ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #20 : Rob`s Eyes 💋 | Re-write Ver. Ep03

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 43.57K
      332
      23 ก.ค. 64

    http://36.media.tumblr.com/4c03eaa5c35e5309c924316cb1eb885a/tumblr_niiyfbUoKi1qbetfwo3_1280.png

     

    Rob’s Eyes 03

    ~Everything You Said Was a Lie~

     

             “ฉันมีเรียนวันนี้ คงกลับมาตอนเย็นๆ…”

                คนที่พูดคือคนที่ฉันแสนจะโกรธและเกลียดชังเขามากเหลือเกิน หลังจากออกมาจากห้องน้ำ เขาก็ก้มลงเก็บเสื้อผ้าที่หล่นระพื้นสวมเงียบๆ ไม่ลืมพูดกับฉันที่เป็นเจ้าของเตียงที่เขานอนอยู่ก่อนหน้านี้ด้วย

                ฉันกระถดตัวหนีลุกขึ้นนั่งแต่ยังไม่กล้าลงจากเตียง เป็นเพราะว่าร่างกายเปล่าเปลือยไม่มีเสื้อผ้าสวมเลยสักชิ้นเดียว อยากเข้าห้องน้ำแทบขาดใจแต่คนที่ขวางอยู่ทำให้ฉันขยับตัวอย่างใจคิดไม่ได้ ฉันซ่อนใบหน้าของตัวเองด้วยการดึงผ้าห่มคลุมหน้าเอาไว้ ก้มหน้างุดไม่อยากจะคุยหรือสบตากับผู้ชายใจร้ายคนนั้น

                กี่ครั้งแล้ว… กี่ครั้งที่ฉันต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชอย่างนี้

                ฉันคิด กังวลไปสารพัด แต่จะไม่ยอมให้เขาได้เห็นน้ำตาอย่างเด็ดขาด

                “ฉันพูดไม่ได้ยินรึไง” เสียงทุ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความหงุดหงิดให้สังเกตได้รางๆ ฉันสมควรจะกลัว

                แต่ที่ผ่านมาก็เจอเรื่องราวเลวร้ายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ฉันน่ะชินชาจนเริ่มที่จะไม่กลัวเขาอีกต่อไปแล้วล่ะ…

             “โอเค จะดื้อยังไงก็แล้วแต่ แต่ถ้าฉันโทรมาแล้วเธอไม่รับสายอีก เธอตายแน่…” ร่างสูงเดินวนกลับมาหาฉัน เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัวฉันเลยลืมที่จะระวังตัวไม่ให้เขาได้แตะต้อง แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีมือหนาอุ่นระอุก็จับหน้าฉันเอาไว้แน่น และบีบเบาๆ บังคับให้สบตาด้วย

                นัยน์ตาของฉันไหวระริก น้ำตาจวนจะหยดแต่ก็ต้องเม้มปากเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้มันร่วงลงมาต่อหน้าคนใจร้าย

                “ฉันปลดบล็อกเบอร์โทรของฉันแล้ว และถ้าทำอีกครั้ง พนันได้ว่าเธอต้องเสียใจกว่าที่เคยเป็นแน่”

                คำขู่นั้นทำให้ฉันหลุบเปลือกตาลงก่อนจะเบือนหน้าหนีออกจากฝ่ามือของเขาได้ในที่สุด ปลายคางเต้นตุบๆ ด้วยความเจ็บ ใบหน้าร้อนเห่อ และเหมือนจะร้อนไปทั้งตัวด้วยความเจ็บปวด

                “แล้วตอนเย็นฉันจะกลับมา!!” เขาทิ้งคำพูดที่ดูเกรี้ยวกราดไม่น้อยไว้ แล้วก็คว้าแจ็กเก็ตเดินหนีออกไป ฉันเลยหมดแรงล้มตัวลงนอนตามเดิม

                ทำไมมันถึงได้หนักหนาและเจ็บปวดมากขนาดนี้นะ… ฉันได้แต่ถามตัวเองแต่ไม่เคยเลยที่จะได้คำตอบกลับมา

                แล้วที่เหลือจากนี้ล่ะ… ชีวิตของฉันจะเป็นยังไง ฉันไม่รู้เลยจริงๆ

             เพราะคนคนนั้นคนเดียว ที่ทำให้ฉันต้องตกต่ำและเจ็บช้ำได้มากขนาดนี้

                ใช่… เขาคือ ร็อบ

     

                เพราะมีเรียนตอนบ่าย ดังนั้นฉันเลยต้องพาร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำอย่างมากลงมาจากคอนโดแล้วก็เข้าเรียนอย่างมึนงง ฉันไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย เรียนไม่รู้เรื่องแล้วก็สับสนว้าวุ่นใจไปหมด ฉันแค่อยากจะมีชีวิตตามปกติที่เหมือนเดิมไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สิ่งที่จะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือการย้อนเวลากลับไป

                แต่จะทำได้ยังไงเล่า ฉันไม่ได้มีนาฬิกาย้อนเวลา แล้วก็ไม่มีเพื่อนชื่อโดราเอมอนด้วย

                ดังนั้นฉันเลยต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ประดังประเดรุมเร้าเข้ามาด้วยตัวคนเดียว

                ฉันอยากปรึกษากับใครสักคนจัง เพื่อนสนิทที่สามารถคุยได้ทุกเรื่องก็มีแค่คนเดียวก็คือแก้วใส แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งกว่าเดิม

                เพราะว่าคาร์โลแฟนของแก้วใสน่ะ เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกันกับร็อบ ถ้าฉันถามแก้วใส ทุกคนต้องรู้เรื่องนี้แน่

                แค่นี้มันก็แย่มากพออยู่แล้ว ฉันเลยไม่อยากจะเป็นคนขุดหลุมฝังศพของตัวเองด้วยตัวเองอย่างนี้…

             “เธอนี่น่าสงสารที่สุดเลยเอื้อง”

                ฉันว่าตัวเองก็ปกป้องตัวเองได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่คู่ต่อสู้น่ะเป็นถึงร็อบ ไม่ว่ายังไงก็สู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว

                พอเลิกคลาสฉันก็พาตัวเองที่เหมือนกับพวกซอมบี้จากซีรีย์เรื่อง The Walking Dead ออกมาจากห้องเรียน ฉันยังไม่อยากลับห้องแต่ก็ไม่รู้จะพาตัวเองไปหลบที่ไหนดี ยิ่งโดยเฉพาะข้อความที่เขาส่งมาให้ ยิ่งทำให้ฉันหวาดผวามากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

     

                Rob R Nash :: ฉันจะกลับห้องตอนบ่ายสาม คงกลับไปนอนเลย ห้องเธอไม่มีอะไรดื่มเลย ซื้อเบียร์กระป๋องเข้าไปให้ด้วย อะไรก็ได้

     

                ให้ตายเถอะ เขาคิดว่าฉันเป็นคนใช้หรือยังไงกัน แล้งคิดเหรอว่าฉันจะทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่างน่ะ ลืมซะเถอะ ฉันไม่ทำแบบนั้นแน่ ดังนั้นฉันเลยพาตัวเองไปหาข้าวกินที่ฟู้ดคอนเนอร์ของมหาวิทยาลัย แล้วก็พาตัวเองไปซ่อนตัวที่ห้องสมุดเล็กของคณะ ซึ่งปกติจะเป็นที่เก็บและที่ยืมหนังสือวรรณกรรมของต่างประเทศที่เด็กคณะมนุษย์ศาสตร์ต้องใช้ ยิ่งโดยเฉพาะเด็กเอกวรรคดีอย่างฉันต้องใช้และอ่านเป็นประจำด้วย

                ห้องสมุดเล็กนี่ปิดตอนสี่ทุ่ม ดังนั้นยังมีเวลาอีกมากให้ฉันคิดว่าควรจะหลบไปที่ไหน แต่ตอนนี้ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว เงินในบัญชีก็ร่อยหรอ พ่อฉันยังไม่ได้ส่งเงินมาให้ ตอนนี้เลยไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนไปเช่าห้องพักที่โรงแรมเพื่อหลบหน้าร็อบ หรือไม่บางทีฉันก็แอบคิดว่าจะไปเช่าหอที่อื่นเลย แต่ก็นั่นแหละ เด็กมหาวิทยาลัยที่ยังไม่ได้ทำงานและไม่มีแม้แต่งานพาร์ทไทม์ทำอย่างฉันจะเอาเงินที่ไหนไปเช่าหออีกหออยู่ล่ะ

                ยัยบื้อ… ก็ทำงานพิเศษซะสิ!! ฉันบอกตัวเองในใจ และคิดว่าตัวเองช่างโง่เหลือเกินที่เรื่องง่ายๆ แบบนี้ก็คิดไม่ตก

             แต่ว่าจะทำอะไรล่ะ นี่สิที่มันเป็นปัญหาสำคัญของฉันเลย

                “เอาวะ ลองดูสักตั้งแล้วกัน” ฉันให้กำลังใจตัวเอง เพราะตอนนี้เพิ่งบ่ายสองเท่านั้น คงมีร้านอาหารสักที่พอจะมีงานให้นักศึกษาอย่างฉันทำ…

            

             หลังจากเดินหางานประมาณสามชั่วโมงที่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย สุดท้ายฉันก็มาเจอกับร้านอาหารที่ดูคล้ายคลึงกับร้านอาหารของเคลย์ มีชื่อร้านว่า ‘Café Mania’ ตอนแรกเข้าไปก็คิดว่าคงรับพนักงานทั่วๆ ไปเลย แต่กลายเป็นว่าที่นี่รับแต่ผู้ชาย พอคิดว่าหมดหวังแล้วนั่นแหละ กลับเป็น ฌอน เจ้าของร้านคนปัจจุบันบอกว่าอยากให้ร้านมีบรรยากาศหวานๆ เลยอยากให้ฉันเข้ามาเป็นพนักงานหญิงในร้านดูบ้าง ดังนั้นฉันเลยสามารถเริ่มงานได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้

                ไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้หรอกนะ…

                แต่ฌอนน่ะหน้าตาดีและดูเอาเรื่องไม่แพ้กับเคลย์ที่ทำร้านอาหารเหมือนๆ กันเลย ฉันเลยกลัวว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยเดิมอีก

                ดังนั้นฉันเลยคิดหนักมาก ว่าจะเดินไปทางไหนดี

                กว่าจะรู้ตัวฉันก็มาหยุดที่หน้าห้องของตัวเองแล้ว ลืมไปสนิทใจว่าตอนนี้ร็อบเขาแอบมาพักในห้องของฉัน

                “ยัยโง่!” ฉันยกมือทุบหัวตัวเองแรงๆ กับความงี่เง่าไม่เอาไหนของตัวเอง

                พอรู้ตัวก็พยายามจะหนี แต่มันสายไปเมื่อเห็นประตูห้องเปิดออกมา ฉันอึกอักพูดไม่ออก เห็นสีหน้าราบเรียบของร็อบแล้วมันน่ากลัวกว่าเวลาที่เขาโมโหใส่ซะอีก

                ตัวฉันสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ กำลังจะถอยหลังหนีมือของร็อบก็ยื่นมือกุมข้อมือเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

                “ทำไมเพิ่งกลับ” เขาถามเสียงเรียบจนเดาไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกยังไงอยู่

                “ฉัน…” ฉันพูดไม่ออก ลมหายใจก็สะดุดไปด้วย

                “ฉันบอกแล้วไงว่าให้ซื้อเบียร์มาด้วย” คิ้วเข้มของเขาขมวดชิด จ้องหน้าดุๆ จนฉันรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงไปหมด

                “ไปซื้อเบียร์มาด้วย เอามาหลายๆ กระป๋องเลย!” ร็อบยัดเงินลงในอุ้งมือของฉัน แล้วก็ผลักฉันให้ถอยหลังอีกก้าว

                “รีบมาด้วย อย่าให้ตาม ไม่งั้นเละแน่!”

                ฮึก… นี่ฉันกลายเป็นคนใช้ของคุณชายร็อบไปตั้งแต่ตอนไหนกันเนี่ย ฉันอ้าปากค้างแย้งไม่ออกเลยสักคำ สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจแล้วก็เดินออกมาเงียบๆ

                “บ้า! ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ด้วยเอื้อง เอาเงินฟาดหน้าเขากลับไปสิ จะไปยอมทำไม” ฉันพึมพำพูดไปตามทาง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงได้ขี้ขลาดมากขนาดนี้ แค่คิดก็น้ำตาซึมแล้ว…

             แต่สุดท้ายฉันก็มาหยุดอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ในตะกร้ามีกระป๋องเบียร์อยู่หลายกระป๋องและก็เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ในเวลาต่อมา โอ๊ย ฉันนี่มันแย่ โง่งี่เง่า ไม่เอาไหนเลย แต่ถ้าทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับฉันก็ต้องมึนงงสับสนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันนี่แหละ

                ต่อมาฉันก็กลับมาถึงห้องพัก แน่นอนว่าร็อบยังอยู่ที่ห้องชุดของฉันตามเดิม เขานุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เนื้อตัวยังเปียกชื้นอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาก็เปียกชื้น ถึงจะเกลียดมากแค่ไหน แต่หัวใจของฉันมันดันเต้นแรงเพียงแค่ได้สบตากับเขานี่สิ ฉันน่ะมันบ้าไปแล้ว

                คนตรงหน้าทำร้ายฉัน พังชีวิตของฉันลมครืนจนไม่เหลืออะไร แล้วทำไมฉันถึงปล่อยให้เขายังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ด้วย

                “ทำไมช้า…” เขาถามอย่างหงุดหงิด ตอนที่ฉันเดินตรงไปห้องครัว เปิดตู้เย็นแล้วก็เก็บเบียร์ไว้ในนั้น ทำทีเป็นไม่สนใจโจรร้ายที่จู่ๆ ก็บุกเข้ามายึดทุกอย่างของฉันไปอย่างหน้าด้านๆ

                “เธอกินอะไรรึยัง?” น้ำเสียงของร็อบดูอ่อนลงเล็กน้อย หลังจากเก็บเบียร์เสร็จฉันก็หันไปมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

                “…” ถึงแม้ว่ามีคำพูดมากมายที่อยากคุยอยากถามอยากต่อว่า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ฉันก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรได้เลย…

             “ฉันเดาว่าเธอคงยังไม่ได้กินอะไรใช่มั้ย?” ร็อบเอียงคอถาม ฉันส่ายหน้าไม่อยากคิดหรอกว่าอีกเดี๋ยวเขาจะทำกับข้าวให้กิน หรือว่าชวนออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก

                เพราะคนตรงหน้าไม่เหมือนกับคาร์โลแฟนของแก้วใสเลย ดังนั้นฉันเลยพยายามที่จะไม่วาดฝันให้เกินจริง ว่าร็อบคงจะเหมือนคาร์โล ที่รายนั้นรักแก้วใสมาก…

             ถึงจะดูเย็นชาและเอาแต่ใจเย่อหยิ่งมากแค่ไหน แต่คาร์โลน่ะอ่อนโยนและห่วงใยแก้วใสมาก

                ทุกเช้าเขาจะทำอาหารเช้าไว้ให้แก้วใส ไม่ว่าจะกลับมาดึกดื่นค่อนคืนหรือเมาค้างยังไงก็ตามแต่ แต่ก่อนที่แก้วใสจะออกจากห้องไปเรียน ก็มักจะมีอาหารเช้าเตรียมไว้ให้อยู่เสมอ

                ฉันไม่ได้ขอให้เขาเป็นเหมือนคาร์โลที่ดูแลเอาใจใส่แก้วใสหรอก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าร็อบอาจจะถามว่าหิวไหม แล้วก็ชวนไปหาอะไรกิน

                แต่เดี๋ยวนะ! ทำไมฉันต้องหวังอะไรแบบนั้นจากร็อบด้วย…

             หน้าฉันร้อนผ่าวแล้วก็ก้มหน้าลง ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆ จากคนตรงหน้า

                “ฉันหิวแล้ว…” เขาพูด หัวใจก็เต้นแรง รอฟังคำพูดต่อไปของร็อบอย่างที่ตัวเองก็อดที่จะตกใจไม่ได้ ว่าทำไมต้องหวั่นไหวกับเขาด้วย

                “ทำอะไรให้กินหน่อยสิ…”

                บ้าที่สุด…

     

             นอกจากจะไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้แล้ว ฉันยังเจ็บใจมากด้วยที่จู่ๆ ร็อบก็มายึดห้องเอาหน้าตาเฉย ถามว่าทำไมไม่ไล่เขาไป บอกเลยว่าฉันพยายามทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็น่าจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้เอาเรื่องมากแค่ไหน

                เมื่อคืนฉันต้องนั่งทำไข่เจียวให้เขากินแล้ว ตอนเช้าก็ยังต้องมาทำอาหารเช้าไว้ให้เขาด้วย ขนาดตินฉันยังไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำไป…

             “ฉันจะไปเรียนแล้ว คืนนี้อาจกลับดึก แล้วเจอกัน…” ร็อบคว้าแซนด์วิชเข้าปาก แล้วก็เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยที่ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย อันที่จริงฉันไม่อยากพูดหรอก ไม่อยากมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำไป

                เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของร็อบแล้วฉันก็ยิ่งมั่นใจว่าต้องทำงานเก็บเงินแล้วก็ย้ายออกจากที่นี่ซะ วันนี้พ่อโอนเงินมาให้แล้ว ฉันก็ตั้งใจว่าจะจ่ายค่าห้องเลยก่อนจะออกไปเรียน แต่ว่า…

             “แฟนน้องจ่ายแล้วนี่คะ…” เจ้าหน้าที่ธุรการคอนโดบอกมาแบบนั้น ทำให้ใบหน้าของฉันเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

                “ก็แฟนของน้องจ่ายค่าห้องตอนที่ทำคีย์การ์ดไงคะ สักวันสองวันนี่แหละค่ะ…”

                “อ๋อค่ะ ขอบคุณค่ะ” ฉันรับคำอย่างมึนๆ งงๆ แล้วก็เดินออกมาอย่างเลื่อนลอย

                แฟนของฉัน คีย์การ์ด? ร็อบเหรอ!?

             เพราะเหตุการณ์มันน่ากลัวอย่างมาก ดังนั้นฉันเลยไม่ลังเลที่จะไปร้านอาหาร Café Mania ทันที เพื่อหาเงินไปจ่ายค่าหอที่ตั้งใจจะย้ายออกไปเงียบๆ

                แต่ก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อเห็นว่าร็อบกับเพื่อนนั่งอยู่ที่ร้าน Café Mania เข้า ครั้นจะเดินหนีก็ไม่ทัน เมื่อฌอนปรี่เข้ามาจับไหล่ ยัดเครื่องแบบของร้านแล้วก็ลากฉันไปหลังร้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ออกมาทำงาน

                “ตาย ตาย ตาย!” ไม่มีคำไหนจะพูดได้ในตอนนี้อีกแล้ว ฉันแทบเอาหัวโขกกำแพง ไม่ก็แทบอยากจะปรี่เข้าขอมีดจากพ่อครัวแล้วก็เชือดคอตัวเองตายไปซะ

                ฉันไม่กล้าใส่ชุดพวกนี้ เพราะแน่ใจว่ายังไงร็อบก็เห็นฉันเดินเข้ามาในร้าน กลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆ เหมือนตอนที่อยู่ที่ร้านของเคลย์ด้วย

                กำลังจะหนี แต่ร่างสูงของร็อบก็ตามเข้ามาหลอกหลอนฉันถึงหลังร้าน ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาได้ยังไง แต่ระดับความดื้อดึงขนาดนี้แล้ว เชื่อเถอะ ต่อให้เผาร้านเขาก็ทำได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

                “อย่า ได้โปรด…” ฉันครางเสียงเครือน้ำตาคลอทันทีเมื่อเห็นสีหน้าถมึงทึงของร็อบเดินเข้ามาอย่างน่ากลัว

                “มาทำบ้าอะไรที่นี่!”

                ฉันพูดไม่ออก มือยึดชุดยูนิฟอร์มของร้านเอาไว้แน่นเหมือนจะให้มันเป็นที่พึ่ง แต่นาทีต่อมาร็อบก็ทึ้งมันออกจากมือของฉันแล้วก็ลากแขนฉันออกมา พอขึ้นรถฉันก็ตัวลีบเล็ก คล้ายกับว่าอากาศถูกช่วงชิงไปทีละน้อยจนใกล้จะเป็นลม

                “ฉันถามว่าเธอมาทำอะไรที่นี่” เขาพูดเสียงแผ่ว แต่มันน่ากลัวจนฉันสะดุ้ง

                “ฉันมาทำงาน” เพราะรู้ว่าถ้ายังไม่ยอมตอบอะไรกลับไป ร็อบก็จะยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม

                “ทำไม เงินไม่มีใช้เหรอ” สีหน้าและรอยยิ้มของเขาดูเย้ยหยันจนฉันไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี

                “ไม่ต้องเป็นลูกจ้างคนอื่นหรอก ฉันนี่แหละจะจ้างเธอแทน…” ร็อบพูดเสียงเจ้าเล่ห์ และเขาก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ขับรถออกมาเงียบๆ โดยที่ฉันยังทำตัวไม่ถูกว่าควรขัดขืนหรือช่วยเหลือตัวเองได้ยังไงดี

                และสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือขอร้องและอ้อนวอนเขา… ฉันพยายามขอร้องให้เขาเข้าใจ แต่ร็อบไม่ฟังอะไรเหมือนเคย

                จนกระทั่งเรากลับมาถึงคอนโด ฉันก็กลัวกว่าเดินเป็นเท่าตัว…

             “ฉันจะจ้างเธอเอง ไม่ต้องทำอะไรมาก ขอแค่เธอเลิกเรียนกลับมาอยู่ที่ห้อง แล้วฉันจะให้เงินเธอใช้ ง่ายๆ แค่นี้ทำได้มั้ย?” ข้อเสนอของเขาเหมือนกับมีมือล่องหนมาตบหน้าฉันฉาดใหญ่

                สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ก็คือเบิกตามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ยังไม่ทันได้ตอบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันเลยถือโอกาสนี้หันหลังหนี รับสายโดยที่ไม่ทันได้มองว่าใครโทรมา

                “คะ…”

             (เอื้อง นี่ตินนะ…) เป็นตินที่โทรเข้ามา และทำให้ฉันชะงักไปกับเสียงที่ได้ยิน

                “ติน…” ฉันพึมพำเสียงแผ่วเบา ก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อร็อบเข้ามาซ้อนแผ่นหลังแล้วก็สอดมือเข้ามาใต้ชายเสื้ออย่างคุกคาม

                “อย่า!” ฉันร้องห้ามเป็นเสียงกระซิบ แววตาหวาดกลัวแต่ร็อบไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยเลย

                “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องวุ่นวายข้างนอก แค่นอนอยู่บนเตียง และตอบสนองแรงๆ ตอนฉันนอนกับเธอเหมือนเมื่อคืนก็พอ!”

     

    Rob`s talking…

             ผมขึงตาใส่เพื่อนทุกคนที่มองมาเหมือนจะล้อเลียน สิ่งที่พวกมันจ้องตาเป็นมันคือรอยนิ้วครบทั้งห้ารอยบนหน้าผมยังไงล่ะ ไม่บอกคงรู้ว่าใครเป็นคนทิ้งรอยนี้เอาไว้

                “ไอ้ตัวโหดมีคนปราบแล้วว่ะ” ซิมมอนส์พูด ผมเลยเหวี่ยงหมัดส่งๆ ไป แต่หมอนี่หลบได้สบายๆ เหมือนไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด

                “ถ้ากูโหด มึงก็เห้-ล่ะวะ” ผมพึมพำพลางนั่งลงจุดบุหรี่สูบ จากนั้นก็ดึงโน้ตเพลงขึ้นมาดู

                สิตางศุ์แต่งเพลงได้เจ๋งเหมือนเคย แทบไม่มีอะไรต้องแก้อีกต่อไป และเราก็เริ่มทำทำนองเพลงกันต่อเลย

                “ถามจริง มึงจริงจังกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เหรอ” เท็ดหมุนปากกาในมือพลางถาม มันเป็นคำถามที่ผมไม่เคยคิดตำคอบเอาไว้ซะด้วยสิ

             “ถ้าไม่จริงจังไอ้ร็อบมันจะยอมให้ฝากรอยหมัดเอาไว้ที่หน้าเหรอวะ” เดมอนพูดพลางหัวเราะหึๆ ในคอ ผมเองก็ทำเสียงเลียนมันด้วย

                “หึๆ… ก็ไม่รู้สินะ รายนั้นก็สะบักสะบอมไม่แพ้กันแหละวะ” ผมว่า เพราะหลังจากถูกตบและเดินทางมาที่ห้องซ้อม คนที่ฝากรอยนิ้วไว้บนหน้าก็โดนไปไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

                ก็ใครใช้ให้ทำตัวน่าหมั่นไส้กันเล่า นึกแล้วยังเคืองไม่หาย กลับไปจะอาละวาดให้น่าดูเชียว

                “มึงนี่โหดจิตทรามจริงๆ สาย S ชัดๆ” เท็ดทำท่าขนลุกขนพอง ผมเลยหัวเราะอีกครั้ง

                “กูว่าพวกมึงก็สาย S ไม่ต่างกันหรอก”

                “แหง พวกเรามันซาดิสม์[1]” ไอ้หมีโหดหัวเราะร่วนพาคนอื่นหัวเราตามไปด้วย ดังนั้นเลยไม่มีใครสนใจรอยนิ้วบนหน้าของผมอีก

                “เอาเถอะ ตอนนี้เรามาโฟกัสงานกันเถอะ” ผมดึงเรื่องกลับมาก่อนที่มันจะไปไกลมากกว่านี้

                “ไลน์กลองกับไลน์กีต้าร์ยังไงก็ต้องทำก่อนเรื่องอื่นนะเว้ย” ซิมมอนส์บอก ดังนั้นพวกเราเลยคุยงานกันจริงจังมากขึ้น

                กว่างานจะเสร็จทุกอย่างรอบตัวก็มืดไปหมดแล้ว ผมอดคิดถึงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาไม่ได้ ตอนที่ออกมาจากห้องชุดอิงเอื้องเธอยังหลับสนิทอยู่ หรือไม่ก็แกล้งหลับ อันที่จริงผมรู้อยู่แก่ใจล่ะ ว่าเธอคงเหนื่อยมากจนลุกออกจากเตียงไม่ขึ้นแน่ แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะแอบหนีไปที่ไหนด้วยหรือเปล่า

                จำได้ไหม วันก่อนน่ะ ผมเจอยัยนั่นที่ Café Mania เห็นไหมว่าเธอร้ายเอาเรื่องเลยน่ะ

                ดังนั้นเมื่อเสร็จงานผมก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาอิงเอื้องทันที ไม่สนใจเสียงแซวของไอ้เพื่อนปากมอมที่เห่าหอนไม่หยุดปาก

                “รับสายสิวะ…” ผมเริ่มหงุดหงิด เพราะยัยนั่นไม่ยอมรับสายซะที

                มันน่าหงุดหงิด เพราะผมรู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่ได้หลับ และคงรู้ว่าผมโทรมา ให้ตายเถอะ มันหัวเสียจริงๆ นะ

                “เมียไม่รับสายล่ะสิ…” คาร์โลเปิดปากขึ้น ผมหรี่ตามองอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

                “หุบปากไปเลย…”

                “งั้นเข้าใจแล้วล่ะสิ ว่าทำไมไอ้ซิมม์มันถึงติดมือถือ”

                “มึงก็ไม่ต่างกันหรอกไอ้คาร์ล!” ซิมมอนส์ทำเสียงสูงแล้วก็ไม่พอใจอย่างรุนแรง

                คนที่หัวเราะคือเท็ดกับเดมอน พวกมันหัวเราะเหมือนไม่เคยตายมาก่อน ผมกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นระหว่างที่คิดว่าตอนนี้ยัยตัวแสบไปอยู่ที่ไหนกันแน่

                ผมสังหรณ์ใจยังไงชอบกล สุดท้ายก็เลือกจะต่อสายไปหาฌอนที่เคยเจอหน้ากันอยู่บ่อยๆ ไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย

                (ฮาย…)

             “กูมีเรื่องอยากถามหน่อย”

                (รู้ตั้งแต่ที่มึงโทรมาแล้วล่ะ) ฌอนหัวเราะ ผมเลยได้แต่ส่ายหน้าอย่างขำๆ

                (อิงเอื้อง… ใช่มั้ย?)

             “ใช่ อิงเอื้องอยู่ที่ร้านของมึงเหรอ” ผมถามพลางลูบปลายจมูกอย่างเขินๆ ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน มันเลยรู้สึกยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมขึงตาใส่คนอื่นๆ ที่มองมาอย่างล้อเลียน เก็บเสื้อแจ็กเก็ตแล้วก็คว้ากระเป๋าก่อนจะเดินออกมาจากห้องซ้อม ไม่ลืมโบกมือลาเพื่อนๆ ในกลุ่มด้วย

                (ใช่ เธออยู่ที่นี่ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกมึงมีอะไรกันรึเปล่า แต่เธออาจจะมีเวลาส่วนตัวบ้าง เธออยู่นี่ก็ดูร่าเริงดี)

             คำพูดของฌอนทำผมท้อแท้ เพราะตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเธอเคยร่าเริงสดใสเสียเมื่อไหร่กันล่ะ

                “ตอนนี้เธอทำอะไรอยู่” อีกนานกว่าผมจะไปถึงร้านอาหารของฌอน ผมเลยอยากรู้ว่าอิงเอื้องเป็นยังไงบ้างตอนนี้

                (ก็เสิร์ฟอาหารไง ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นหรอก)

             “แล้วเด็กเสิร์ฟในร้านของมึงล่ะ” ผมถามเรื่องที่ดูน่าห่วงมากที่สุด ไว้ใจได้ที่ไหนกันล่ะ

                เด็กเสิร์ฟในร้านอาหารของไอ้ฌอนหน้าตาหล่อน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ แถมอิงเอื้องก็หัวอ่อนใสซื่อซะขนาดนั้น ตามใครทันที่ไหนกันเล่า

                (มึงรู้ใช่ไหมว่าที่ร้านฉันจะมีเข็มกลัดชื่อติดหน้าอกทุกคนน่ะ…)

             “น่าจะนะ… ทำไม” ผมพึมพำ แล้วก็เปิดประตูรถก่อนโยนของไปในนั้น

                (ไม่มีอะไร เดี๋ยวมึงก็แวะมาหาอิงเอื้องที่นี่ไม่ใช่เหรอ งั้นเดี๋ยวเตรียมเมนูไว้ให้แล้วกัน มากันกี่คนล่ะ)

             ผมกำลังจะอ้าปากตอบคำถามฌอน แต่ไอ้เท็ดโผล่วิ่งแทรกเข้ามาบอกก่อน

                “สองคนเว้ย เดี๋ยวไปเจอกัน!!”

                (โอเค แล้วเจอกัน) หลังจากวางสายผมก็หันไปมองหน้าเท็ด มันหัวเราะแล้วก็ไหวไหล่

                “ไปเหอะ หิวแล้ว…” มันทำเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนผู้หญิง ผมขี้เกียจจะยุ่งด้วยเลยพยักหน้าก่อนนั่งลงที่ที่นั่ง แต่ไอ้เท็ดก็ตามมาด้วย ผมเลยถามไปอย่างสงสัย

                “แล้วมึงไม่เอารถมึงกลับอ่ะ” ผมถาม รถของมันก็จอดหน้าห้องซ้อม ซึ่งเป็นบ้านจัดสรรของเดมอนที่ไม่มีใครมาพัก ดังนั้นมันเลยกลายเป็นห้องพักแล้วก็ห้องซ้อมของ The Moxie ไปโดยปริยาย

                “กูง่วงอ่ะ อยากนอนพักด้วย ขอติดรถไปหน่อยแล้วกัน” เมื่อเท็ดตอบมาแบบนั้นผมก็พยักหน้าให้ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว เห็นหน้าเพื่อนเพลียๆ ก็ไม่อยากเสี่ยงให้มันขับรถกลับคนเดียว ไม่นานเราก็เดินทางไปถึงร้าน Café Mania เห็นฌอนยิ้มกว้างอยู่ก่อนแล้วก็ลงจากรถเงียบๆ

                “มาเร็วจริง สงสัยว่าเป็นโรค”

                “โรคอะไรของมึงวะ” ผมถามกลับไป ไม่เข้าใจรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยของไอ้ฌอนเลยจริงๆ

                “โรคไตหาหัวจาม ตามหาหัวใจยังไงล่ะ…” พูดจบฌอนกับเท็ดก็ประสานเสียงหัวเราะเป็นลูกคู่ ไม่รู้ว่ามันน่าขำตรงไหนกัน

                “จริงอย่างที่มึงพูดเลยฌอน ช่วงนี้ไอ้ร็อบมันใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ไม่บอกก็น่าจะรู้ว่าทำไม” เท็ดหัวเราะคิกคัก ผมเลยไม่สนใจเดินเลยพวกมันสองคนแล้วก็มองหาที่นั่งประจำ

                อันที่จริงผมกับเพื่อนในกลุ่มไม่ค่อยได้มาทานอาหารกันที่นี่นัก เพราะมันไกลจากห้องซ้อมของพวกเราพอสมควร แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ผมอยากรู้ว่ายัยหัวดื้อตอนนี้ทำอะไรอยู่กันแน่

                อาหารวางพร้อมที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมเลยนั่งลงก่อนฌอนและเท็ด จากนั้นผมก็สอดส่องสายตาหาผู้หญิงคนนั้น คนที่ทำให้ผมกระวนกระวายใจจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร

                “อยากเจอหน้ามากใช่มั้ย ถึงได้ตามมาถึงที่นี่เลยน่ะ” ฌอนยิ้มยิ้มหลอน ผมเลยผลักหน้ามัน และมองเห็นอิงเอื้องในที่สุด

                “เอื้อง!” ผมเรียกเธอทันที เจ้าของชื่อหันมาสบตากับผมแวบหนึ่งแล้วก็เมินหน้าหนีไป

                “ยัยตัวแสบ...” ผมพึมพำอย่างหมั่นไส้ และเพิ่งเห็นว่าเธอมัดผมเป็นหางม้าเป็นครั้งแรก เห็นแล้วน่ารักดีอยากจะดึงพวงผมเธอเล่นชะมัด

                ผมเลิกคิ้วตักอาหารเข้าปาก รู้สึกเคืองจนอยากจะกระชากร่างเล็กๆ มานั่งบนตักแล้วก็ตีก้นแรงๆ นัก

                “มึงเป็นเอามากนะร็อบ รู้ตัวมั้ยว่ามึงไม่เคยตามผู้หญิงต้อยๆ แบบนี้มาก่อน” เท็ดแกว่งส้อมไปมาระหว่างที่กินอาหารและบ่นผม

                “กูก็เพิ่งรู้ตัวนี่แหละว่ากูเป็นเอามาก…” ผมจนปัญญาจะโกหก เรียกเสียงหัวเราะจากไอ้เท็ดและฌอนได้ดังเหมือนเดิม

    End Rob talk…

     

             ฉันไม่เข้าใจว่าร็อบว่างมากนักหรือไงถึงได้ตามมาเฝ้าฉันที่ร้านอาหารของฌอนเสมอ วันนี้ก็วันที่สามเข้าไปแล้วที่เขานั่งนิ่งมองตามฉันตลอดเวลาจนหัวใจจะวาย…

             มันน่ากลัวน้อยซะเมื่อไหร่กันล่ะ จู่ๆ เขาก็มานั่งดื่มกาแฟและทำอะไรก๊อกแก๊กกับโน้ตบุ๊คของเขาจนฉันเลิกงานอย่างนี้ทุกเย็นน่ะ บางทีฉันก็ประหม่าจนแทบจะทำจานอาหารในมือหล่นตกแตก… แต่โชคยังดีที่มันเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้น…

             ฉันไม่รู้หรอกนะว่าจานอาหารในร้านแพงมากแค่ไหน แต่ที่รู้มันต้องแพงมากแน่นอน ดังนั้นค่าแรงมันก็เลยมากตามไปด้วย ฉันได้เงินสดเป็นค่าแรงวันละสองพัน… ฟังดูเยอะใช่ไหม แต่ต้องลองมาทำดูแล้วจะรู้ว่ามันหนักหนามากแค่ไหน คืนแรกหลังเสร็จงานแขนฉันงี้ชาไปหมดเลย ยิ่งต้องมาทำงานทุกเย็นมันก็ยิ่งย่ำแย่ลงทุกวัน

                แต่ก็นั่นแหละ แขนฉันเริ่มชินกับงานหนักแล้ว แต่ที่ไม่ชินเลยคือการกระทำของร็อบ…

             ตอนแรกเขายืนกรานว่าจะไม่ยอมให้ฉันมาทำงาน แล้วทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจอย่างนี้ล่ะ

                ดังนั้นมันเลยหลอนมากยังไงล่ะที่ต้องเห็นร็อบมานั่งมองจ้องจนมือไม้อ่อนอย่างนี้ทุกเย็น

                แต่นอกเหนือจากนั้นคือฉันได้เงินมากพอที่จะเช่าห้องพักสักที่หนึ่ง อาจจะเป็นอพาร์ตเม้นต์เล็กๆ สักที่หนึ่ง เพื่อหลบพักหนีจากเขา

                ฉันออกจะแปลกใจอยู่มากและยังหาคำตอบไม่ได้ เรื่องที่เรานอนบนเตียงเดียวกันทุกคืน มันเอ่อ… ให้ตายเถอะ ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่าคนอื่นรู้สึกยังไงที่ต้องแบ่งเตียงกับแฟน แต่ว่าเราสองคนไม่ใช่แฟนกัน

                ดังนั้นฉันเลยแวะหาอพาร์ตเม้นต์พักใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยเพราะไม่อยากให้ยุ่งยากเรื่องการเดินทางทาง แน่นอนว่าฉันไม่ได้บอกร็อบว่าวันนี้ฉันไม่มีเรียน แต่เลือกจะไปหาห้องเช่าแทนและได้อย่างรวดเร็วด้วย เพราะว่าคนเช่าคนหนึ่งย้ายออกกะทันหันเพื่อไปอยู่กับแฟน

                อีกวันฉันเลยแอบเก็บเสื้อผ้าบางส่วนใส่กระเป๋าเพื่อแอบย้ายของไปที่นั่นเงียบๆ ที่ห้องมีเฟอร์นิเจอร์ครบชุดพร้อมทุกอย่าง ตอนเย็นฉันก็ต้องไปทำงานที่ร้าน นั่นแหละ ชีวิตของอิงเอื้อง…

             หลังจากหมดกะเวลางานร็อบก็บังคับฉันให้นั่งลงที่โต๊ะอาหารแล้วก็สั่งให้กินข้าวเย็นด้วยกัน หนุ่มๆ ที่ร้านไม่มีใครสนใจฉันเลยสักคน ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ถ้าไม่ใช่สายตาน่ากลัวของร็อบและการที่เขามานั่งเฝ้าฉันทุกเย็นอย่างนี้

                “เอ่อ… คืนนี้ คืนนี้ฉันต้องไปค้างห้องเพื่อนนะ” หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว ฉันก็เลียบเคียงบอกกับร็อบอย่างกล้าๆ กลัวๆ

                เห็นเขาช้อนตามองก็ช่องท้องไหววูบ ใจหายและกลัวเหลือเกินว่าเขาจับได้ ยิ่งอยู่ใกล้ฉันก็ยิ่งกลัวใจ อยากอยู่ห่างจากเขาสักหน่อย ส่วนเท็ดก็มาด้วยวันนี้เขาเอาแต่นั่งกินข้าวไม่พูดอะไร ฉันว่าถ้าเท็ดไม่ติดใจอาหารร้านนี้ ก็อาจจะมีบางอย่างที่เขาสนใจอยู่ก็ได้

                “งั้นเหรอ… อืม ให้ไปส่งมั้ย”

                “มะ ไม่ต้อง นายมีธุระนี่ ฉันนั่งแท็กซี่กลับไปได้” กำหนดการณ์ของเขาฉันก็สืบมาหมดแล้ว ดังนั้นจึงมั่นใจว่าคืนนี้อาจจะเป็นคืนแรกที่หลบหนีจากร็อบได้สักคืน และอีกไม่นานคงได้อิสระคืนกลับมา

             “ฉันมีธุระพอดี ไปเองได้ใช่มั้ย?”

                “ดะ ได้ ฉันไปเองได้”

                เราสองคนพูดกันคำสองคำแล้วก็พากันออกจากร้าน Café Mania ร็อบเดินกลับไปที่รถพร้อมกับเท็ด ส่วนฉันก็เดินไปที่ถนนหน้าร้านเพื่อรอรถบัสเงียบๆ ฉันแอบชำเลืองมองดูเขาสองคนเป็นระยะระหว่างที่ก้าวเท้าไปที่ป้ายรถเมล์

                ด้วยความหดหู่ผิดหวังอะไรบางอย่างในตัวเอง ทำให้ฉันเดินเตะลมเตะแล้ง เห็นแอ่งน้ำอยู่ตรงหน้า และไม่มีใครยืนอยู่แถวนั้นนอกจากฉันคนเดียวก็อยากจะกระแทกเท้ากับผิวน้ำเล่นระบายอารมณ์

                แต่พระเจ้า! ใครจะไปคิดว่าแอ่งน้ำมันลึกล่ะ ฉันล้มพรวดจมลงไปครึ่งขาก่อนหน้าคะมำแทบฟาดหน้ากับพื้น กว่าจะยันตัวเองขึ้นมาจากแอ่งน้ำได้ก็กินเวลาอยู่นาน ภาวนาหวังว่าไม่ให้ร็อบเห็นสภาพนี้ อายจนน้ำตาซึม ทว่าคำขอนั้นไม่ได้ผล เมื่อมือหนาช้อนตัวฉันให้ยืนตรง ด้วยอากาศเย็นๆ ในเดือนมกราคมทำให้ฉันสั่นพั่บ ก้มหน้านิ่งอย่าอับอาย

                “ให้ฉันไปส่งมั้ย?” ร็อบจับไหล่ให้ฉันหันไปเผชิญหน้ากับเขา แต่ก็ไม่กล้าสบตาด้วยจนแล้วจนรอด

                “มะ ไม่เป็นไร” ฉันแสนจะอับอาย ตัวเปียกโชกและไม่เข้าใจว่าทำไมกรมทางจะต้องมารดน้ำต้นไม้เอาในเวลาเย็นๆ อย่างนี้ แล้วหลุมที่หน้าป้ายรถเมล์นี่ด้วย มันคืออะไรกัน

                “เปียกแบบนี้จะไหวเหรอ ไม่หนาวรึไง” ร็อบถาม แต่ฉันไม่ได้ตอบ จากนั้นเขาก็หันไปคุยกับเท็ด

                “ถอดแจ็กเก็ตมึงออกมา”

                “ไอ้เชี่ยร็อบ เสื้อกูแพงนะ” เท็ดโวยวาย แต่ต่อมาเสื้อแจ็กเก็ตของเท็ดก็คลุมตัวฉัน และเป็นจังหวะเดียวกับที่แท็กซี่ผ่านมาพอดี ฉันเลยพึมพำเสียงอุบอิบขอบคุณเขาสองคนแล้วก็ขึ้นแท็กซี่มาอย่างรวดเร็ว

                ให้ตาย! ฉันอายจนแทบจะตายอยู่แล้ว กว่าจะมาถึงอพาร์ตเม้นต์ฉันก็สั่นเป็นคนทรงเจ้า รีบอาบน้ำกินยาแก้ไข้ดักไว้หลังจากที่แวะซื้อก่อนหน้านี้ติดมือมาด้วย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีฉันก็กระโดดขึ้นเตียงห่มผ้าอย่างรวดเร็ว

                แต่ยังไม่ทันจะหลับฉันก็กรี๊ดออกมาสุดเสียงเมื่อมีอะไรบางอย่างอยู่บนเตียงและกอดฉันเอาไว้แน่น!!

             “เงียบ หนวกหู ฉันอยากจะนอนแล้ว!”

                เสียงดุๆ นั่นทำให้ฉันหยุดขยับตัวอย่างชะงักงัน ไม่คิดว่าหูฝาดในเวลาอย่างนี้แน่ และเสียงที่ว่านั่นมันเสียงของ…

             “ร็อบ!” ฉันอุทานตัวเย็นเฉียบ มือไม้ของเขาซุกซนแล้วก็กอดฉันแน่นขึ้น

                “สรุปว่าคืนนี้ไม่ไปนอนค้างกับเพื่อนแล้วเหรอ” เขาถามเสียงงึมงำ ซุกหน้าลงกับคอของฉันจนไรขนอ่อนทั่วร่างกายของฉันลุกชัน

                ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยบอกอะไรกับร็อบไว้บ้าง รู้แค่ว่าตอนนี้ทั้งกลัวทั้งเกร็งอยากจะถามเขาว่ามาที่นี่ได้ยังไง แต่สำหรับผู้ชายอย่างเขาแล้ว… ไม่ถามน่าจะปลอดภัยที่สุด

                “ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรดี ถ้าเธออยากย้ายห้องก็บอกสิ ไปพักคอนโดฉันก็ได้ ไอ้หอพักเล็กๆ นี่ดีอย่างเดียวคือใกล้มหา’ลัย ฉันไม่ค่อยชอบที่นี่เลย” เพราะฉันไม่พูด ร็อบเลยเป็นฝ่ายพูดแทน หัวใจฉันเต้นรัวแรง มือไม้ไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ที่ไหน สุดท้ายก็ยึดอกเสื้อนอนของเขาไว้เท่านั้น

                “ที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยไม่ค่อยดี ฉันไม่อนุญาตให้เธออยู่ที่นี่ นอนที่นี่คืนเดียวเท่านั้น เข้าใจมั้ย?”

                ฉันเลือกที่จะเงียบเหมือนเดิม พอมือหนาทำท่าจะล้วงสอดเข้ามาใต้ชายเสื้อฉันก็รีบละล่ำละลักบอกเขาไปอย่างรวดเร็ว

                “ขะ เข้าใจแล้ว…”

                “ดี…” น้ำเสียงของร็อบฟังดูพอใจ

                ฉันกลัวว่าเขาจะไปไกลมากกว่านี้ตามนิสัยเอาแต่ใจอยากได้อะไรต้องได้ของเขา แต่สุดท้ายร็อบก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากกอดฉันไว้และหลับไป

                แต่ฉันเป็นฝ่ายนอนไม่หลับ ใจยังเต้นแรง ใครจะไปคิดล่ะว่าจู่ๆ จะเจอเขาที่นี่ ทั้งที่เรื่องนี้ฉันไม่ได้บอกใครเลยแม้กระทั่งแก้วใสเพื่อนสนิทคนเดียวของฉัน แล้วร็อบรู้ได้ยังไงว่าฉันเช่าห้องพักใหม่คนเดียว และที่สำคัญกว่านั้น เขาเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไงกัน

                ฉันเอาแต่ครุ่นคิดไม่หยุด เป็นนานกว่าจะผ่อนคลายความตึงเครียดและหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขาเหมือนทุกคืน

     

                เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาในห้องพักแห่งใหม่ แต่ก็มีบางอย่างที่มันเหมือนกับทุกครั้ง นั่นคือร็อบกำลังแต่งตัวเงียบๆ ที่ปลายเตียง เพราะห้องเล็กมากดังนั้นทุกอย่างเลยต้องใช้สอยพื้นที่ในห้องให้คุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมร็อบถึงได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุดด้วยการยืนแต่งตัวที่ปลายเตียง จนฉันไม่รู้ว่าจะเบือนสายตาไปทางไหนแล้ว

                “เข่าเป็นไงบ้าง” หลังสวมกางเกงเสร็จ ร็อบก็ถามขึ้น

                ฉันหยุดคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจว่าเขาถามอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องน่าอับอายที่ฉันล้มคะมำลงในแอ่งน้ำบ้าๆ นั่น

                “เฮ้ ไหนขอดูหน่อยซิ…” เขาไม่รอฉันตอบ แต่นั่งลงที่ขอบเตียงแล้วก็ถลกผ้าห่มทิ้งไป

                “อ๊ะ!” ฉันอุทานได้คำเดียวแล้วฉวยผ้าห่มคืนไว้ไม่ได้

                ร็อบยกขาฉันขึ้นพาดกับตัก ฉันมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูกนอกจากจับชายเสื้อตัวเองเอาไว้เงียบๆ ระหว่างที่ปล่อยให้เขาทำตามความพอใจไป

                “เท้านี่แดงเชียว วันนี้มีเรียนมั้ย?” หลังจากมองจนพอใจแล้วร็อบก็เงยหน้าแล้วก็ถาม ฉันกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอก่อนจะส่ายหน้า

                หลังจากเรื่องเมื่อคืนเกิดขึ้น ฉันก็บอกตัวเองว่าห้ามประมาทผู้ชายคนนี้เด็ดขาด ฉันเลยไม่กล้าโกหกอีกแล้ว ทุกอย่างที่ทำมันน่าอับอายที่สุด ฉันมีจมูกงอกยาวทุกครั้งที่โกหกเหมือนพินอคคิโอหรือไงกัน ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้รู้ทันไปซะทุกเรื่องเลยนะ

                “งั้นไปโรงพยาบาลกันมั้ย”

                “ไม่ต้องหรอก” ฉันรีบปฏิเสธเพราะไม่ได้เป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ นอกจากมีรอยถลอกที่หัวเข่ากับแผลที่นิ้วเท้าเล็กน้อยเท่านั้น และที่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมดูร็อบไม่รังเกียจเลยที่จับเท้าของฉันน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยเข้าใจผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเลยสักครั้ง

                “งั้นกลับห้อง มีแผล ถึงจะแค่เล็กๆ ก็ต้องทำแผล” เขาออกคำสั่ง

                และอย่างที่ฉันเป็นอยู่ ฉันไม่เคยที่จะเอาชนะเขาได้เลยสักที เมื่อพยักหน้าร็อบก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วก็ฉุดฉันให้ลุกขึ้นตาม

                “งั้นก็แต่งตัวซะ เราจะกลับกันแล้ว…”

                “แล้วที่นี่…” ฉันหมายถึงห้องพักที่เราอยู่ด้วยกันตอนนี้ ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันคงดีที่แอบแวบหลบมาพักที่นี่ได้ แต่พอมีคนบุกรุกเข้ามาอย่างนี้ฉันเลยรู้ว่าทุกอย่างที่ลงแรงไปสูญเปล่า

             “ก็ปล่อยไว้แล้วกัน ครบกำหนดก็จ่ายเงินจัดการย้ายออกก็พอ” เขาพูดง่ายๆ โดยที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกยืนนิ่ง

                ร็อบเก็บของอย่างรวดเร็วไม่นานก็พาฉันออกมาจากห้องพักกันเงียบๆ ฉันมีคำถามมากมายอยากจะพูดอยากจะถามร็อบ แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรหลุดออกจากปากของฉันได้เลย สมองเหมือนตายดับ ทุกอย่างหยุดทำงาน จนถึงตอนนี้เชื่อไหมว่าฉันยังไม่รู้เลยว่าควรจะเป็นอะไรสำหรับเขา

                “ไปกัน”

                ฉันลืมไปแล้วว่าร็อบชวนไปที่ไหน เมื่ออยู่ใกล้เขา กลิ่นอายบางอย่างที่รุ่มร้อนนั้นทำให้ฉันสับสนมึนงงไปหมดจนไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเลย

                เขาพาฉันมาที่โรงพยาบาลเพื่อจัดการตรวจดูเข่าและข้อเท้าให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                ฉันตกใจ แน่สิ เป็นใครก็ต้องตกใจด้วยกันทั้งนั้น คนอย่างร็อบเนี่ยนะจะรู้สึกผิดแล้วก็ดูแลฉันอย่างดี แค่… แค่… ตกหลุมแอ่งน้ำโคลนเขาก็ถึงกับพามาที่โรงพยาบาลเชียวเหรอ คิดแล้วมันยังไงก็ไม่รู้

                หมอให้ยาแก้อักเสบแลยานวดมาเผื่อว่าฉันจะมีอาการปวดบวมหลังจากนี้ จ่ายเงิน แล้วก็กลับกัน เรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากกว่านั้น

                แต่สิ่งที่ฉันยังติดใจและสงสัยคือหัวใจของร็อบต่างหาก เขาคิดอะไรอยู่ ต้องการอะไร ฉันไม่เคยรู้และไม่เคยเข้าใจเลยจริงๆ

             “ฉันต้องไปทำงานต่อ เธอกลับเองได้มั้ย?”

                “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”

                “แล้วก็ห้ามไปทำงานที่ร้านของไอ้ฌอนด้วย เข้าใจมั้ย?” เขาสั่งเสียงเข้ม ฉันยังสงบใจกับอะไรหลายๆ เรื่องไม่ได้ เลยพยักหน้าให้เขาอย่างมึนงง

                “งั้นเอางี้ดีกว่า รอแป๊บ” ร็อบบอกพลางยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาใครบางคน

                ฉันเองก็ไม่ได้ไปไหนนอกจากหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็เงียบแต่โดยดี

                “มึงว่างมั้ย นอกจากมึงแล้วก็มีแค่เดมอนเท่านั้นล่ะมั้งที่ว่างไม่ยุ่งกับเมียเหมือนคนอื่นๆ” เขาคุยโทรศัพท์ ฉันเองก็ได้แต่ถอนหายใจ ยังวางตัวไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะทำยังไงด้วย

                คือ…ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าระหว่างเรามันคืออะไร แล้วมันดีแล้วเหรอที่มันจะเป็นอย่างนี้น่ะ เพราะจะพูดไป ฉันเองก็ยังคุยกับตินไม่เข้าใจเลยด้วย

                “กูอยู่โรงพยาบาล เปล่า ไม่ได้เป็นไร จำได้มั้ยว่าเมื่อวานมีคนซุ่มซ่ามย่ำแอ่งน้ำจนตกน้ำป๋อมแป๋มน่ะ” ว่าแล้วร็อบก็หัวเราะ บอกให้รู้ว่าคนที่เขาคุยด้วยคือเท็ด คนที่ฉันทำเรื่องน่าอายให้เห็นมาแล้ว ให้ตายเถอะรู้สึกยังไงก็ไม่รู้สิ…

             “ใช่ ช่วยมารับอิงเอื้องหน่อยได้มั้ย…”

                “ไม่ต้องหรอก ฉันกลับเองได้” ฉันเสียมารยาทพูดโผล่งออกไปก่อนที่ร็อบจะทันได้พูดจบประโยค เพราะไม่อยากเป็นภาระใครต่อใครอีกแล้ว

                “ฉันกลับเองได้จริงๆ” ฉันบอกแบบนั้น ร็อบก็หรี่ตามองเหมือนช่างใจ

                “เออ งั้นแค่นี้แหละ ขอบใจเท็ด” เขาวางสายจากเพื่อน ยกแขนกอดอกแล้วก็เอียงคอมองฉันไปมา

                “แน่ใจว่ากลับเองได้”

                “ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบนะ” ฉันบอกไปแบบนั้นและใจเต้นระทึกอย่างห้ามไม่อยู่ ทำไมนะ ทำไมช่วงนี้เขาถึงได้ใจดีด้วยอย่างนี้ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

                “งั้นก็โอเค แล้วเจอกัน”

                ฉันยิ้มให้ร็อบพลางเดินถอยหลัง เห็นร็อบยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมใจมันก็เต้นแปลกๆ แล้วก็หมุนตัวเดินตรงไปข้างหน้าไม่เหลียวมองด้านหลังอีก กลัวว่าอะไรบางอย่างจะทำให้ฉันวิ่งกลับไปหาเขา

                “อิงเอื้อง เธอนี่ท่าจะบ้าไปแล้ว” ฉันด่าตัวเองแล้วก็เริ่มต้นก้าวเดินอย่างมั่นใจมากขึ้น

                ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นอะไรกับร็อบ ความสัมพันธ์นี้จะยืนยาวไปถึงเมื่อไหร่ แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นสั่นไหวกับตินเหมือนที่เป็นกับร็อบเลย เพราะอย่างนั้นฉันถึงได้ตัดสินใจบางอย่างขึ้นได้ในที่สุด

                ฉันยกโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์โทรของตินแล้วก็สูดหายใจเข้าปอดเพื่อรวบรวมความกล้าให้มากขึ้น

                (เอื้อง!) เสียงของตินฟังดูตื่นเต้นเมื่อรับสายแล้ว ฉันเลยยิ้มที่มุมปากน้อยๆ

                “เอ่อ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายหน่อยน่ะ” ถึงจะบอกไปแล้วว่าฉันอยากจะเลิกกับเขา แต่ฉันก็อยากบอกให้ชัดเจนให้มากกว่านี้

                (คุยกันเหรอ อ้อ…) ตินครางเหมือนจะรู้ว่าฉันอยากจะบอกอะไร

                “ฉันต้องขอโทษด้วย อยากจะคุยกับนายจริงๆ” ฉันรู้สึกเสียใจ และนี่มันไม่ใช่ความผิดของตินเลย ดังนั้นฉันเลยอยากขอโทษเขาอย่างจริงใจ

                (งั้นเจอกันที่ไหนดีล่ะ?) เขาถาม ฉันเลยคิดก่อนจะบอกไป

                “งั้นเจอกันที่ร้านอาหารที่เราไปกินกันบ่อยๆ แล้วกันนะ” ฉันบอก ตินก็รับคำเสียงแผ่ว

                (ได้ แล้วเจอกัน อีกประมาณครึ่งชั่วโมงนะ ต้องประชุมกับโค้ชน่ะ…)

             “ได้ แล้วเจอกัน…” ดังนั้นฉันเลยเดินอย่างมั่นใจอีกครั้ง และคิดว่าหลังจากนี้ปัญหาที่รุมเร้ามาตลอดคงจะคลายลงไปไม่มากก็น้อย คิดว่าแต่ละเรื่องคงจะผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอีกแล้ว มันจะเป็นอย่างนั้นจริงไหมฉันเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ก็อยากจะให้มันผ่านไปเสียที

     

             ฉันมาก่อนนัดเพราะว่าร้านอาหารอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลที่มาพอดี ฉันเปิดตลับแป้งส่องกระจกเพื่อมองดูสภาพของตัวเองให้เรียบร้อย อย่างน้อยฉันก็อยากไปเจอตินในสภาพที่ตัวเองยังดูดีอยู่ระดับหนึ่งล่ะนะ ฉันเลือกที่นั่งที่หนึ่งแล้วก็สั่งของว่างกับเครื่องดื่มมานั่ง และรออย่างใจเย็น

                แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าถ้าร็อบมาเจอเข้า… พอเลยอิงเอื้องเลิกคิดเรื่องนั้นเลย ฉันบอกตัวเอง แล้วก็พยายามจะไม่จินตนาการเกินเหตุไป

                อีกเดี๋ยวตินคงมา ถ้าหากว่าเจอกันและคุยกันเข้าใจ แล้วเรื่องนี้จะได้คลายใจเสียที ระหว่างที่รอฉันก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็ได้พบว่ามีใครบางคนเดินมานั่งที่นั่งที่ติดกับด้านหลังของฉัน

                “อะไรอ่ะ ฉันอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นมากเลยนะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น แต่ฉันไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก

                “อยากเห็นไปทำไม” เสียงผู้ชายตอบมา ฉันเลยขยับตัวเล็กน้อย เพราะเสียงนั้นคุ้นมาก เหมือนเสียงของติน

                “ก็อยากรู้นี่นา ผู้หญิงเซ่อซ่าแบบนั้นไม่รู้ตัวจริงๆ เหรอ ตลกอ่ะ หวังว่านายคงไม่ทำแบบนี้กับฉันนะ…”

                เสียงหัวร่อต่อกระซิกนั้นทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่อยากเสียมารยาทแอบฟัง แล้วจะให้ทำยังไงได้ล่ะ เพราะพวกเขานั่งอยู่ด้านหลังของฉัน

                “ฉันจะทำแบบนั้นกับเธอได้ไงเล่า พอรู้จักหมอนั่น ฉันเดาออกทันทีเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ใช่เรื่องแก้แค้น…” ผู้ชายคนนั้นหัวเราะ เสียงดูน่าชิงชังน่ากลัวบอกไม่ถูก

                “แหม ฉันก็ไม่เคยคิดจะทำเรื่องแบบนั้นหรอกนะ แต่ฉันไม่อยากเสียเธอให้หมอนั่นนี่”

                “คิดหรอว่าฉันจะหลงเสน่ห์ผู้ชายคนอื่น ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า ฉันรักนายจะตายไปติน…”

                ติน!? ฉันอุทานอยู่ในใจเมื่อได้ยินแบบนั้น ซึ่งไม่คิดมาก่อนว่าเสียงที่ฟังดูคุ้นๆ นั่นจะเป็นเสียงของตินจริงๆ

                “ร็อบดูไม่ชอบหน้าฉันมาก และฉันรู้ว่าหมอนั่นต้องมาแย่งแฟนฉันแน่ ฉันเลยเลือกผู้หญิงคนหนึ่งมา ฉันฉลาดใช่มั้ยล่ะ”

                “ตินนี่เก่งที่สุดเลย” เธอคนนั้นหัวเราะเสียงใส ขณะที่ฉันเริ่มตัวแข็งทื่อ ปวดหัวจนขมับเต้นตุบๆ อย่างน่ากลัว

                “ตลกดีนะ…” ตินพูด และฉันแน่ใจว่าเขาคือติน… คนที่ฉันเคยนึกว่าเป็นแฟนของฉันมาตลอด

                “หมอนั่นดูเหมือนชอบแม่นั่นจริงๆ”

                “แฟนนายน่ะเหรอ” เสียงผู้หญิงคนนั้นหัวเราะไม่เลิก

                “นี่ก็ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว เธอหลบไปก่อนเถอะ เดี๋ยวก็คุยกันจบแล้วล่ะ”

                “แหม ฉันอยากเห็นหน้าแฟนนายจริงๆ เลย” เธอหัวเราะแล้วก็ทำเสียงออดอ้อน

                “เดี๋ยวแม่นั่นก็จะมาตีหน้าเศร้า บอกว่าเสียใจที่สับสน ไม่เหมาะสม ไม่คู่ควรเพราะถูกผู้ชายอีกคนข่มขืน”

                ฉันตัวชาวูบ เพราะนั่นมันคือฉันชัดๆ ไม่ต้องสงสัยเลย เขาคนนั้นคือตินจริงๆ

                ฉันลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองตรงๆ ก่อนพบว่าตินกำลังจูบกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่จริงๆ อย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเห็นภาพนี้

                สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ก็คือยกแก้วน้ำมือสั่นๆ และสาดมันเข้าหาของตินเมื่อเขาถอนจูบออกแล้ว

                “ลาก่อนติน อย่าได้เจอกันอีกเลย…”


     


    [1] ซาดิสม์ (Sadism) คือความสุขหรือความพึงพอใจในความเจ็บปวดและความทุกข์ของผู้อื่น คำนี้มีที่มาจากชื่อของมาร์กีส์ เดอ ซาด (Marquis de Sade) นักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่อในการเขียนนิยายแนวนี้

    - มาโซคิสม์ (Masochism) หมายถึงความสุขหรือความพึงพอใจทางเพศเมื่อได้รับความเจ็บปวดกับตัวเอง


     

     

       ตอนนี้ร็อบกับเอื้องเปิดพรีแล้วค่ะ

    รายละเอียดคลิกที่รูปข้างล่างเลยนะเออ

     

    มู่ฝากเอาไว้แล้วค่ะ จะได้รับหนังสือไปอ่านไวๆ ฮิๆ

     

    http://40.media.tumblr.com/628867b3d4d6878a4461d9507a4bc16d/tumblr_niiyfbUoKi1qbetfwo4_1280.jpg
    http://41.media.tumblr.com/b2889113c260377237fdf241694d3696/tumblr_niiyfbUoKi1qbetfwo5_1280.jpg

     


     

     


    Talk 1...

    Song :: Red Love - Pia Mia

    บางทีมู่ก็คิดนะ ว่าอีร็อบเนี่ย น่าจะเป็นน้องชายที่พลัดพรากของอีคิล

    เพราะแต่ละอย่างที่นางทำน่ะ ไม่ใช่คนปกติเค้าทำกันเลยimageimage

    แถมเอื้องยังน่าสงสารพอๆ กับสิตาด้วยล่ะ #น้ำตา

    แต่ร็อบยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้ด่ามันค่ะ

    เพราะอย่างนั้น มาต่อตอนหน้ากันเนอะ แล้วเจอกันค่ะimage  image
       

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×