คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : HUNTER [X] LUPINE ✖ 02 You’re a Speed Hunter...50%
2
You’re a Speed Hunter
(...50%)
“องครักษ์คนใหม่เหรอคะ?” ฉันหันไปถามคุณอีธาน ที่กำลังยกถาดยากับเครื่องดื่มมาให้
หลังจากเรื่องวันนั้นผ่านไป ฉันใช้ชีวิตอยู่บนพื้นดินธรรมดาที่เป็นคฤหาสน์ชั้นเดียวแต่กว้างใหญ่อย่างมาก ทางเข้าวกวนเต็มไปด้วยอันตราย หมาป่าเป็นสิบฝูง รวมทั้งเหยี่ยวตัวใหญ่ที่เฝ้ายามอยู่เบื้องบน ทำให้ฉันต้องถูกจองจำอยู่ที่นี่โดยไร้ทางออก
“ใช่ครับ… หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือคนติดตามคนใหม่ แล้วก็กรุณากินยาด้วยนะครับ”
“อย่าพูดกับฉันแบบนี้ได้มั้ย ไม่ชอบเลย” แต่บอกไปก็เท่านั้น เพราะคุณอีธานไม่เคยเลยที่จะเปลี่ยนน้ำเสียงหรือคำพูดเวลาที่พูดกับฉัน
ฉันชักสีหน้าให้คนดูแล ก่อนจะคว้ายาเม็ดสีขาวเข้าปากและตามด้วยน้ำอีกอึกใหญ่ ตอนนี้ข้อเท้าดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังเจ็บอย่างทานทนไม่ได้ เลือดในกายเหมือนน้ำกรดที่กำลังกัดกินเนื้อเยื่อของฉันไปหมดแล้ว ยามใดที่มันฟื้นฟูซ่อมแซมร่างกาย ฉันมักจะเจ็บปวดจนต้องร้องไห้ไปเป็นวัน ๆ เลย
นับจากวันที่มีนักล่าพาตัวฉันไปจากหอคอยได้ จนถึงตอนนี้ก็เกือบเดือนหนึ่งแล้วพอดี รู้มาว่าท่านพ่อไปรับฉันด้วยตัวเองเลย คิดแล้วก็ต้องคอย่นด้วยความกลัว เพราะรู้มาจากสาวใช้หลายคนว่าท่านน่ากลัวขนาดไหน ท่านพ่อโหดเหี้ยมไร้ปรานีเอามาก ๆ
อันที่จริงฉันก็ไม่เคยรู้หรอกว่าเป็นอย่างนั้นจริงไหม คำสาปที่น่าชิงชังอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับตัวฉันและท่านพ่อ เมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านพ่อเข้ามาใกล้ในระยะสิบก้าว ฉันจะหมดสติไปในทันที เพราะอย่างนั้นตั้งแต่เกิดมาฉันเลยไม่เคยเห็นหน้าท่านพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ฉันสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่รู้สึกได้จากฝ่ามือและใบหน้าตัวเองเป็นบางครั้งเท่านั้น ซึ่งคุณอีธานบอกว่าท่านพ่อจะมาเยี่ยมฉันในบางคืนหลังจากที่ท่านทำงานเสร็จแล้ว ท่านแวะมาเพียงไม่นานแล้วก็จากไป ถึงแม้ว่าอยากจะเห็นหน้าท่าน อยากจะกอดท่านไว้ให้แน่นแค่ไหน ฉันก็ทำไม่ได้ ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา
จะเรียกร้องอะไรจากใครได้ เกิดมาก็มาพร้อมกับคำสาปที่ไม่มีทางเลือนหายอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะยังไงก็มีแต่ต้องทำใจรับให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เจ็บปวดก็ตามที
“แล้วองครักษ์ที่ว่านั่นคือใคร” ฉันนั่งขัดสมาธิบนโซฟาวงกลมตัวใหญ่หนานุ่ม ก่อนจะชันเข่าขึ้นและกอดขาตัวเองเอาไว้
คุณอีธานปรายตามองฉันแวบหนึ่งก่อนจะเก็บถาดกลับไป
“เข้ามาสิ…” เขาเอ่ยพูดกับใครบางคนที่อยู่หลังบานประตู และฉันก็จ้องมองอย่างสนใจ
วินาทีต่อมาดวงตาของฉันก็เบิกกว้างขึ้นมาเกือบเท่าตัว เมื่อเห็นชัดถึงใบหน้าของคนที่เข้ามาใหม่นั่น…
“แวน…” ฉันเผลอขยับริมฝีปากเป็นชื่อของเขาออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกไป
“คุณหนู…”
แวนไขว้มือที่บ่าตัวเองก่อนจะค้อมศีรษะให้ฉัน
ตลกเป็นบ้า… ผู้ชายเย่อหยิ่งคนนี้กำลังก้มหัวให้ฉัน
“มีอะไรหรือครับ ท่านเมโอ…” เสียงทักของคุณอีธานทำให้ฉันรู้สึกตัว หลังจากที่เผลอจ้องแวนอยู่นานจนสาวใช้หลายคนเริ่มเห็นความผิดปกติ
“เปล่า แค่ตกใจ องครักษ์คนนี้หล่อจังเลย” ฉันพูดติดตลก แต่สีหน้าของคุณอีธานไม่รู้สึกอย่างนั้นด้วย
ฉันเลยหัวเราะแห้ง ๆ ยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยด้วยความรู้สึกเก้อเขิน
“รู้แล้วน่า ฉันแค่ล้อเล่น” ฉันพึมพำก่อนจะสบตากับแวนแน่วนิ่ง
หลังจากวันนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า แล้วผู้ชายที่ชื่อทรอยคนนั้นล่ะ ฉันคิดอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ขออยู่ตามลำพังกับผู้ติดตามคนใหม่ได้มั้ยคะ” ฉันถามคุณอีธาน แต่สายตาไม่ได้ละจากใบหน้าของแวนเลยแม้แต่น้อย
ดวงตาที่แข็งกร้าวรวมถึงสีหน้าที่ย่ำแย่ของเขา บอกว่ามีอะไรบางอย่างที่เขาไม่สามารถบอกใครได้ และฉันเองก็อยากจะรู้มากซะด้วยสิ
“ฉันไม่ทำอะไรโง่ ๆ หรอกน่า…”
หลังจากนั้นในห้องเลยมีแค่ฉันกับแวนอยู่ด้วยกันแค่สองคน แวนดูผ่อนคลายขึ้นมา เขากอดอกจ้องฉันนิ่ง ๆ
ไม่อยากจะเชื่อ… ขนาดว่าตัวเองอยู่ในฐานะผู้รับใช้แท้ ๆ แต่กลับมีท่าทียโสโอหังไม่เปลี่ยนไปจากที่เคยเจอกันครั้งแรกเลย
แต่ท่าทีอ่อนล้าของเขานั่นเป็นสิ่งเดียวที่มันดูเปลี่ยนไป
“นายป่วยเหรอ” ฉันถามแล้วก็แกล้งเปิดหนังสือเล่นหนาในมือไปมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงจ้องมองเขาอยู่เหมือนเดิม
“…” แวนไม่ตอบอะไรและหันไปมองทางอื่นแทน
ฉันปิดหนังสือในมือลงแล้วก็สูดอากาศเข้าปอดก่อนจะลุกขึ้น แต่ตอนที่เท้าแตะพื้นฉันก็ต้องโงนเงนแทบจะเสียการทรงตัว แวนมองมาและทำท่าจะขยับตัว เมื่อฉันไม่ได้ล้มและยืนตรง ๆ ได้ เขาก็ยืนนิ่งอยู่เหมือนเดิม เกลียดท่าทีแบบนี้จัง
แต่ถ้าเขานอบน้อมทำตัวเหมือนกับพวกสาวใช้และพ่อบ้านที่ดูแลอยู่รอบตัวมันก็คงน่าเบื่อ เลี้ยงม้าตัวที่พยศไว้ดูแก้เบื่อมันก็น่าสนุกดีนี่นา
“นี่…” ฉันเรียกอีกที แวนก็ถอนหายใจก่อนจะขยับเนกไทที่คอให้หลวมขึ้นอีกหน่อย
ฉันมองแล้วก็แอบหัวเราะ ท่าทางแวนคงไม่อยากสวมชุดพ่อบ้านที่มีกระดุมหลายเม็ด รวมถึงเสื้อเชิ้ตตัวใน สูทตัวนอก แถมพ่วงด้วยเนกไทอย่างนี้แน่
“นายป่วยเหรอ” ฉันถามซ้ำและขยับตัวไปยืนอยู่ตรงหน้าของเขาเพื่อขอคำตอบอีกครั้ง
“รู้ได้ไง” เขาถามกลับมาอย่างไม่ยินดียินร้าย
ท่าทางไม่ใช่คนรับใช้สักนิด แบบนี้มันจองหองเกินไปแล้วนะแวน!
“ตาขาวที่ควรจะเป็นสีขาวแต่กลับเป็นสีแดง นัยน์ตาดำที่ควรจะเป็นสีดำสนิทกลับมัวไปด้วยขุ่นฝ้ามองไม่เห็นแววตา กล้ามเนื้อบนใบหน้าของนายเกร็งหลายแห่ง ผิวหนังหยาบกระด้าง เอ แต่นักฆ่าอย่างนายก็ต้องหนังหนาอยู่แล้วใช่มั้ย!?” ฉันถามแล้วก็ยกมือมาปิดปากหัวเราะ เมื่อเขาชักสีหน้าใส่
“เลือดของนายเริ่มเสียแล้ว สังเกตจากแผลที่ไม่ยอมหายสักทีที่คิ้วของนาย” พูดแล้วฉันก็แตะปลายนิ้วที่คิ้วของเขาไปด้วย
แวนทำท่าจะขยับตัวหนี แต่ฉันสั่งให้อยู่นิ่ง ๆ ทางสายตา
จากนั้นฉันก็ระมือเลื้อยไปแตะกับเส้นผมสีดำของเขาด้วย
“เส้นผมของนายกำลังจะกลายเป็นสีแดงและหยาบกระด้าง นายไปถูกพิษร้ายอะไรมาเหรอ” ฉันถามก่อนจะลดมือลงในที่สุด
ดวงตาของแวนมองมาแน่วนิ่งก่อนจะกำข้อมือฉันไว้แน่น เมื่อฉันทำท่าจะยื่นมือไปแตะมือเขาอีกสักครั้ง
“อย่าแตะตัวฉัน…”
“ที่เข้ามาเป็นองครักษ์ฉันเพราะว่าที่นี่เงินดีใช่มั้ย อยากจะเอาไปซื้อยารักษาตัวใช่มั้ย?”
ไม่ให้จับเหรอ ไม่จับก็ได้ ฉันคิดก่อนจะลดมือลง
“น้อยคนที่จะรู้ว่าเลือดของฉันมีคุณสมบัติยังไง” แล้วฉันก็ใช้เล็บที่คมกริบค่อย ๆ ทิ่มแทงลงไปที่ข้อมือของตัวเอง
“แต่ทรอยเห็นแล้ว ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เลือดฉันไหล ฉันจะไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งนั้น อีกอย่าง แผลฉันจะฟื้นฟูตัวเองเร็วมาก พ่อบ้านเคยบอกว่าเลือดของฉันมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนใคร มันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บและโรคร้ายบางอย่างได้ นายสนใจมั้ย?”
ฉันบอกและยื่นข้อมือที่เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา แววตาของแวนพลันไหววูบไปแวบหนึ่ง แต่ฉันไม่สนใจ
ความจริงที่โหดร้ายอีกอย่างสำหรับฉัน นอกจากจะเป็นดวงตาที่ไม่เหมือนใครแล้ว ร่างกาย เลือดเนื้อของฉันเองก็ด้วยเช่นกัน
มันพิเศษ จนฉันชักไม่แน่ใจว่าความจริงแล้วตัวเองคือใครกันแน่
“ฉันไม่ใช่แวมไพร์ ไม่ใช่หมาป่าที่จะต้องดื่มเลือดของเธอ อีกอย่าง เธออาจจะโกหกก็ได้ใครจะไปรู้…”
ในตอนที่แวนไม่ทันระวังตัว ฉันก็ใช้นิ้วป้ายเลือดจากข้อมือของแต้มลงที่ริมฝีปากของเขาทันที แวนทำหน้าตกใจและผลักฉันออกมา โชคดีที่ล้มลงกับโซฟาพอดีไม่อย่างนั้นมีหวังฉันได้หัวแตกเลือดอาบ และเขาต้องถูกฆ่าแน่
“เธอทำบ้าอะไรเนี่ย!” แวนสบถพลางมองหน้าฉันอย่างโมโห จากนั้นก็สะบัดตัวเดินหนีออกไปทันทีด้วยท่าทางฉุนเฉียว
“นายหนีชะตากรรมตัวเองไม่พ้นหรอกแวน”
ฉันพึมพำตามแผ่นหลังของแวนไป แม้จะมองจากด้านหลัง ก็ยังมองเห็นถึงความอวดดีและเอาแต่ใจของผู้ชายคนนั้นได้ ถ้าจะมีทาสซื่อสัตย์สักคน มันก็ต้องแบบนี้แหละ
“แล้วทรอยเป็นยังไงบ้าง” ฉันถามแวนตอนที่เขากำลังเช็ดอะไรสักอย่างอยู่มุมหนึ่งของห้อง
ช่างเป็นองครักษ์ที่น่ากลัวเสียนี่กระไร เขาดูป่าเถื่อนและพร้อมจะฆ่าเจ้านายได้ทุกเมื่อ มากกว่าจะคอยคุ้มครองให้ความปลอดภัย ฉันมองเขานิ่ง ๆ แล้วก็วาดรูปของตัวเองไปด้วย
ว่าแต่… ชะตากรรมของฉันที่ฉันทำนายให้ตัวเองไปล่ะ มันจะเดินทางมาถึงเมื่อไหร่นะ ฉันคิดแล้วก็ชะงักพู่กันที่กำลังจุ่มในจานสี เหม่อมองไปที่ทางอื่น
บานหน้าต่างที่หนาทึบแทบจะไม่มีอากาศให้ได้ใช้หายใจ แผ่นดินอยู่ตรงหน้าแต่ฉันคงไม่มีโอกาสได้เหยียบย่างเท้าตัวเองลงบนพื้นนั้น
“เมโอ!”
เสียงทุ้มดุของแวนเรียกให้ฉันหลุดออกจากภวังค์หลังจากที่เผลอคิดอะไรคนเดียวอยู่นาน หันไปมองก็เห็นว่าเขากำลังตบแมกกาซีนปืนพกอยู่ และจ้องหน้าฉันเขม็ง
“ว่าไง” ฉันถาม ลงมือระบายสีกับเฟรมผ้าใบตรงหน้าต่อ
“เธอยังนึกถึงหมอนั่นอยู่เหรอ ทรอยน่ะ” เขาถามและเอียงคอมองฉัน
ผู้ชายคนนี้รูปงามจริง ๆ แม้ว่าฉันจะไม่เคยชอบใครที่หน้าตามาก่อน แต่ก็อดที่คิดอย่างนั้นไม่ได้
แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้
ฉันไม่เคยหวังอะไรทั้งนั้นในชีวิต อาจจะเป็นเพราะคำสาปที่ตามหลังมาเป็นทิวแถวนั่น ทำให้ฉันไม่คิดจะมองรอบข้างได้เลย
ดวงตาสีดำกระจ่างเป็นแวววาว ดวงหน้าสวยได้รูป องค์ประกอบทั้งหมดนั่นทำให้ใบหน้าของเขาสวยราวกับผู้หญิง แต่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นนักฆ่าที่น่ากลัวไปได้
“พอเห็นนายก็นึกถึงทรอยขึ้นมาได้น่ะสิ” ฉันบอกพลางก้มหน้าลงมองผลงานตัวเองอีกครั้ง
“ฉันเหรอ?” เขาถามและหยิบปืนลูกโม่อีกอย่างขึ้นมาตรวจดู
“ใช่… พวกนายมีกลิ่นเหมือนกัน” ฉันบอกพลางหลับตาลง นึกถึงกลิ่นที่ลอยมาจากทั้งตัวของแวนและทรอยไปพร้อม ๆ กัน
“กลิ่น…”
“กลิ่นเลือดไง พวกนายกระหายเลือด ไม่เหมือนใครเลย” ฉันลืมตาขึ้นมาและส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าแวนเป็นฝ่ายนิ่งไป
“เธอนี่เหมือนหมาเลย จมูกไวได้แค่กลิ่นเลือดหรือไง” เขาพูดอย่างไม่จริงจัง แล้วก็หันไปมองของในมือต่อ
“หมาป่าเหรอ ลูก ๆ ของฉันน่ารักใช่มั้ยล่ะ” ฉันหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ลงมือระบายสีต่อ
“เธอนี่เหมือนพวกแม่มดเก็บกดชะมัดเลย”
“ฉันไม่ใช่แม่มดซะหน่อย” ฉันรีบเถียงแล้วก็ตั้งใจจะลุกจากโซฟาวงกลมที่นั่งอยู่
แต่แล้วก็สะดุดอะไรบางอย่างเข้า จนเซถลาหน้าเกือบจะคว่ำลงกับพื้น โชคดีที่แวนเข้ามารับร่างของฉันไว้ทัน พลันหัวใจก็เต้นแรงตึกตักเพราะคิดว่าตัวเองจะหัวแตกไปแล้วซะอีก
อืม ฉันแกล้งพูดไปอย่างนั้นแหละ หัวใจมันเต้นแรงขึ้นเพราะได้ใกล้ชิดผู้ชายคนนี้เข้าน่ะ
แวนนั่งคุกเข่ากับพื้นและรับตัวฉันไว้ทันทั้งที่อยู่ห่างตั้งไกล ใบหน้าของฉันซบลงที่อกกว้าง และมือข้างหนึ่งของเขาประคองแผ่นหลังของฉันเอาไว้ได้ อีกมือหนึ่งเขาก็ยังถือปืนไว้ตามเดิม สีหน้าที่เรียบเฉยเมื่อฉันเงยหน้าขึ้น ทำให้ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“เพราะเธอไม่ระวังตัวแล้วก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างนี้รึเปล่า ทุกคนทั่วโลกเลยหมายหัวเธอน่ะ ท่านเมโอ” เขาบอกเบา ๆ และน่าแปลกที่ฉันรู้สึกถึงความแปลกใหม่ที่หัวใจของตัวเอง
“พูดมากน่า นายนี่ก็แปลกนะ พูดมากกว่าที่เจอกันแรก ๆ เยอะเลย” ฉันตะเกียกตะกายลุกออกจากตักของเขาอย่างยากลำบาก
บ้าจริง… หัวใจของฉันเต้นแรง เพราะอะไรกัน
“ตอนแรกฉันนึกว่าเธอจะสวยแล้วก็เรียบร้อยกว่านี้น่ะสิ” แวนยิ้มเยาะ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากพื้นบ้างเดินไปทางเดิมและไม่หันมามองฉันอีกเลย
ฉันเป็นอะไรไปแล้วนะ
หลายวันผ่านไป ในที่สุดฉันก็ได้ออกจากคุกสักที
อย่าว่าฉันหยาบคายเลย แต่ที่ที่อยู่ตอนนี้เหมือนคุกไม่มีผิด
ฉันต้องนั่งเครื่องบินส่วนตัวไปทำนายดวงให้ใครบางคน ถึงการเดินทางจะนานไปสักหน่อยแต่ก็น่าสนุก
เมื่อตอนที่คุณอีธานมาบอกให้เตรียมตัวเดินทางไปข้างนอก ฉันก็หัวเราะได้เป็นค่อนวันอย่างมีความสุขแล้ว
“เธอจะบ้ารึเปล่า แค่นี้ก็หัวเราะยังกับคนบ้า” เป็นแวนที่เดินตามหลังและพูดแขวะ
ผู้ชายคนนี้นี่มันยังไงกันนะ เป็นคนรับใช้ของฉันแท้ ๆ แต่กลับวางมาดเป็นเจ้านาย นึกอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมา ไม่ได้เกรงใจกันเลยสักนิด
แต่แบบนี้สนุกกว่าอยู่กับคุณอีธานเยอะเหมือนกันนะ
“นายไม่รู้หรอก ว่ากว่าที่ฉันจะออกไปข้างนอกได้น่ะ มันนานแล้วก็ยากลำบากแค่ไหน” ฉันบอกพลางหันไปส่งยิ้มให้เขาด้วย
ในเมื่อแวนกวนประสาทกันก่อน ฉันก็จะกวนโมโหเขากลับ ให้มันรู้กันไปสิ ว่าฉันน่ะเป็นเจ้านายของเขาจริง ๆ ไม่ใช่เป็นแค่ลมปากเท่านั้น
อีกอย่างเห็นสีหน้าแววตาของเขาตอนโมโหแล้วมันน่าสนุกดีออก
“มิน่าล่ะ เธอถึงไม่โวยวายอะไรสักนิดตอนที่ทรอยพาเธอออกไปข้างนอกนั่น” เขาพูดอีกก็ถูกอีก ฉันยิ้มและพยักหน้าให้ไป
“แต่ทรอยน่ะไม่มีฝีมือเลย แป๊บเดียวก็ตามเจอซะแล้ว” ฉันบอกก่อนจะยกมือขึ้นชูบนอากาศสุดแขนแล้วก็บิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน
เสียงกรุ๊งกริ๊งที่เกิดจากสร้อยข้อมือของฉันกระทบกับกำไลของทรอยดังขึ้น ฉันเลยลดข้อมือตัวเองลงแล้วก็จ้องเขม็งที่กำไล ที่ไม่ว่าจะยังไงก็เอามันออกจากข้อมือตัวเองไม่ได้ มันทำด้วยกลไกอะไรก็ไม่รู้ ถึงตอนนี้ฉันก็ยังปลดมันออกไปไม่ได้
มันเป็นของของทรอย ที่ดื้อด้านเหมือนเจ้าของไม่มีผิด
“มีอะไรเหรอ” แวนคงจะเห็นว่าฉันเงียบไปนานเลยถามขึ้นมา
ฉันอยากจะถามเกี่ยวกับกำไลที่สวมอยู่ แต่พอนึกดูอีกทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่ากำไลนี้มันเล็กไปหน่อยเลยถอดไม่ออก คิดแล้วฉันก็ต้องขมวดคิ้วแน่นไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าตอนนี้ตัวเองคิดอะไรอยู่กันแน่
เอาเถอะ ช่างมัน
“นายเป็นอะไรกับทรอย มิตรหรือศัตรู” ฉันถามด้วยความอยากรู้
ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้จักกันมาก่อน แต่จะเป็นความสัมพันธ์แบบไหนฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ไม่ใช่ทั้งมิตร และศัตรู”
นิยายเรื่องนี้หมดสัญญากับทางสำนักพิมพ์แล้ว
มู่เลยนำมาทำ E-Book เองค่ะ
สามารถซื้อ E-Book ได้ที่ Meb เลยนะคะ
กดที่รูปปกใหม่เพื่อซื้อได้เลยค่ะ
ขอบคุณจากใจค่ะ
หรือ >>Click!!<<
ความคิดเห็น