกรถกะทันหันตอนที่เขากำลังขับรถออกมาจากลานจอดรถของโรงพยาบาล หัวฉันทิ่มกับคอนโซลรถเพราะยังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเลย

             “บอกแล้วไงให้เรียกพี่” ภูเบศยิ้มเย็น ผลักหน้าผากฉันให้หลังติดกับเบาะรถก่อนที่เขาจะขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อควานหาเข็มขัดนิรภัย เมื่อเป็นแบบนี้เราก็เลยใกล้กันไปโดยปริยาย ใกล้จนซะแก้มของเขาเฉียดกับปลายจมูกของฉันอยู่นาน และหลบไปทางอื่นไม่ได้ด้วย

             “ถ้าไม่เรียกพี่ ก็ตามสบายนะ

             ตอนนี้ฉันว่าเขาเหมือนงูจงอางแล้ว ทำท่าจะฉกทุกอย่าง ทุกที่ ทุกครั้งที่เขาอยากจะฉกแล้วพ่นพิษใส่คนอื่นน่ะ

             ไอ้งูพิษ ฉันอยากจะว่าเขาแบบนี้จริง ๆ แต่ก็ไม่กล้าพอ

             “แล้วพี่เบศจะไปส่งนิ่มที่อพาร์ตเม้นต์เหรอ” พูดไปก็ขนลุกไป รู้สึกเหมือนว่าผื่นจะขึ้นได้เลย

             ภูเบศหัวเราะก๊ากที่ฉันยอมพูด เขาหัวเราะจนน้ำตาซึม หมดภาพของปีศาจร้ายที่คอยตามหลอกหลอน เหมือนเด็กผู้ชายซน ๆ เอาแต่ใจคนหนึ่งเท่านั้น

             “น้องนิ่มพูดแล้วโคตรจี้เลย แต่แบบนี้แหละดี” เขายิ้มกับตัวเอง ไม่รู้ว่ามันดีตรงไหน ฟังแล้วน่าขนลุกจะตายไป

             “อ้อ เราไม่ได้กลับอพาร์ตเม้นต์ของน้องนิ่มหรอก เราจะไปคอนโดของพี่ต่างหาก”

             ฮะ!? ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นการล้อเล่นแบบไหนของพี่เบศ เอ๊ย ภูเบศ กันแน่ แต่ฉันก็ได้แต่ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก นั่งเอ๋ออย่างนั้นจนเขาหยุดรถแล้วเลื่อนกระจกรถลง

             “นิ่ม ลดกระจกฝั่งน้องนิ่มลงสิ แล้วมองออกไปข้างนอก” เขาออกคำสั่งประหลาด ๆ ออกมา แต่ฉันก็ทำตามอย่างไม่รู้ตัว แล้วก็เห็นเจย์อยู่บนรถอีกคันที่สวนกันพอดีแล้วหยุดอยู่ใกล้ ๆ กันจนน่ากลัว

             เจย์ลดแว่นกันแดดลงจากใบหน้าหล่อเหลาของเขา สายตาของเขาที่มองมาทั้งกล่าวหาและแสนเย็นชา มันทำให้ฉันรู้สึกว่าพื้นที่ยืนอยู่มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนแทบไม่เหลือที่ให้ยืนได้เลย สักพักเขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู โดยที่ยังมองหน้าฉันแน่วนิ่ง

             “น้องนิ่มออกโรงบาลได้แล้ว กูจะพานิ่มไปพักผ่อนนะ ไว้เจอกันทีหลัง

             เสียงพูดนี้เป็นเสียงพูดของภูเบศ ซึ่งไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเขาเป็นคนโทรไปหาเจย์ เจย์ไม่ได้ตอบอะไร สายตาของเขาก็ยังจ้องฉันแทบจะกะพริบตา ฉันได้ยินเสียงบางอย่างเบา ๆ เห็นจากทางหางตาว่าภูเบศวาโทรศัพท์เอาไว้ที่คอนโซลรถแล้วเขาก็ตบเกียร์ รถก็แล่นออกมา ฉันเลยปิดกระจกรถเอาไว้ตามเดิมอย่างเหม่อ ๆ รู้ว่าภูเบศพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉันก็หูอื้อไปหมดแล้ว

             ฉันเฝ้าถามตัวเองว่าทำอะไรอยู่ และได้ทำอะไรลงไปกันแน่ แล้วตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกยังไงกับผู้ชายทั้งสองคน ซึ่งพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันมากด้วย

             ก่อนหน้านี้ฉันสารภาพรักกับเจย์ว่าชอบเขา แต่กลับอยู่กับภูเบศตลอดเวลา แล้วเมื่อกี้ก็ไม่ยอมพูดอะไร ทั้งที่ใกล้กันชนิดว่ายื่นแขนออกไปแตะเขาได้เลยด้วยซ้ำไป

             บรรยากาศในรถก็เงียบไปเลยด้วย

           ฉันนั่งตัวตรงรู้สึกว่าอากาศในรถมันหายไปหมด ภูเบศไม่ยิ้มไม่หัวเราะอีกแล้ว และมันทำให้ฉันไม่สบายใจมากจริง ๆ อยากจะพูดบางอย่างเพื่อทำให้มันดีขึ้น

             “เบศ

             แต่แค่พูดคำแรก เขาก็เอื้อมมือเปิดเพลงทันที และเสียงดังมากพอจะกลบเสียงพูดของฉันหมดเลยด้วย

             รู้ดีเธอน่ะใจร้าย แต่ก็ไม่วายจะยอมรับ ก็รู้ดีเธอต้องผิดสัญญา แต่ก็รักเธอไม่รู้ทำไม

    เพียง สบตาเธอ ใจดวงเดิม เคลิ้มลอยไป

    หัวใจดวงนี้ไม่หลาบจำ เหมือนเดิมซ้ำ ๆ แล้วสะใจ หัวใจนี่มันงมงาย ตักเตือนไม่ยอมฟังกัน

    เหมือนโดนเท่านั้นยังไม่พอ ขอยอมเจ็บช้ำมันต่อไป หัวใจเจ้ากรรมนั้นไซร้ เฝ้าคอยทำร้ายตัวเอง[2]

             “อย่าคิดว่าเพลงนี้ฉันให้ตัวเองนะ” ภูเบศพูดขึ้น ฉันเลยจ้องเขาเพื่อขอคำตอบให้แน่ชัดกว่านี้ ว่ามันหมายความว่ายังไงกันแน่ อยู่กับเขาแล้วฉันเหมือนคนโง่จริง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร

             “เพลงนี้ให้ไอ้เจย์ต่างหาก” ว่าแล้วเขาก็หัวเราะ แต่ว่ามันไม่ได้เป็นการหัวเราะสดใสจริงจังอีกแล้ว

             ต่อมาเขาก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายไปหาใครสักคน ใจฉันอยากบอกเขาเหลือเกินว่าจอดรถให้ฉันลงตรงนี้เถอะ แต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่นั่งบื้อใบ้ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง

             “เจย์น้องนิ่มมีอะไรจะให้ว่ะ”

             ฉันหันขวับไปมองภูเบศไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ รู้สึกสิ้นหวังและรู้ได้เลยว่าจะมีหายนะมากมายตามมาไม่จบสิ้นหลังจากนี้

             “เพลงนี้ไง นิ่มให้มึง” พูดจบภูเบศก็วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมพร้อมกับเร่งเสียงให้ดังกว่าเดิม

             ฉันถึงกับถอนหายใจ เอนหัวพิงกับกรอบประตูรถอย่างหมดแรง เพลงที่เปิดอยู่ก็ลอยวนเวียนในหัวไม่จบเหมือนเสียงคำสาปของแม่มด ฉันแกล้งทำเป็นไม่เป็นอะไร ทั้งที่กลัวจนมือสั่นไปหมด

     

             ในที่สุดรถก็แล่นมาหยุดที่ลานจอดรถในคอนโดหรูแห่งหนึ่ง แต่เพลงที่เปิดมาตลอดทางก็ยังดังไม่หยุด เมื่อภูเบศเอื้อมมือแตะหน้าจอโทรศัพท์ของเขา ฉันก็พบว่าเจย์ยังไม่วางสายตลอดเวลาเกือบสามสิบนาที เขาฟังเพลงนี้มาตลอด หรือไม่ก็ลืมวางสายไม่รู้ว่ายังอยู่ในสายของภูเบศ ซึ่งฉันภาวนาว่าเป็นอย่างหลังมากกว่าการที่เขายังฟังเพลงนี้เหมือนกับฉันและภูเบศมาตลอดทาง

           “ท่าทางไอ้เจย์จะเอาจริงเรื่องของเธอนะป่านทอ

             ป่านทอ เขาเรียกแบบนี้ เชื่อเถอะว่างานจะเข้าฉัน และคงเป็นเหมือนรถบรรทุกแล่นมาเสยร่างยับ ๆ ของฉันแน่

             “มันตามมานั่นแน่ะ แต่อันที่จริงก็ไม่รู้ว่าตามรึเปล่า เพราะมันพักที่นี่ด้วยเหมือนกัน” ภูเบศพยักพเยิดหน้าให้มองไปตรงหน้า ฉันเลยมองไปทางนั้น ซึ่งเห็นรถคันหนึ่งหยุดตรงหน้ารถของภูเบศที่เรานั่งอยู่ด้วยกันตอนนี้

             ฟิล์มที่ติดรถทั้งของทั้งภูเบศและเจย์ไม่ได้มืดจนมองอะไรไม่เห็น และมันตรงกันข้ามที่เห็นกันและกันชัดจนน่าตกใจ

             “เธอบอกว่าเธอชอบมันสินะ” ภูเบศพูด ฉันได้ยินเสียงปลดเข็มขัดนิรภัยพร้อม ๆ กับการที่เขาขยับตัวอย่างรวดเร็ว

             กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร เรียวปากรุ่มร้อนของภูเบศก็แนบลงมากับริมฝีปากของฉันอย่างรุนแรงและหนักหน่วง นี่คือจูบแรกของฉัน และมันแย่ซะยิ่งกว่าการที่ภูเบศถามว่าจูบในห้องน้ำโรงพยาบาลมันจะโรแมนติกหรือเปล่า เหมือนสวรรค์กับนรกเลย

             หลังจากหายตกใจฉันก็พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากจูบร้อน ๆ ที่แสนร้ายกาจของภูเบศ แต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งกอดรัดฉันแน่นขึ้น เรียวลิ้นร้อนชื้นของเขาที่รุกล้ำเข้ามาทำให้ฉันต้องอ้าปากโดยไม่เต็มใจ ปล่อยให้เขาคุกคามจูบเอาเหมือนจะสูบวิญญาณออกจากร่างกาย เรียวปากของเขาที่บดขยี้ลงมาเหมือนนำไฟฟ้าแรงสูงมาด้วย ทำให้กายใจของฉันสั่นสะท้านจนตัวชาเรี่ยวแรงก็เริ่มหดหายไปทีละน้อย และเปิดโอกาสให้คนร้ายรังแกได้มากกว่าเดิม

             ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาสอดท่อนแขนกับท้ายทอยของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ปากฉันบวมเห่อระบมไปหมดเมื่อถูกตระโบมจูบจนไม่ได้หายใจหายคอ ยิ่งนานเท่าไหร่ฉันก็หมดเรี่ยวแรงเหมือนจะเป็นลมให้ได้ จนเผลอเลื่อนท่อนแขนโอบคอเขาไว้เพื่อพยุงตัวเอง

             เมื่อปลายนิ้วของฉันสัมผัสกับเส้นผมที่นุ่มลื่นของภูเบศ ตอนนั้นฉันก็สะท้านตกใจจนตัวโยนเมื่อมีรถคันหนึ่งแล่นมาชนกับรถของภูเบศที่นั่งอยู่เข้าอย่างจัง ด้วยความตกใจทั้งของฉันและภูเบศทำให้ริมฝีปากของเราเป็นอิสระ แต่ก็แค่ชั่ววินาทีเท่านั้น

             “อย่าไปสนใจ สนใจจูบของฉันดีกว่า” ภูเบศจับปลายคางของฉันอีกครั้ง ทำท่าจะจูบอีกหน แต่ฉันขืนตัวไว้

             เจย์ถอยรถและเร่งเครื่องจนควันขึ้นจากการที่เขาบดยางกับพื้นอยู่นาน สายตาของเขามองมาเหมือนจะบอกว่า ถ้าฉันจูบกับภูเบศอีกครั้ง เขาจะฆ่าฉัน

     

             เจย์ขับรถมาชนกับรถของภูเบศอีกสองครั้งเห็นจะได้ ก่อนที่เขาจะขับออกไปทางอื่น ตอนนั้นแหละ ภูเบศถึงได้ถอนจูบออกทำให้ฉันมีเวลาพักหายใจหายคอ ฉันรู้เลยว่าตัวเองหน้าแดงก่ำ มือสั่นเทาไปหมด เขาลากฉันลงจากรถแล้วช่วยประคองไม่ให้ล้ม และรู้ว่าเขาดูโกรธมากจริง ๆ

             “ริช เออน่า มาดูรถกูหน่อย” เขาคุยโทรศัพท์ ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นพี่ชายของเขา พี่ภูริชน่ะ ฉันก็ตัวลีบแล้วลีบอีกไม่รู้ว่าจะหลบไปทางไหนดี จะแอบกลับอพาร์ตเม้นต์ของตัวเองก็กลัวว่าจะถูกภูเบศไล่ตบทีหลัง แถมยังปวดขา ปวดหัว ตุบ ๆ ไปหมดก็เลยขยับตัวเดินหนีไม่ได้

             “มึงลงมาเลย กูรู้ว่ามึงไม่ได้ไปไหน วันนี้วันหยุด อย่ามาตอแหล” เขาพูดเสียงดังใส่อารมณ์จนฉันสะดุ้ง อายสายตาของคนที่ผ่านไปมาอย่างมาก แต่ละคนดูตกใจมากกับสภาพรถที่แสนยับเยินของภูเบศ โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่ทำตาโตปิดปากอุทานออกมาว่า ‘Oh! My god’ กันเป็นแถว ๆ

             ฉันก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องรถเท่าไหร่หรอกนะ แต่เดาว่ารถของภูเบศน่าจะแพงระยับมากแน่

             “เออ กูต้องรีบขึ้นห้อง นุ่มนิ่มเจ็บขา ให้คนขาหักยืนนาน ๆ ไม่ได้”

             ฉันถูกลากเข้าไปในบทสนทนาของพวกเขาด้วย ฉันก็ยิ่งเงียบกริบ ฝืนความรู้สึกเอาไว้พยายามยืนให้ตรงแต่พอยืนเข้านาน ๆ ก็ทนไม่ไหวขยับเซจนล้ม

             “นิ่ม!” ภูเบศรีบเข้ามาประคองฉันเอาไว้แล้วถามเสียงตกใจ

             “เป็นอะไรมากมั้ย กลับไปหาหมอมั้ย!?” เขาดูตกใจมาก และเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันสงสัยมาตลอดว่าตอนนี้เขาใจอ่อนยอมสงสารฉันแล้วเหรอ เพราะปกติฉันถูกแกล้งมาตลอดจนอดสงสัยไม่ได้

             หรือกลัวว่าจะไม่มีใครทำรายงานให้ ก็ไม่ได้อยากคิดเล็กคิดน้อยหรอกนะ แต่มันก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้จริง ๆ แต่ฉันก็ต้องรีบตอบคำถามของเขา ก่อนจะถูกพาไปโรงพยาบาลอีกครั้ง

             “ไม่เป็นไร ขอนั่งพักก่อนได้มั้ย ฉันเหมือนจะยืนไม่ไหว” ฉันบอกเขา แต่กลายเป็นว่าภูเบศกลับช้อนตัวอุ้มฉันแทน

             “ภูเบศ!” ฉันตกใจแล้วเผลอกอดรัดต้นคอของเขาเอาไว้ไม่รู้ตัวเพราะกลัวว่าจะตก

             เราสองคนสบตากัน และฉันก็เริ่มไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกกับภูเบศยังไงกันแน่ รู้แค่ว่าสองวันนี้เขาก็ดูแลฉันมาตลอดจนอดรู้สึกแปลก ๆ กับตัวเองไม่ได้

             “เจ็บมากมั้ย ทำไมไม่บอกว่าเจ็บขายืนไม่ไหว ล้มไปถ้าเป็นอะไรมากจะว่ายังไง!” ภูเบศไม่ได้ซึ้งไม่ได้อะไรกับฉันเลย เขาเอาแต่ด่าตะคอกแล้วตอนนั้นเอง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาหา

             “ไอ้เบศ!

             ทั้งที่เขาคนนั้นเรียกชื่อภูเบศแต่กลับเป็นฉันที่สะดุ้งเฮือก แล้วไม่รู้ว่าทำไม คนที่อุ้มฉันอยู่ถึงหัวเราะขึ้นมาซะอย่างนั้น เมื่อกี้ยังทำท่าโมโหอยู่เลยแท้ ๆ

             “ไอ้เบศ มึงนี่มัน ไอ้เหี้ยเบศ รถมึง!” เขาคนนั้นตะคอกเสียงดังเมื่อเห็นสภาพรถของภูเบศ

             “เออ ช่วยเอาไปดูให้หน่อย ถ้ามันยังไงก็ขายเลยก็ได้ ค่าซ่อมคงแพงเอาเรื่อง” ภูเบศบอก ริมฝีปากของเขาระหน้าผากของฉันไป กลิ่นบุหรี่ที่ปะปนออกมาพร้อมกับลมหายใจของเขาทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนน่ากลัว

             “นั่นเมียมึงเหรอ” คนพูดน่าจะเป็นพี่ภูริช และสมแล้วที่พวกเขาเป็นพี่น้องกัน พูดอะไรแต่ละอย่างนั้น

           “เออ นิ่ม เอ่อ ป่านเจ็บขาอยู่ เพิ่งออกจากโรงบาลมา ขาหักน่ะ ขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะ”

             พอภูเบศพูดชื่อของฉันออกมาฉันก็เลยจำต้องหันไปมองพี่ชายของเขา พร้อมกับยกมือไหว้ทั้งที่ยังถูกภูเบศอุ้มตัวเอาไว้อยู่อย่างนี้แหละ

             “ป่าน อ้อ ได้ ๆ แกก็พาน้องเค้าขึ้นไปนอนพักก่อนก็แล้วกัน ว่าแต่รถของแกเนี่ย” สีหน้าของพี่ภูริชดูลำบากใจมาก แต่ภูเบศดูเหมือนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

             “ช่างมันเถอะ ถ้าค่าซ่อมไม่คุ้มเสียก็ขายเลยก็ได้ ช่วยจัดการให้หน่อย เออ แล้วขอรถคันนึงด้วยนะ ต้องพาป่านไปโรงพยาบาลตามที่หมอนัดด้วย”

             “เออ สั่งยังกับว่าเป็นพ่อเลยว่ะ” พี่ภูริชส่ายหน้า แต่พอหันมามองหน้าฉันเขาก็ยิ้มให้ ฉันก็เลยยิ้มตอบอย่างกระอักกระอ่วน นี่น้องชายของเขากำลังอุ้มฉันอยู่แบบนี้ ฉันก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไงแล้วจริง ๆ

             “เอารถเข็นจากหลังรถออกมาให้หน่อยริช เดี๋ยวจะพาป่านไปนอนพัก”

             “ครับ ๆ น้องชายที่รัก” พี่ภูริชส่ายหน้าแล้วก็เปิดกระโปรงหลังรถแล้วเอารถเข็นคันเล็กที่พับได้ออกมากางให้

             แต่ดูจากลักษณะแล้วฉันคิดว่ามันเป็นแบบใหม่ที่ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่นัก และคงแพงมากด้วย ภูเบศอุ้มฉันไปวางลงกับรถเข็นอย่างระมัดระวัง ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนไม่พอใจเอามาก ๆ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าจะสบตากับใคร

             “แล้วใครทำรถเละขนาดนี้ ขับไปชนที่ไหนมาวะเนี่ย”

             “ไม่มีอะไร คิดซะว่ามันเป็นค่าทำขวัญน่ะ”

             “ทำขวัญอะไรวะ”

             “อ้อ ก็แค่ทวงของคืนจากไอ้เจย์น่ะ ก็มันเป็นของของฉันตั้งแต่แรกแล้ว แต่ลองแหย่ไอ้เจย์ดูเฉย ๆ มันดันจะฮุบเป็นของมันซะงั้นเลยไปเอาคืนมา แล้วไอ้เจย์มันเลยโกรธแล้วก็เป็นแบบนี้แหละ” ภูเบศไหวไหล่ทำท่าทางน่าหมั่นไส้

             ไอ้ที่เขาว่ามาน่ะ มันเป็นเรื่องของฉันหมดเลยไม่ใช่เหรอ

             “ไอ้เจย์ทำ โกรธกันท่าไหนวะ รถพังยับเลย”

             “ก็ไม่รู้ดิ เอากุญแจรถฝากไว้ที่ฟรอนต์ให้ด้วยนะ พรุ่งนี้ต้องเขามหาลัย ไม่มีรถใช้”

             “เออ รู้แล้ว รีบพาน้องเค้าไปพักเถอะ หน้าซีดหมดละ ตรงนี้เป็นลานรอดรถมันร้อน”

             “อืม แล้วเจอกัน”

             ฉันยกมือไหว้พี่ภูริชอีกครั้งแล้วก็ต้องกอดกระเป๋าเดินทางไม่ว่าจะของตัวเองหรือของภูเบศไว้ที่ตักแล้วถูกเข็นออกมา แต่เหมือนว่าภูเบศจะนึกอะไรออกเขาเลยหยุดเดินแล้วเปิดกระเป๋าของฉันเอาดัมเบลออกมา แล้วเอาไปให้พี่ชายของเขา

             เสียงพี่ภูริชบ่นพึมพำบางอย่างตามหลังมา แล้วมุมปากของฉันมันก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

           “ปวดขามากมั้ย” เขาถามดูเป็นห่วงมาก จนไม่เหมือนผู้ชายคนเดิมที่เคยรู้จักเลย แต่แบบนี้มันหลอนกว่าเดิมอีก

             “ก็ไม่มาก ดีขึ้นแล้ว เอ่อ ฉันกลับไปห้องฉันดีกว่ามั้ย ฉันอยู่คนเดียวได้ ไม่เป็นไรหรอก”

             การที่ฉันขาหักแบบนี้มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยด้วย แค่มีน้ำใจช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องโรงพยาบาลและค่ารักษาพยาบาลก็มากพอแล้ว แต่ฉันก็ตั้งใจว่าจะหาเงินมาคืนเขาให้ได้ ติดใจอยู่นิดหน่อยก็ตรงที่เขาพาไปโรงพยาบาลเอกชนนี่แหละ ไหนจะค่าเฝือกที่ถอดได้กับรถเข็นอีก คิดแล้วก็หน้ามืดอยากจะเป็นลม ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้เลย นอกจากจะเจ็บตัวแล้วก็ยังเสียเงินเป็นครึ่งแสนอีกต่างหาก

             “เหรอ ขนาดยืนยังยืนไม่อยู่เลย มาอยู่ด้วยกันนี่แหละ ดีแล้ว

             ภูเบศทำเสียงเจ้าเล่ห์น่ากลัวจนฉันสงสัยว่ามันดีตรงไหนกันแต่ที่ทำได้คือกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอแล้วก็เงียบกริบไม่พูดอะไรอีกเลย

     

             ห้องพักของภูเบศอยู่เกือบชั้นบนสุดของโครงการคอนโดหรูแห่งนี้ รู้มาว่าครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของโครงการคอนโดหรูหราหลายที่ ที่นี่ก็น่าจะเป็นหนึ่งในคอนโดของครอบครัวทลิทโทฤกษ์ ห้องของภูเบศมีสองชั้นและกว้างขวางจนต้องอ้าปากค้าง

             แบบว่าห้องพักทั้งห้องของฉันน่ะกว้างได้แค่ห้องน้ำในห้องชุดของภูเบศเท่านั้นล่ะ คิดดูเอาเถอะ

             “ชั้นล่างจะเป็นห้องออกกำลังกาย สตูดิโอภาพถ่ายของฉัน แล้วก็เป็นห้องดูหนังฟังเพลง แต่ทางลงเป็นบันได เอาไว้ขาหายดีก่อนแล้วจะพาลงไปดู นะ ข้างบนก็มีห้องนอนสองห้อง ห้องใหญ่ของฉันมีห้องแต่งตัวด้วยเลยกว้าง แล้วก็มีห้องนอนแขกอีกห้อง ด้านหลังเป็นห้องครัว อยากกินอะไรก็ดูได้เลย จะมีแม่บ้านมาดูเรื่องเครื่องดื่มของกินให้วันเว้นวันน่ะ อ่อ แม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดห้องวันเว้นวันตอนราว ๆ หกโมง ผู้จัดการจะเข้ามาดูด้วย ไม่ต้องตกใจล่ะ” ภูเบศอธิบายหลายอย่างจนฉันฟังทันบ้างไม่ทันบ้าง

             จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาจะใจดีอธิบายให้ฟังทำไม แต่เมื่อคิดว่าต้องอยู่กับเขาที่นี่ต่ออีกสักระยะก็เลยพยายามทำความเข้าใจ และจะไม่เพ่นพ่านให้เขาขวางหูขวางตา

             “แล้วฉันนอนไหนเหรอ” ฉันถามแล้วก็กลั้นหายใจเมื่อภูเบศเปิดประตูห้องหนึ่งแล้วเข็นฉันเข้าไปด้านใน

             “ห้องนี้แหละ อาบน้ำคนเดียวได้มั้ย”

             “ได้ ได้สิ!” ฉันพยักหน้าหงึกหงักจนหัวแทบหลุดออกจากคอ จนภูเบศหัวเราะ

             “ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวหกล้มหัวร้างข้างแตกขึ้นมาจะยุ่งเอา ให้ฉันอาบให้ดีกว่า”

             “ภูเบศ!” ฉันไม่ได้แกล้งตกใจ แต่รู้สึกตกใจมากจริง ๆ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเข็นเข้าไปในห้องน้ำที่แสนกว้างขวางหรูหราแล้ว ขนาดว่าห้องน้ำของเขาก็ยังโอ่โถงเหมือนห้องน้ำในโรงแรมหรู ๆ อย่างไรอย่างนั้น

             “จะอายทำไมกันล่ะ ครั้งก่อนก็อาบด้วยกันมาแล้วนี่นา” เขายิ้มย่องจัดการอุ้มตัวฉันขึ้นไปบนอ่างอาบน้ำจนสะโพกของฉันหลุบลงในอ่างแล้วขยับตัวไปไหนไม่ได้ด้วย เปิดโอกาสให้คนใจร้ายบังคับถอดเสื้อผ้าออกจากตัวทันที

             ฉันเกลียดตัวเองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ปล่อยให้เขากลั่นแกล้งได้ตามใจชอบทั้งที่เป็นร่างกายของตัวเองแท้ ๆ

             “ป่ะ อาบน้ำ

           หลังจากลอกคราบของฉันจนไม่เหลือเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้นแล้วภูเบษก็อุ้มไปที่อ่างอาบน้ำต่อ

             คงไม่ต้องถามหรอกนะว่าฉันอายมากแค่ไหน ต้องมาเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น แถมคนคนนั้นยังเป็นผู้ชายที่ใจร้ายและร้ายกาจกับฉันมาตลอดอย่างภูเบศด้วย

             แบบว่าเข้าใจเลยว่าจะตายเพราะอายมันเป็นยังไง ตัวฉันร้อนมากชนิดว่าน้ำเย็น ๆ ในอ่างอาบน้ำก็ยังเอาไม่อยู่ ขาทั้งสองข้างของฉันพาดอยู่ที่ขอบอ่างและมีมือหนาคอยวักน้ำอุ่น ๆ ให้รดตามตัว แบบว่าฉันจะตายให้ได้จริง ๆ ไม่ได้ล้อเล่นเลย

             “ภูเบศ!

             คนนิสัยไม่ดีก็เป็นคนนิสัยไม่ดีอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ หลังจากที่ล้างฟองสบู่ออกจากตัวเรียบร้อยแล้ว ฉันก็คิดว่าจะหลุดพ้นจากความร้ายกาจของเขา แค่ที่ไหนได้ เขากลับจับแขนของฉันแล้วจับให้แยกออกห่างจากกัน ก่อนที่เขาจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ

             ฉันหลับตาลงเมื่อเขาโน้มหน้ามาจนชิดแล้วทำจมูกฟุดฟิดใกล้ ๆ กับซอกคอของฉัน

             “หอมจัง เขากระซิบบอกใกล้ ๆ ชนิดที่ว่าสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขาที่เป่ารดข้างแก้มและซอกคออย่างชัดเจน

             ฮือฉันอยากตาย

             แล้วชุดที่คนเจ็บขาหักอย่างฉันต้องใส่ก็คือเสื้อยืดของเขา มันใหญ่จนน่าตกใจเลยล่ะ ภูเบศบอกว่าชุดอื่น ๆ ในกระเป๋ามันหมักหมมอยากให้เอาไปซักก่อนแล้วค่อยเอามาใส่ ฉันก็เลยต้องใส่ชุดนี้ไปก่อน และก่อนที่เขาจะออกไปข้างนอกฉันก็ถูกจับนั่งที่โต๊ะอาหาร ถูกบังคับให้กินข้าวกินยาเหมือนทุกครั้ง

             แต่ครั้งนี้มันต่างกันตรงที่เวลาที่ภูเบศกินข้าวของเขาบ้าง สายตาของฉันกลับจับจ้องที่เรียวปากสีแดงสดของเขาตลอดเวลา ก่อนหน้านี้ เราจูบกัน เราจูบกันจริง ๆ ใช่ไหม แล้วนอกจากนั้นเจย์ก็เห็นด้วย

             คิดถึงเจย์ฉันก็รู้สึกแย่กับตัวเอง ถ้าหากรู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ไม่มีทางที่ฉันจะบากหน้าไปบอกกับเจย์ว่าฉันชอบเขาอย่างเด็ดขาด

             “เฮ้” เสียงของภูเบศฉุดให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ เลยเงยหน้ามองหน้าเขา

             ตอนนั้นเองฉันก็ตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหินเมื่อเขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ แล้วจูบที่ริมฝีปากของฉันเบา ๆ ทีหนึ่ง

             “ข้าวติดปากน่ะ

     

             บอกตามตรงว่าตอนที่ภูเบศอยู่ด้วยฉันไม่ค่อยรู้สึกเจ็บหรือปวดขาเท่าไหร่ เพราะหัวใจมันเต้นแรงจนชาไปทั้งตัว พอเขาออกไปทำธุระข้างนอกนั่นแหละถึงได้รู้สึกปวด ๆ จนต้องกินยาแล้วนอนพัก อย่าถามนะว่านอนห้องไหน ก็นั่นแหละ ห้องนอนของภูเบศ หมอนใบเดียวที่เขาหนุนเลยด้วยซ้ำ

             ฉันไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงคนพูดโวยวายข้างเตียงให้ได้ยิน ฉันยกมือขยี้ตาตัวเองอย่างสงสัย แล้วก็กลั้นหายใจเมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งดูสวยน่ารักอยู่ในชุดยูนิฟอร์มแม่บ้านอยู่ข้างเตียง เธอมีกลิ่นเหล้าโชยออกมาจนฉันต้องนิ่วหน้า

             “แกเป็นใคร มานอนห้องนี้ทำไม” เสียงของเธอฟังดูอู้อี้แทบฟังไม่รู้เรื่อง จนฉันสงสัยและไม่สบายใจเพราะคนเมามายแบบนี้ไม่น่าจะมาทำงานเลยนะ พอมองดูเวลาที่นาฬิกาปลุกก็พบว่าเกือบจะสามทุ่มแล้ว

             “ปกติไม่เคยมีใครมานอนในห้องนี้ได้ เขาไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนเข้าห้องด้วยซ้ำ แล้ว แก แกเป็นใคร” เธอชี้หน้าว่าฉันดูเมาจนประคองสติตัวเองไม่ได้

             ฉันพยายามมองหาผู้จัดการที่ภูเบศเคยบอกว่าจะมาพร้อมกับแม่บ้านที่จะมาดูแลห้องชุดของเขาแต่ก็ไม่เห็น อีกอย่างเธอดูหน้าตาสะสวยถึงจะเมามายไม่ได้สติแต่ก็เห็นว่าสวยมาก มือไม้ก็ดูบอบบางไม่มีรอยเหี่ยวย่น ที่สำคัญเธอยังแต่งเล็บจนสวยมาก แบบนี้ไม่น่าจะเป็นแม่บ้านจริง ๆ แน่

             “กว่าฉันจะแอบเข้ามาได้เนี่ย ต้องเสียเงินไปเยอะเลยนะ แล้วแก แกเป็นคราย!

             สิ่งที่ฉันคิดมันเป็นความจริงเมื่อเธอพูดออกมาเองว่าแอบเข้ามา ฉันเลยใจหายวาบไม่รู้จะพูดหรืออธิบายยังไงดี เพราะท่าทางของเธอน่ากลัวมากจริง ๆ

             “แกก็แอบเข้ามาเหมือนกันสินะ ลงมาเลย ลงมา ฉันไม่ยอมให้แกได้เบศไปหรอก”

             เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เธอคนนั้นก็ตรงเข้ามาจับคอเสื้อแล้วเหวี่ยงตกเตียงจนเจ็บจุก

             “ฉันจะตบหน้าแกให้แกจำทางกลับบ้านไม่ได้เลย!

     



    [1] อะดรีนาลีน หรือ อีพีเนฟรีน (Adrenaline or Epinephrine) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากอะดรีนัลเมดัลลาของต่อมหมวกไต  จะถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาเมื่อร่างกายเกิดอารมณ์เครียด เช่น โกรธ  ดีใจ  ตื่นเต้น เป็นต้น มีผลต่อการตื่นตัวของอารมณ์ กระฉับกระเฉง มีสมาธิมากขึ้น ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ รอบตัว เป็นการปลุกฤทธิ์ระบบซิมพาเทติกซึ่งสัมพันธ์กับพลังงานและการเร้าการสนองสู้หรือหนี

    [2] เพลง เคลิ้ม ศิลปิน Slot Machine

     

     


    PuubatesEyes แกล้งร้ายละลายรัก (ภูเบศ ป่านทอ)

    ตอนนี้เปิดให้พรีออเดอร์แล้วค่ะ ตั้งแต่วันนี้ถึง 20 มีนาคม จัดส่งวันที่ 5 เมษายน นี้ค่ะ

    หนังสือ 1 เล่ม + ขวดสเปรย์แอลกอฮอล์แบบพกพา 1 ชิ้น + ที่คั่น 2 ชิ้น

    ****

    ขั้นตอนการจองหนังสือ

    โอนเงิน

    300 บาท (สำหรับจัดส่งลงทะเบียน) หรือ

    350 บาท (สำหรับจัดส่งแบบ EMS)

    มาที่บัญชี 037-3-75509-5

    น.ส.นพรัตน์ ภูมิใจรักษ์ ธ.กสิกรไทย

    แล้วแจ้งโอน (แนบสลิปโอนเงิน)

    แจ้งชื่อ-ที่อยู่ เบอร์โทร ที่นี่เลยค่ะ

    คลิกตรงนี้ได้เลย  m.me/meejairakpublishing

    หรือถ้าลิงก์ไม่ขึ้น ค้นหา แฟนเพจ สำนักพิมพ์ Meejairak เลยค่ะ

    ฝากพี่เบศตัวร้ายกับน้องนิ่มน่าแกล้งไว้ด้วยนะคะ imageimage


    http://i.imgur.com/LfdrDWP.jpg
    http://i.imgur.com/mqFw2gG.jpg


    Song :: เคลิ้ม - Slot Machine (Cover) | Midnight Band Feat. The 38 Years Ago


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×