ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HUNTER [X] LUPINE ล่าหัวใจยัยหมาป่า

    ลำดับตอนที่ #3 : HUNTER [X] LUPINE ✖ 01 The Horizon is Drifting Away...100%

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11K
      44
      7 ธ.ค. 64



    1

    The Horizon is Drifting Away

    (...100%)



              ฉันก้มหน้าลงมองอะไรบางอย่างที่ปักอยู่บนโต๊ะ

           ใบไม้และมีหยดเลือดติดอยู่ มีใครบางคนตั้งใจใช้ใบไม้นี่ตัดเส้นเลือดที่ข้อมือของฉัน ดีที่กำไลเงินที่สวมอยู่ช่วยสะท้อนใบไม้ที่พุ่งมาให้ลดความเร็วลงไป แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ตกใจเพราะมันเร็วมากและไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด

             ถ้าครั้งหน้าเป้าหมายของมันไม่ได้อยู่ที่ข้อมือ แต่เป็นต้นคอของฉันล่ะ

             ฉันคิดแล้วก็ค่อย ๆ หันไปมองรอบตัวอย่างช้า ๆ ไม่ออกอาการพิรุธ มีคนอื่นนอกจากนักล่าค่าหัวคนอื่น ๆ รู้ด้วยเหรอ ว่าฉันคือเมโอ นักทำนายชื่อดัง แถมยังต้องการจะเอาชีวิตของฉันด้วย

             มีบางอย่างพุ่งตรงมาทางนี้อีกครั้ง แต่ฉันขยับร่างกายไม่ทัน ไอสังหารพุ่งมาจากรอบทิศและกดให้อะไรบางอย่างนั่นพุ่งตรงมายังฉัน เป้าหมายตอนนี้น่าจะเป็นต้นคอละมั้ง ฉันรีบยกมือขึ้นมากุมต้นคอตัวเองไว้อย่างรวดเร็ว

             สายตาพร่าไปหมดเมื่อมีมีดสั้นสีเงินเล่มหนึ่งพุ่งมาอีกทาง มันตัดใบไม้สีเขียวสดใสให้ฉีกเป็นชิ้น ๆ และฉันก็รอดตายอย่างหวุดหวิด

             เขาคนนั้น นักล่าค่าหัวที่พาตัวฉันออกมาจากหอคอยได้

             หน้าตาของเขาเรียบตึง เดินเข้ามาฉุดต้นแขนของฉันให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้

             มีดที่ปามาก่อนหน้านี้ฝีมือของเขาอย่างนั้นเหรอ

             “เช็ดเลือดของเธอซะ มันจะดึงดูดนักล่าทั้งคนและไม่ใช่คนเข้ามา” เขาบอกเสียงเรียบ ฉันก็เลยยกมือขึ้นมาดูดเลือดตัวเองที่ติดตรงข้อมือทันที

             “ฉลาดไม่เบานี่ เพราะถ้าใช้ผ้าหรือเสื้อเช็ดกลิ่นเลือดจะยังอยู่ แต่ถ้าดูดกลืนมันไปซะก็จะไม่มีใครได้กลิ่น” เขาบอก แต่ไม่รู้ว่ากำลังชมอยู่หรือเปล่า

             “ข่าวเล็ดลอดออกมาแล้ว ว่าเธอถูกลักพาตัวออกมาจากหอคอยนั่น ถ้าเธอพูดเมื่อไหร่ ฉันฆ่าเธอแน่” เขาขู่อีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอ่านอารมณ์ไม่ออก

             “ฉันไม่เข้าใจ ก็ในเมื่อนายลากฉันออกมาแบบนี้ก็แสดงว่านายอยากได้เงินที่เป็นค่าหัวของฉัน แต่ทำไมนายถึงจะฆ่าฉัน ถ้าฉันขัดขืน” ฉันถามอย่างไม่เข้าใจ ต้องเดินตามเขาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะกำไลที่รัดข้อมือฉันอยู่

             ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่หรอก แต่มันน่าหงุดหงิดมากน่ะ

             “เงินฉันก็อยากได้ แต่ถ้าแลกกับชีวิตตัวเอง ฉันสามารถฆ่าเธอเพื่อเอาตัวรอดได้เหมือนกัน”

             “งั้นเหรอ นี่คงเป็นคุณสมบัติของนักฆ่าสินะ” ฉันถามและครั้งนี้มองเห็นหน้าเขาชัดเจนขึ้น

             “ฉันเลือดเย็น ไร้ความปรานี ไร้ความรู้สึกใด ๆ เหมือนมีดเล่มนี้”

             แล้วจู่ ๆ เขาก็หยุดเดินและหันกลับมาเผชิญหน้ากับฉัน

             พร้อมกันนั้นเขาก็ปามีดไปด้านหลัง กลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องเอะอะจากด้านหลังของฉัน บอกให้รู้ว่ามีดที่ปาไปเมื่อกี้นั่นมันคร่าชีวิตของใครบางคนไปแล้ว

             “ฉันพร้อมจะฆ่าเธอได้ทุกวินาที ถ้าเธอขัดขืนแล้วละก็

     

           “คมเขี้ยวที่แหลมคม ดวงตากระหายเลือด

           สองขา สองแขนเหนื่อยล้า หัวใจเต้นช้าลง

           วันคืนหมุนเวียนผ่านหมุนเวียนวนครบเดือน

           หากแต่ปฏิทินฉีกขาดไม่ครบปี ร่างกาย หัวใจไม่เหมือนเดิม

    ที่เพิ่มเติมคือสมบัติล้ำค่า นำมาพร้อมกับความแค้นและชิงชัง

           สิ่งที่ปรารถนาได้มาเพียงครึ่ง อีกครึ่งดับสูญหายสลายไป”

     

             ฉันพูดจบพร้อมกับดวงตาของคนตรงหน้าที่เบิกกว้างขึ้น

             “นายคิดว่าฉันทำนายได้เพียงแค่เขียนลงบนกระดาษเหรอ นี่เป็นสุดยอดของตอบแทนที่นายทำให้ฉันได้ออกมาพบเจอโลกภายนอกเลยทรอย

             ดวงตาที่เบิกกว้างของเขาเบิกกว้างขึ้นอีก และมองหน้าฉันอย่างไม่เชื่อสายตา

             ตกใจที่ฉันพูดคำว่า ทรอย ออกไปเมื่อกี้เหรอ

             “เธอรู้จักชื่อของฉันได้ยังไง” เขาถามด้วยสีหน้าเหมือนตกตะลึง

             ไม่มีใครสังเกตเราเลยตอนที่เราหยุดเดินและกระซิบคุยกันกลางถนนแบบนี้ ช่างน่าแปลกใจจริง ๆ

             “นักทำนายที่น่ากลัวที่สุดในโลกอย่างฉันรู้ดีทุกอย่าง นายเห็นดวงตาของฉันแล้วใช่มั้ยทรอยแล้วก็ออกมาเถอะ แวน ฉันรู้ว่านายอยู่ตรงนี้”

             สิ้นคำพูดของฉัน ปรากฏร่างผู้ชายคนหนึ่งที่เดินออกมาจากมุมตึกเงียบ ๆ เขาดึงฮู้ดปิดหน้าตัวเองมากขึ้น ก้าวตรงมาอย่างมั่นคงและจ้องหน้านักล่าค่าหัวที่ชื่อทรอยเขม็ง รวมถึงฉันด้วยเช่นกัน

             เขาคนนั้นคือ แวน

             “หูของฉันได้ยินเสียงรอบตัวเกือบ ๆ ห้ากิโลเมตร ดวงตาของฉันมองเห็นอนาคตของพวกนาย เป็นทาสฉันสิ แล้วฉันจะบอก ว่ามีอสุรกายอะไรบ้างที่กำลังวิ่งไล่หลังของพวกนายมา”

             ฉันเชิดหน้าขึ้น มองทรอยและแวนด้วยรอยยิ้ม

           ชายสองคนนี้มีบางอย่างที่ฉันยังไม่รู้ และฉันมองทะลุเข้าไปไม่ได้

             “ฉันไม่น่าจะลืมเลย ว่าเธอคงไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาที่ดูอนาคตได้แม่นยำเท่านั้น” ทรอยกระซิบเสียงเหี้ยมลอดไรฟันออกมาอย่างแค้นใจ

             “ยังมีสิ่งที่โสตประสาทไวกว่าหูของฉัน หมาป่าที่ฉันเลี้ยงก็มีราว ๆ สิบตัว มันพร้อมจะพุ่งตัวเข้ามาฉีกเนื้อพวกนายเป็นชิ้น ๆ ถ้าฉันผิวปากเรียกมันมาที่นี่เมื่อไหร่ พวกมันทั้งฝูงจะวิ่งตรงดิ่งมาที่นี่ บอกฉันสิ ทรอย แวนว่าพวกนายคือทาสของฉัน”

     

     

             “แล้วจะเอายังไงดี…. ทำไมพวกนายไม่ตอบอะไรเลย” ฉันเอียงคอมองพวกเขา เมื่อเห็นว่าชายทั้งสองคนไม่พูดจาอะไรทั้งนั้น

             อวดดี น่าโมโหชะมัด ให้ตายเถอะ พวกเขามองหน้ากันไปมา

             ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้จักกันมาก่อนด้วยหรือเปล่า แต่ท่าทางนั่นมันบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นผู้ชายที่หยิ่งยโสทะนงตัวเองจนน่าหมั่นไส้ และฉันไม่ชอบพวกคนแบบนี้มากถึงมากที่สุดด้วยสิ

             “เอาเถอะ แล้วไปก็แล้วกัน อ้อ ทรอย คำทำนายเมื่อกี้ของฉันน่ะ สิบล้านเชียวนะ” ฉันบอกก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปาก

             แต่ก็เหมือน เดิมสีหน้าเขาไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น

             ไม่ตกใจสักหน่อยหรือไงกับทำนายนั่น หรือว่าเขาตีความมันไม่ออก

             อ้อ อย่างนั้นเองสินะ พวกผู้ชายที่ดีแต่ใช้กำลังร่างกายมักจะสมองไม่ดี ฉันคิดในใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะไม่แน่ว่าถ้าเผลอหลุดปากออกไปแล้ว เขาจะเข้ามากระชากหลอดลมฉันออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยไหม

             “ไปนะ ถ้าไม่อยากให้สัตว์เลี้ยงที่แสนน่ารักของฉันฉีกเนื้อของพวกนายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ไปซะ ฉันเองก็ไม่อยากจะได้พวกนายมาเป็นทาสรับใช้เหมือนกัน ท่าทางของพวกนายไม่เลี้ยงไม่เชื่องยิ่งกว่าเจ้าหมาบ้าที่รักของฉันซะอีก” ฉันบอกแล้วก็ยกมือสะบัดผมที่เคลียไหล่ออกไป

             คนพวกนี้น่ากลัวเกินกว่าที่ฉันจะเข้าไปยุ่งด้วย พวกเขาคงไม่ใส่ใจถึงเรื่องความผิดอะไรถ้าเกิดว่าจะเด็ดหัวฉันเพื่อที่จะเอาตัวรอด เพราะฉะนั้น ควรอยู่ให้ห่างจากคนพวกนี้ไปซะจะดีกว่า

             แต่พอเดินได้สองสามก้าวฉันก็เจ็บแปลบที่ข้อมือ เมื่อกำไลที่สวมบนข้อมืออยู่ออกฤทธิ์ด้วยการรัดเข้าแรง ๆ จนฉันต้องนิ่วหน้าไปมองทรอยด้วยความหงุดหงิด

             “พูดเองเออเองพอใจแล้วใช่มั้ย อยากจะรู้เหมือนกันว่าสัตว์ที่มีแต่สัญชาตญาณความชั่วร้ายอย่างหมาป่าที่น่ารักของเธอน่ะ มันจะทำยังไงถ้าฉันเอาเธอมาขวางฉันเอาไว้!” ทรอยพูดด้วยท่าทีที่ทำเหมือนอยู่เหนือกว่า มันน่าโมโหแล้วก็น่าหมั่นไส้รวมด้วยจริง ๆ

           “ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าถ้าพวกมันพุ่งมาแล้วมันยังจะแยกแยะเธอออกจากฉันได้มั้ย?” ทรอยถามเสียงเยาะ จากนั้นฉันก็ต้องเดินเซไปหาเขาอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

             บ้าจริง กำไลที่มันรัดข้อมือฉันแน่นขึ้น แน่นขึ้น จนต้องเดินเข้าไปใกล้เขานั่นแหละ อาการที่รัดรึงข้อมือเลยลดลง ฉันมองเขาอย่างหงุดหงิดใจที่ยังไงก็หลุดจากสถานการณ์นี้ไม่ได้สักที

             แวนที่อยู่ข้าง ๆ พวกเราตลอดเวลาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และมองฉันอย่างพิจารณา

             “เขาว่ากันว่า เทพธิดาพยากรณ์น่ะรูปงาม และจิตใจดีมีเมตตาเป็นกุลสตรีไม่ใช่เหรอ?” แวนพูดพลางมองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก แต่ริมฝีปากที่ขยับเอ่ยคำดูเหมือนจะเย้ยหยันฉันอยู่ตลอดเวลา

             ไอ้นักล่าค่าหัวนี่ทำไมถึงชิงชังคนอื่นที่มีฐานะทางสังคมที่เหนือกว่าล่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย หรือว่าเขายากจนไม่มีเงินเลยต้องผันตัวเองมาเป็นนักล่า คงจะเป็นอย่างนั้นสินะ เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่รับงานเถื่อน ๆ น่ารังเกียจอย่างนี้หรอก

             กลิ่นเลือดที่ลอยตามลมมาจาง ๆ ทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก

             พวกเขาฆ่าคนมาทั้งหมดกี่คนแล้วนะ

             “ปล่อยฉันไปดีกว่านะ เพราะถ้าพวกนายจะพาฉันไปและไม่ปกป้องคุ้มครองฉันน่ะ ฉันก็ไม่เอาเหมือนกัน ไอ้ฉันก็นึกว่าจะดูแลกันดี ๆ จนหนีออกไปเที่ยวข้างนอกได้อย่างสบายใจสักหน่อย นี่มันอะไรกัน ท่าทางของพวกนายบอกว่าพร้อมจะฆ่าฉันได้ทุกเมื่อ ถ้าเกิดมีอันตรายอะไรเข้ามาถึงตัว” ฉันทำเสียงเยาะและมองหน้าของทั้งสองคนอย่างไม่พอใจ

             มีทาสก็เหมือนต้องติดโซ่ตรวนที่เกะกะปลดไม่ออก แล้วฉันจะมีไปเพื่ออะไรล่ะ

             สู้รออยู่บนหอคอยและรอคอยใครบางคนเข้ามาช่วยเหลือไม่ดีกว่าเหรอ แต่ฉันจะปลดพันธนาการจากข้อมือของตัวเองยังไงดีนะ

             “เธอไม่รู้จักพวกฮันเตอร์ดีพอน่ะสิ” ผู้ชายที่ชื่อแวนกระซิบบอกมา

             ภายนอกของพวกเขาดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาแถวนี้ แต่ท่าทางของทั้งคู่กลับดึงดูดอะไรแปลก ๆ ตามมาด้วย อาจจะเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งที่ควรจะมีของพวกนักล่าละมั้ง

     

     

           แล้วฉันก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าไม่ต่ำกว่าสิบจำนวนคนหรือไม่ก็ตัวกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ ฉันพ่นลมหายใจก่อนจะใช้ปลายนิ้วข้างหนึ่งปิดเปลือกตาข้างซ้าย ให้เนตรสีแดงข้างขวาได้ทำอะไรบางอย่างเงียบ ๆ

             มาแล้ว

           “ให้ตายสิ!” เสียงไม่ของทรอยก็ของแวนนี่แหละที่ดังขึ้น

             แล้วทรอยก็คว้าข้อมือของฉัน จากนั้นก็ลากให้ออกมาทันที

             “พวกนายจมูกไวไม่เบา” ฉันบอก ยอมเดินตามแรงรั้งแต่โดยดี

             อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะหลบลูกหมาป่าที่แสนน่ารักของฉันได้นานแค่ไหน มันก็น่าสนุกเหมือนกันนะ อีกอย่างฝูงหมาป่าที่ฉันเลี้ยงเอาไว้น่ะ ทำไมมันจะไม่รู้จักฉันล่ะ ในเมื่อฉันให้นมให้น้ำและทำหน้าที่แทนแม่ของพวกมันทุกอย่าง ตั้งแต่พวกมันยังไม่ลืมตาได้เลย

             “นักล่าผู้น่าสงสาร” ฉันพึมพำเบา ๆ แล้วก็หัวเราะ มันคงกวนโมโหพวกเขาอยู่ไม่น้อยละมั้ง

             “ถ้าเธอยังพูดมากอีก ฉันจะเอาผ้าปิดตาปิดปากเธอ!

             “นายคิดเหรอว่าปิดตาปิดปากฉันแล้วจะทำอะไรได้ ขนาดอนาคตที่ไม่มีใครมองเห็น ฉันยังเห็นภาพของพวกนายได้เลย” ฉันบอกแล้วก็แกล้งทำเป็นเดินเอื่อยเฉื่อย ทำให้คนที่จูงมือฉันอยู่ต้องออกแรงมากขึ้นและกระชากแขนให้วิ่งตาม

             วิ่ง

           นั่นสิ เท้าของฉันไม่เคยแตะพื้นแล้วก็วิ่งอย่างนี้เลยสักครั้งนับตั้งแต่จำความได้ เพราะอย่างนั้นฉันเลยยกแขนอีกข้างขึ้นกลางอากาศ และวิ่งตามหลังคนที่จูงมือไปอย่างมีความสุข แต่วิ่งได้ไม่กี่ก้าวฉันก็ต้องล้มกับพื้น

             คนอย่างฉันไม่เคยเลยที่จะได้ออกกำลังกายอะไรหรอก เป็นเหมือนตุ๊กตาที่ถูกชักใยและเชิดด้วยเส้นด้ายเท่านั้นเอง

             “เธออยากจะให้ฉันฆ่าเธอตรงนี้เลยใช่มั้ย!?” ทรอยตะคอกอย่างหงุดหงิด และฉันก็เงยหน้าขึ้นมองเขา

             เลือดกำเดาของฉันไหลเพราะแรงกระแทกเมื่อกี้ ฝ่ามือก็เปรอะไปด้วยรอยเลือดด้วยเช่นกัน ไหนจะข้อเท้าที่เจ็บมากนั่นด้วย

             “ดูเหมือนว่าข้อเท้าของฉันจะหักแล้วละ ทิ้งฉันไว้ตรงนี้ก็ได้นะ” ฉันบอกและส่งยิ้มให้ทรอย

             แวบหนึ่งที่ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นมา

             “เธอเป็นตัวอะไรกันแน่น่ะ ร่างกายทำด้วยแก้วหรือไงถึงได้บอบบางแบบนี้!” เขาตวาดเสียงดังอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าสงสัยของเขาทำให้ฉันอยากจะหัวเราะ

             และแวนเองก็หายไปแล้ว

             โธ่ฉันตั้งใจว่าจะเก็บเขาเอาไว้เป็นทาสรับใช้ที่น่ารักสักหน่อย หายไปจนได้สิน่า แย่จัง

             “บอกก่อนนะ กลิ่นเลือดฉันจะช่วยนำทางหมาป่าของฉันตรงมาทางนี้ ถ้าไม่อยากจะเอาชีวิตมาเสี่ยงตรงนี้ ไปซะเถอะ” ฉันยันตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากพื้น แต่ก็ต้องทรุดฮวบลงไป เพราะขามันรับน้ำหนักเอาไว้ไม่ไหว และเลือดก็ไหลทะลักออกมามากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นที่ปากหรือว่าจมูก

             หงุดหงิดแล้วแฮะ

             ทรอยมองมาอย่างไม่เชื่อสายตาและคงไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเหมือนกัน

             “ฉันจะบอกนายตามตรง ฉันน่ะพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อถ้าเกิดว่าเลือดมันชโลมตัวฉัน” ฉันบอกและชูฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเลือดให้เขาดู

             “เมื่อไหร่ที่ฉันหลั่งเลือดความรู้สึกต่าง ๆ ของฉันจะหายไป เลือนหายไป ไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะทำให้ฉันเจ็บน่ะ อย่าทำให้ฉันเลือดไหล บีบคอให้ฉันตาย หรือให้กำไลนี่รัดแขนของฉันก็ได้ แต่ถ้าข้อมือฉันขาดไปแล้วละก็ ความรู้สึกของฉันจะหายไปทันทีเมื่อเลือดไหล” ฉันบอกพลางแลบลิ้นขึ้นมาเลียหยดเลือดของตัวเอง

             “นี่เป็นคำสาปของฉันน่ะ เมื่อไหร่ที่ฉันหลั่งเลือดฉันจะไร้ความรู้สึก และตายอย่างสงบ”

             “หมายความว่ายังไง” ทรอยถามอย่างไม่เข้าใจ สายตาของเขามองฉัน และมองไปด้านหลังของฉันสลับไปมาอย่างสงสัยร้อนรน

             “นายคงไม่รู้หรอกว่าหมอดูนักพยากรณ์น่ะแปดเปื้อนมากแค่ไหน ฉันบาปหนายิ่งกว่าใคร ๆ บนโลกนี้ทั้งนั้น” ฉันบอกแล้วก็ยื่นมือไปคลำข้อเท้าที่บวมช้ำจนน่ากลัว

             ความเจ็บปวดหายไปเมื่อหยดสีแดงไหลรินออกมาจากร่างกาย มันเป็นคำสาปหรือตราบาปกันแน่ก็ไม่รู้ คำทำนายของฉันทำให้ใครหลายคนต้องเสียชีวิต ทำให้ใครหลายคนหวาดกลัวจนเสียสติ ทำให้ใครหลายคนเปลี่ยนแปลงไปราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

             จากคนดีกลายเป็นคนร้าย จากคนร้ายกลับกลายเป็นอีกคน

             ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปทุกวันนี้มันดีหรือเปล่า และฉันจะอยู่ไปทำไมกันก็ยังไม่แน่ใจ เมื่อได้สบตากับทรอยแน่วนิ่งฉันก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง

             “แล้วถ้าเลือดหยุดไหลล่ะ” เขาถามและขมวดคิ้วอย่างอยากรู้

             “เจ็บสิ ฉันร้องจะเป็นจะตายเลยละ บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าระหว่างเลือดไหลกับเลือดหยุดไหล อย่างไหนมันดีกว่ากัน” ฉันหันหลังมองกลับไปยังเส้นทางแคบ ๆ ที่ทรอยพาลัดเลาะเข้ามา

             “พวกนั้นมาแล้วละ ไปซะก่อนที่มันจะฉีกเนื้อนายเป็นชิ้น ๆ” ฉันเช็ดเลือดให้หมดไปอย่างรำคาญ จะอะไรก็ไม่ดีสำหรับฉันทั้งนั้นแหละ

             อาการเจ็บปวดเริ่มกลับเข้ามาเล่นงานอีกแล้ว ไม่ทันไรหมาป่าตัวที่ฉันรักและผูกพันมากที่สุดก็วิ่งเข้ามาเกือบจะถึงตัว

             ขนหนานุ่มสีดำสนิท ดวงตาที่เปล่งประกายสีแดงกระหายเลือดนั้นทำให้ฉันรู้ว่ามันกำลังโกรธจัด ฝุ่นสีน้ำตาลอ่อนละเอียดราวกับเยื่อกำมะหยี่ปลิวลอยคลุ้งมาเป็นทาง มันเกือบจะกระโจนลอยข้ามตัวฉันและพุ่งเข้าใส่ทรอยที่ยื่นตัวแข็งทื่อขยับตัวไม่ได้แล้ว

             “ลูฟฟ์” ฉันเรียกชื่อของมันเป็นเสียงกระซิบ และมันก็ชะงักฝีเท้าทันที

           “ไม่เป็นไร

             ท่าทีแข็งกร้าวนั่นจึงหายไป แทนที่ด้วยหมาป่าตัวใหญ่สีดำเชื่อง ๆ ตัวหนึ่ง มันทิ้งพวงหางให้เรี่ยไปกับพื้นส่ายไหวไปมาน้อย ๆ ก่อนที่มันจะเดินเข้ามาสอดหัวใต้วงแขนของฉัน และช่วยเลียบาดแผลที่เกิดขึ้นให้ฉันด้วย

             “น่าสะอิดสะเอียนสินะ แต่นี่แหละตัวตนจริง ๆ ของฉัน รวมไปถึงทาสของฉันด้วย” พูดจบเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่อยากสบตากับเขาอีก

             “ไปซะฉันหมดเวลาที่จะเดินเล่นแล้วละ”

             ฉันบอกแล้วก็ก้มหน้าลง หมดเวลาสนุกแล้วสิ เพราะตอนนี้ลูฟฟ์คงจะบอกตำแหน่งที่อยู่ของฉันไปเรียบร้อยแล้ว ไม่นานหมาป่าทั้งฝูงจะกรูเข้ามาทางนี้ แน่นอนว่าถึงจะเป็นฮันเตอร์ฝีมือเยี่ยมมากแค่ไหนก็คงต้านไม่ไหว ฉันสบตากับทรอยแล้วส่งยิ้มให้เขา

             “ขอบฟ้าของฉันกับขอบฟ้าของนายมันรัศมีแตกต่างกัน เพราะงั้น นายไปซะเถอะ”

             ฉันมองใบหน้าของทรอยไม่ชัด เพราะทัศนวิสัยเริ่มพร่ามัวทีละน้อย

             ของฟ้าของคนอื่นอาจจะอยู่ใกล้ แต่ของฉันสุดเอื้อมมือก็ยังไปไม่ถึง ไกลสุดไกลฉันก็ยังมองเห็นหน้าของใครบางคนไม่ชัด

             และเมื่อรับรู้ถึงการมาของใครบางคน สติของฉันก็เหมือนจะหลุดลอยออกไปจากร่างได้ทุกเมื่อ ปลายนิ้ว ฝ่ามือที่อบอุ่น เจ้าของไออุ่นที่ฉันไม่มีวันจะมองเห็น

             คำสาปอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันทุกข์ทรมาน

             และเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น

    *****

     

     

             “เธอพาคนของผมออกมาเดินเล่นนานเกินไปแล้วนะ”

             เจ้าของเสียงทุ้มต่ำฟังดูไพเราะราวกับเสียงของเครื่องดนตรีชั้นดีพูดขึ้นมาแผ่วเบา เขาเดินมาถึงร่างบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่ฟุบหลับอยู่กับหลังของหมาป่าตัวใหญ่ไม่ได้สติ

             นัยน์ตาสีดำมองไปยังนักล่าที่ยังมีฝีมือไม่ถึงขั้น แต่ก็นับว่าไม่เลวที่พาหญิงสาวคนนี้ออกมาได้ไกลเกือบจะออกจากเมืองได้

             “ผมอยากจะฆ่าคุณเหมือนกัน แต่ฆ่าไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น คุณยังเด็กอยู่ละสิ ถึงได้ไม่รู้ว่าอะไรคืออันตราย และไม่รู้จักความกลัว”

             เขายังคงพูดต่อ ตรงเข้าไปช้อนร่างของหญิงสาวนักพยากรณ์ที่มีค่าตัวล้ำค่าขึ้นมา เส้นผมสีดำหนานุ่มปรกคลุมใบหน้าของเขาไว้เพียงบางส่วน แต่ถึงอย่างนั้นคนมองก็ยังมองเห็นบางอย่างที่หลุดลอดออกมาจากสายน่ากลัวคู่นั้นได้

             “ผมไม่สนหรอกนะว่าคุณเป็นใครมาจากไหน แต่ถ้าไม่มีธุระอะไรก็กลับไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ”

             ชายนิรนามพูด ทำท่าจะอุ้มหญิงสาวไปที่ไหนสักที่

             ทำให้คนมองร้อนใจจนทนไม่ไหวที่จะต้องพูดออกไป

             “เดี๋ยว! นายเป็นใคร”

             ทรอยถามเสียงกร้าว รู้สึกเหมือนถูกดวงตาของเมโอแม่หมอนักทำนายเล่นงานอย่างจัง ดวงตาที่เหมือนจะมองเห็นสีแดงและสีน้ำเงินเรืองรองลอยออกมาจาง ๆ ให้สังเกตได้ ยังติดตรึงในความทรงจำจนถึงตอนนี้

             มันน่าหงุดหงิดที่ไม่ว่าอย่างไรก็สลัดมันออกจากหัวไม่ได้เลย

             ดวงตาคู่นั้นงดงามจับใจ และแฝงด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่อาจจะหยั่งได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

             “ผมเหรอ ผมเป็นผู้ปกครองของเมโอน่ะ” เขาคนนั้นส่งยิ้มให้ทรอยอีกครั้ง

             “แล้วเมโอล่ะ เธอเป็นอะไรกันแน่ วิ่งแค่นิดเดียวก็ข้อเท้าหักแล้ว มันเรื่องบ้าอะไร เลือดนั่นด้วย!” ทรอยร้องถามอย่างไม่เข้าใจ

             ดูเหมือนว่าหมอดูที่ค่าตัวสูงที่สุดในโลกจะมีบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่ ไม่แน่ว่าหากเขารู้ล่วงถึงความลับนั้น อาจจะเป็นประโยชน์ต่อเขา และอาจจะ

           “กลไกป้องกันการหลบหนีของเมโอน่ะ เธอเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้น่ะ ไม่มีอะไรมากมาย”

             ชายปริศนาเอ่ยขึ้นแล้วก็เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงชายเสื้อโค้ทที่สะบัดไปตามแรงลมเท่านั้น

             “ลูฟฟ์กลับมา” เขาสั่งอีกคำ ทำให้หมาป่าสีดำนัยน์ตาสีแดงเพลิงกระดิกหาง ขยับตัวกระโจนแผล็วไปข้างกายคนพูดทันควัน

             “นี่! นายเป็นใครกันแน่น่ะ!” ทรอยตะโกนถามอีกครั้ง แต่คนฟังไม่ใส่ใจที่จะรับรู้

             เขาคนนั้นกอดกระชับอ้อนแขนตัวเอง ดันให้ร่างของเมโอขยับเข้ามาซุกซบกับอกมากขึ้น เดินไปขึ้นรถที่จอดเทียบอยู่ใกล้ ๆ ตรอกที่เพิ่งเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ

             “พวกคุณสั่งคนดูแลท่านเมโอยังไงน่ะ” เขาวางร่างเล็กของเมโอลงกับเบาะหลังของรถคันหรู เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

             แต่น้ำเสียงนั้น คนสนิทรู้ดีว่า นายท่านคนนี้กำลังฉุนจัด

             “เอ่อ พวกผมผิดไปแล้วครับ ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น” คนสนิทก้มหน้าก้มตาด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมองนายท่านให้เต็มตา ด้วยกลัวว่าชีวิตของตนเองจะดับสิ้นไปเมื่อได้สบตากับคนที่เป็นเจ้านาย

             “ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะ ว่าบอดี้การ์ดที่หอคอยจะหละหลวมขนาดนี้ ตอนนี้เลือดเธอไหล ข้อเท้าหัก และอีกเดี๋ยวเธอจะต้องกรีดร้องด้วยความทรมานตอนที่แผลจะสมาน บอกผมหน่อยสิ ว่าผมควรเอาความหงุดหงิดพวกนี้ไปทิ้งยังไงดี” คนเป็นนายพูดขึ้น ยกมือขึ้นมาเท้าคางมองหน้าคนสนิทอย่างคุกคาม

             “แผล เลือด!” ข้าบริวารของชายหนุ่มนิรนามถึงกับหายใจเข้าปอดไม่ได้ เมื่อได้ยินเรื่องราวที่น่าตื่นตกใจ

             เห็นชัดว่างานนี้ต้องมีหยดเลือดสาดกระเซ็นเซ่นแทนหยดเลือดของท่านเมโอแน่คนสนิทคิดและไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจ

             “ใช่ตอนนี้เธอหมดสติเพราะเลือดยังไม่หยุดไหล ข้อเท้าหัก ไม่นานคงไข้ขึ้น และบอกตรงนี้เลยว่าผมหงุดหงิด”

             กล่าวจบ กระจกรถข้าง ๆ คนสนิทก็ลั่นเปรี๊ยะ ตามด้วยสายลมที่เย็นยะเยือกไหลผ่านบานกระจกที่แตกร้าวนั่นเข้ามา พัดผ่านร่างคนสนิทที่กำลังตัวสั่นให้สั่นไหวมากขึ้นกว่าเดิม

             “เตรียมที่พักให้เมโอใหม่ ผมไม่อยากจะให้เธอพักที่หอคอยอีกแล้ว” นายท่านของทุกคนถอนหายใจออกมา

             ทำให้หลายคนได้มีโอกาสได้ผ่อนลมหายใจของตัวเองตามไปด้วย

             ปลายนิ้วเรียวสวยราวกับปลายนิ้วของอิสตรี ลูบไล้ใบหน้าที่งดงามราวกับประติมากรรมชั้นดีของหญิงสาวที่หลับใหลแผ่วเบา ดวงตาคมดุอ่อนแสงลงเมื่อคิดหาที่พักที่ปลอดภัยให้กับเธอใหม่

             “แล้วคนที่พาตัวท่านเมโอไปละครับ เอ่อ

             “ฆ่ามันซะ เพราะกลิ่นเลือดของมันน่าสะอิดสะเอียน!

     

    นิยายเรื่องนี้หมดสัญญากับทางสำนักพิมพ์แล้ว

    มู่เลยนำมาทำ E-Book เองค่ะ

    สามารถซื้อ E-Book ได้ที่ Meb เลยนะคะ

    กดที่รูปปกใหม่เพื่อซื้อได้เลยค่ะ

    ขอบคุณจากใจค่ะ




    หรือ >>Click!!<<





    Song :: Suns and Stars - Really Slow Motion - Pan
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×