ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HUNTER [X] LUPINE ล่าหัวใจยัยหมาป่า

    ลำดับตอนที่ #5 : HUNTER [X] LUPINE ✖ 02 You’re a Speed Hunter...100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.85K
      25
      18 ธ.ค. 64


     

    2

    You’re a Speed Hunter

    (...100%)

     

             ฉันอึดอัดแทบบ้าเมื่อต้องคลุมหน้าคลุมตัวไว้ด้วยผ้าคลุมที่มิดชิด มีผู้คุมขนาบข้างแน่นหนา ระหว่างที่เดินเข้าไปในยังโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง

             ลูกค้ารออยู่ที่นั่นแล้ว และฉันก็ต้องคลุมหน้าปิดบังหน้าตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครได้เห็นง่าย ๆ แต่ครั้งก่อนทรอยเห็นหน้าฉันไปแล้ว ไม่แน่ว่าภาพใบหน้าของฉันคงแพร่ไปหมดในหมู่นักล่าค่าหัวแล้วก็ได้

             เหมือนจะมีเรื่องยุ่งยากเพิ่มอีกอย่างแล้วสิ

             ฉันขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะทำงานเสร็จสักที แต่เอาเถอะ ทำงานเสร็จแล้วจากนั้นก็จะถึงเวลาเที่ยวเล่นของฉัน

             แวนท่าทางจะฝีมือเยี่ยม เพราะเขาเป็นคนเดียวที่อยู่กับฉันตลอดเวลาตอนที่ทำนายดวงชะตาให้ลูกค้าคนหนึ่ง ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้ว่าทำนายอะไรออกไป เพราะครั้งนี้ฉันมองหน้าลูกค้าแล้วก็เขียนคำทำนายส่งให้ไป จากนั้นก็ลุกออกมาให้คุณอีธานจัดการที่เหลือต่อ

             เป็นอันรู้กันว่าตอนนี้ถึงเวลาเที่ยวของฉันแล้ว แม้จะแค่สองชั่วโมงมันก็มีค่ากับฉันมาก

             “เร็ว ๆ เข้าสิ!” ฉันตะโกนเรียกแวนที่ทำหน้าไม่พอใจให้เดินตามหลังมาเร็ว ๆ เพราะเขาเอาแต่เดินทำหน้าเบื่อโลกลากเท้าทีละก้าวเหมือนไม่มีวิญญาณอยู่กับตัว

             ฉันอยู่ในชุดเดรสปกติตามแบบนิยมของสาว ๆ ทั่วไป เช่นเดียวกับแวนที่ก็แต่งตัวด้วยชุดลำลองเหมือนผู้ชายปกติทั่วไป มองผิวเผินแล้วไม่เหมือนนักฆ่าเอาซะเลย

             “ร้านไอศกรีมมันไม่หายไปไหนหรอกน่า รีบมากไปล้มแล้วขาหักจะทำยังไง” แวนพ่นลมหายใจเป่าผมตัวเอง มองหน้าฉันด้วยความเอือมระอา

             “นายแข็งแรงขึ้นแล้วใช่มั้ย” ฉันถามไปบ้าง และเห็นว่าแวนทำหน้าตกใจสุดขีด

             เขาลืมตาโพลงแล้วก็จ้องหน้าฉันเขม็งเหมือนว่านึกอะไรออก ฉันเองก็พอจะรู้ว่าที่เขาหายจากอาการบาดเจ็บอะไรสักอย่างนั่นก็เพราะเลือดของฉันหลายวันแล้ว

             เหมือนกับหมาป่าที่น่ารักของฉัน เมื่อไหร่ที่พวกมันบาดเจ็บกลับมา ฉันจะให้เลือดของตัวเองเพียงหยดสองหยดกับพวกมัน ไม่นานบาดแผลพวกนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และฉันเองก็ไม่แน่ใจว่ามีใครรู้ความลับเรื่องคุณสมบัติเลือดของฉันด้วยหรือเปล่า

             “ฉันอยากกินช็อกโกแลต แต่ก็กินไม่ได้” ฉันพึมพำแล้วก็ยื่นหน้าไปมองไอศกรีมใกล้ ๆ อย่างเสียดาย

             แวนไม่ตอบอะไร ฉันเองก็ไม่อยากจะเซ้าซี้กวนใจเขา เพราะไม่แน่ว่าหมอนี่อาจจะลากฉันกลับไปแน่ ฉันเลยเงียบแล้วก็มองเห็นอะไรบางอย่างเข้าพอดี

             “แวน ฉันอยากได้รูปนั้นน่ะ ใบหน้าผู้หญิงใหญ่ ๆ เลยน่ะ ไปซื้อให้ฉันหน่อยสิ จะรอตรงนี้” ฉันบอกพลางชี้นิ้วไปยังร้านไม้เก่า ๆ ร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินไปมาขวักไขว่

             รูปภาพที่บอกกับแวน เป็นภาพวาดจากสีน้ำมันที่สวยมาก ไม่รู้ว่าใครเป็นคนวาดและมีราคาไหม แต่ฉันอยากได้ และต้องได้ด้วย

             แวนมองตามสายตาของฉันแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

             “ให้ฆ่าคนร้อยคนยังง่ายกว่าการดูแลเธอแค่สองชั่วโมงเลยนะ” เขาบ่นแต่ก็เดินไปที่ร้านนั้นให้แต่โดยดี

             ฉันหันกลับมาสนใจไอศกรีมอีกครั้ง ส่งยิ้มให้พ่อค้าเมื่อเขาส่งไอศกรีมโคนมาให้พอดี

             “ขอบคุณค่ะ” ฉันบอกและจ่ายเงินให้ไป

             ระหว่างที่กินไอศกรีมและเดินตรงไปหาแวนที่กำลังซื้อรูปให้อยู่นั้น ฉันก็เหลือบตามองไอศกรีมที่ถืออยู่อีกครั้ง แย่แล้ว นี่มันรสช็อกโกแลต อีกอย่างฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้สั่งไอศกรีมเลยด้วยซ้ำ

             เวรแล้วไง

             อาการวิงเวียนศีรษะเริ่มเล่นงานฉันก่อนเป็นอันดับแรก ไม่นานไอศกรีมในมือก็ร่วงลงพื้น ตามด้วยตัวของฉันที่หมดแรงจนทรุดฮวบลงไป แต่ก็มีใครบางคนมาช้อนร่างเอาไว้ได้ เขาพาดร่างของฉันกับบ่าของเขา จากนั้นก็พาเดินไปที่ไหนสักที่ ในขณะที่ฉันหายใจไม่ออก รู้สึกปวดหัวไปหมด

             ใครกัน

           “แวนช่วยฉันที”

     

     

           ฝนที่เทลงมาทำให้กลิ่นต่าง ๆ ค่อย ๆ เลือนหายไป เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยกันแผ่วเบาทำให้ฉันลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่จึงจะเข้าใจว่าภาพที่เห็นเป็นภาพกลับหัว ฉันคงถูกใครคนหนึ่งแบกพาดบ่าไว้และค่อย ๆ เดินลัดเลาะเข้ามาในป่าที่หนาทึบ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดบางอย่าง

             ฉันมึนหัวไปหมด จับใจความสำคัญเสียงของคนที่แบกตัวมาไม่ได้เลย ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนแต่ก็ได้ยินเพียงเสียงที่ดังก้องในหูเท่านั้น

             หยดเลือดสีแดงที่ไหลจากปลายนิ้วขาวซีดของฉันตกกระทบกับพื้นดิน กลิ่นที่คุ้นเคยลอยเข้ามาแตะปลายจมูก ไม่นานมันก็ค่อย ๆ แพร่เป็นวงกว้าง ฉันถอนหายใจเมื่อรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกที่กำลังลากตัวฉันมาทำฉันเลือดตก อีกไม่นานพวกเขาจะเป็นฝ่ายแย่ซะเอง

             หมาป่าที่น่ารักของฉันน่ะคุ้นกับกลิ่นของฉันมากแค่ไหนพวกเขาคงไม่รู้ และอีกไม่นานพวกมันต้องไล่ล่าพวกเขาสุดชีวิตแน่

             “แวน” ฉันกระซิบชื่อขององครักษ์เลือดร้อน ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินเสียงของฉันไหม แต่ตอนนี้ฉันต้องการความช่วยเหลือ

             แม้จะสัมผัสได้ว่าคนพวกนี้ฝีมือไม่ถึงขั้นที่จะเอาชนะแวน หรือคนติดตามคนอื่น ๆ ได้ แต่พวกเขาคงไม่ลังเลที่จะฆ่าฉันทิ้งแน่ พวกนี้ไม่เหมือนทรอยที่ยังใจดีอยู่บ้าง กลิ่นสาบเลือดที่ติดตามเสื้อผ้าของนักล่าพวกนี้ทำให้ฉันอยากจะอาเจียน ภาวนาให้ใครสักคนตามมาช่วยก่อนที่ฉันจะไม่มีโอกาสได้หายใจต่อ

             ฉันสะดุ้งอีกครั้งเมื่อถูกจับวางให้นั่งพิงต้นไม้ใหญ่ หลังจากที่พวกเขาพาฉันเดินอยู่หลายชั่วโมงแล้ว ดวงตาของฉันเบิกกว้างขึ้นแล้วก็บอกตัวเองว่าคิดเอาไว้ไม่ผิดจริง ๆ คนพวกนี้ดูไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่แต่ก็น่ากลัวไม่น้อย ถ้าเกิดว่ามีอะไรผิดพลาดฉันคงจะตายอยู่แถวนี้

             ปากของฉันถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าหยาบ ๆ มันทำให้รู้สึกเจ็บแสบปนรำคาญนิดหน่อย แต่ฉันก็ไม่กล้าจะออกอาการอะไรมากเกินไป คอยจ้องมองแต่คนโน้นคนนี้เท่านั้น เมื่อไหร่ที่สบโอกาสอาจจะผิวปากเป็นสัญญาณเรียกใครสักคนมาช่วย

             ติดอยู่ที่ปากของฉันที่ยังมีผ้าปิดอยู่นี่แหละที่เป็นปัญหาตอนนี้

             “แน่ใจนะว่าคนนี้” เสียงพูดคุยและการชำเลืองมองมาทางฉัน ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาก็ยังลังเลว่าจะจับฉันไปดีหรือเปล่า

             ฉันสูดหายใจเข้าปอดอย่างยากลำบากก่อนจะหลบสายตาคนที่คิดว่าเป็นหัวหน้า แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่มุ่งตรงมาทางนี้จากไกล ๆ

             มีบางอย่างกำลังมา ฉันคิดแล้วก็หลับตาลงเพื่อที่จะไม่จุดสนใจมากเกินไป เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยรวมไปถึงกลิ่นอายอะไรบางอย่าง

             นั่นแหละ สิ่งที่ฉันคุ้นเคย

           ผ่านไปหลายนาที ฉันก็ถอนหายใจและค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นเมื่อเชือกที่ผูกแขนหลุดออกไปแล้ว คว้าเอาผ้าที่ปิดปากออกแล้วก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะเห็นเพียงคราบเลือดที่ยังเป็นคราบสาดกระเซ็นอยู่พื้นที่รอบ ๆ ใช้หลังมือเช็ดแก้มตัวเองก่อนจะกวาดตามองไปรอบตัว

             สุนัขป่า

           หมาป่าสีดำตัวใหญ่อยู่ตรงหน้านี่เอง มันเหยียบอกชายคนหนึ่งที่ไร้ลมหายใจไปแล้ว มีเพียงหยดเลือดจากตรงฝ่าเท้าเท่านั้น ที่บ่งบอกว่าก่อนหน้านี้สิ่งที่อยู่ใต้เท้าของมันนั้นเคยมีชีวิตและเลือดเนื้อ

           “ซัลเวีย... เธอใจร้ายไปแล้วนะ” ฉันพูดกับหมาป่าที่น่ารักของตัวเอง ก่อนจะปลดเอาเชือกที่รัดข้อมือออกไป

             ไม่ไหวเลย พวกนั้นมัดแขนฉันแทบจะร้าวแน่ะ อีกอย่างเลือดออกด้วย ฉันยกมือขึ้นเสยผมก่อนจะยกข้อมือขึ้นมาดมกลิ่นที่ติดอยู่ กลิ่นเลือดที่คุ้นเคย ที่เป็นเหมือนคำสาปที่ทำให้ไม่พบเจอความเจ็บปวดในตอนแรก แต่มันจะทวีความเจ็บปวดเมื่อตอนที่เลือดหยุดไหล

             จะตายเมื่อไหร่ก็ตอนที่เลือดไหล ถ้าเกิดว่าไม่รู้ตัวฉันก็จะตายอย่างไม่ทรมานนัก

             แต่ถ้าเกิดว่าเลือดหยุดไหล ฉันจะเจ็บปวดเจียนตาย และไม่แน่ว่าไม่นานต่อจากนี้ฉันก็จะตายจริง ๆ แล้วก็ได้

             “ซัลเวียมานี่สิ เลือดฉันไหล เอาไปสักหน่อยมั้ย มันน่าเสียดายมากเลยนะ” ฉันบอกก่อนจะแลบลิ้นเลียหยดเลือดของตัวเอง ก่อนจะหันไปมองหมาป่าสีดำนั่นทั้งตัว

             แต่วินาทีต่อมาตัวฉันก็ต้องแข็งทื่อขยับไปไหนไม่ได้ นี่ไม่ใช่ซัลเวียของฉัน

           สัตว์ป่าที่งดงามและแข็งแกร่ง มันไม่จำเป็นต้องส่งเสียงคำรามข่มขู่เหยื่อให้หวาดกลัวเลย เพียงแค่มันจ้องมองเงียบ ๆ เหยื่อที่ไร้ทางสู้อย่างฉันก็ขยับไปไหนไม่ได้แล้ว

             ดวงตาข้างหนึ่งที่เป็นสีน้ำเงินเจิดจ้า ดวงตาอีกข้างหนึ่งที่เป็นสีแดงเพลิง กำลังจ้องหน้าและออกคำสั่งให้ฉันนิ่งเงียบเข้าไว้

             แค่ตัวเดียวก็สามารถฆ่าพวกโจรพวกนี้ในคราวเดียว ไม่มีเสียงร้องโหยหวนเพื่อร้องขอชีวิต ไม่มีเสียงร้องที่หวาดกลัวความตาย แค่พริบตาพื้นที่ยืนอยู่ก็เต็มไปด้วยหยดเลือดที่คาวคลุ้ง ฉันยกมือขึ้นปิดปากตัวเองก่อนจะเห็นภาพทุกอย่างตรงหน้าพร่ามัวไปหมด

             เท้าทั้งแข็งแกร่งทั้งสี่ รอยเท้าที่เหยียบลงพื้นกว้างกว่าฝ่ามือของฉันที่กางเต็มที่ ดวงตาคมกริบจ้องมองไม่วางตา ขนหนานุ่มราวกับปุยนุ่น ฉันจ้องมองหมาป่าตัวใหญ่ด้วยหัวใจเต้นรัวแรง นัยน์ตาเป็นสีแดงเพลิงเริ่มเคลื่อนไหว เช่นเดียวกับดวงตาของฉันก็ไหวระริกไม่ต่างกัน

             ดวงตานั่นหมุนวงไปทางซ้ายและฉันก็ต้องเซถอยหลังไปด้วยความเวียนหัว อาการวิงเวียนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้พยุงร่างกายเอาไว้ไม่ไหว

             สิ่งเดียวที่รับรู้ได้ดวงตานั่น ฉันเคยมันจากที่ไหนมาก่อน

     

     

             แสงอาทิตย์ที่สาดส่องทำให้ฉันลืมตาอีกครั้ง อาการปวดแปลบที่แล่นไปตามกล้ามเนื้อ และเมื่อลืมตาขึ้นมาแสงแดดเป็นสิ่งแรกที่ทำให้ปวดหัว

             “เกิดอะไรขึ้นนะ” ฉันถามตัวเองก่อนจะค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้นมาจากพื้น แล้วก็เห็นใครคนหนึ่งที่กำลังแต่งตัวอยู่ตรงหน้านี่เอง

             ฉันสะดุ้งแล้วก็กระเถิบตัวจนชิดติดกับหัวเตียง กัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหันหน้ามามองอย่างช้า ๆ

             “ทรอย” ฉันพูดชื่อของเขาออกไป พร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

             “เจอกันแบบนี้อีกแล้วนะ” ทรอยบอกแล้วก็หันหน้ากลับไปทางเดิม พร้อมกับเดินไปเปิดประตูด้วยเท้า

             การกระทำที่ป่าเถื่อนนั่นทำให้ฉันมองทรอยอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ แต่ก็แอบโล่งใจอยู่ลึก ๆ ว่าอย่างน้อยก็เคยเป็นคนที่รู้จัก แม้จะไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า

             แล้วทรอยก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับโยนเสื้อผ้าชุดหนึ่งมาให้ ฉันปรายตามองเขาอย่างไม่พอใจแล้วก็ดึงมันออกจากหน้าของตัวเอง

             ผ้าแบบนี้ใส่จะใส่ลง! ฉันอยากจะตวาดใส่หน้าเขาแต่ก็ไม่กล้า เพราะตอนนี้เขาจ้องหน้าเขม็ง ถ้าหลุดพูดอะไรไม่รื่นหูสำหรับเขามีหวังได้ถูกขย้ำคอแน่

             ว่าแต่ หมาป่าตัวที่เจอนั่นมันอะไรกัน

             และทรอยตามหาฉันเจอได้ยังไงกัน ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด

             “นายจับฉันมาเหรอ” ฉันถามไปอย่างโง่ ๆ เพราะตอนนี้บรรยากาศมันเงียบมากเหลือเกิน ถ้าไม่ได้พูดอะไรสักอย่างอาจจะอึดอัดตายไปตรงนี้แน่

             “ใช่” เขาตอบกลับมาแสนสั้น ฉันก็กลายเป็นคนลิ้นไก่พิการอีกครั้ง

             ฉันไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงเลย สุดท้ายก็มองทรอยเงียบ ๆ เมื่อเขาดูปกติไม่มีท่าทางน่ากลัว ฉันก็เลื่อนตัวลงมาจากเตียง จากนั้นก็มองไปรอบตัว เห็นภาพที่ลอดผ่านหน้าต่างฉันก็เบิกตากว้าง ก่อนจะถลาเข้าไปเกาะกับบานหน้าต่างก่อนจะอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

             “ที่นี่!” ฉันร้องเสียงหลง หันไปมองทรอยที่กำลังหยิบเอาถาดอะไรบางอย่างเข้ามาในห้อง

             “ใช่ เรากำลังลอยอยู่กลางทะเล” เขาบอกเสียงเรียบแล้วก็วางถาดอาหารลงบนโต๊ะตัวเล็ก จากนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งจากจำนวนที่มีอยู่สองตัว

             “ไม่ตลกนะ นายจะพาฉันไปไหนน่ะ” ฉันมองหน้าอย่างเอาเรื่อง ต้องการคำตอบมากที่สุด

             แต่ทรอยไม่ตอบอะไรอย่างเคย นอกจากหยิบเอาแซนด์วิชขึ้นมาเคี้ยวและจ้องหน้าฉัน เหมือนจะถามว่า แล้วจะทำไม ฉันถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเจอสายตาท่าทางอย่างนั้นเข้าไป

             “นายจะเอาฉันไปขายเหรอ?” ฉันถาม แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม

             “ใช่

             นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาพูดคำว่า ใช่ที่น่าโมโหออกมา

             “ถ้าเธอทำนายดวงชะตาแม่นเหมือนตาเห็นอย่างที่แล้ว ๆ มา เธออาจจะถูกเลี้ยงไว้ในกรงไม่ตายง่าย ๆ หรอก” เขาพูดอย่างไม่เดือดร้อนพลางยักไหล่

             มันก็แน่ละสิก็เขาได้เงินและไม่ได้เสี่ยงตายเหมือนกับฉันนี่

             “ฉัน ฉัน” ฉันเริ่มจะทำอะไรไม่ถูก แถมคนตรงหน้าก็ไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด อย่างนี้เห็นทีว่าฉันคงต้องถูกขายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

             ท้องทะเลที่กว้างใหญ่แบบนี้ฉันไม่มีทางจะเรียกซัลเวียมาช่วยได้แน่ เพราะหมาป่าว่ายน้ำได้ไม่ไกล และเมื่อไม่มีกลิ่นมันก็ไม่มีทางจะหาฉันเจอ

             สุดท้ายฉันก็นั่งลงตรงข้ามกับทรอย เมื่อท้องบอกว่าเริ่มหิวควรจะหาอะไรทานได้แล้ว

             ฉันหยิบขนมปังเข้าปากและมองคนตรงหน้าที่เรียบเฉยไม่แสดงอาการอะไรทั้งนั้น แล้วทันใดนั้นฉันก็นึกอะไรบางอย่างออก เลยชูแขนข้างที่สวมกำไลของเขาไว้ให้ดู ทรอยปรายตามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก

             “เอามันออกไปจากแขนของฉัน” ฉันสั่ง แต่เขาไม่มองมาสักแวบ

             “เคยเห็นหมาที่มันสวมปลอกคอมั้ยเมโอ นั่นแหละ เครื่องหมายแสดงว่าเธอเป็นทาสของฉัน ฉันจะไม่ถอดจนกว่าจะส่งตัวของเธอไปให้คนที่จ้างวานฉันมา”

             “ฉันมีพ่อมีครอบครัวนะทรอย ทำแบบนี้ทำไมกัน!” ฉันตะคอกใส่ทรอย เมื่อเขาลุกและทำท่าจะเดินไปที่ไหนสักที่

             “ทรอย!” ฉันหวีดเสียงร้องอีกครั้ง ให้เขาประสาทเสียตายไปเลย

             ให้มันรู้ไปสิ ว่าฉันจะอาละวาดไม่ได้ แม้ว่าในตอนนี้ฉันจะไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียงอะไรเลยก็ตาม

             “เพราะว่าฉันก็มีพ่อแม่เหมือนกันน่ะสิท่านเมโอ เพราะงั้นฉันถึงต้องจับตัวเธอเอาไว้” พูดจบทรอยก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ฉันนั่งขบฟันด้วยความแค้นใจอยู่คนเดียว

     

     

             เขามีความจำเป็นต้องใช้เงินอย่างนั้นเหรอ ฉันคิดในใจตอนที่เดินตามหลังทรอยไปเงียบ ๆ

             ที่นี่คือที่ไหนก็ไม่รู้ มีแต่ป่าเขาเต็มไปด้วยต้นไม้ที่สูงชันแผ่กิ่งก้านที่ดูน่ากลัว แต่ไม่นานเมื่อลัดเลาะผ่านไปได้เราก็เดินมาถึงเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง แต่ที่นี่คงจะมีแต่ผู้คนที่ร่ำรวยมากแน่ เพราะสิ่งปลูกสร้างแถวนี้ดูมั่นคงสวยงามราวภาพวาดในเทพนิยาย ผู้คนก็ดูมีฐานะแทบไม่มีใครแต่งตัวด้อยไปกว่ากัน

             ตอนนี้ฉันนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่และมีทรอยเดินจูงมันไปเรื่อย ๆ ฉันมีผ้าคลุมหน้าผืนหนึ่ง มองแผ่นหลังคนจูงม้าเดินนำหน้าอยู่อย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

             ทรอยปฏิบัติกับฉันดีทีเดียว แต่อะไรบางอย่างก็บอกเตือนอย่างรุนแรงว่าเขาคือตัวอันตราย มีผู้หญิงไม่น้อยที่มองเขา เมื่อสายตาของพวกเธอมองเห็นฉัน พวกเธอก็ถอนหายใจแล้วก็พากันเดินออกห่างไป

             แม้จะไม่รู้อะไรมากนัก แต่ก็มั่นใจว่าอาจจะเป็นเพราะฉันนี่แหละ

           แต่ท่าทางนั้นมันหมายความว่ายังไงกัน น่าหงุดหงิดชะมัด

             “ลงมา” แล้วทรอยก็รวบเอวของฉันก่อนจะกระชากลงจากอานม้าโดยที่ไม่ทันตั้งตัว

             กว่าจะตั้งตัวได้ฉันก็เผลอกอดคนตัวสูงเข้าไปแล้วเต็มสองแขน หัวใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินเสียงหัวใจของเขาดังชิดอยู่ที่ข้างหู

             มันเป็นอาการอะไรกันแน่น่ะ ที่เมื่อได้ยินเสียงหัวใจของใครบางคนเต้น มันจะทำให้เราสงบลงในที่สุด

             อาการแบบนี้ มันเป็นอะไรกัน ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจมันเท่าไหร่ รู้เพียงแค่ว่าชายคนนี้กำลังทำให้ฉันปั่นป่วนหวั่นไหวจนแทบจะทนไม่ไหว

             “เดี๋ยวเราจะต้องนั่งรถไฟไปอีกนิด” เขาบอกก่อนจะเดินจูงทั้งฉันและม้าตัวใหญ่ให้เดินไปยังที่หนึ่ง ที่ต้องลัดเลาะไปตามถนนเส้นเล็ก ๆ อย่างระมัดระวัง

             เมื่อไปถึงฉันก็เห็นว่าที่นี่เป็นโรงเลี้ยงสัตว์จำพวก ลา ม้า และวัว เขาคุยกับเจ้าฟาร์มอยู่สองสามประโยค ซึ่งฉันฟังไม่ถนัดว่าพวกเขาพูดอะไรกันแน่

             แต่แวบหนึ่งที่ชายชราคนคนนั้นมองเห็นฉัน เขายิ้มและเดินจากไป

             เหลือเพียงแค่ทรอยที่เดินตรงเข้ามาหาฉันเรื่อย ๆ โดยมีแค่สีหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดทั้งนั้น เมื่อมาถึงก็คว้ามือฉันไป ทำให้กำไลสองวงกระทบกันเกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊งไม่หยุด ฉันปรายตามองเขา และชั่วขณะที่เห็นดวงตาของเขาเปลี่ยนไป

             ทรอยทำท่าถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบดวงตาตัวเอง และไม่ลืมกระตุกมือให้ฉันเดินตามด้วย

             “อย่าคิดตุกติกนะ ฉันปาดคอเธอได้ทุกเมื่อถ้าเธอคิดจะหลบหนี” เขาเอ่ยเตือนเบา ๆ เมื่อเราเดินปะปนกับฝูงชนในเมืองนี้

             ดูเหมือนว่าทรอยกำลังสกัดกลั้นรังสีฆ่าฟันที่ค่อย ๆ เอ่อขึ้นมาจากในตัวอย่างสุดความสามารถ มันทิ่มแทงร่างกายของฉันจนรู้สึกได้ แต่น่าแปลกที่ฉันดูคุ้นเคยกับสัมผัสเช่นนี้ และไม่รู้สึกหวาดกลัวเขาแม้แต่น้อย

             “เราจะไปไหน” ฉันถามและหอบนิดหน่อยเมื่อเราเดินได้สักระยะหนึ่งแล้ว

             ฉันเกลียดร่างกายของตัวเองมันดูเหมือนไม่ใช่ร่างกายของฉัน พร้อมจะจากไปทุกเมื่อถ้าเกิดว่าไม่ทันระวังตัวแล้วละก็

             “ไปบ้านของฉัน” ทรอยตอบสั้น ๆ แล้วไม่นานนักเราก็มาหยุดยืนอยู่ในรถไฟอย่างที่เขาพูดเอาไว้

             ฉันนั่งลงที่นั่งว่างที่เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนหนึ่ง ทรอยขยับตัวเข้ามาบังร่างของฉันเอาไว้จากคนอื่น ใช้แขนข้างหนึ่งคร่อมไว้เหนือหัวของฉัน และก้มหน้าลงมาจนเกือบชิดหน้าของฉัน เพื่อข่มขู่ไม่ให้ฉันได้ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คนรอบข้าง

             เกลียดท่าทางแบบนี้ของเขาจัง

             มีผู้หญิงรวมไปถึงผู้ชายอีกหลายคนจ้องมองมาทางนี้ แต่รังสีอำมหิตของทรอยทำให้พวกเขาไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้มากกว่านี้ ฉันเองก็หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดหน้าผากของตัวเองอย่างแผ่วเบา

             “นายจะทำอะไรกับฉันกันแน่” ฉันเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ

             และอีกครั้งที่เห็นแววตาของเขาเปลี่ยนไป

             มันดูคล้ายกับดวงตาของฉัน ตอนที่ทำนายโชคชะตาให้ผู้คน

             นี่มันหมายความว่ายังไงกัน

             “เดี๋ยวเธอก็รู้เอง” ทรอยบอกเสียงเรียบ

             และหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรต่อกันอีกเลย

     

     

             ฉันเดินตามหลังทรอยไปเรื่อย ๆ เสียงกระทบของสร้อยข้อมือของฉันเองกับกำไลที่เขาสวมไว้ให้แต่แรก มันดังกรุ๊งกริ๊งฟังดูน่าหนวกหูรำคาญ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นเพื่อนช่วยไม่ให้ต้องรู้สึกกลัวความเงียบที่ปกคลุมรอบตัว ที่นี่มืดมากจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร มีเพียงแค่คบไฟจากชายชราคนหนึ่งที่นำทางอยู่ข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ

             เรามาถึงที่ไหนก็ไม่รู้ ทรอยพาฉันเดินข้ามสะพานที่ทำด้วยไม้ เมื่อเหยียบเท้าลงไปก็ได้ยินเสียงลั่นของไม้เอี๊ยดอ๊าดน่าตกใจว่ามันจะพังลงไป แล้วร่างของพวกเราจะหล่นลงไปในแม่น้ำ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เรายังเดินต่อไปได้เรื่อย ๆ ฉันก็อดไม่ได้ที่หันหลังมองตามทางที่เดินผ่านมาด้วยความกลัว

             ที่นี่ ที่ไหน ฉันไม่รู้ ไม่รู้เลยสักนิดว่าจะมีใครตามมาช่วยบ้างหรือเปล่า ฉันไม่อาจจะขัดขืนอำนาจจากดวงตาของทรอยได้เลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่

             และเมื่อภาพตรงหน้าค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนในสายตา ก็เห็นว่าที่นี่เป็นปราสาทที่ใหญ่โต แม้จะเก่าแก่แต่ก็ยังมีมนตร์ขลังดึงดูด ทรอยฉุดฉันให้เดินผ่านประตูเข้าไปเงียบ ๆ เช่นเดียวกับคนนำทางที่ถอยไปอีกทางอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกัน

             “ที่นี่มันอะไรกันน่ะ” ฉันถามด้วยความกลัว พลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

             “บ้านฉันเอง” เขาตอบ ขณะฉันทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ

             คฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้เขากลับเรียกมันว่าบ้านอย่างนั้นเหรอ มันเหมือนปราสาทที่มีผู้คนมากมายอยู่ด้วย

             แต่ที่มันดูแตกต่างออกไป และฉันอธิบายไม่ถูกว่ามันเป็นยังไงกันแน่

             “นายพาฉันมาทำไม” ฉันอยากจะเดินหนี แต่ติดที่กำไลกำลังรัดข้อมืออยู่ทำให้ขยับตัวไปที่อื่นไม่ได้อย่างที่ใจคิด

             “พาเธอกลับบ้าน” เขาบอกและพาฉันเดินผ่านเข้าไปในตัวคฤหาสน์โดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม

             ฉันเหม่อมองดูภาพที่อยู่โดยรอบด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด มันเหมือนกับที่ที่เคยอยู่มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นหอคอยที่สูงลิ่วหรือว่าจะเป็นบ้านหลังน้อยใหญ่ที่ผ่านมา มันมีกลิ่นอายบางอย่างที่เหมือนกัน

             “นี่ฉันคิดว่า” เสียงของฉันขาดหายไปเฉย ๆ เมื่อเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า

             ฉันยกมือปิดปากก่อนจะเซถอยหลังและล้มลงกับพื้นกับภาพที่เห็น ร่างกายชายิบไปหมดจนพยุงร่างกายไม่ได้ หน้ามืดเวียนหัวเหมือนทุกอย่างจะดับลงได้ในพริบตา

             เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ในม่านสายตา คือร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้สี่เสา เธอหลับสนิทราวกับว่าเป็นภาพวาดอันงดงาม และเหมือนอยู่คนละโลกที่ไม่สามารถเอื้อมถึง

             และที่ทำให้ฉันต้องตกใจสุดขีด ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เพียงแค่ผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้าราวกับฉันเป็นพิมพ์เดียว เหมือนมากจนน่ากลัว

             ทรอยนั่งลงบนเตียงนั่น จับปอยผมที่ยาวมากของเธอคนนั้นขึ้นมาจรดปลายจมูก ไม่ละสายตาจากหน้าของฉันเลยแม้แต่น้อย

             “สงสัยมั้ยว่าทำไมพวกเธอถึงมีใบหน้าที่เหมือนกัน” เขาถามพลางจ้องหน้าฉันแน่วนิ่ง

             ฉันเลื่อนสายตามองผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ผิวของเธอซีดขาวจนน่ากลัว ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน คล้ายภาพวาด คล้ายรูปั้น

             น่ากลัวจับใจว่าเธอจะหายใจแล้ว

             และที่น่ากลัวที่สุดคือการใบหน้าของเธอกับฉัน เหมือนกันราวกับพิมพ์เดียวกันอย่างไรอย่างนั้น

             “เพราะนี่คืออีกครึ่งหนึ่งของเธอยังไงล่ะ เมโอ

     


    นิยายเรื่องนี้หมดสัญญากับทางสำนักพิมพ์แล้ว

    มู่เลยนำมาทำ E-Book เองค่ะ

    สามารถซื้อ E-Book ได้ที่ Meb เลยนะคะ

    กดที่รูปปกใหม่เพื่อซื้อได้เลยค่ะ

    ขอบคุณจากใจค่ะ




    หรือ >>Click!!<<





    Song :: Black Coyote- Unspoken Farewell
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×