ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #61 : Puubate's Eyes ♛ Eps.04 [Completed...120%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 30.24K
      65
      1 เม.ย. 64

    http://i.imgur.com/gbpZ3ER.jpg

    Puubate’s Eyes 04

    My Heart Crying Out for You

     

    Puubate’s talking…

           ผมมองสภาพของนุ่มนิ่มด้วยความไม่สบายใจ หลังจากที่ผู้จัดการหลังจากที่ได้โทรมาบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเธอ

             ตอนนี้เธองอนมากไม่หันมามองหน้าผมเลยแม้แต่น้อย นอนตะแคงตัวหันหน้าหนีไม่ยอมมองหน้าด้วย ซึ่งกลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นก็คือมีคนแอบปลอมตัวเป็นแม่บ้านแล้วเข้าห้องผมไปเจอกับนุ่มนิ่ม แล้วก็มีเรื่องตบตีทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่นุ่มนิ่มไม่ได้เป็นคนทะเลาะหรือหาเรื่องก่อนนะ เธอถูกรังแกต่างหาก

             ตอนนี้กลับมาจากโรงพยาบาลแล้วและนอนพักอยู่ โชคดีที่ขาไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่อย่างนั้นคงต้องได้เข้าเฝือกรักษาตัวอีกนานแน่ เพราะผู้จัดการเข้ามาเจอซะก่อนแล้วรีบพาไปโรงพยาบาลไม่ไว้ใจถึงแม้ว่านุ่มนิ่มจะบอกว่าไม่เป็นอะไรก็ตาม

             “กินอะไรรึยัง” ผมเดินเข้าไปหานุ่มนิ่มเห็นว่าหางตาของเธอมีน้ำตาใส ๆ ไหลออกมาก็พาให้ใจคอไม่ดี

             “นุ่มนิ่ม กินข้าวยัง อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย?” ไม่รู้ว่าทำไมผมไม่กล้าถามเรื่องก่อนหน้านี้ กลัวว่าเธอจะงอนหนักกว่าเดิม แค่นี้เธอก็ไม่ยอมหันมามองหน้าด้วยแล้ว

             “นิ่ม” สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวต้องนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วจับแขนเธอ แต่ก็นั่นแหละ น้องนิ่มสะบัดแขนออก ท่าทางหงุดหงิดอารมณ์เสียมาก ซึ่งปกติแล้วเธอไม่กล้าหือไม่กล้าอืออะไรหรอก

             “เฮ้ย ถามดี ๆ ด้วยไม่ตอบ ชอบให้หาเรื่องเหรอ” ผมบีบแก้มเธอเบา ๆ ให้หันมาสบตากันในที่สุด

             “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วอะ ฉันอยากกลับห้องของฉัน”

             “อ้าว อยากมีเรื่องกันเหรอเนี่ย” คำพูดแรกที่ได้ยินเป็นคำนี้ซะได้ แล้วจะไม่ให้อารมณ์เสียด้วยอีกคนได้ยังไงกัน

             “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่นี่นา แล้วถ้าฉันถูกทำร้ายขึ้นมาล่ะ” เธอทำหน้าไม่สบายใจ แล้วก็งอน ๆ เหมือนจะร้องไห้อีก

             อะไรกันวะ รู้สึกไม่ยุติธรรมเลยอะ เห็นเธอเศร้าแบบนี้แล้วทำไมผมถึงได้กังวลตามไปด้วยก็ไม่รู้

             “ไม่มีแล้วล่ะ คราวนี้ก่อนแม่บ้านจะขึ้นมาทำความสะอาด ผู้จัดการจะขึ้นมาด้วยทุกครั้ง”

             “นายเคยบอกแบบนี้แล้วยังไงล่ะ ฉันเจ็บอะ ฉันเองก็ไม่อยากอยู่รบกวนนายด้วย ขอกลับไปอยู่ที่ห้องนะ”

             “อยากถูกล่ามโซ่เหมือนหมามั้ย เอามั้ยล่ะ

             “ภูเบศ!” ใบหน้าขาว ๆ ของนุ่มนิ่มแดงจัด ดวงตาแข็งกร้าวไม่เป็นมิตร แต่นาทีต่อมาก็จะร้องไห้

             อีกแล้ว ทำไมผมถึงได้รู้สึกผิดไม่สบายใจที่เห็นเธอร้องไห้แบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ผมล่ะเกลียดตัวเองมากจริง ๆ เลย ให้ตายเถอะ

             “ก็อย่าทำฉันโมโหแบบนี้วะ ฉันหงุดหงิดนี่ เธอต้องอยู่ที่นี่ห้ามไปไหนทั้งนั้น บอกแล้วไงว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว สัญญาแล้วไงว่าจะไม่มีอีก เธอต้องเชื่อใจกันสิวะ แล้วถ้าไปอยู่คนเดียวแล้วจะเป็นยังไง จะกินจะอยู่ยังไง ไหนจะเข้าห้องน้ำอีก” ผมเกาหัวแล้วดึงท่อนแขนของเธอแล้วรั้งให้เธอนอนหงาย ผมเลยขยับตัวเข้าไปใกล้ แล้วโน้มหน้าลงไปจนชิด

             ทีนี้ล่ะ นุ่มนิ่มไม่ดื้ออีกแล้ว ทำหน้าตกใจตื่น ๆ น่ารักซะจนอดขำไม่ได้

             “ห้ามไปไหนทั้งนั้น ถ้าดื้อจะเจอดี รายงานก็ยังไม่เสร็จเลยนี่”

             เห็นหน้าเธอซีดลงแล้วก็แดงขึ้นทันตาเห็น ผมก็ขำเลยทีนี้ บรรยากาศก็เริ่มดีขึ้นจนผมสบายใจ

             “ฉันทำเสร็จแล้ว อยู่ในคอม ทั้งของฉันทั้งของนาย นายเอาไปเข้าเล่มให้หน่อยสิ”

             “ได้อยู่แล้ว” ผมยิ้ม รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ในที่สุดเราก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิมแล้ว

             แต่บ้าว่ะ ทำไมเรื่องแค่นี้ผมต้องดีใจด้วยวะ แค่เธอคุยด้วยดี ๆ ไม่งอนแบบนี้ ผมท่าทางจะผิดปกติแล้วว่ะ ให้ตายเถอะ สมองของผมมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

             “กินข้าวยัง” ตอนนี้ดีกันแล้ว ผมก็รั้งแขนให้เธอลุกขึ้นจากที่นอน ผมยาวที่รุ่ยร่ายของเธอทำให้ผมใจสั่น บ้าว่ะ กับยัยนุ่มนิ่มที่ผมเคยเหม็นหน้าแล้วอยากแกล้งมาตลอดเนี่ยนะ ผมมาใจสั่นเพราะยัยนี่เนี่ยนะ แถมพอเธอขยับตัวเส้นผมนุ่ม ๆ ที่สยายเป็นลอนก็มีกลิ่นหอมกลิ่นเดียวกับที่ผมใช้มันแบบ โอ๊ย ไม่รู้ว่ะ ไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไม

             “ยังไม่ได้กิน ฉันอยากกลับบ้าน”

             “วะ” ยัยนี่ท่าทางจะมีเรื่องกันให้ได้ ผมเลยคว้าคอเธอเข้ามาหาแล้วปิดปากจนเธอพูดไม่ออกอีกครั้ง

             พอถอนจูบออกนั่นแหละ นุ่มนิ่มก็เลยเงียบกริบไม่กล้าพูดอะไรที่ไม่เข้าหูผมอีกเลย

     

             นุ่มนิ่มยังอาบน้ำเองไม่ได้(ในความรู้สึกของผม?) เพราะงั้นหลังจากที่กินข้าวด้วยกันเสร็จแล้ว ผมก็พาเธอไปอาบน้ำช่วยแต่งตัวให้ สาบานได้ว่าไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ นะ จิตใจของผมบริสุทธิ์ผ่องใสตั้งใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เท่านั้นจริง ๆ และตอนนี้เพื่อนมนุษย์คนนั้นก็กำลังนั่งบนตักผมเนี่ยแหละ หลังจากที่ดิ้นไม่ยอมกลับเข้าห้องนอนบอกว่าอยากดูหนัง สุดท้ายก็สัปหงกอยู่กับตักของผมไปไหนไม่ได้

             เพราะนุ่มนิ่มถูกเหวี่ยงลงจากเตียงเพราะคนเมาที่ไหนไม่รู้ ตามตัวของเธอก็เลยมีแต่แผลฟกช้ำดำเขียว เห็นแล้วแม่มของขึ้น ท่าทางจะเจ็บระบมน่าดูก็เลยต้องมาทายาให้

             ผู้จัดการบอกว่าเข้าห้องผมแล้วก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เมาแทบไม่รู้เรื่อง กำลังคร่อมนุ่มนิ่มที่อยู่บนพื้นพยายามตบตีเลยเข้ามาแยกตัวออกไปได้ แล้วก็ให้ผู้จัดการก็ลากตัวผู้หญิงคนนั้นไปโรงพักฐานบุกรุกเข้ามา ซึ่งก็แอบอ้างตัวเอาชุดยูนิฟอร์มพนักงานทำความสะอาดของคอนโดมาได้ด้วยยังไงก็ไม่รู้ ผมเลยให้ผู้จัดการตามเรื่องทั้งหมดแทนผม แล้วผมก็รีบมานี่แหละ บังเอิญว่าออกต่างจังหวัดไปกับภูริชเพื่อไปดูโครงการคอนโด กว่าจะกลับมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลากว่าสองชั่วโมง นุ่มนิ่มก็เลยกลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว

             เพราะงี้นี่แหละถึงได้หงุดหงิดใจน่ะ

             เพื่อนมนุษย์ของผมง่วงมากเพราะยาที่กินเข้าไปแต่ก็พยายามขืนตัวบอกว่าไม่อยากเข้านอน แต่หนังยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยเธอก็หลับไปซะแล้ว เพื่อนมนุษย์ของผมน่ารักมากไหมล่ะ

             “ไปนอนนะนิ่ม” ผมยกรีโมตปิดโทรทัศน์แล้วก็ค่อย ๆ ช้อนตัวนุ่มนิ่มกลับไปนอนในห้อง

             เห็นขาที่เข้าเฝือกอยู่ของนุ่มนิ่มแล้วผมก็ไม่สบายใจหงุดหงิดใจทุกครั้ง ทำไมยัยนี่ถึงได้โง่นักวะ เดินยังไงให้ขาไปติดซอกหินจนขาหักได้อย่างนี้ แล้ววันข้างหน้าล่ะ มันก็จะไม่แข็งแรงเหมือนเดิมอีก เฮ้อ ผู้หญิงคนนี้นี่ทำให้ผมเป็นกังวลใจได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้

             แต่พอเห็นเธอใส่เสื้อยืดของผมแล้วนอนบนเตียงแบบนี้มันก็นะ เพื่อนมนุษย์คนนี้แม่มน่ารักว่ะ

           เกิดมาก็ไม่เคยนอนกับใครแบบค้างคืนมาก่อนยกเว้นเพื่อนสนิทแล้วก็พี่ชาย ผมเลยไม่เข้าใจความรู้สึกพวกนั้นมาจนถึงตอนนี้

           คราวก่อนเราไปเที่ยวกันในครอบครัว พวกพี่ชายก็พาพี่สะใภ้ไปด้วย แล้วมีเรื่องอะไรสักอย่างนี่แหละ ห้องเลยไม่พอ ผมกับพี่ชายและพี่สะใภ้อีกสองคนก็เลยต้องนอนรวมกัน

             ผมแปลกใจมากว่าทำไมพี่ชายถึงได้ยอมสละแขนตัวเองให้พี่สะใภ้หนุน ไม่ปวดไม่เมื่อยหรือเป็นเหน็บชาบ้างรึไงก็ไม่รู้ ผมคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แอบมองพี่ชายสองคนที่นอนกอดพี่สะใภ้กันคนละมุมห้องเหมือนกลัวผมไปแย่งมาอย่างนั้นแหละ

             มาตอนนี้พอมีของตัวเองเลยพอเข้าใจ แต่เดี๋ยวนะ แม่นุ่มนิ่มคนนี้เป็นแฟนผมแล้วเหรอวะ

             เออ เอาเถอะ อย่าไปสนใจอะไรเลย

    End Puubate talk…

     

           ฉันแปลกใจว่าทำไมภูเบศทำไมถึงไม่ยอมถามถึงผู้หญิงคนนั้นเลย แต่เขาก็ดีกับฉันมากจนฉันไม่กล้าหาเรื่องทะเลาะด้วย เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ทำไมฉันต้องไปหาเรื่องเขาด้วยล่ะ ในเมื่อเราไม่ได้เอ่อ ไม่เอา ไม่พูดเรื่องนี้แล้วดีกว่า

             ตอนนี้ฉันไม่สนใจแล้วด้วยว่าภูเบศจะเห็นอะไร จะทำอะไรกับร่างกายของฉัน ก็ขาขยับไม่ไหวแบบนี้จะไปสู้อะไรเขาได้ล่ะ หลัง ๆ เลยปล่อยเลยตามเลย และตอนนี้เขาก็อัปสกิลใหม่แล้วด้วย มีการถักเปียให้ด้วย เชื่อไหม เชื่อเถอะ

           “เออ เอารายงานไปส่งให้แล้วนะ อาจารย์ก็ถามว่านิ่มเป็นอะไรมากรึเปล่า” ภูเบศบอกหลังจากมัดผมให้ฉันเรียบร้อยแล้ว

             “อ้อ เหรอ”

             “ฉันเลยบอกไปว่าทุกอย่างโอเคละ แล้วขาเธอยังเจ็บอยู่มั้ย?” เขาถามเสียงเบา และฉันก็เลิกแปลกใจแล้ว่าเขาพูดดีด้วยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มันก็แบบว่าไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ว่าเขาคนนี้จะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้

             “ก็ยังเจ็บอยู่นะ แต่ถ้าไม่ไปขยับอะไรมากก็ไม่เป็นไรน่ะ”

             “งั้นก็ดีแล้ว เออ อยากให้เพื่อนคนไหนมาอยู่เป็นเพื่อนมั้ย ฉันจะไปไซต์งานกับริชมันวันพรุ่งนี้น่ะ อาจจะไปสักสามวัน อยากกินอะไรก็บอกกับผู้จัดการได้เขาจะจัดการให้”

             “เอ่อ

             ฉันอยากไปอยู่คนเดียวไม่อยากให้เขามาวุ่นวายด้วยก็จริง แต่พอได้ยินแบบนี้เข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจยังไงชอบกล ไม่อยากให้เขาไปไหนเลย

             “เออ ลืมไปว่าน้องนิ่มไม่มีเพื่อน” เขาหัวเราะ ฉันก็เลยแอบถอนหายใจ

             ใจหนึ่งก็อยากถามว่าเราเป็นอะไรกัน แต่ก็กลัวคำตอบ แค่ตอนนี้ได้อยู่ด้วยกันมันก็ อีกอย่าง เวลาพูดถึงเรื่องนี้ บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน อยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ถูกเขาจับกดตลอดเลย

             เขาไม่ได้กดลงกับเตียงเปล่าน่ะสิ ต้นคอของฉันไม่เหลือเลย คิดแล้วอับอายที่เหมือนเป็นหมอนข้างของเขา แต่เวลาอยู่ด้วยกันเขาก็ดูแลดี ช่วยทุกอย่าง ขนาดว่าจะเดินเข้าห้องน้ำก็ยังตามไปช่วยประคอง แบบว่าถ้าฉันไม่ห้ามเอาไว้ว่าไม่ให้อุ้ม เท้าฉันคงไม่ได้แตะพื้น ต้องบอกว่าอยากจะลองหัดเดินเอง อยากจะลองเดินด้วยตัวเองกลัวว่าจะกลับมาเดินไม่ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ ภูเบศถึงได้ยอมให้เดินให้ขยับตัวเองบ้าง

             “อยู่คนเดียวได้แน่นะ”

             “ได้สิ” ฉันบอกเขาอย่างแข็งขัน

             ผู้จัดการกับแม่บ้านแวะเข้ามาวันเว้นวัน ของว่างของหวานเครื่องดื่มอาหารต่าง ๆ แทบจะล้นออกมาจากห้องครัว เหมือนว่าที่นี่เป็นบ้านขนมหวาน[1]เลย แล้วภูเบศเป็นพ่อมดที่หลอกล่อให้ฉันเข้ามาติดกับ

             “งั้นก็ดีเลย อยู่ที่นี่ไปก่อน จะลองออกกำลังกายก็ได้ เดี๋ยวจะเอาดัมเบลมาให้” เขาหัวเราะร่วนเลยเมื่อพูดถึงดัมเบล ใช่สิ ตอนนี้ฉันโง่นี่ที่ตามเขาไม่ทัน เลยถูกแกล้งจนต้องแอบไปกินข้าวไปร้องไห้ในห้องน้ำน่ะ

           “เออ แล้ววันนั้นเข้าไปในห้องน้ำกับเจย์เหรอ เข้าไปทำอะไร

             อึกนี่เราคิดเรื่องเดียวกันอยู่เหรอ ฉันกลอกตาไปมามองเขาอย่างไม่ไว้ใจ เห็นสายตาของเขาดูนิ่งไปไม่ยิ้มไม่หัวเราะอีกแล้ว นี่มันบรรยากาศอะไรกัน มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าผู้หญิงจะงี่เง่าชอบขุดเรื่องเก่า ๆ มาพูดแล้วทำให้ทะเลาะกัน

             ใครว่าผู้หญิงทำเป็นอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ ผู้ชายก็ทำอยู่อย่างตอนนี้ไง ภูเบศใช้สายตาคาดคั้นจนขนลุก

             “เฮ้ย บอกมาสิ ไม่งั้นก็ไม่ต้องนอนมันหรอกคืนนี้

           “ก็กลัวนาย เลยแอบไปห้องน้ำ แล้วแล้วเจย์ก็เข้าไปปลอบแล้วพาออกมา” ฉันบอกเสียงตะกุกตะกัก แล้วก็ใช่เลย เขางอน

           ฉันเลยถูกทิ้งให้นั่งเอ๋ออยู่ที่ห้องรับแขกตรงโซฟาดูทีวีนั่นแหละ ส่วนภูเบศสะบัดหน้ามองแรงหายไปในห้องนอนไม่สนใจไยดีฉันเลย เดี๋ยวสิ นี่ฉันทำอะไรผิดอย่างนั้นเหรอ

           เพราะกลัวว่าเขาจะหงุดหงิดมากกว่าเดิม เพราะงั้นฉันเลยไม่ได้ตามไปในห้องนอน ล้มตัวลงนอนบนโซฟานั่นแหละ อาศัยผ้าห่มกับหมอนตรงนี้ห่มเอาไม่อยากไปเซ้าซี้ให้เขาหงุดหงิดอีก แต่พอเคลิ้มหลับภูเบศก็เดินออกมาตาม ฉันเลยอดขำไม่ได้ ต้องกลั้นเอาไว้ไม่อย่างนั้นคงได้มีเรื่องทะเลาะกันอีก

           “ตรงนี้มันนอนไม่สบาย ทำไมไม่ไปนอนในห้องวะ ก็รู้ว่าฉันถ้าไม่ได้กอดเธอนอนฉันจะนอนไม่หลับ” ภูเบศโวยอย่างหัวเสีย ส่วนฉันก็ใจเต้นแรงจนน่ากลัวก่อนจะถูกลากกลับเข้าห้องไปนอนด้วยกันเหมือนที่ได้นอนด้วยกันเป็นประจำทุกคืน

             ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเสพติดร่างกายของเขาด้วย เอ่อ มันเหมือนจะอีโรติกนะ แต่ความจริง ถ้าเขาไม่ได้นอนกอดฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน พออยู่ด้วยกัน ใจมันก็พะวงกับเรื่องอื่นจนลืมเรื่องเจ็บข้อเท้าไปโดยปริยาย พอภูเบศไม่ได้อยู่ด้วยเท่านั้นแหละ เฮ้อ ต้องกินยาแก้ปวดระงับตลอดเลย แต่ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เขารู้ ไม่งั้นคงถูกรังแกและเขาคงได้ใจหาเรื่องรังแกฉันมากยิ่งกว่าเดิม

     

           ภูเบศออกจากห้องตั้งแต่เช้า ก่อนออกจากห้องเขาก็แกล้งทำฉันตื่นให้งัวเงียหัวเสีย ดูเขามีความสุขมากที่แกล้งทำให้ฉันอารมณ์เสียตั้งแต่ยังไม่ได้ลืมตาตื่นดี

             “เข้าใจที่พูดใช่ไหม ฉันต้องไปไซต์งาน อีกสามวันค่อยเจอกัน” เขาบีบแก้มฉันจนแก้มโย้ ฉันเลยพยักหน้าให้โดยที่เขายังบีบแก้มไว้อย่างนั้นแหละ

             “คิดถึงฉันล่ะสิ” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาน่ะทำให้ช่องท้องปั่นป่วนไปหมด

             บางทีฉันอาจจะป่วยที่ใจเต้นกับผู้ชายคนนี้ที่แกล้งฉันมาตลอด แต่ช่วงหลังก็เป็นเขาคนเดียวที่คอยช่วยดูแล ถึงเขาจะหวังดีแบบประสงค์ร้ายก็เถอะ ถ้าไม่ได้แกล้งลวนลามกันวันหนึ่งคงกินข้าวไม่ลงนอนไม่หลับ

             “ไปนะ” เรียวปากของเขากดลงกับริมฝีปากของฉันหนักหน่วงแล้วถอนออก และจ้องหน้าฉันจริงจัง

             “อยากไปด้วยกันมั้ย?

             “นายไปเถอะ ต้องไปต่างจังหวัดนี่ ฉันไม่ได้ไปไหนหรอกน่า” ฉันบอก เริ่มเขินที่เขาเอาแต่จ้องนิ่ง ๆ ไม่กะพริบตา

             ถูกจ้องแบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องใจสั่นเหมือนกับฉันทุกคนนั่นแหละ ยิ่งเขาหน้าตาหล่อเหลาเหมือนเทพบุตรแบบนี้ด้วยแล้ว แบบว่าร่างกายจะละลายได้เลย

             “แล้วเจอกันนุ่มนิ่ม

             เห็นเขาลากกระเป๋าเดินทางออกจากห้องไปหัวใจมันก็เต้นเหงา ๆ อยู่นิดหน่อย แต่เอาเถอะ ถ้ายังใจเต้นมากกว่านี้ พออยู่คนเดียวแล้ว ห้องชุดที่กว้างขวางก็ยิ่งกว้างเข้าไปใหญ่ ทำเอาใจห่อเหี่ยวไปหมดจนต้องตบแก้มเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา ฉันนั่งอ่านหนังสือคนเดียวเงียบ ๆ แล้วก็ได้ยินเสียงกดออดหน้าห้องเลยขยับตัวไปดู

             หลังจากใช้ไม้เท้ากะเผลกมาถึงหน้าห้องได้ฉันก็เห็นเจย์อยู่หน้าห้องผ่านทางหน้าจอประตูดิจิตอล ทำเอาฉันเงียบไปพักหนึ่งเลยทีเดียว ยอมรับว่าสิ่งที่เขาทำวันนั้นมันทำให้หลอนมาจนถึงตอนนี้

             “ป่านฉันรู้นะว่าเธออยู่ในห้อง ออกมาเจอกันได้มั้ย?” ฉันกดฟังเสียงเลยได้ยินเขาพูดแบบนั้น

             “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ” เจย์บอกฉันก็กระวนกระวาย จะบอกว่าคุยกันทางโทรศัพท์มันก็คงเสียมารยาทมากที่ทำแบบนั้น ฉันตัดสินใจอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ กระวนกระวายซะจนเหงื่อออกไปทั้งตัว

             “เราคุยกันไม่ได้เหรอ ฉันมีเรื่องอยากขอโทษ

             ฉันยืนนิ่งแบบนั้นหลายนาที เจย์เองก็ไม่ยอมขยับตัวไปไหนด้วย สุดท้ายก็เป็นฉันที่อดทนไม่พอตั้งใจจะเปิดประตูออกไปคุยกับเขาข้างนอกเพราะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่

             “เราคุยกันข้างนอกได้มั้ย” ฉันบอกเขา และแน่นอนว่าเขายิ้มและตอบตกลงอย่างง่ายดาย แต่พอเปิดปุ๊บนั่นแหละ ฉันถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองขาหักใส่เฝือกอยู่จะทำอะไรเลยเชื่องช้ากว่าเดิม เจย์เลยเดินแทรกตัวผ่านประตูเข้ามาได้

             “ของสงบศึก” เขาส่งแก้วกาแฟสตาร์บัคมาให้ และเป็นเครื่องดื่มที่ฉันชอบด้วย ตอนที่เขาแกล้งทำเป็นแฟนหลอก ๆ กับฉันเขามักจะซื้อมาให้ตลอด ฉันก็เลยรับมาอย่างเสียไม่ได้ อีกอย่างรอยยิ้มวันนี้ทำให้ดูเป็นเจย์ที่คุ้นเคยมากที่สุดแล้ว แต่ยอมรับว่าฉันกลัวจนไม่กล้าขยับตัว แต่พอเห็นสายตาน่ากลัวที่มองมาเหมือนจะติว่าเสียมารยาทก็เลย

             ฉันดูดคาราเมลที่เขาให้มาเพราะไม่งั้นก็จะมีปัญหาตามมาอีก เดินกะเผลกมาพร้อมกับไม้เท้าตามเจย์ไปที่โซฟาซึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอนั่งลงด้วยฉันก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไป

             “คาราเมลอร่อยมั้ย” เขาถามพลางยิ้ม ฉันเลยพยักหน้าเจื่อน ๆ ให้

             “สงสัยมั้ย ว่าทำไมมันถึงอร่อย ฉันว่าฉันอร่อยกว่านะ” เจย์หัวเราะแต่ฉันหน้าเสีย คิดจะขยับตัวลุกหนีแต่มันไม่ง่ายอย่างใจคิด เขาขยับเข้ามาจับข้อมือฉันไว้แล้วบีบแน่น

             “ถ้าฉันปล้ำเธอบนเตียงไอ้เบศ แล้วอยู่ด้วยกันบนเตียงสักสามวันไม่ออกไปไหน เธอว่าไอ้เบศมันจะเจ็บใจมั้ย?

           “นะ นายคงไม่ทำแบบนั้นหรอก” ฉันบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ใจหายไปหมดแล้วอยากจะหนีไปจากสถานการณ์นี้มากด้วย แต่คนขาเจ็บอย่างฉันก็แทบจะขยับไปไหนไม่รอด ลำพังจะลุกเดินยังปวดแล้วปวดอีก ยังไม่มีวี่แววว่าจะหายเมื่อไหร่

             “เธอคิดว่าฉันล้อเล่นเหรอ” สายตาของเขามองมาอย่างน่ากลัว ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากขอโทษเขา โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองทำผิด หรืออันที่จริงฉันก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว เพียงแต่ไม่แน่ใจว่ามันจะใช่หรือเปล่า

             “ฉันขอโทษ อะไรที่ทำให้นายไม่พอใจฉันก็ขอโทษจริง ๆ นะ” ฉันยกมือไหว้เขาโดยไม่รู้ตัว กลัวมากจนตัวสั่น ไม่น่าลืมเลยว่าตัวเองเจ็บขาแล้วเปิดประตูให้เขาจนเกิดเรื่องขึ้นอย่างนี้

           “ขอโทษเหรอ หรือเธอหวังควบสอง” เขาถามเสียงเยาะ สีหน้าแววตาดูถูกไม่พอใจอย่างชัดเจนจนฉันกลัว

             “ฉันไม่เข้าใจ” ฉันส่ายหน้า ไม่ได้แกล้งทำแต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้คิดแบบนั้น แล้วควบสองคืออะไร

             “ก็ที่เธอมาสารภาพบอกว่าชอบฉันยังไงล่ะ แล้วก็มาอยู่กับไอ้เบศ กลัวว่าฉันจะหลอกอีกก็เลยเผื่อใจไปให้ไอ้เบศอย่างนั้นเหรอ” เจย์โกรธมาก ฉันเองก็หน้าเสียไป เข้าใจเลยว่าเขารู้สึกยังไง

             ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ ใช่ว่าอยากจะอยู่กับภูเบศแบบนี้ แต่ก็สู้เขาไม่ได้เลย รู้ตัวอีกทีฉันก็ตัวติดกับภูเบศตลอดเวลา แล้วใครจะไปคิดล่ะว่าจะลงเอยในรูปแบบนี้

             ตั้งแต่แรกแล้วภูเบศก็แสดงออกชัดเจนว่าเขาเกลียดฉันไม่อยากอยู่ใกล้ฉัน แล้วเขาก็เอาแต่แกล้งมาตลอดด้วย แกล้งบอกคนอื่นว่าเรากันซะอย่างนั้น ตอนนั้นฉันคิดตื้น ๆ ว่าอยากรักษาน้ำใจคนที่คอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้างมาตลอดอย่างเจย์เลยบอกความรู้สึกเขาไป แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้

             ที่ฉันเพิ่งเข้าใจว่าความชอบที่มีให้เจย์เป็นเพราะดีใจและขอบคุณที่เขาคอยช่วยเหลือ ทำให้รู้สึกดี ๆ กับเขาและไม่อยากให้เขามองฉันผิดไป

             แต่เมื่อได้มาอยู่กับภูเบศ ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเขาร้ายเอาแต่ใจและชอบบังคับ แต่ว่าภูเบศก็เป็นอีกคนที่คอยดูแลห่วงใยฉันมาตลอด ยิ่งต้องมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ แถมเขายังใช้กำลังบังคับให้นอนด้วยกัน เข้านอนก็พร้อมกัน ตื่นนอนขึ้นมาก็พร้อมกันอีก หัวใจของฉันมันก็เลยแกว่งไกวจนน่ากลัว ฉันรู้ว่าตัวเองผิดและแย่มากที่ทำเหมือนมีใจให้กับเจย์ แต่สุดท้ายกลับเลือกผู้ชายอีกคนหนึ่ง แต่ถ้าไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เหมือนกับฉัน ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันลำบากใจมากแค่ไหน แล้วมันก็เอนเอียงจนจับตั้งตรงตามเดิมไม่ได้ด้วย

             “ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ฉันร้องไห้เพราะความกลัว ถ้าย้อนเวลาได้ก็คงไม่เข้าค่ายซะเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องวุ่นวายปวดทั้งหัวปวดทั้งใจแบบนี้

             “แต่เธอทำฉันคิดถึงแต่เรื่องของเธอตลอด หลายวันมานี่ในหัวฉันมีแต่เรื่องของเธอ!” เจย์ตะคอก ใบหน้าขาว ๆ ของเขาแดงจัดและดูไม่เหมือนเจย์คนเดิมที่เคยรู้จักเลย

             “ฉัน

             “ฉันคิดถึงแต่เรื่องของเธอ คิดถึงแต่คำพูดของเธอ แต่เธอกลับมาอยู่กับไอ้เบศ มีความสุขมากเหลือเกินนะ!

             “เจย์ คือว่า” น้ำตาของฉันร่วงลงมา อยากขอโทษแต่ไม่รู้จะพูดบอกให้เขาเข้าใจได้ยังไง

             “ฉันจะทำให้เธอเข้าใจเลย ว่าการคิดถึงคนอื่นตลอดเวลามันเป็นยังไง ป่านนี้คาราเมลคงออกฤทธิ์แล้วล่ะ” เขายิ้มเยาะ ฉันก็หน้าซีดมือไม้อ่อนแรงไม่อยากเข้าใจว่าที่เขาพูดมันหมายความว่ายังไง

             “เธอชอบฉันอยู่แล้วนี่ มีอะไรกันก็ไม่แปลกใช่มั้ยล่ะ!?

             “เจย์! อย่าทำแบบนี้เลย” ฉันร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว ยกมือขึ้นไหว้เพื่อขอร้องให้เขาเห็นใจ แต่สายตาของเขาบอกว่าจะไม่ยอมอีกต่อไป

             แต่ก่อนที่เขาจะลากฉันไปที่อื่น ก็มีเสียงกดออกหน้าห้องและมีคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง

             ทั้งฉันทั้งเจย์หันไปทางประตูพร้อมกันทั้งคู่ ฉันถึงกับสะอื้นเมื่อเห็นแม่บ้านและผู้จัดการคอนโดเดินเข้ามาในห้อง ซึ่งมาประจำวันเว้นวัน แต่ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าวันนี้จะเข้ามา

             “Damm!” เจย์สบถแล้วปล่อยมือฉันออกอย่างรุนแรง ก่อนจะพูดกับฉันที่ทำให้ชาไปทั้งตัว

             “ไอ้เบศไปทำงานแล้วนี่ อยากให้ช่วยอยากให้ทำอะไรก็บอก ไม่งั้นก็ช่วยตัวเองไปคนเดียวแล้วกัน!” เขาเดินกระแทกเท้าออกไปอย่างหัวเสีย ผู้จัดการก็รีบเข้ามาหาฉันเพราะฉันร้องไห้สะอื้นเพราะขวัญเสีย

             “เป็นอะไรไปครับ”

             “เปล่าค่ะ เปล่า ช่วย พี่แหม่มคะ ช่วยพยุงป่านไปห้องนอนหน่อยได้มั้ย?” ตอนนี้ฉันกลัวผู้ชายทุกคนเลยหันไปบอกกับพี่แม่บ้านแทน ซึ่งพี่เขาก็รีบเข้ามาประคองแล้วพาฉันเข้าไปในห้องนอนทันที

             “ขอป่านอยู่คนเดียวนะคะ วันนี้ยังไม่ต้องทำความสะอาดห้องนี้ก็ได้ค่ะ” ฉันบอกเสียงสะอื้นเนื้อตัวสั่นระริก

             “ค่ะ งั้นเดี๋ยวพี่ออกไปจะล็อกห้องให้ด้วยนะคะ” พี่แหม่มบอกแค่นั้นแล้วก็เดินออกไป ส่วนฉันก็ยังร้องไห้ตัวสั่นอยู่คนเดียวไม่รู้ว่าจะทำยังไง มือไม้ที่สั่นเทายกโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะหาข้อมูลเรื่องยาปลุกอารมณ์ทางเพศ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันคิดออกตามที่เจย์บอกไว้ก่อนหน้านี้

             แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้จะแก้ไขตรงไหนยังไงด้วย เหมือนจะมีข้อสรุปบอกกันว่ายาปลุกอารมณ์นั้นยังไม่มีผลวิจัยและการพิสูจน์ว่ามีอยู่จริง ๆ ชัดเจนไหม แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกมึนเบลอไปหมด ร่างกายก็ร้อนแปลก ๆ ด้วย

           “ฮึก” ฉันไม่กล้าแม้แต่จะจับตัวเองด้วยซ้ำ

             ตั้งใจว่าจะไปนอนแช่ในอ่างน้ำเย็น ๆ เผื่อที่ว่าความร้อนมันจะลดลงแล้วจะนอนแบบนั้นอยู่ทั้งวันเลย ฉันบอกตัวเองในใจแบบนั้น แต่มันเป็นแค่ความคิดนี่สิ จะทำได้จริงรึเปล่าก็ไม่รู้เพราะขาก็ยังใส่เฝือกอยู่เดินก็ไม่ค่อยไหว หัวก็เริ่มปวด เริ่มเครียดกับทุกอย่างที่เข้ามาตอนนี้

             ตอนที่กำลังท้อแท้สิ้นหวังที่สุดตอนนั้นเอง ประตูห้องนอนก็เปิดออกและมีคนเข้ามา

             ภูเบศ

     

             ฉันไม่รู้ว่าเขาโกรธหรือเปล่า แต่หลังจากที่อาบน้ำแล้วฉันก็ได้ยามาสองเม็ดซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นยานอนหลับ ก็เลยหลับยาวเลย รู้ตัวอีกทีก็เย็นมากแล้ว ตื่นขึ้นมาเลยเพลียแล้วง่วงมึนไปหมด ภูเบศก็คงไปทำงานแล้ว ฉันเลยทั้งเหงาทั้งเหนื่อยเสียยิ่งกว่าเดิม

             “นิ่ม

             “เบศ” ฉันอุทานออกมาด้วยความตกใจแกมดีใจ น้ำตาก็ไหลอีกแล้ว

             “อย่ามาร้องไห้บีบน้ำตา น่ารำคาญ” คำพูดหงุดหงิดขุ่นเคืองของภูเบศทำให้ฉันสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

             บางทีฉันอาจจะเป็นสาย M[2] ก็ได้ ถึงได้รู้สึกแบบนี้ มาถึงจุดที่รู้สึกดีใจที่ถูกเขาด่า มันใช่เรื่องปกติใช่ไหมเนี่ย

             “นายมาทำอะไรที่นี่เหรอ” ฉันเช็ดน้ำตาแล้วถามเขาด้วยความแปลกใจ

             “เอ้า ถามแปลก นี่ห้องฉันนะเว้ย ไม่ให้อยู่ที่นี่แล้วจะให้ไปอยู่ที่ไหนล่ะ” เขาชักสีหน้าให้แต่การกระทำของเขากลับอ่อนโยนจนฉันไม่รู้สึกกลัวอะไรเลยสักนิด

             ตอนนี้ภูเบศมานั่งที่ขอบเตียงยกมือแตะหน้าผากกับซอกคอของฉัน คิ้วเข้มขมวดมุ่นดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

             “ฉันนึกว่านายจะไปไซต์งาน” ก็เขาบอกเอาไว้แบบนั้น ก็นึกว่าแวะมาช่วยแล้วก็กลับไปทำงานต่อ และเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ถึงได้อธิบายต่อ

             “ก็เธอเป็นซะแบบนี้จะให้ไปทำงานได้ยังไง เธอนี่โง่หรือว่าโง่วะ ให้คนอื่นเข้าห้องง่าย ๆ เนี่ยนะ ลืมเรื่องที่มันขับรถชนรถเราไม่ได้แล้วเหรอ”

             รถของเขากลายมาเป็นรถของฉันเมื่อไหร่ อ้อ ลืมไป ฉันต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่าซ่อมรถให้เขาด้วยนี่นา

             “แล้วมันให้อะไรมาก็กิน ปากน่ะปาก” ภูเบศบีบแก้มฉันจนเจ็บไปหมด ฉันก็เริ่มกลัวว่าเขาจะบีบปากจนปากแตกไม่ก็ถูกตบก็ต้องหลับตาแน่น

             “ยัยโง่ หาเรื่องให้เดือดร้อนตลอด นี่ถ้าผู้จัดการไม่เข้ามาจะเกิดอะไรขึ้น ป่านนี้ไม่ถูกปล้ำไม่ถูกทำอะไรไปแล้วเหรอ” เขาโมโหมาก ทั้งผลักหน้าผากทั้งบีบแก้มแล้วก็ดึงผมจนเริ่มเวียนหัว

             “โอ๊ย! เธอนี่มันน่า

             ฉันคิดว่าเขาจะทำร้ายฉันเจ็บ ๆ แต่กลายเป็นว่าถูกดึงเข้าไปกอดในอ้อมแขนของเขาแทน ฉันก็น้ำตาซึมทั้งกลัวทั้งโล่งใจ รู้สึกผิดกับทุกเรื่องที่ทำลงไป และไม่โทษว่าเป็นความผิดของเจย์เลย ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นเพราะตัวฉันนี่เอง

             “แล้วดีขึ้นรึยัง” ภูเบศถอนหายใจแล้วดันตัวฉันออกห่างก่อนจะกวาดตามองฉันทั่วตัว

             “ดีขึ้นแล้ว แต่ยังเวียนหัว ฉันฉันคงจะดีขึ้นแล้ว” ฉันตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก

             “เดินทางไหวมั้ย?

             “หา” ฉันมองเขาด้วยความตกใจสงสัย เขาเลยจ้องหน้าด้วยความหงุดหงิดเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ

             “ไปไซต์งานด้วยกัน

             “ฮะ!?” ฉันอุทาน ยังไม่ทันได้ถามต่อภูเบศก็ลุกจากเตียงเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วลากกระเป๋าเดินทางออกมาวางที่พื้น

             “เดี๋ยวภูเบศ” ฉันขยับตัวเดินโขยกเขยกเข้าไปหา พยายามจะหยุดเขาแต่ภูเบศคงรำคาญ เลยอุ้มฉันลงใส่กระเป๋าเดินทางแทน

             “นี่!

             “เออ ขอให้ไปด้วยกันดี ๆ ไม่ไปอยากไปในกระเป๋าเดินทางก็ไม่บอกตั้งแต่แรก” เขาหัวเราะขำ ๆ ก่อนจะเริ่มโยนชุดชั้นในลงในกระเป๋ามันเลยตกลงที่ตักของฉันหลายชิ้นจนฉันหน้าแดงไปหมด

             “เคยเห็นหนังผีมั้ย ที่ว่า

             “ภูเบศ!” ฉันร้องกรี๊ดทั้งกลัวทั้งตกใจไม่อยากให้เขาพูดเรื่องน่ากลัวอีก แต่เขากลับหัวเราะเห็นเป็นเรื่องสนุก คนที่ต้องคลานออกมาจากกระเป๋าเดินทางก็คือตัวฉันนี่แหละ ส่วนตัวการก็ยังสนุกกับการเก็บเสื้อผ้าให้ฉันอยู่ ไหนว่าไปสามวันยังไงล่ะ ทำไมต้องเก็บของไปเยอะขนาดนั้นด้วย แต่อันที่จริงเสื้อผ้าข้าวของของฉันมันก็มาตั้งแต่ตอนเข้าค่ายแล้ว ไหนจะเสื้อผ้าอีกหลายชิ้นที่ภูเบศซื้อให้ด้วย

             “นายไปแค่สามวันเองไม่ใช่เหรอ ฉันอยู่คนเดียวได้”

             “เหรอ แล้ววันนี้ใครล่ะที่ทำให้ฉันต้องรีบขับรถกลับมา หาซื้อยานอนหลับมาให้ อยู่ได้คนเดียวดีเหลือเกินนะ”

             “ฉันไม่อยากไปไหน เดินไปเดินมามันก็ปวดขา” ฉันนั่งมองเขาเก็บอีกเสื้อสองสามตัวลงในกระเป๋า ไปแค่สองวันไม่รู้ว่าจะเก็บเสื้อผ้าอะไรไปเยอะแยะขนาดนั้นด้วย

             “เดี๋ยวอุ้ม” คำพูดนั้นของภูเบศทำให้ฉันเงียบกริบไปโดยทันที

             “ก็ฉันไม่อยากไปด้วยนี่ ถ้างั้นให้ฉันกลับไปที่อพาร์ตเม้นต์ของฉันดีกว่ามั้ย ที่นั่นเจย์ไม่รู้จัก” ยิ่งพูดเสียงของฉันก็เบาลงเรื่อย ๆ ก็สายตาของภูเบศน่ากลัวซะขนาดนั้นนี่นา

             “ฉันไม่ไว้ใจให้อยู่ที่นี่ ไปนั่ง ๆ นอน ๆ รอที่โรงแรมเถอะ ฉันไม่สบายใจ เธอล่ะ กล้าอยู่คนเดียวเหรอ”

             ที่เขาถามมามันก็จริงอย่างที่พูด ถ้ายังอยู่ที่นี่ฉันก็จะระแวงจนไม่เป็นอันทำอะไรอีกว่าเจย์จะบุกเข้ามาอีกไหม

             “เออ เดี๋ยวกลับไปเอาชุดนักศึกษาด้วย จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”

             ฉันเงียบกริบระลอกสอง หมดเวลาเข้าค่ายและวันหยุดแล้วสินะ ต้องกลับไปเรียนและต้องมีประเด็นตามมาอีกหลายเรื่องอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ฉันรู้สึกห่อเหี่ยวใจยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก

             เมื่อไปถึงอพาร์ตเม้นต์ของฉันเขาก็ทำหน้าเซ็งและโกรธสุด ๆ ก็มันอพาร์ตเม้นต์เล็ก ๆ นี่ จะเทียบกับคอนโดหรูหราของเขาได้ยังไง เห็นสายตาก็รู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่

             “ไปทำเรื่องย้ายออกเลย”

             “ฮะ!?” นี่มันก็เป็นอีกครั้งที่ฉันตามใจเขาไม่ทัน

             ภูเบศลากฉันไปที่ห้องสำนักงานของอพาร์ตเม้นต์แล้วบอกว่าจะทำเรื่องย้ายออก ส่วนเขาก็โทรเรียกให้พนักงานมาขนของของฉันออกจากห้อง เพราะที่บ้านของเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับคอนโดและโรงแรมเลยมีพนักงานที่ทำหน้าที่บริการขนย้ายของมาจัดการให้

             เขามีหน้าที่เดียวคือเก็บชุดชั้นในกับชุดนักศึกษาให้ แล้วก็ลากฉันไปไซต์งานที่เขาต้องดูแล ไปที่นั่นฉันก็เจอพี่ภูริชอีกครั้งแต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ได้ทักทายกันไม่กี่คำ เพราะฉันเหนื่อยและปวดขามากจากการนั่งรถมานานแล้วเหยียดขาไม่ได้

             ภูเบศเลยไม่กวนพาฉันไปพักและหากับข้าวให้กิน ส่วนตัวเขาไปคุยงานกับพี่ชายต่อทิ้งฉันไว้ที่ห้องคนเดียว ซึ่งเป็นห้องสูทแต่ก็มีแค่เตียงเดียว ฉันก็เลยไม่กล้ามองหน้าพี่ชายเขาเลย ถึงพี่ภูริชจะรู้แต่แรกแล้วก็เถอะ ว่าเราอยู่ด้วยกันแล้ว

             ฉันเหนื่อยและหิวมากก็จริงแต่กลับกินอะไรได้ไม่เยอะ ไม่รู้ว่าตื้อเพราะอะไร กับข้าวเลยเหลือเยอะมาก กลัวว่าภูเบศจะด่าหาเรื่องมาแกล้งป้อนข้าวอีก เลยเอาฝาครอบมาปิดข้าวกับกับข้าวเอาไว้ แล้วรีบอาบน้ำกินยาแล้วก็นอน แต่เพราะว่านอนมาแล้วทั้งวันก็เลยยังไม่หลับ จนกระทั่งเขากลับมา

             “เออ ริช ฉันไม่ไปกินข้าวด้วยแล้วนะ ก็นุ่ม เอ่อ ป่านนั่นแหละกินข้าวไม่รู้กี่คำ ทั้งข้าวทั้งกับข้าวเหลือบานเลย น่าตีจริง ๆ” ฉันได้ยินเสียงเขาพูดแว่ว ๆ รู้สึกไม่ค่อยสบายใจก็กะเผลกกับไม้เท้าลงจากเตียงออกจากห้องไปหาเขาที่โต๊ะอาหารที่อยู่อีกห้อง

             แล้วก็เห็นว่าภูเบศนั่งกินข้าวที่เหลือจากฉันกิน มันก็เขินจนบอกไม่ถูกเลย คือจานข้าวเลยนะไม่ใช่แค่กับข้าวเท่านั้น

             “ยังไม่นอนอีกเหรอ” ภูเบศยกมือโอบรอบตัวของฉันเมื่อฉันเดินไปหาเหมือนกลัวว่าฉันจะล้ม ช่วยประคองนั่งลงกับเก้าอี้ที่ติดกันซึ่งเขาขยับไปนั่งอีกตัว แล้ววางไม้เท้าไว้อีกทาง

             “ทำไมกินข้าวน้อยแค่นี้ล่ะ แล้วเมื่อไหร่จะหาย”

             “ยังเวียนหัวอะ ไม่รู้ทำไม สงสัยยังเมารถไม่หาย” ฉันพึมพำ มองเขากินข้าวด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

             เขากินข้าวที่ฉันกินเหลือ จะมีใครคนไหนที่ทำแบบนี้บ้างนะ อย่าว่าเป็นแฟนกันเลย สามีภรรยาจะมีคู่ไหนทำแบบนี้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

             “กินข้าวมั้ย กินอีกนิดก็ดีนะ” ภูเบศทำท่าจะตักข้าวมาป้อนให้ แต่ฉันนิ่วหน้าแล้วส่ายหัวอย่างเดียว

             “เวียนหัวอะ มันอยากจะอาเจียน” ฉันบอกเขาเลยหรี่ตามองมาอย่างเจ้าเล่ห์

             “อืมท้องกี่เดือนแล้วล่ะ” เขายิ้มล้อเลียน ฉันเลยส่งค้อนให้กับเขาอย่างงอน ๆ

             “อ้าว ก็เห็นอาเจียนยังไม่ยอมหยุด แล้วทำไมยังไม่นอน” ตอนนี้ภูเบศหันมาถามด้วยสายตาไม่พอใจบ้างแล้ว เดี๋ยวนะ นี่เราจะคุยกันดี ๆ สักสามนาทีจะได้ไหมเนี่ย

             “ก็ยังไม่หลับไง มันแปลกที่ก็เลยนอนไม่หลับ” ฉันบอกไปเสียงอุบอิบ แล้วที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือพอตอนที่เขามาอยู่ด้วยแบบนี้แล้วฉันกลับกลับง่วงขึ้นมาซะอย่างนั้น

             “แบบว่าฉันไม่ได้นอนกอดเลยง่วงว่างั้น”

             ไม่ว่าเขาจะล้อเลียนอะไรยังไง ฉันก็เอาแต่เงียบนั่งมองเขากินข้าวด้วยความรู้สึกแปลกใจ ฉันไม่เคยอยู่กับผู้ชายมาก่อน ไม่ได้ใกล้ชิดขนาดนี้ด้วย เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นคนกินข้าวได้มากขนาดนี้ เขากินเยอะมากแต่กลับไม่อ้วนเลย เขากินมากกว่าฉันราว ๆ สี่ถึงห้าเท่าเห็นจะได้ ปากบ่นว่าฉันไม่กินอะไรเลยทั้งที่ของกินอยู่เต็มตู้เย็น แล้วสุดท้ายเขาก็เป็นคนกินซะเอง ความจริงแล้วเขาอาจจะอยากกินของหวานแล้วใช้ฉันเป็นข้ออ้างก็ได้ ใครจะไปรู้

             “หัวเราะอะไร”

             “เปล่านี่” ฉันส่ายหน้าให้เขา ไม่รู้ว่าเผลอหัวเราะออกไปตอนไหน

             “ฉันง่วงแล้ว รีบกินเถอะ

             “เออ เดี๋ยวนี้ชอบเรียกร้องด้วยเว้ยเฮ้ย” ภูเบศขำ ฉันไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะรู้ว่าพูดไปก็มีแต่จะเข้าเนื้อตัวเอง

             “รอแป๊บนึง ข้าวจะหมดแล้ว ยังปวดขาอยู่มั้ย?

             “นิดหน่อย แต่ไม่อยากกินยาแก้ปวดแล้ว พอทนไหวน่ะ”

             “ก็ดี ไม่อยากให้กินยาเยอะเกินไป แล้วเดินไหวมั้ย พรุ่งนี้จะพาเที่ยว”

             เที่ยวเหรอไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้วนะ

     

             การได้ออกมาเที่ยวกับภูเบศเป็นอะไรที่จะบอกว่าซึ้งมันก็ซึ้ง จะว่ามันตลกก็ตลก ตรงที่ฉันต้องนั่งรถเข็นแล้วเขาเป็นคนเข็นพาฉันออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอก มีหลายคนมองมาด้วยความสนใจและรอยยิ้ม แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แล้วพาฉันไปนั่งในร้านกาแฟ

             “นั่งรอตรงนี้ไปก่อนแล้วกัน ไว้ตอนเที่ยงเราค่อยไปกินข้าวแล้วกลับไปที่โรงแรมกัน” เขาบอกฉันก็พยักหน้าให้ นาทีนี้ที่ไหนฉันก็อยู่ได้ทั้งนั้น ดีกว่านั่ง ๆ นอน ๆ ในห้องเป็นไหน ๆ เลย และจากร้านกาแฟฉันก็ยังมองเห็นว่าเขาคุมงานการสร้างคอนโดได้ถนัด รู้สึกว่าครอบครัวนี้ดูดีกันทุกคนเลย

             ภูเบศสวมหมวกนิรภัยที่ดูแล้วแปลกตามาก แล้วก็น่ารักจนฉันต้องแอบถ่ายรูปเขาเอาไว้ เอ่อ และอันที่จริงฉันไม่โรคจิตที่ตามก่อกวนเขาด้วยนะ แต่ว่ามันอดแอบถ่ายรูปแบบนี้ไม่ได้จริง ๆ และพอนั่งอยู่ในร้านได้ไม่นานโทรศัพท์ก็แบตหมดเพราะเล่นไม่พัก และไม่นานนักภูเบศก็แวะเข้ามาหาแล้วก็แอบขโมยเอาแก้วกาแฟฉันไปดื่มด้วย

             อันที่จริงก็ไม่ได้ขโมยหรอก เขาก็เป็นเขานั่นแหละ ถือคติที่ว่า ของของฉันก็คือของของเขา ส่วนของของเขา ก็คือของของเขา

           “เบื่อยัง หิวมั้ย อยากทำอะไรรึเปล่า

             “บางทีก็สงสัยอะ ทำไมต้องทำดีกับฉันด้วย” ฉันอดถามไม่ได้ เห็นเขาทำหน้าประหลาดก็ไม่ค่อยไว้ใจ

             เขาอารมณ์ดีตลอดรอดฝั่งที่ไหนกัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายตามเอาใจไม่เคยทันเลย

             “เพราะฉันทำขาเธอหักไง

             “หือ” ฉันขมวดคิ้วไอ้เรื่องขาหักนี่มันเป็นเพราะว่าฉันซุ่มซ่ามเองไม่ใช่เหรอ

             “เพราะฉันหล่อไง พวกผู้หญิงก็เลยหมั่นไส้ที่เราอยู่ด้วยกันตลอด แล้วก็เลยไปหาเรื่องรังแกเธอจนเธอเจ็บตัวแบบนี้น่ะ โอย อย่าทะเลาะกันเพื่อฉันเลย” ภูเบศทำหน้าเพ้อฝันสุด ๆ แบบว่าเพ้อเจ้อชะมัด ฉันเลยเอาขนมยัดใส่ปากของเขาจะได้หยุดพูดจาไร้สาระซะที

             “เธออยู่ไหนก็แต่คนหมั่นไส้นะ น่าสงสารจัง”

             “เพราะนายไง ฉันไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย นายมาแกล้งฉันเอง” ฉันพึมพำ ถ้าไม่มีเรื่องรายงานตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่าเราจะได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้หรือเปล่า

             “หน้าตาเธอมันน่าแกล้งว่ะ เนี่ย เดี๋ยวไปเรียนก็ไม่รู้จะมีใครหมั่นไส้เธออีกมั้ย คราวนี้ไอ้ศัตรูเป็นไอ้เจย์ด้วย”

             ฉันเงียบไปเมื่อภูเบศพูดถึงเจย์ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมายาวยืด นั่งกินของว่างเพื่อจะได้ไม่ต้องคุยกับเขาได้อีกคำก็ถอนหายใจอีกจนภูเบศเอื้อมมือมาปิดปากของฉันเอาไว้

             “ถอนหายใจมาก ๆ ความสุขจะบินไปหมดนะ”

             “ฉันควรทำยังไงดี” ฉันขอความเห็นจากเขาเพราะไม่มีใครที่จะเข้าใจฉันในเวลานี้ได้ดเท่าเขาอีกแล้ว

             “เรื่อง?

             “ทั้งเรื่องไปเรียน ทั้งเรื่องของเจย์เลย ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้เขาหายโกรธ”

             “ทำไมต้องไปสนใจหมอนั่นด้วย จำไม่ได้เหรอว่าไอ้เจย์มันแกล้งหลอกเธอเล่นเฉย ๆ มันพนันกับเพื่อนไว้อีกต่างหากว่าจะได้เธอมาเป็นแฟนมั้ย

             “นายเป็นคนบอกให้เจย์มาแกล้งจีบฉันก่อนไม่ใช่เหรอ” ฉันเตือน เผื่อว่าเขาจะลืมเรื่องสำคัญไป

             “จริงเหรอ ไม่เห็นจำได้เลย” ภูเบศทำหน้าเหลอหลาจนน่าตี พอฉันไม่หัวเราะด้วยเขาก็เลยถอนหายใจแล้วดึงแก้มของฉันเล่น ระยะหลังมานี้เขาชอบจิ้มแก้มแบบนี้ตลอด ไม่รู้ว่ามันน่าสนุกตรงไหนกัน

             “เอาน่า เรื่องมันก็แล้วมานี่ เออ ฉันผิดอะ แต่ไม่ชอบให้ใครมารื้อฟื้นมันอีก แล้วไง มีปัญหาเหรอ”

             ดูเอาเถอะว่าเขามีนิสัยร้ายกาจมากแค่ไหน ฉันจนปัญญาจะเอาชนะเขาได้จริง ๆ

             “ไม่ต้องกลัวน่า ฉันไม่ยอมให้ไอ้เจย์มันรังแกเธออีกหรอก ทีนี้เราก็อยู่ด้วยกันยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย หาเชือกสักเส้นมาผูกเอวติดกันไว้ แบบนี้ก็น่าจะดีนะ”

             เอาเถอะ เรื่องมันยังไม่ได้เกิดขึ้น ฉันก็พยายามจะไม่คิดมาก ภูเบศลุกไปจ่ายเงินจากนั้นก็เข็นฉันออกจากร้านกาแฟเพื่อไปทานข้าวด้วยกัน และตอนนี้ฉันก็ยังคิดถึงเรื่องของเจย์วุ่นวายอยู่ในหัว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ไหนทำอะไรอยู่ และยังโกรธฉันอยู่หรือเปล่า

             ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากให้เกิดเรื่อแบบนี้ขึ้นเลย แล้วถ้าหากว่าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันก็ตั้งใจว่าจะยอมทำรายงานอยู่ที่ห้องดีกว่าจะไปเข้าค่ายจนเกิดเรื่องต่าง ๆ นานาขึ้น จนสุดท้ายกลายเป็นว่าฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเลย ว่าหัวใจน่ะ มันสั่นไหวกับภูเบศได้มากกว่าคนแสนดีอย่างเจย์

             แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโง่และการกระทำที่งี่เง่าของตัวเองด้วยรึเปล่า ถึงได้ทำให้เจย์เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

             ถ้าผู้จัดการไม่เข้ามาในห้องวันก่อน ตอนนี้ฉันก็คงสู้หน้าภูเบศไม่ได้แน่

           และที่ฉันสงสัยมากที่สุดตอนนี้ก็คือ ตอนนี้เจย์ทำอะไรอยู่ จะเริ่มคิดได้และหายโกรธฉันกับภูเบศหรือยัง

     

    Jay’s talking…

           ผมมานั่งอยู่ที่บ้านของเพื่อนเพราะไม่อยากจะอยู่คนเดียวให้ฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ รู้สึกว่าถ้าไม่มีใครอยู่ด้วยต้องสติแตกแน่ และทุกคนก็จับสังเกตได้ว่าผมเปลี่ยนไปเลยเข้ามาซักกันใหญ่

             “เกิดอะไรขึ้นเหรอ ไม่สำเร็จเหรอวะ” คลาวด์เข้ามาถามผม ผมเลยส่ายหน้าไปมาอย่างหงุดหงิด

             ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับป่านทอบ้าง ก็อย่างว่าล่ะนะ เพื่อนรักอย่างภูเบศมีนิสัยยังไงก็รู้กันดีอยู่แล้ว แล้วตอนนั้นก็นะ กินคาราเมลเข้าไปแบบนั้นคงมีปฏิกิริยาไม่มากก็น้อยแหละ แล้วอย่างไอ้ภูเบศมีเหรอจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป ทั้งที่มีของหวานรออยู่ตรงหน้าแล้ว

             “งั้นก็อย่าไปสนใจเลย มีสาว ๆ สวย ๆ ให้เลือกอีกตั้งมาก” มันบอก ผมก็ยังเงียบอยู่เหมือนเดิม

             จะว่ายังไงดีล่ะ จะให้ทำเป็นไม่สนใจยังไงก็ได้นะ แต่ข้างในใจมันยังหงุดหงิดหัวเสียอยู่ดี

             “แสดงว่าไปปักใจกับผู้หญิงคนนั้นเข้าแล้วสิ ทำไมวะ ทำไมต้องไปหลงเด็กไอ้เบศมันด้วย” เน็ทส่ายหัว ผมเลยจ้องอย่างไม่รู้ตัว

             “ป่านไม่ใช่เด็กไอเบศมัน พวกมึงก็รู้ว่าไอ้เบศมันตั้งจะแกล้งป่าน”

             “แล้วที่มึงทำอะ คุณธรรมสูงส่งกว่าไอ้เบศมันแค่ไหนเชียว”

             “มึงเข้าข้างไอ้เบศใช่มั้ย เน็ท!” ผมรู้สึกหัวมันร้อน ๆ แยกเขี้ยวใส่เพื่อนอย่างหัวเสีย

             “กูไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะมึง รึไอ้เบศก็จ้องจะแกล้งป่านอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ มึงอีกไอ้คลาวด์ ทำอะไรวะ แม่งเลวชิบหาย ตอนนี้ป่านก็ขาหักแล้ว ไอ้เบศมันก็พยายามจะขอโทษไปทำดีด้วย พวกมึงจะไประยำกับป่านอีกทำไม นั่นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เองนะมึง” เน็ทร่ายยาวจนผมหันไปมองแล้วยิ้มเยาะ

             “มาเป็นพระเอกตอนนี้ไม่สายไปเหรอไอ้เน็ท มึงก็สนุกไม่ใช่เหรอตอนแรกที่แกล้งป่านน่ะ”

             “เออสนุก! เพราะกูแค่คิดว่าพวกมึงจะแกล้งนิด ๆ หน่อย ๆ แต่นี่พวกมึงตั้งใจจะวางยาทำเลวกับผู้หญิงมันไม่ใช่ว่ะ ไอ้เบศถึงมันจะเป็นต้นเรื่องแต่มันก็ไม่ได้ทำอะไรเหี้ย ๆ แบบนี้ บอกตามตรงว่ากูผิดหวังกับมึงว่ะ มึงทั้งคู่นั่นแหละไอ้เจย์ไอ้คลาวด์” พูดจบไอ้เน็ทก็เดินอย่างหัวเสียจากไป ผมเลยของขึ้นยิ่งกว่าเดิม ท่าทางแบบนั้นผมต่างหากที่สมควรทำท่าทางแบบนั้นน่ะ

             “เอาน่าอย่าไปสนใจไอ้เน็ทมันเลย แล้วก็อย่าไปใส่ใจยัยหนูป่านด้วย กูมีของดีจะให้” คลาวด์ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ ต่อมาก็มีสาว ๆ เข้ามาในห้องแล้วเข้ามาคลอเคลียเราสองคน

             ผมทำหน้าเนือยรู้ไม่มีอารมณ์อะไรทั้งนั้น ยิ่งตอนนี้พวกสาว ๆ เข้ามาจูบแก้มทำท่าจะเลื้อยมาที่ซอกคอผมก็ผลักออกอย่างรำคาญ

             “อย่ามายุ่ง” ผมบอกเสียงแข็ง ผู้หญิงคนนั้นก็ทำหน้าเจื่อนลง แต่มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมที่ต้องปลอบใจ

             “เฮ้ย นี่ของชั้นหนึ่งเลยนะเว้ยไอ้เจย์ ถ้ายังไงก็อยู่กับสาว ๆ พวกนี้ไปก่อนก็ได้นี่หว่า”

             “กูไม่มีอารมณ์” ผมบอก ไม่อยากหัวเสียแต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้ว

             “อย่าบอกนะ ว่าถ้าไม่ใช่ป่านทอ มึงก็จะไม่สนใจผู้หญิงคนไหนอีก” คลาวด์ถาม ส่วนผมเลือกจะไม่ตอบคำถามนั่งดื่มเบียร์คนเดียวเงียบ ๆ ครุ่นคิดว่าตอนนี้ป่านทอกลายเป็นของไอ้เบศหรือยัง แล้วถ้าหากว่ามันเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ ตอนนั้นผมจะรู้สึกยังไง

             “มองหาผู้หญิงคนใหม่เถอะน่า คนนั้นน่ะ ท่าทางไอ้เบศมันคงจะยกให้ใครหรอก มันดูแลของมันขนาดนั้น”

             “ก่อนหน้านี้ ถ้ามันไม่ได้บอกว่ากูแค่หลอกป่านเล่น ๆ ใครจะรู้ ตอนนี้ป่านอาจจะนั่งอยู่กับกูตรงนี้ก็ได้ ถ้าไอ้เบศมันไม่แส่เข้ามาวุ่นวายก่อน”

             “เฮ้ยเจย์…!” คลาวด์ทำหน้าตกใจ แต่ผมไม่ได้สนใจ

             “กูพูดอะไรผิดตรงไหน ป่านก็เหมือนกัน แทนที่จะฟังก่อนกลับตีตัวออกห่างทำเหมือนไม่รู้จักกันขึ้นมาซะอย่างนั้น” ผมครางอย่างเจ็บใจ ทำไมอะไร ๆ ถึงไม่เป็นใจเลยสักอย่างก็ไม่รู้

             “เฮ้ย หยุดเหอะว่ะ กูก็ชักจะเห็นด้วยกับไอ้เน็ทมัน ก็ในเมื่อป่านไม่เล่นด้วยกับมึงแล้ว ก็หยุดเถอะ นี่มึงทั้งขับรถชนรถของไอ้เบศจนยับ แถมมันยังรู้อีกว่ามึงตั้งใจจะวางยาป่าน ไอ้เบศน่ะมันยังเห็นแก่ความเป็นเพื่อนเลยไม่เอาเรื่องนะ ก็รู้จักมันดีไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นคนอื่นมันเอาตายไปแล้ว แต่มันก็ไม่ทำมันเงียบมันยอมมึงขนาดนี้แล้วนะ!

             สาว ๆ เริ่มตกใจ เพราะเราสองคนทะเลาะกัน และมันไม่เข้าหูเลยจริง ๆ ก่อนหน้านี้ก็มันไม่ใช่เหรอที่เป็นคนเอายายัดให้ผมเองกับมือน่ะ แล้วทำไมตอนนี้เปลี่ยนใจกันได้หน้าตาเฉย

             “มันยอมกูเหรอ ถ้ามันยอมกูจริง เอาป่านคืนกูมาสิ นั่นถึงจะเรียกว่ายอมกู!” หลังจากที่พูดจบผมก็ลุกออกมาไม่ได้สนใจใครอีก ไม่สนใจด้วยว่าไอ้คลาวด์จะตะโกนไล่หลังมายังไงด้วย

    End Jay talk…

     

    Puubate’s talking…

           หลังจากที่อยู่ไซต์งานมาสองสามวันเราก็ต้องกลับไปเรียนกันต่อ นุ่มนิ่มดูโคตรกังวลเลยล่ะตอนที่เราต้องไปเรียนกัน แหงล่ะ มีเรื่องเกิดขึ้นสารพัดตอนเข้าค่าย คิดแล้วก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่เป็นคนเริ่มต้นแกล้งผู้หญิงคนนี้ จนตอนนี้เธอขาหักเดินไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวกเลย แถมเรายังไม่ได้เรียนคณะเดียวกันด้วย นุ่มนิ่มเลยเหมือนเรือเล็กที่ลอยออกจากฝั่งตอนที่พายุเข้าอะ

             “มีอะไรโทรหาฉันนะ” ผมบอกนุ่มนิ่มเมื่อมาถึงคณะเรียนของเธอแล้ว แล้วก็ช่วยประคองไปถึงคลาสเรียนด้วย

             ผมตื่นเช้าเป็นประวัติการณ์ ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหวีผมจัดของทุกอย่างให้นุ่มนิ่ม ก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผมหงอเธอได้ขนาดนี้

             “อือ ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีเพื่อน”

             “มีด้วยเหรอ!?” ผมแกล้งถามเสียงสูง เธอเลยทำหน้าเคืองซะน่ารักน่ามันเขี้ยว

             “มีสิ ใช่ว่าในคลาสที่เรียนกับนาย ฉันไม่มีเพื่อน แต่คลาสเรียนอื่น ๆ ฉันก็มีเพื่อนนะ” นุ่มนิ่มทำแก้มป่องผมก็เลยมองไปรอบ ๆ ห้องเรียนซึ่งยังไม่มีใครเข้ามา รู้สึกไม่อยากทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียวเลย

           “เลิกเรียนตอนไหนก็บอก แล้วจะมารับ”

             “อื้อ นายไปเรียนเถอะ” ท่าทางของนุ่มนิ่มอยากไล่ผมให้ออกจากห้องเรียนให้ได้ เห็นแล้วมันก็น่าหงุดหงิดใจนะ

             แต่ผมก็มีเรียน เลยออกจากคณะเรียนของนุ่มนิ่มไปเรียนที่คณะวิศวะฯ ของตัวเอง และก็นั่นแหละ ไปเรียนก็ต้องเจอไอ้เจย์ที่หน้าหงุดหงิดไม่สบอารมณ์กันอีก เราสองคนไม่มองหน้ากันไม่คุยกันเลย ยอมรับว่าผมยังโกรธมันไม่หายเรื่องที่ในพยายามจะปล้ำนุ่มนิ่ม ถ้าตอนนั้นผู้จัดการเข้าไปไม่ทัน ป่านนี้นุ่มนิ่มจะเหลือเหรอ

             “พวกมึงจะไม่คุยกันแล้วใช่มั้ย?” คินถามขึ้น เพราะผมกับเจย์ไม่มองหน้ากันเลยสักแวบเดียว

             “มึงลองถามไอ้เจย์สิ ที่มันทำน่ะ มันเรื่องดีเหรอไอ้คิน” ผมโพล่งออกไปอย่างเหลืออด หลายวันมานี้ผมพยายามปล่อยวางไม่คิดมาก เห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่คบกันมานาน อีกอย่างเรื่องแกล้งนิ่มผมก็เป็นคนเริ่มก่อนด้วย ถ้าไอ้เจย์ผิด ผมเองก็ผิดเหมือนกัน

             “งั้นมึงก็ลองถามไอ้เบศกลับนะไอ้คิน ว่าคนที่แม่งแย่งแฟนชาวบ้านน่ะดีกว่ากูตรงไหน”

             “กูไปแย่งแฟนมึงตอนไหนวะ ได้ข่าวว่านิ่มตีตัวออกห่างจากมึงก่อนไม่ใช่เหรอ” ผมไม่ใช้ไอ้คินเป็นตัวกลางแล้ว ถามกับไอ้เบศอย่างหลืออด มันเลยหันมาประจันหน้ากับผมอย่างท้าทายเหมือนกัน

             “ถ้ามึงไม่เสือกไม่แส่เข้ามายุ่งกับเรื่องกูก่อน รถมึงคงไม่พังหรอกว่ะ” มันเอานิ้วจิ้มหน้าอกผมแรง ๆ อย่างหาเรื่อง ผมเองก็พร้อมแต่เพื่อนคนอื่นเข้ามาแยกเราสองคนซะก่อน

             “เฮ้ย! พอเหอะ เป็นเหี้ยไรกันวะมึงทั้งสองคนนั่นแหละ”

             ผมฮึดฮัดแต่เราสองคนไม่ได้ทำอะไรกันมากกว่านั้นเพราะอาจารย์เข้ามาซะก่อน เราก็เลยแยกย้าย ผมเองก็ย้ายไปนั่งที่อื่น พยายามไม่หงุดหงิดฟุ้งซ่าน เลิกคลาสก็ไปที่คณะเรียนของนุ่มนิ่มทันทีแล้วไปรับมานั่งกินข้าวด้วยกัน เห็นสภาพของนุ่มนิ่มบอกเลยว่าสงสารมาก เธอหน้าซีดขาวเป็นกระดาษเหงื่อชุ่มทั้งตัวเพราะต้องเดินเรียนหลายห้องหลายที่ แล้วไม่ได้นั่งรถเข็นต้องถือไม้เท้าเดินเองตลอด จะให้ใครประคองก็ไม่ได้เพราะต้องใช้ไม้เท้าถึงสองข้าง แค่วันแรกก็เห็นเลยว่าลำบากมากแค่ไหน

             “เอ่อ” เธอพูดขึ้นหลังจากที่ผมเดินไปซื้อราดหน้ามาให้ เห็นบ่น ๆ ว่าอยากกินก็เลยตามใจซะหน่อย

             “มีอะไร” ผมวางจานให้แล้วก็นั่งลงใกล้ ๆ กัน

             “คือ ตอนย้ายห้องเรียนฉันล้มอะ เดี๋ยว อย่าเพิ่งโกรธ แล้วทีนี้อาจารย์เห็นเลยเรียกไปคุย อาจารย์ถามว่าเหลือกี่วิชาที่ต้องเรียน แล้วก็เลยให้หยุดน่ะเพราะใกล้จะสอบไฟนอลแล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาสงสารฉันบอกว่าจะคุยกับอาจารย์คนอื่นให้เรื่องที่ไม่เข้าเรียน ให้ฉันรับผิดชอบเรื่องสอบเอง” เธอรีบพูด ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอไปชักสีหน้าใส่ตอนไหนเหมือนกัน

             “แล้วเจ็บมั้ย ขาเป็นอะไรรึเปล่า” ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาแล้วเดินไม่ได้ตามปกติอีกล่ะ บ้าเอ๊ย ยัยนี่โง่รึโง่กันแน่เนี่ย

             “ก็นิดหน่อยน่ะ” นุ่มนิ่มยิ้มแหยคงกลัวว่าผมจะโกรธ แน่ล่ะ ทำไมจะไม่โกรธล่ะ

           “แต่ฉันว่าจะไม่หยุดนะ ไม่รู้จะไปขอเลกเชอร์จากใครอะ ไม่อยากรบกวนเพื่อน”

             “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เพื่อนฉันก็มีแฟนอยู่คณะเธอ บอกมาว่ามีวิชาอะไรบ้าง จะไปขอให้ ถ้าไม่ให้ก็จะซื้อ”

             “แต่ว่า” เธออิดออด แต่ผมไม่สนใจ

             “แล้วกินข้าวเสร็จก็ต้องไปหาหมอด้วย เธอนี่มัน เดินยังไงให้ล้มวะ” ผมว่าอย่างหงุดหงิด นุ่มนิ่มเองก็คงอยากเถียงแต่เถียงไม่ออกได้แต่ถอนหายใจเฮือก ๆ ผมต่างหากล่ะที่ต้องทำแบบนั้น

             “ฉันไม่มีเงินอะ ค่ารักษาพยาบาลก็ยังไม่ได้จ่ายนายเลย ไหนจะเรื่อง” เธอพูดไม่จบ เห็นสีหน้าท้อแท้นั่นแล้วผมก็เข้าใจดีว่ามันคือเรื่องอะไร ได้ยินมาว่านุ่มนิ่มเป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัดแล้วมาเรียนด้วยตัวเอง ทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนง่าย ๆ นั่นแหละ ดูจากอพาร์ตเม้นต์ที่เธออยู่แล้วก็ชัดเจนว่ามันแย่มากแค่ไหน ยามก็ไม่มี ระบบรักษาความปลอดภัยอะไรก็ไม่มี นอกจากนั้นเพื่อนร่วมอพาร์ตเม้นต์ก็ไม่อยากจะพูด พวกผู้หญิงพอเห็นผมก็ทำตาวาว ทำไมจะมองไม่ออกว่าพวกเธอทำอาชีพอะไร ไหนจะพวกเด็กแว้นซ์ ขี้เหล้าเมายาอีก ผมเลยให้เธอไปอยู่ด้วยกัน

             “เอาเป็นว่าไม่ต้องคิดมากอะไรทั้งนั้นแหละ ถ้าเธอเดินไม่เหมือนเดิมขึ้นมา ฉันจะบาปทั้งชีวิตเลยนะ ให้ฉันดูแลเหอะ” ผมพูดไป ก่อนจะเห็นว่าแก้มใสของเธอแดงขึ้นเรื่อย ๆ ผมถึงได้นึกออกว่าเมื่อกี้พูดอะไรออกก็อึกอักไปเลยทีเดียว

             “กินข้าว เสร็จแล้วจะได้ไปโรงพยาบาล ขาเธอไม่ได้แพลงนะเว้ย มันหัก มันหักเข้าใจมั้ย ถ้าต่อไม่ติดได้เป็นเรื่องแน่” ต้องขู่ต้องปลอบ สุดท้ายนุ่มนิ่มก็ยอมไปตรวจดูข้อเท้าอีกครั้งและโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากแต่ข้อเท้าบวมขึ้นเยอะเลย

             เราไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาของนุ่มนิ่มอีกครั้งพร้อมกับใบรับรองแพทย์ อาจารย์ที่ปรึกษาของนุ่มนิ่มก็เลยบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เองไม่ต้องเป็นห่วง ผมก็เลยพาตัวนุ่มนิ่มกลับคอนโดได้อย่างสบายใจ ส่วนเรื่องเลกเชอร์ก็ให้เพื่อนขอก็อปปี้จากแฟนของมันแล้วก็ให้เงินไปด้วยเป็นค่าน้ำใจนิด ๆ หน่อย ๆ เพราะไม่อยากมีปัญหาทีหลัง

    Puubate’s talking…

     

           ฉันไม่ได้เข้าเรียนแล้วเพราะอาการขาหักมันหนักกว่าที่คิดเอาไว้มากจริง ๆ แถมห้องเรียนก็มีทั้งบันไดสโลปขึ้นไป จะหาที่นั่งได้แต่ละครั้งก็ลำบากเพื่อนร่วมคลาสคนอื่น ๆ ด้วย แบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้หายไว ๆ ไม่เป็นภาระภูเบศอีก

             ฉันได้รับสายจากเพื่อนร่วมคลาสซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นแฟนของเพื่อนภูเบศ อย่างที่ภูเบศบอกเอาไว้เลยว่าเพื่อนเขามีแฟนอยู่คณะเดียวกันฉันเลยลงไปด้วยตัวเองไม่อยากรบกวนผู้จัดการอีก แค่นี้ก็ทำให้คนอื่นวุ่นวายกันไปหมดแล้ว

             “ขอบคุณนะ” ฉันบอกขอบคุณเพื่อนจากใจจริงที่เธออุตส่าห์เอาเลกเชอร์หลายวิชามาให้อย่างเต็มใจ

             “ไม่เป็นไรจ้ะ ไปนะ หายไว ๆ ล่ะ”

             “จ้ะ” หลังจากได้รับชีทเรียนแล้วฉันก็พาตัวเองขึ้นลิฟต์เพื่อจะกลับห้องตามเดิม แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะได้เจอเจย์ในลิฟต์

           เขาไม่ได้อยู่คนเดียวแต่มากับผู้หญิงคนหนึ่งที่คลอเคลียนัวเนียกันไม่สนใจสายตาของใคร ฉันไม่สบายใจเพราะไม่รู้จะเอาสายตาไปไว้ทางไหน อีกอย่างก่อนหน้านี้ก็เกิดเรื่องขึ้นหลายอย่างด้วย พอลิฟต์เปิดฉันก็พาตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ยังเดินไม่พ้นลิฟต์ก็ถูกดึงกลับเข้าไปตามเดิม

             “เจย์!” ฉันอุทานออกมาด้วยความตกใจและไม่พอใจ ส่วนผู้หญิงของเขาก็มองด้วยความสงสัย

             “เจย์คะ รู้จักด้วยเหรอ” เธอคนนั้นถาม และลิฟต์ก็เลื่อนขึ้นมาอีกสองชั้นแล้วเปิดออก เจย์ก็โยนไม้เท้าของฉันทิ้งแล้วอุ้มฉันเดินออกมาอย่างรวดเร็ว ฉันทั้งดิ้นทั้งร้องไห้ด้วยความกลัว

             “ไอ้เบศคงยังไม่ทำอะไรเธอสินะ แล้วเราก็ยังไม่ได้เลิกกันด้วยนี่” เขาพูดอย่างเห็นแก่ตัว ฉันเลยหันไปมองคู่ควงของเขาที่เบิกตากว้างเดินตามมาด้วยท่าทางเอาเรื่อง

             “ช่วยฉันด้วย ฉันอยากกลับห้องฉัน อย่าให้เขาทำอะไรฉันเลยนะ” ฉันละล่ำละลักบอกกับเธอ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์น่ากลัวของเจย์

             “เอาสิแบม ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนฉัน เธออยากช่วยยัยนี่ป่ะ” เขาพูดออกมาก่อนจะกดรหัสประตูห้องและโยนฉันลงกับโซฟาเมื่อมาถึงแล้ว

             “อะไรนะเจย์!” ผู้หญิงที่ชื่อแบมหวีดเสียงดังลั่น มองฉันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ฉันก็ได้แต่ส่ายหน้าเป็นพัลวัน

             “ยังไงฉันก็ไม่ลืมผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าฉันจะกอดเธอหรือจูบเธอฉันก็คิดถึงแต่ผู้หญิงคนนี้ เธอยังจะยอมอยู่กับฉันมั้ยล่ะ” เจย์บอกกับเธอคนนั้น

             ส่วนฉันก็หน้าซีดส่ายหน้าพูดไม่ออกหัวมันตื้อไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกไปดี

             “ช่วยฉันด้วยเถอะ เขาเป็นแฟนเธอนะ อย่าให้เขาทำกับฉันแบบนี้สิ” ฉันร้องไห้และอ้อนวอนให้เธอช่วย

             “ถ้างั้น” แบมทำหน้าลังเลมองหน้าฉันสลับกับเจย์ที่ยังมีท่าทางคุกคามน่ากลัว

             “ขอฉันอยู่ด้วยกันแบบสามคนได้มั้ย แล้วฉันจะช่วยจับผู้หญิงคนนี้ให้นายยังไงล่ะเจย์

     

     

    มู่อัปได้ถึงเท่านี้นะคะ ขอฝากที่เหลือในรูปเล่มหรือ ebook ด้วยค่ะ

    รูปเล่มน่าจะจัดส่งในวันที่ 5 เมษายนนี้เป็นต้นไปแล้ว

    ส่วน ebook น่าจะมาปลายเดือน หรือเดือนหน้าค่ะ

    แล้วมู่จะมาแจ้งอีกทีนะคะ ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ image image

     

     

     



    [1] ฮันเซลกับเกรเทล (Hansel and Gretel) เป็นเทพนิยายขึ้นชื่อซึ่งมีกำเนิดจากประเทศเยอรมนี บันทึกโดย พี่น้องตระกูลกริมม์ และตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1812 ฮันเซลและเกรเทลเป็นน้องชายและน้องสาวที่ถูกแม่มดกินคนที่อาศัยอยู่ลึกในป่าในบ้านที่สร้างจากเค้กและขนมหลอก แต่ทั้งสองก็รอดออกมาได้ด้วยความรัก ความสามัคคี การช่วยเหลือซึ่งกันและกันของสองพี่น้อง

    [2] มาโซคิสม์ (Masochism) หมายถึงความสุขหรือความพึงพอใจทางเพศเมื่อได้รับความเจ็บปวดกับตัวเอง คำนี้มีที่มาจากชื่อของมาร์กีส์ เดอ ซาด (Marquis de Sade) นักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่อในการเขียนนิยายแนวนี้

    - ซาดิสม์ (Sadism) คือความสุขหรือความพึงพอใจในความเจ็บปวดและความทุกข์ของผู้อื่น


    PuubatesEyes
     แกล้งร้ายละลายรัก (ภูเบศ ป่านทอ)

    ตอนนี้เปิดให้พรีออเดอร์แล้วค่ะ ตั้งแต่วันนี้ถึง 20 มีนาคม จัดส่งวันที่ 5 เมษายน นี้ค่ะ

    หนังสือ 1 เล่ม + ขวดสเปรย์แอลกอฮอล์แบบพกพา 1 ชิ้น + ที่คั่น 2 ชิ้น

    ****

    ขั้นตอนการจองหนังสือ

    โอนเงิน

    300 บาท (สำหรับจัดส่งลงทะเบียน) หรือ

    350 บาท (สำหรับจัดส่งแบบ EMS)

    มาที่บัญชี 037-3-75509-5

    น.ส.นพรัตน์ ภูมิใจรักษ์ ธ.กสิกรไทย

    แล้วแจ้งโอน (แนบสลิปโอนเงิน)

    แจ้งชื่อ-ที่อยู่ เบอร์โทร ที่นี่เลยค่ะ

    คลิกตรงนี้ได้เลย  m.me/meejairakpublishing

    หรือถ้าลิงก์ไม่ขึ้น ค้นหา แฟนเพจ สำนักพิมพ์ Meejairak เลยค่ะ

    ฝากพี่เบศตัวร้ายกับน้องนิ่มน่าแกล้งไว้ด้วยนะคะ imageimage




    http://i.imgur.com/qQrbcSw.jpg

    Song :: The Yers – เพียงหนึ่งครั้ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×