คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Venture Love 🌺 01 You Got Me Beggin’ ...100%
1
You Got Me Beggin’
(...100%)
กุลฉัตรแยกย้ายกับเพื่อนเพื่อกลับหอพักซึ่งอยู่ในกำกับของมหาวิทยาลัย เธอเลือกที่จะอยู่หอในแทนที่จะไปอยู่ข้างนอกเหมือนเพื่อนคนอื่น เพราะอยู่ในมหาวิทยาลัยเลยไม่ต้องเสียเวลากับการเดินทางให้วุ่นวาย ส่วนคนอื่นมีบ้านอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยจึงเลือกที่จะอยู่กับครอบครัวแทน
อันที่จริงแล้ว นักศึกษาส่วนมากของที่นี่มักจะเป็นนักศึกษาที่ได้รับทุนการศึกษา ไม่ได้มีพื้นเพมาจากครอบครัวร่ำรวยเท่าไหร่นัก ที่นี่จึงมีแต่คนเก่งสมกับทางมหาวิทยาลัยที่ต้องการคัดเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อจะได้ทำงานในเครือกิจการของโดโนแวนต่อไป
ดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างมากที่จะเข้าเรียนที่นี่ ทำเกรดให้ดีเพื่อที่จะได้รับการคัดเลือกในสายงานของโดโนแวน ที่ให้ค่าตอบแทนสูง เพื่อชีวิตที่ยากลำบากจะได้สบายขึ้นอีกนิด
เธอสอบชิงทุนที่นี่ได้ก็เป็นตอนที่ครอบครัวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งบิดามารดา แม้จะเสียศูนย์อย่างหนัก แต่กุลฉัตรก็พยายามบอกตัวเองว่าชีวิตก็ไม่แน่นอน มักเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้เสมอ ดังนั้นจึงพยายามตั้งใจเรียนส่งเสียตัวเองและมีอนาคตความเป็นอยู่ที่นี่ขึ้น
และเมื่อคิดถึงเดวิโกคนนั้น เธอก็อดอิจฉาไม่ได้…
เขานั้นคงเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีพร้อมแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่แสนอบอุ่นหรือทรัพย์สินเงินทอง ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามันจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในปัจจุบันนี้มากแค่ไหน
“อย่าไปอิจฉาเขาเลยฉัตร คนเอาเลือกเกิดไม่ได้…” เธอบอกตัวเองตอนที่ทิ้งตัวบนเตียง ในความทรงจำก็คิดไปถึงแม่หนูน้อยดาวเรืองที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูคนนั้น
สาวน้อยผู้น่ารักสดใสคนนั้นก็คงอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นพรั่งพร้อมทุกอย่าง ดูแล้วดารกาก็มีมากเกินพอ จนอดเอามาเทียบกับตัวเองเมื่อตอนที่เป็นเด็กตัวเล็กเท่า ๆ กันไม่ได้
“อิจฉากระทั่งเด็ก แกเพี้ยนไปแล้วฉัตร!” เธอด่าตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นเข้าห้องน้ำจัดการอาบน้ำให้รู้สึกสดชื่น ตั้งใจว่าจะนั่งทำรายงานหลังจากนั้น แต่เมื่ออาบน้ำแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ซื้ออะไรมาทานเลย จึงแต่งตัวเพื่อไปโรงอาหารตั้งใจจะไปซื้อกับข้าวและกาแฟไว้ตอนดึก
ตอนที่เดินตรงไปยังโรงอาหารเธอก็ได้เจอกับแม่หนูดารกาอีกหน แม่หนูตัวน้อยกำลังรับแก้วน้ำหวานจากผู้ชายตัวใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นคนคุ้มกันของสาวน้อย
บอดี้การ์ด? กุลฉัตรถามตัวเอง ไม่อยากเชื่อว่าเด็กตัวเล็ก ๆ คนนั้นจะมีบอดี้การ์ดคุ้มครองแล้ว
“ดาวเรือง หนูดาวเรืองหรือเปล่าคะ?”
เจ้าของชื่อดาวเรืองหันขวับตอนที่ได้ยินชื่อตัวเองถูกเรียก
“พี่สาว!” แม่หนูยิ้มกว้าง จำได้ว่าเคยเจอกับอีกฝ่ายมาแล้ว
“พะพะพะพี่…” ดารกาติดอ่างเพราะไม่ค่อยได้เรียกชื่อใครนอกจากคนในครอบครัว นอกจากนั้นชื่อของกุลฉัตรยังฟังยากออกเสียงลำบากมากด้วย
“พี่ฉัตรค่ะ” กุลฉัตรตอบให้ ดารกาเองก็พยายามพูดต่อทันที
“พะพะพี่ฉาด…”
จากฉัตรกลายเป็นฉาด… แต่ถึงอย่างนั้นกุลฉัตรก็ยิ้มตามเดิมไม่เปลี่ยน เด็กตัวเล็กแค่นี้พูดชัดเจนได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
“หนูมาทำอะไรตรงนี้คะ…” ร่างบางย่อตัวต่อหน้าแม่หนูตัวน้อยที่ดูดน้ำหวานจนแก้มพอง ได้ยินเสียงกลืนน้ำลงคออึก ๆ บอกให้รู้ว่ากระหายน้ำมากแค่ไหน
“มารอปาป๊าค่า…”
“อ้อ…” กุลฉัตรครางตอบ พอจะเข้าใจว่าแม่ดอกดาวเรืองคงมารอเดวิโกนั่นเอง เธอยืดตัวขึ้นส่งยิ้มให้การ์ดตัวโตที่ทำหน้าที่ดูแลคุณหนูแล้วก็ตั้งใจจะไปซื้ออะไรทาน
“ขอบคุณหนูมากนะคะดาวเรือง ถ้าไม่มีหนูพี่คงไม่ได้เกียร์แน่เลย” หญิงสาวยกมือลูบผมยุ่งหยักศกนุ่มมือของเด็กตัวน้อยครั้งด้วยความเอ็นดู เห็นวงหน้าเล็กน่ารักตีหน้ายุ่งเหมือนไม่เข้าใจอะไรที่เธอพูดไป
“เกียร์… คืออารายค้า!”
“มันเป็นจี้ห้อยน่ะค่ะ ถ้าวันหลังยังเจอกันเดี๋ยวพี่จะเอาให้หนูดูนะคะ” หญิงสาวย่อตัวอีกครั้งพลางฉีกยิ้มกว้างสดใสให้สาวน้อย ดารกาเองก็ยิ้มสดใสให้ไปเช่นเดียวกัน
“พี่ไปก่อนนะคะ”
“พี่จะไปหนายคะ” ดารการ้องเรียกพี่สาวตรงหน้าเอาไว้ ซึ่งหญิงสาวก็หยุดเดินพร้อมกับหันมาคุยด้วย
“พี่จะไปกินข้าวค่ะ หิวมากยังไม่ได้ทานอะไรเลย หนูล่ะ กินอะไรมารึยัง” เสียงหวานถามไป และเห็นว่าสาวน้อยส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนที่จะหันไปคุยกับคนติดตาม
กุลฉัตรฟังได้ใจความว่าคุณหนูตัวน้อยขอไปกินข้าวกับเธอ ซึ่งบอดี้การ์ดตัวใหญ่ทำหน้าลังเลใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ทนลูกตื้อของดารกาไม่ไหวยอมใจอ่อนในที่สุด
“คุณหนูทานเผ็ดไม่ได้นะครับ” เฟร็ด คนติดตามเดวิโกบอกกับกุลฉัตร ตอนที่สองสาวต่างวัยจูงมือกันเดินตรงไปยังโรงอาหาร
“โอเคค่ะ…” กุลฉัตรตอบเสียงหวาน ถามดารกาหลายอย่างว่าอยากจะทานอะไรหรือเปล่า
ด้วยการเลี้ยงดูจากครอบครัวที่มีสายเลือดไทยทำให้ดารกาสั่งอาหารหลายอย่างที่เคยกินออกมาทันที กุลฉัตรหัวเราะเพราะเด็กตัวแค่นี้รู้จักอาหารอีสานแซ่บ ๆ ซะด้วยสิ
“มันเผ็ดหรือเปล่าครับคุณหนู” เฟร็ดถามอย่างไม่ค่อยสบายใจ เขาเองก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเดวิโก ถูกเลี้ยงดูมาพร้อมกัน เพราะครอบครัวทำงานให้โดโนแวนมานานแล้ว และได้กลายมาเป็นคนสนิทที่ไปไหนด้วยกันทุกที่ จึงได้เรียนรู้ภาษาไทยเช่นเดียวกัน
“ม่ายค่า…” ดารกาตอบ ตอนที่ตักลาบหมูไม่เผ็ดมากเข้าปาก
ถึงมันจะไม่เผ็ดมากแต่สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่อายุไม่เต็มสามขวบก็ทำให้แก้มป่องของหนูน้อยแดงจัด ริมฝีปากบวมเห่อเพราะความเผ็ดร้อนจนเฟร็ดไม่ยอมให้กินอีก
“ไม่ได้ครับคุณหนู กินไม่ได้!”
“ดาวเรืองจากิน!” ดารกาดื้อดึงงอแงเพราะถูกขัดใจ ซึ่งกุลฉัตรก็เห็นด้วยว่าไม่ควรให้เด็กตัวเล็กมากินอะไรเผ็ดเกินไปจึงพูดปลอบ
“กินไก่ทอดดีกว่านะคะดาวเรือง ลาบหมูมันเผ็ดไปนะคะ”
“ดาวเรืองอยากกินลาบ…” แม่หนูน้อยยืนยันเจตนาเดิม แต่ไม่มีใครยอม
เฟร็ดเองก็ส่ายหน้าไม่ยอมผ่อนปรน พอมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก็ให้ความสนใจกับสายที่โทรเข้ามาไม่มองหน้าของดารกา กุลฉัตรเองก็กลัวว่าแม่หนูน้อยจะเผ็ดมากเลยลุกไปซื้อน้ำมาให้
“รอพี่ฉัตรเดี๋ยวนะคะ ปากหนูแดงมากเลย เดี๋ยวพี่ฉัตรจะซื้อน้ำมาให้นะคะ”
ดารกาพยักหน้าหงึกหงักไม่ได้สนใจคำพูดของพี่สาวเท่าไหร่ เพราะตอนนี้กำลังน้ำตาคลออ้อนลุงเฟร็ดขอกินลาบอยู่
“คุณหนูอยู่โรงอาหารครับ พอดีเจอพี่สาวที่เคยเจอกันละมั้งครับ เลยมาทานข้าวกับหล่อน ตอนนี้จะกินอะไรไม่รู้ให้ได้ ที่เป็นหมูสับเผ็ด ๆ น่ะครับ ผมไม่ให้กินเลยร้องไห้ใหญ่” เฟร็ดรายงานกับเดวิโกที่โทรถามถึงลูกสาวตัวน้อยว่าอยู่ที่ไหนยังไงแล้ว
“ลาบหมูละมั้งน่ะ…” เดวิโกคิดแล้วก็อ่อนใจ บทดาวเรืองจะดื้อก็น่ากลัวไม่น้อยเลย
“เดี๋ยวฉันจะไปที่นั่นเอง รอหน่อยแล้วกัน…”
“ครับ…” เฟร็ดรับคำ
และเป็นจังหวะที่กุลฉัตรกลับมาพร้อมกับนมถั่วเหลืองเย็นเฉียบ
เธอคิดว่านมน่าจะช่วยล้างความเผ็ดได้มากที่สุดเพราะลองกับตัวเองมาแล้ว รีบส่งให้ดารกาที่ยังงอนยกมือเขย่าแขนเสื้อบอดี้การ์ดหนุ่มไม่หยุด
“ดื่มนี่หน่อยค่ะ จะช่วยล้างเผ็ดได้นะคะ”
เพราะไม่มีใครยอมให้กินลาบต่อ ดารกาเลยรับเอานมถั่วเหลืองมาจากมือของกุลฉัตรและดื่มมันเข้าไป
แต่ด้วยความรีบร้อนทำให้หนูน้อยสำลัก สร้างความตกใจให้ทั้งเฟร็ดและกุลฉัตรอย่างมาก กุลฉัตรเข้าไปประคองและด้วยความไม่ได้ตั้งใจทำให้กระแทกกับร่างเล็กเข้า ทำให้ดารกายิ่งสำลักเข้าไปอีก คราวนี้หนูน้อยร้องไห้หน้าดำหน้าแดง นมทะลักออกมาทางจมูกสร้างความแสบร้อนจนร้องไห้จ้า
กุลฉัตรตกใจจนหน้าซีด แทบจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อสถานการณ์วุ่นวายมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้เลยสักนิด
เฟร็ดอุ้มตัวคุณหนูแล้วพาเดินออกมาทันทีเพื่อจะพาไปส่งโรงพยาบาล ระหว่างนั้นก็โทรหาเจ้านายเพื่อให้ไปเจอกันที่ลานจอดรถเลย โดยที่กุลฉัตรตามไปด้วย พยายามจะดูอาการและปลอบใจแม่หนูน้อย แต่เข้าไปไม่ถึงตัวเสียที
เดวิโกเองก็รีบวิ่งไปยังลานจอดรถ เห็นลูกสาวยังไอหอบไม่หยุดยิ่งกว่าตกใจ หัวใจเหมือนหล่นไปกองที่พื้น เข้าไปกอดตัวแม่ดอกดาวเรืองไว้แน่น
“โอ๋ ๆ ลูก ไม่เป็นไรนะคะลูก หายใจเข้าลึก ๆ ลูก” ชายหนุ่มจะร้องไห้ตามลูกสาวให้ได้ เห็นน้ำตาและหน้าแดง ๆ ของดารกาทั้งโกรธทั้งตกใจ หันไปมองเฟร็ดและกุลฉัตรที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยความโกรธ ยิ่งโดยเฉพาะหญิงสาวที่ดูเหมือนจะถูกมองอย่างไม่พอใจมากกว่าบอดี้การ์ดหนุ่ม
“คุณเอาอะไรให้ลูกผมกิน!” เขาถามเสียงแข็ง ร้อนใจที่ดารกายังหอบไอไม่หยุดเสียที
“นมถั่วเหลืองค่ะ แกสำลัก… ฉันขอโทษ” กุลฉัตรน้ำตาซึม กลัวจนไม่รู้จะวางตัวอย่างไร
“บ้าเอ๊ย! ดาวเรืองแพ้ถั่วเหลือง เฟร็ดเอารถออก” หัวใจคนเป็นพ่อหล่นวูบ เช่นเดียวกับกุลฉัตรที่ได้ยินก็หน้าซีดเผือดในบัดดล
“อย่าเข้ามาใกล้ลูกสาวผมอีก จำเอาไว้!” เดวิโกตะคอกเสียงใส่ด้วยความเดือดดาล รีบพาตัวลูกสาวขึ้นรถและจากไปอย่างรวดเร็ว
คงมีเพียงกุลฉัตรที่ยืนนิ่งน้ำตาคลอ บีบมือตัวเองแน่นด้วยความกระวนกระวาย กลัวเหลือเกินว่าดารกาจะเป็นอะไรมาก
แม่หนูน้อยแพ้ถั่วเหลืองด้วย ทำเอาเธอกลืนน้ำลายแทบไม่ไหว แล้วหลังจากนี้เธอจะมีหน้าเจอเดวิโกและดารกาได้อย่างไร แค่คิดน้ำตาก็ไหลกังวลใจจนไม่รู้ว่ายืนตรงลานจอดรถนานเท่าไหร่
ขณะเดียวกันเดวิโกก็แทบบ้าตาย เพราะลูกสาวนิ่งไปแล้ว
“ดาวเรืองลูก ไม่เป็นไรนะลูก อย่าเป็นแบบนี้สิคะ ป๊าใจไม่ดีเลยลูก…”
“ยัยหนูของป๊า ทำป๊าตกใจหมดเลย!” เดวิโกย่อตัวกอดลูกสาวเมื่อดารกาลืมตาขึ้นแล้ว
โชคดีที่มาถึงมือหมอไวทำให้ดารกาปลอดภัยทันท่วงที แม่หนูน้อยลืมตาแล้วก็เห็นหน้าบิดาก่อนเป็นอย่างแรก
“ปาป๊า…”
“หนูไม่สบายลูก… นอนพักให้เยอะ ๆ ป๊าจะอยู่กับหนูเอง” ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ ยกมือลูบเส้นผมนุ่มหยักศกของลูกสาวด้วยความห่วงหาอาทร เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ตกใจแทบช็อก ลืมหมดทุกอย่างรู้แค่เพียงว่ายังไงซะต้องดูแลปกป้องลูกสาวเท่านั้น
“ปวดหัวจังเลยค่า…”
“งั้นหนูก็นอนพักก่อนนะคะลูก เดี๋ยวถ้ารู้สึกดีขึ้นเราค่อยกลับบ้านกัน หรือถ้าหนูยังไม่หายปวดหัวเราก็ค้างคืนที่นี่เลย”
“ค่า…”
แล้วพลันนั้นดารกาก็นึกถึงพี่สาวคนสวยขึ้นมาได้ แต่เพราะความอ่อนเพลียง่วงงุนทำให้หลับสนิทอีกครั้งโดยที่เผยอริมฝีปากค้างเอาไว้ไม่ได้ทันได้พูดอะไรออกมา ดวงตาของเดวิโกทอดมองลูกสาวด้วยความรักความหวง ก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมถึงอกของสาวน้อย
เขาเองก็คิดถึงกุลฉัตรขึ้นมาเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังนึกเคืองอยู่ และที่โกรธมากที่สุดเห็นจะเป็นการ์ดอย่างเฟร็ดที่ไม่ทันระวังทำให้ดารกาดื่มนมถั่วเหลืองเข้าไปจนแพ้เกือบเป็นอันตรายถึงชีวิต
เฟร็ดเองก็ก้มหน้าก้มตาไม่แก้ตัวใด ๆ ทั้งนั้น ด้วยรู้ดีว่าทุกอย่างเป็นความผิดของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว
“คราวหลังอยากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกนะ ดาวเรืองน่ะแพ้ถั่วเหลืองแล้วก็แพ้กุ้ง ฉันกลัวว่าลูกจะเป็นอะไร”
“ครับ…” เฟร็ดรับคำ จากนั้นเดวิโกก็สั่งความมาอีกอย่าง
“คืนนี้คงต้องให้ดาวเรืองนอนที่นี่ดูอาการอีกคืนหนึ่ง เดี๋ยวเกิดเรื่องฉุกละหุกอะไรขึ้นมาแล้วจะยุ่งเอา…”
“ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้…” คนสนิทรับคำจากนั้นก็เดินออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ
เดวิโกก็คลายคอเสื้อถอดไทออก หยิบเอาเอกสารที่ต้องตรวจทานขึ้นมาจัดการแล้วก็ชำเลืองดูลูกสาวไปพลางด้วย
ดารกาตัวน้อยกลับสนิทก็พอใจ อย่างน้อยตอนนี้แม่หนูน้อยก็ปลอดภัยในสายตาแล้ว หวนคิดถึงกุลฉัตรแต่ความโกรธมันยังไม่จางหายไปไหน เขายังรู้สึกตึง ๆ อยู่เล็กน้อย ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนา แต่ก็เรื่องที่เกิดขึ้นก็อาจจะทำให้แม่ดอกดาวเรืองเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
สุดท้ายก็โมโหลูกสาวที่ดื้อดึงเอาแต่ใจ บอกหลายครั้งแล้วว่าห้ามไม่ให้กินข้าวกับคนอื่นกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนี่แหละ แล้วเรื่องก็เกิดขึ้นจริง ๆ อย่างที่กลัว
ถ้าหากว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับดารกาขึ้นมาจริง ๆ ถึงตอนนั้นเขาจะกล้ามองหน้าครีตาและครอบครัวหรือ ยิ่งคิดเดวิโกก็ยิ่งกังวล หลังจากนี้คงต้องคุยกับแม่หญิงดาวเรืองให้เข้าใจกว่าเดิมแล้ว ไม่อย่างนั้น คงได้เกิดเหตุร้ายชนิดที่ว่าเขาไม่อาจช่วยได้อย่างแน่นอน
“พี่ฉาดไม่ผิดนะคะ…” ดารกาแก้ตัวให้พี่สาว เมื่อถูกดุในเช้าวันใหม่ จากคุณป๊าที่วันนี้ทำตัวดุน่ากลัวเหลือเกิน
“แล้วหนูผิดไหมคะ” เดวิโกกอดอกจ้องหน้าลูกสาวดุ ๆ ขณะที่แม่หนูน้อยก้มหน้างุดยอมรับความผิดแต่โดยดี
“ลุงเฟร็ดบอกแล้วนะคะว่าห้ามกินน่ะ แล้วทำไมหนูดาวเรืองถึงไม่ยอมเชื่อ” เสียงดุน่ากลัวของเดวิโกยังดังไม่หยุด ดารกาไม่เคยเจอมุมน่ากลัวของบิดาขนาดนี้มาก่อนก็กุมมือบิดตัวไปมาไม่อยากยอมรับข้อหาใด
“แล้วไหนจะนมถั่วเหลืองอีก ลุงเฟร็ดไม่รู้ว่าพี่สาวคนนั้นซื้อนมถั่วเหลืองมาให้ แล้วหนูเป็นยังไงล่ะตอนนี้ เข้าโรงพยาบาลเลยเห็นไหม แล้วปู่จ๋าย่าจ๋าจะตกใจไหมที่หนูป่วยน่ะ”
“…” ดารกาทำปากยื่นแล้วก็ใช้ปลายเท้าเขี่ยพื้น ไม่กล้าสบตากับบิดาที่เขม้นมองจนใจหาย
“ดาวเรือง…” คนเป็นพ่อเรียกชื่ออีกครั้ง อยากจะให้ลูกสาวได้สำนึกผิด แต่ที่ไหนเล่า แม่หนูน้อยเดินเข้าไปกอดขาคนเป็นพ่อ เงยหน้าเล็กน่ารักขึ้นแล้วก็อ้อนไม่หยุด
“ปาป๊าขา อย่าโกรธดาวเรืองเลยน้าค้า ดาวเรืองจาไม่ดื้อแล้ว!”
ท่าทางของลูกสาวตัวน้อยทำให้เดวิโกใจอ่อนยวบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังวางท่าขึงขังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะคะดาวเรือง ป๊าบอกอะไรไว้ ไหนลองพูดให้ป๊าฟังหน่อยสิคะ” ทวงสัญญาที่เคยให้กันและกันเอาไว้
ดารการู้ตัวว่าผิดจริงแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ใช้ดวงตากลมโตของตนเองอ้อนขอร้อง เมื่อยังไม่ได้ผลก็ทำน้ำตาเอ่อคลอจนคนเป็นพ่อถอนหายใจ
ก็รักลูกสาวคนนี้ยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจนี่นะ ทำไมจะไม่ใจอ่อนล่ะ…
สุดท้ายเดวิโกก็ต้องย่อตัวยกร่างเล็กของลูกสาวขึ้นมากอดปลอบใจแล้วก็เช็ดน้ำตาให้ พูดคุยหงุงหงิงกันสองคนแบบที่คนสนิทลอบถอนหายใจเพราะคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าเจ้านายต้องแพ้น้ำตาคุณหนูตัวน้อยแน่ แล้วก็จริงเสียด้วย เพราะโกรธไม่ถึงห้านาทีก็กอดเอาใจกันเสียแล้ว
“คราวหลังหนูห้ามกินอะไรจากคนอื่นอีกนะคะ ห้ามทุกอย่างเลย อยากจะกินอะไรก็บอกป๊าหรือไม่ก็ลุงเฟร็ด เข้าใจไหม!”
“ค่า…” แม่ดาวเรืองบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แบบที่รู้ว่ายังไงก็รอดแน่นอน เดวิโกเตือนตัวเองหลายครั้งแล้วว่าอย่าให้ความน่ารักแสนซนของลูกสาวเข้ามามีอิทธิพล แต่เมื่อถูกอ้อนก็ใจอ่อนอย่างง่ายดายตามเคย
“เฮ้อ ป๊าละปวดใจจริง ๆ ชนะดาวเรืองไม่เคยได้เล้ย…”
เช้านี้ก็เป็นเหมือนหลายวันที่ผ่านมาที่เดวิโกต้องเข้าสอน
กุลฉัตรเข้าหน้าเขาไม่ได้ รู้สึกผิดเต็มหัวใจที่เกือบทำให้ดาวเรืองอาการหนัก เธอเข้าเรียนวิชาของเดวิโกก็จริง แต่ก็ไม่ได้จ้องเขาผ่านโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ในห้องเรียน เนื่องจากว่ามีนักศึกษาเข้าเรียนเยอะและเป็นวิชาพื้นฐานของเด็กปีหนึ่ง ดังนั้นห้องเรียนที่มีไว้สำหรับการเรียนการสอนจึงกว้างขวางมาก
เดวิโกพยายามมองหากุลฉัตร อยากจะขอโทษกับเรื่องที่ได้ต่อว่ารุนแรงกับเธอเมื่อวันก่อน แต่ก็ไม่อาจจะมองหาเด็กสาวคนหนึ่งในจำนวนคนหมู่มากขนาดนี้ไม่ได้ อยากจะเรียกเธอมาคุยเป็นการส่วนตัวก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้ตกใจ อีกอย่างยังคิดคำแก้ตัวไม่ได้
ตอนที่บอกเลิกคลาส ร่างเล็กของกุลฉัตรก็ทำท่าจะเดินลิ่วออกจากห้องเรียนไปในทันที เดวิโกมองเห็นจึงตัดสินใจเรียกเอาไว้ด้วยการขานชื่อผ่านไมโครโฟน
“กุลฉัตร มาพบผมด้วยครับ”
เจ้าของชื่อตัวแข็งไปในทันที เธอแทบระงับอาการตื่นกลัวเอาไว้ไม่ไหว ความจริงก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาการของแม่หนูน้อยดาวเรืองเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็กลัวว่าจะเป็นต้นเหตุให้แม่หนูน้อยต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลก็ไม่กล้าสู้หน้าทั้งเดวิโกและดารกาขึ้นมาดื้อ ๆ
แต่เมื่อเขาประกาศชื่อออกมาโจ่งแจ้งซะขนาดนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินจากขั้นบันไดทางเดินซึ่งห้องเรียนเป็นที่นั่งชั้นสโลปลงมาอย่างเชื่องช้า เดินลงไปหาเดวิโกที่อยู่ชั้นล่างสุดกำลังเก็บเอกสารการเรียนการสอนเงียบ ๆ โดยมีสายตาของนักศึกษาเพื่อนร่วมวิชามองตาม ไม่รู้ว่าอาจารย์หนุ่มรูปหล่ออยากคุยกับนักศึกษาสาวไปทำไม
ร่างบางเดินไปหยุดข้างโต๊ะใหญ่ กุมมือประสานกันแน่นไว้บนหน้าตักอย่างรู้ความผิด
แต่ไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้พูดอะไรกันมากกว่านั้น เสียงร้องสดใสของแม่หนูน้อยตัวเล็กก็ดังขึ้น เรียกให้ทั้งสองคนหันไปมองตามเสียงทันที
“ปาป๊าขาปาป๊า ไอติมค่าไอติม!” แม่ดอกดาวเรืองวิ่งเข้ามาในห้องเรียนหลังจากที่เดินตามหลังลุงเฟร็ดมา ยิ่งเห็นกุลฉัตรก็ยิ่งตื่นเต้น
“พี่สาว!”
แค่พริบตาเดียวร่างเล็กของดารกาก็เกาะติดกับกุลฉัตรได้แล้ว หญิงสาวยกมือโอบประคองร่างเล็กเอาไว้ด้วยกลัวว่าหนูน้อยจะล้มได้รับบาดเจ็บ
“อย่าวิ่งแบบนั้นอีกนะดาวเรือง หนูทำป๊าหัวใจแทบวายเลยนะ” เดวิโกพูดอย่างใจหายใจคว่ำ แต่ดารกาไม่สนใจรับฟัง มองแต่เพียงพี่สาวแสนใจดีเท่านั้น
“ดาวเรืองแข็งแรงแล้วค่ะ ออกจากโรง’บาลแล้ว!”
ได้ยินแบบนั้นกุลฉัตรก็หัวใจกระตุกวูบ ยิ้มไม่ออกเพราะสาวน้อยเข้าโรงพยาบาลเพราะตนเองจริง ๆ ด้วย
ด้านเดวิโกเองก็สังเกตเห็นสีหน้าของหล่อนชัดเจน รู้ว่าหญิงสาวคงเสียใจไม่แพ้กัน
“ผมเรียกคุณมาเพราะเรื่องดาวเรืองนี่แหละ อยากขอโทษที่วันนั้นพูดจารุนแรงกับคุณไปหน่อยเพราะตกใจ” เสียงทุ้มหนักพูดขึ้นหลังจากที่นักศึกษาในห้องเรียนทยอยกันออกไปจากห้องหมดแล้ว
“ฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ ที่ทำให้ดาวเรืองต้องเข้าโรงพยาบาล ขอโทษนะคะดาวเรือง หนูเจ็บไหม” น้ำเสียงสีหน้าของกุลฉัตรเต็มไปด้วยความเสียใจ ย่อตัวมองดูเด็กน้อยใจโหวงหวิว ถ้าวันนั้นดารกาอาการหนักจนช็อกไปแล้วเธอจะยอมให้อภัยตัวเองไหม ยังไม่รู้เลย
“ไม่เจ็บแล้วค่ะ… หายดีแล้ว” ดารกาฉีกยิ้มหวานเพื่อบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ พาให้กุลฉัตรรู้สึกโล่งอกมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหนักใจไม่น้อย
“ขอโทษนะกุลฉัตร ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเลย แต่ฉันเองก็ตกใจเพราะดาวเรืองเหมือนกัน”
“ฉันทราบค่ะ ฉันต่างหากที่ไม่ยอมถามแต่แรกว่าดาวเรืองกินอะไรไม่ได้หรือเปล่า แล้วก็ยังยอมให้กินลาบเผ็ด ๆ แบบนั้นอีก” เธอว่าเสียงอ่อน และถูกท้วงด้วยเสียงแหลมเล็ก
“ม่ายเผ็ดน้าค้า!”
“เหลวไหลดาวเรือง แล้วทำไมปากหนูบวมหน้าหนูแดงขนาดนั้น ฮึ! ชักจะดื้อใหญ่แล้วนะเรา” เดวิโกเก็บของลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตรงเข้าไปอุ้มตัวลูกสาวขึ้นมาและถือกระเป๋าไว้ในมือ
ระหว่างนี้สองพ่อลูกก็จ้องหน้าเล็กของกุลฉัตรที่ยังมีร่องรอยความไม่สบายใจฉายชัด
“ขอโทษอีกครั้งนะกุลฉัตร ผมเสียใจและขอโทษจริง ๆ อย่าคิดมากเลยนะ”
“ค่ะ…” หญิงสาวพูดเสียงเบาหวิว มองเดวิโกอุ้มตัวดารกาเดินออกจากห้องเรียนไปเงียบ ๆ
แน่นอนว่าเรื่องนั้นยังฝังอยู่ในใจไม่จางหายไปง่าย ๆ อึดใจหนึ่งกว่าที่หญิงสาวจะก้าวเท้าเดินออกจากห้องตามไป ทันได้เห็นตอนที่เดวิโกอุ้มตัวลูกสาวเข้าไปนั่งในรถคันหรู ด้วยการคุ้มกันของการ์ดสองสามคน จากนั้นรถสีดำมันปลาบก็แล่นหายออกไปจากบริเวณหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างรวดเร็ว ยิ่งมองยิ่งเห็นความต่างของชนชั้นชัดเจน
“อย่าไปคิดมากเลยฉัตร…” บอกตัวเองแบบนั้น เหมือนจะให้ตัดใจจากเรื่องบางเรื่องเสีย แต่มันก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน
แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ น้ำตาถึงได้ไหลลงมา กุลฉัตรยกหลังมือเช็ดน้ำตาแล้วก็เดินกลับหอพักอย่างเงียบงัน
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นดารกา เพราะหลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอหน้าของแม่ดอกดาวเรืองตัวน้อยอีกเลย ก็ไม่รู้ว่าเดวิโกกลัวจะเกิดเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายต่อลูกสาวหรือเปล่า ถึงได้ไม่พาตัวหนูน้อยมาที่มหาวิทยาลัยอีก และเช่นเดียวกันที่เธอไม่มีเหตุผลจะไปเจอชายหนุ่มเป็นการส่วนตัวอีก เริ่มรู้สึกว่าห่างออกมาเรื่อย ๆ จนไม่เหลือพื้นที่ที่เชื่อมต่อถึงกัน
อีกทั้งเดวิโกสอนที่มหาวิทยาลัยเพียงแค่เทอมเดียวเท่านั้น กุลฉัตรจึงคิดว่านั่นเป็นจุดสิ้นสุดระหว่างเขาและเธอไปโดยปริยาย
แต่เมื่อเห็นเกียร์เมื่อไหร่ก็อดหวนคิดไปถึงสองพ่อลูกคู่นั้นไม่ได้ ทำให้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจลืมเดวิโกและดารกาได้เลย แม้จะพยายามแล้วพยายามอีก…
แต่ภาพของชายหนุ่มคนนั้นก็ยังตราตรึงในความทรงจำเสมอมา
สามปีต่อมา…
เดวิโกเดินทางกลับมาที่เมืองไทยอีกครั้ง หลังจากที่วนเวียนทำงานอยู่ที่มอสโกเป็นนาน…
วันนี้เป็นอีกวันที่สามารถฉกชิงตัวแม่ดอกดารกาออกมาจากอ้อมอกจอมมารคลาร์กได้ หลังจากที่ลูกสาวมานอนค้างที่บ้านโดโนแวน เขาก็รีบแต่งตัวให้ลูกและอุ้มหนีขึ้นเครื่องบินตรงมายังเมืองไทยทันที แม่หนูน้อยเริ่มสูงขึ้นแล้ว แถมดื้อดึงมากขึ้นพูดจาน่ารักน่าเอ็นดู
นี่ก็ไม่รู้ว่าคลาร์กรู้เรื่องเข้าแล้วจะระเบิดลงอีกไหม แต่ช่างสิ นี่ลูกสาวของเขานี่นา เลี้ยงมากับมือไม่มีทางจะยกให้ใครแน่
วันนี้เขารีบบินมาที่เมืองไทยหลังจากที่รู้ว่าพ่อยอดชู้เอกบุรุษนั้นมาที่เมืองไทยด้วย ถึงหมอนั่นจะมีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วก็เถอะนะ แต่คิดว่าคาสโนวาตัวพ่อไม่น่าจะทิ้งลายง่าย ๆ อาจจะมองหาผู้หญิงที่นี่เลยรีบกระเตงลูกมาหาสามี เอ๊ย เพื่อนสนิททันที
นึกสงสารจิลลาคนนั้นที่ถูกลากขึ้นเตียงจนสะบักสะบอมเลยจะมาช่วยขวาง ไม่ได้อยากจะชวนเอกบุรุษไปเที่ยวหรอก เชื่อเถอะน่า…
“อาเอกละคะ”
ดารกาเคยเจอคุณอาเอกบุรุษสองสามครั้งแล้ว ได้ยินว่าวันนี้จะได้เจอเลยตื่นเต้น
“เดี๋ยวคงเจอค่ะ แต่เดี๋ยวขอป๊าคุยงานก่อนนะคะ หนูนั่งรอป๊าในห้องทำงานนะ ตกลงไหม”
“ตกลงค่ะ!” ดารการับคำอย่างแข็งขัน แต่ก็นั่นแหละ ลูกสาวป๊าเดฟก็ย่อมมีนิสัยร้ายกาจไม่แพ้กับคนเป็นพ่อ
คล้อยหลังเดวิโกที่เดินเข้าห้องประชุมไปแล้ว ดารกาก็แอบหนีเดินเล่นในตึกใหญ่ที่จำได้ว่าเคยมาสองสามครั้ง ซึ่งบิดากระเตงมาด้วยกันเสมอ เมื่อต้องทำงานห่างบ้านนาน ๆ ไม่เคยเลยที่เดวิโกจะไม่อุ้มตัวตามมาด้วย
ร่างเล็กวิ่งซนไปทั่ว ก่อนจะเจอใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
ดวงตากลมโตสีอ่อนเบิกตากว้างเมื่อเห็นใครคนนั้นชัดเจน
เดวิโกเดินออกจากห้องประชุมเมื่อถึงช่วงพักเบรก จู่ ๆ ก็ไม่ไว้ใจลูกสาวขึ้นมา กลัวว่าอยู่ใกล้กับคลาร์กนานเกินไปแล้วจะติดเชื้อความร้ายกาจจากหมอมานั่นด้วย เลยอยากมาดูให้แน่ใจว่าดารกาไม่ได้ไปซนที่ไหน
ทว่าเมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งนอนหลับสนิทบนโซฟา เอาตัวเองกั้นร่างเล็ก ๆ ของดารกาเอาไว้กับพนักพิง รู้สึกแปลกใจแกมตกใจไม่ทราบว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่ ถึงได้มานอนกอดลูกสาวแบบนี้
เดวิโกหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ระหว่างนี้ก็จ้องมองร่างเล็กบอบบางของผู้หญิงแปลกหน้าไม่วางตาไปด้วย
“191 เหรอครับ ผมจะแจ้งความครับ มีคนตั้งใจจะลักพาตัวลูกสาวของผมครับ!”
นิยายเรื่องนี้หมดสัญญากับทางสำนักพิมพ์แล้ว
มู่เลยนำมาทำ E-Book เองค่ะ
สามารถซื้อ E-Book ได้ที่ Meb เลยนะคะ
กดที่รูปปกใหม่เพื่อนซื้อได้เลยค่ะ
ขอบคุณจากใจมาก ๆ เลยนะคะ
หรือ >>Click!!<<
Song :: 모리(morrie) - Stupid Love Song
ความคิดเห็น