ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #21 : Rob`s Eyes 💋 | Re-write Ver. Ep04

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 42.14K
      413
      23 ก.ค. 64

     http://36.media.tumblr.com/81126fb6093159ab6e2a28e7160b1b9b/tumblr_niq87wAK9I1qbetfwo3_r1_1280.png

     

     

    Rob’s Eyes 04

    ~And With Every Breath of Me~

     

                ฉันเดินออกมาจากร้านอาหารอย่างเลื่อนลอย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของติน คนที่เข้ามาหาเธอ เปิดประตูหัวใจที่ด้านชาด้วยความดีและแสนอ่อนโยนจนยอมเปิดรับเขาเป็นครั้งแรก แล้วก็เจ็บซะจนแทบหมดแรงหายใจ

                ฉันไม่ได้โกรธหรือเสียใจหรอกที่ถูกหักอกจากนักฟุตบอลชื่อดังอย่างเขา แต่เจ็บปวดตรงที่เพราะตินวางแผนทุกอย่างเอาไว้ และทำให้ฉันถูกทำร้ายอย่างไม่น่าให้อภัยยังไงล่ะ

                ระหว่างที่เดินออกมาฉันก็ยกมือเช็ดน้ำตาออกจากหน้า เจ็บจบบรรยายออกมาไม่ได้ และนึกหวาดระแวงไปหมดทุกอย่า รวมถึงร็อบด้วย…

             ‘ฉันเห็นเธอบ่อยๆ เราน่าจะทำความรู้จักกันไว้นะ’ ตินเข้ามาทักในวันหนึ่ง ตอนที่เลิกคลาสและฉันกำลังเก็บของอยู่ ตอนแรกฉันก็ได้แค่ยิ้มเพราะเราเรียนคลาสเดียวกันในวิชาหนึ่ง แต่เพราะรู้ว่าเขาเนื้อหอมมากแค่ไหนฉันเลยไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

                ‘เธอชื่ออะไรเหรอ…’ เขาถามต่อ ฉันเองก็กลัวว่ามันจะเสียมารยาทเลยตอบไป

                ‘ชื่อเอื้อง อิงเอื้อง เรียกสั้นๆ ว่าเอื้องก็ได้…’ ฉันตอบ และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอธิบายให้มากความแบบนั้นด้วย

                ‘ชื่อน่ารักดีนะ’ ตินหัวเราะ และนั่นทำให้ฉันใจเต้นแรงขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนที่มันจะเต้นเป็นจังหวะราบเรียบตามเดิม เพราะมีสายตาของผู้หญิงหลายคนที่จ้องมองเขา และพยายามจะเชื้อเชิญด้วยภาษากาย ดังนั้นฉันเลยถูกสายตาไม่เป็นมิตรทิ่มแทงจนร่างกายเจ็บชา

                ‘ฉันชื่อตินนะ รู้จักฉันรึเปล่า…’ เขาถามเสียงสดใส ไม่ได้หันไปมองสาวๆ คนอื่นที่เพียรส่งสายตาหวานเยิ้มให้เลย

                ไม่รู้ว่าทำไมต้องจำเพาะเจาะจงมาที่ฉัน ฉันเองก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เพ้อฝันกับความโรแมนติกในโลกนิยาย มันเลยห้ามไม่ได้ที่หัวใจจะเต้นแรงรัวเพราะรอยยิ้มของเขา

                ‘รู้… นายเป็นคนดังนี่ ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ’ ฉันตอบไป และรู้สึกว่าผิวแก้มร้อนผ่าวเล็กน้อย

             ‘อ้าว ก็คนบางคนก็อาจจะไม่ดูบอล ไม่สนใจเรื่องนี้เลยก็ได้นี่นา’ ตินบอกพลางยิ้มไม่เลิก ฉันไม่รู้จะวางตัวยังไง เป็นจังหวะที่เก็บของเสร็จพอดีเลยลุกจากเก้าอี้ เตรียมตัวจะกลับไปพักผ่อนเพราะวันนี้ไม่มีเรียนแล้ว

                ‘ยินดีที่ได้รู้จักนะ บาย~’ ฉันตัดบทเดินออกมาจากโต๊ะเรียนที่เป็นโต๊ะสโลป แต่ว่าตินก็พาตัวเองเข้ามาขวางไว้จนฉันเดินหนีไม่ได้

                เขายืนอยู่บนขั้นบันไดที่ต่ำกว่าตรงที่ฉันยืนขั้นหนึ่ง แต่ว่าความสูงของเขาก็ยังสูงกว่าฉันมาก ไม่รู้ว่าฉันเตี้ยไป หรือว่าตินสูงไปกันแน่

                แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้เลย ฉันยิ้มแหย ไม่เข้าใจว่าเขาจะขวางทางเอาไว้ทำไม…

             ‘จะกลับแล้วเหรอ’ ตินถามพลางทำหน้าละห้อย ตอนนี้ฉันไม่อยากหลงใหลได้ปลื้มกับรอยยิ้มหรือความน่ารักของเขาหรอก บอกตามตรงว่ากลัวแฟนคลับของเขามากกว่า

                ‘อื้อ จะกลับแล้ว ไม่ค่อยสบายน่ะ…’ ฉันบอกพลางเกี่ยวผมมาทัดข้างหู หัวใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ จนจับจังหวะไม่ได้

                ‘อ้อเหรอ ไม่ค่อยสบายหรอกเหรอ’ คราวนี้เขาทำท่าเป็นห่วง ก่อนจะเดินลงบันไดทั้งที่ถอยหลังอยู่ ท่าทางการเดินของเขาทำให้ฉันไม่ค่อยสบายใจ ถ้าพลัดตกบันไดไปแล้วบาดเจ็บ แฟนๆ ของเขาจะหาว่าฉันผลักเขาตกบันไดหรือเปล่าน่ะ

                ‘ถึงอย่างนั้นก็ขอเบอร์หน่อยสิ อย่างน้อยเราก็เรียนคลาสเดียวกัน เซคเดียวกันด้วย ฉันต้องซ้อมบอลบางครั้งก็ไม่ได้เข้าเรียน…’ เขายิ้มแบบที่ปฏิเสธไม่ได้เลย

                ฉันลำบากใจ กลัวสายตาแฟนๆ ของเขาก็กลัว อยากกลับไปพักด้วย เพราะอย่างนั้นเราเลยแลกเบอร์กันในที่สุด ตินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฉันเลยได้ออกจากห้องเรียนในที่สุด

                ไม่อยากจะบอก ตอนนั้นใจฉันเต้นแรงมากเลยล่ะ แล้วก็คิดว่าคงไม่ได้คุยกับตินแน่ แต่เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที โทรศัพท์ก็มีสายเข้า และคนที่โทรเข้ามานั้นก็คือคนที่เพิ่งแลกเบอร์ไปหมาดๆ ก่อนหน้านี้นี่เอง

                ‘โอ๊ย กระเพาะจะทะลุ…’ ฉันครางอย่างไม่ค่อยสบายใจกับการกระทำของติน แต่จะไม่รับก็ดูจะเสียมารยาท

                แต่ถ้ารีบรับสายเลยเขาก็อาจจะมองว่าฉันอยากคุยกับมาก…

             ซึ่งฉันไม่ได้อยากคุยด้วยเท่าไหร่ รู้สึกอึดอัดเกรงใจมากกว่า ท้องไส้ฉันเลยปั่นป่วนไปหมด แต่สุดท้ายฉันก็เลือกกดรับสายหลังจากที่เขาโทรมาเป็นสายที่สอง…

             ‘มีอะไรเหรอ…’ ฉันกรอกเสียงลงไป และไม่รู้ว่าจะทักทายยังไงด้วย มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจจริงๆ

                ‘พูดมาแบบนั้นฉันก็เสียใจแย่สิ เหมือนฉันโทรมารบกวนเลย’ เขาพูดมาตามสาย ฉันเลยรีบอธิบายกลับไปในทันที

                ‘เปล่า คือ ฉันไม่รู้จะทักทายนายยังไงดีน่ะ’ ฉันบอกไปตามความจริง ร้อนวูบวาบไปหมด นานแล้วที่ไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้น่ะ

                ‘ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ แค่อยากโทรมาบอกว่าเธอลืมของ…’ เขาบอกฉันเลยทำตาโต แล้วก็เปิดกระเป๋าค้นดูข้าวของข้างในทันที

                ‘ฉันน่ะเหรอลืมของ…’ ไม่รู้ว่าลืมอะไรไว้ กระเป๋าก็เหมือนว่าไม่มีอะไรหายด้วย แต่ก็อาจจะมีอะไรบางอย่างที่ฉันเผลอลืมเอาไว้จริงๆ

                ‘งั้นเธอรออยู่หน้ามหา’ลัยแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะออกไปหา’ ตินบอกอย่างมีน้ำใจ ยิ่งทำให้ฉันเกรงใจเข้าไปใหญ่

                ‘ฉันไปเอาเองก็ได้นะ เผื่อว่านายมีธุระ…’ ที่บอกไปแบบนี้ไม่ใช่ว่าฉันอยากไปเจอเขานะ ฉันแค่รู้สึกไม่สบายใจไม่อยากรบกวนเขาเท่านั้น

                ‘ไม่หรอก เดี๋ยวเจอกัน…’ ตินไม่รอให้ฉันปฏิเสธ เขาชิงตัดสายทิ้งไปก่อน ดังนั้นฉันเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปรอที่หน้าประตูเข้ามหาวิทยาลัย

                แค่ในห้องเรียนก็ยังมีคนมองซะขนาดนั้น แล้วนี่หน้ามหาวิทยาลัยเลยฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีคนเกลียดฉันมากแค่ไหนเหมือนกัน ที่มีคนดังมาพูดคุยด้วยน่ะ

                ไม่นานนักตินก็มาเจอฉัน เขายิ้มแย้มแบบที่ฉันรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสดใส เพราะจะว่าไปแล้วฉันไม่มีเพื่อนเยอะ แล้วก็ไม่ได้เป็นสาวป๊อบที่ร่าเริงแฮปปี้กับชีวิตทุกวันน่ะ

             ‘เอ่อ ฉันลืมอะไรเหรอ’ ฉันถามอย่างประหม่าเมื่อเขาเดินมาถึงแล้ว

                อย่างที่คิดเอาไว้เลย มีคนมองเยอะจริงๆ ด้วย และมันทำฉันวางตัวไม่ถูกเลยจริงๆ

                ‘นี่ไง…’ ตินส่งอะไรบางอย่างมาให้ ฉันเองก็รับมาถือไว้ในมือก่อนจะเงยหน้ามองเขาด้วยความแปลกใจแล้วก็ตกใจเล็กน้อย

                เพราะของอะไรที่ว่านั่นคือ ‘ยาแก้ไข้’ ซึ่งตอนนี้ฉันต้องการมันจริงๆ

                ‘บาย ไว้เจอกันนะเอื้อง…’ ตินยิ้มกว้างซุกมือกับกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินกลับไป

                ทิ้งฉันไว้กับยาแก้ไข้และอุณหภูมิของร่างกายที่ดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นเล็กน้อยด้วยความอึ้งนิดๆ

             แต่เรื่องพวกนั้นมันก็ผ่านไปนานแล้ว ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วทุกอย่างว่าทำไมเขาถึงได้เข้ามาจีบผู้หญิงที่ไม่เหมือนกับเขา เข้ากับเขาไม่ได้เลยสักอย่าง

                ตอนนี้ฉันรู้แล้วจริงๆ…

             ฉันยกมือเช็ดน้ำตาที่มันหล่นลงมาพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายบางเบา ราวกับว่าท้องฟ้ากำลังร้องไห้เป็นเพื่อนฉันด้วย น่าสมเพชที่สุด ที่ไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นเรื่องจริงหรือคำลวงน่ะ

     

                ฉันเลือกที่จะกลับห้องพักที่เพิ่งเช่าไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าร็อบจะบอกว่าไม่ให้มาพักที่นี่แล้วก็ตาม แต่ว่าฉันไม่อยากไปเจอใครทั้งนั้น

                คอนโดของฉันร็อบเข้าออกได้อย่างง่ายดาย อีกอย่างเขาฉลาดเป็นกรดแบบนั้นแค่เห็นหน้าและรอยแดงๆ ที่ดวงตาคงจับได้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้น และเชื่อเถอะว่าเขาต้องเค้นจนกว่าฉันจะอธิบายให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น

                จนถึงประมาณหกโมงเย็นร็อบก็โทรเข้ามา บอกตามตรงว่าฉันกลัวมาก รู้สึกไม่ดีกับผู้ชายทุกคนบนโลกนี้…

             เพราะตินก็หลอกใช้ฉัน คบกันฉันบังหน้าแฟนจริงๆ ของเขาเพื่อไม่ให้ร็อบแย่งไป

                ส่วนร็อบก็คงเกลียดติน ไม่อย่างนั้นคงไม่มาทำร้ายผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของเพื่อนแบบนี้แน่

                และฉันก็คือเหยื่อที่ไม่มีทางสู้ ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ในการปกป้องตัวเอง ทั้งอายทั้งเจ็บใจ เพราะจะว่าไปแล้วร็อบก็ไม่ได้สนใจฉันมากนัก เขาก็แค่ฉวยโอกาสตอนที่ฉันไม่ระวังตัว

                เขาก็เหมือนผู้ชายทุกคนบนโลกนั่นแหละ อะไรที่เก็บเกี่ยวได้ก็ต้องเก็บเกี่ยวเอาไว้ทุกอย่าง เพราะอย่างนั้นฉันเลยช้ำมากจนไม่อยากจะเจอหน้าใครทั้งนั้น

                ไม่ว่าจะร็อบหรือติน…

             ฉันปล่อยให้สายตัดไปเป็นครั้งที่สองและเริ่มกลัวว่าร็อบจะบุกมาที่นี่เหมือนเมื่อวานที่เขาแวะมา ดังนั้นเมื่อมีสายโทรเข้ามาอีกครั้งฉันก็เลยรับสายในที่สุด

                (ทำอะไร ทำไมรับสายช้า!) ร็อบถามเสียงห้วน บอกชัดว่าไม่พอใจอย่างมาก

                ฉันกลืนน้ำลายลงคอ เพราะกลัวไม่น้อย เวลาร็อบโกรธน่ะน่ากลัวมากจนไม่อยากจะเจอพายุโหดร้ายของเขาอีก

                “ฉันอาบน้ำอยู่…” ฉันบอกไป ถึงแม้ว่าจะแค่นั่นนิ่งบนเตียงเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งเท่านั้น

                (ไงนะ? อาบน้ำ ฉันอยู่ที่คอนโดเธอนะ แล้วเธออยู่ไหน) เสียงของร็อบเข้มขึ้นจนฉันต้องถอนหายใจ

                “ฉันอยู่ที่อพาร์ตเม้นต์น่ะ พอดีว่าฝนตกหนักฉันเลยมาหลบฝนที่นี่”

                แน่นอนล่ะว่าฉันโกหก แต่สถานการณ์นี้มันเลี่ยงได้เมื่อไหร่กันล่ะ

                (งั้นเหรอ คืนนี้จะนอนที่นั่นเลยเหรอ ให้ไปรับมั้ย?) เขาถามอย่างมีน้ำใจ

                เหมือนกับตอนที่ตินบอกว่าลืมของแล้วก็ซื้อยาแก้ไข้มาให้…

             ฉันเม้มปากคิดอะไรอยู่คนเดียวเป็นนาน จนร็อบถามซ้ำจึงได้สติ

                (เอื้อง!)

                “ฉันกินยาไปก่อนหน้านี้ด้วยน่ะ ตากฝนมาเลยกินยาแก้ไข้ดักไว้ ง่วงมากเลยว่าจะนอนแล้ว ไม่ต้องมารับหรอก ฉันว่าจะพักที่นี่อีกคืนนึงน่ะ”

                (เอางั้นเหรอ พอดีฉันมีซ้อมกับเพื่อนน่ะ) เสียงของร็อบดูกังวล แต่บอกตามตรงว่าฉันเข็ดแล้วและไม่กล้าจะเชื่อใจใครง่ายๆ เลย

                “ไม่เป็นไรจริงๆ ฉันอยากจะนอนแล้ว แค่นี้ก่อนได้มั้ย?” ฉันถาม น้ำตาเหมือนจะไหลให้ได้

                (แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร จะให้พาไปหาหมอมั้ย)

                “ฉันอยากนอนแล้วร็อบ ค่อยเจอกันนะ” เสียงฉันแหบพร่าโดยที่ไม่ต้องแกล้งทำ ร็อบเลยถอนหายใจให้ได้ยิน

                (โอเค พรุ่งนี้จะเข้าไปหา รักษาตัวด้วย…)

             หลังจากวางสายฉันก็ล้มตัวลงนอน นัยน์ตาแห้งผากและร้อนไปหมด กว่าจะหลับไปก็ปาไปค่อนคืน ไม่อยากเชื่อเลยว่าชีวิตของตัวเองจะน่าทุเรศถึงขนาดนี้

                ถูกผู้ชายหลอกใช้ไม่พอ ยังถูกขืนใจเหมือนเป็นแค่วัตถุทางเพศอย่างหนึ่ง มันน่าสมเพชมากจริงๆ…

             พอตื่นเช้าก็อย่างที่คิดเอาไว้เลย ตาฉันแดงก่ำบวมเบ่ง ไม่น่ามองเอาซะเลย หลังจากที่แต่งหน้าบางๆ เสร็จก็พาร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำไปเรียนด้วยความโหวงหวิว

                ฉันลืมไปสนิทใจว่าวิชานี้ต้องเรียนคลาสเดียวกับติน… ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอเขา ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เจอหน้ากัน แต่คำขอของฉันคงจะไร้ผล เพราะร่างสูงของตินเดินเข้าห้องเรียนมาจนได้

                “ให้ตาย...” ฉันสบถกับตัวเองแล้วก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นเขาในสายตาจนจบคลาส แล้วก็รีบพาตัวเองออกมาจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว

                แต่เหมือนว่าพระเจ้าจะเกลียดฉัน เพราะทำให้ฉันต้องเผชิญหน้ากับตินจนได้ เราชนกันที่หน้าประตูและสบสายตากันอย่างจัง ฉันมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็เดินหนีออกมา ไม่อยากเห็นสีหน้าแววตาเยาะเย้ยถากถางพวกนั้นให้ปวดใจ และไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทาที่ดังตามหลังมาด้วย

                “พวกเขาเลิกกันแล้วเหรอ ทำไมไม่มองหน้ากันเลย”

                “นั่นสิ… เอื้องดูตาแดงๆ นะ ทะเลาะกันรึเปล่าน่ะ”

                ไม่ได้แค่ทะเลาะอย่างเดียวหรอก แต่จบไม่สวยเลยมากกว่า ฉันคิดและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพื่อจะได้ไม่ต้องได้ยินคำพูดพวกนั้นอีก

                ฉันไม่กล้ากลับคอนโดจนแล้วจนรอด และดูเหมือนว่าคืนนี้ร็อบก็ต้องค้างที่ห้องซ้อม ดังนั้นเราเลยไม่ได้คุยอะไรกันมาก ฉันเองก็สบายใจมากขึ้นด้วย

                เพราะสุดท้ายแล้วฉันก็ยังคิดในแง่ร้ายว่าเขาก็ไม่ต่างไปจากติน  และวันหนึ่งฉันก็อาจต้องเจ็บปวดอีกครั้ง ซึ่งคงหนักหนาสาหัสกว่าครั้งนี้หลายเท่าด้วย…

             และอีกสามวันต่อมาฉันไม่ได้กลับคอนโดเลย ร็อบเองก็มีติดเล่นดนตรีออกทัวร์ต่างจังหวัดเราเลยไม่ได้เจอกันโดยปริยาย จนแวบหนึ่งที่ฉันรู้สึกคิดถึงเขาขึ้นมา…

     

             วันนี้ก็ห้าวันแล้วที่ไม่ได้เจอร็อบ ทำให้ฉันแน่ใจว่าเริ่มคิดถึงเขาขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่นึกถึงเขาด้วยความกลัวหรือตกใจ แต่มันเป็นเพราะอยากเจอหน้าเขา อยากรู้ว่าหลายวันที่ผ่านมาเขาเป็นอย่างไรบ้าง ฉันเริ่มกลัวว่าเขาจะตีตัวออกห่างจนนอนไม่หลับ สภาพของฉันเลยเหมือนซอมบี้เข้าไปทุกที…

             ฉันตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะกลับคอนโด เลยกลับมาที่อพาร์ตเม้นต์เพื่อเก็บของแล้วจะได้กลับไปจริงจังซะที พอมีเสียงเคาะประตูก็อดยิ้มไม่ได้

                “ร็อบมาแล้ว” ฉันบอกตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้

                “นายมาช้า!” ฉันต่อว่าไป ก่อนจะหน้าเปลี่ยนสี รอยยิ้มหายไปเพราะคนที่อยู่หน้าห้องไม่ใช่ร็อบอย่างที่เข้าใจ

                แต่เป็นติน…

             “เธอรอฉันเหรอ” เขาถาม และฉวยโอกาสตอนที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัวแทรกตัวเข้ามาในห้อง

                “ออกไปเดี๋ยวนี้นะ” ใจฉันเต้นโครมครามและเอ่ยปากไล่อย่างไม่ไว้หน้า

                “เมื่อกี้เธอบอกว่าฉันมาช้า ไม่ได้อยากเจอฉันหรอกเหรอ” ตินยิ้ม สีหน้าเจ้าเล่ห์น่ากลัวจนฉันเริ่มสั่น ถอยหลังหนีเรื่อยๆ แต่ห้องนี้ก็แคบแสนแคบจนไม่รู้จะหนีไปทางไหน

                “ฉันไม่คิดว่าจะเป็นนาย ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นกับนาย” ฉันบอกอย่างระมัดระวัง ถ้าพูดแรงไปก็อาจซวยเองได้

                แต่ตินไม่ถอยหนีเขาเดินดุ่มเข้ามาใกล้ก่อนจะกดฉันลงกับเตียงอย่างง่ายดาย ฉันร้องกรี๊ดด้วยความกลัว แต่เขายกมือปิดปากฉันเอาไว้แน่นไม่ยอมให้ส่งเสียงได้ ทำให้ฉันน้ำตาไหลพรากด้วยความกลัว

                “ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอร้องไห้ทุกคืนหลังจากที่เราเจอกันที่ร้านอาหารนั่น… ฉันทำเธอเสียใจมากเลยเหรอเอื้อง…”

                ฉันสั่นหน้าเพราะไม่ได้เสียใจที่เราจบกัน แต่เสียใจและเกลียดเขาจับใจที่ใช้ฉันเป็นหมากอย่างแสนทุเรศ

             “จะว่าไป ไม่มีใครดีและเข้าใจฉันมากเท่าเธอเลย ในเมื่อเธอยังแคร์ฉันอยู่ เรากลับมาคืนดีกันมั้ย?” เขาพูดอะไรบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันพยายามดิ้นรนแต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากร้องไห้และภาวนาให้ใครสักคนมาช่วยฉัน

                “หมอนั่นต้องเลิกกับเธอแน่ ถ้าเรากลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม หมอนั่นรับไม่ได้หรอกถ้าผู้หญิงของมันมีอะไรกับคนอื่น”

                ฉันกรีดร้องในใจด้วยความหวาดกลัว ดิ้นรนสุดชีวิตและเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออก

                “เอื้อง อยู่ที่นี่ป่ะ ไปหาอะไรกินกัน แล้วเรา…”

                เป็นร็อบที่เข้ามา เขาพูดไม่จบและหน้าตกใจที่เห็นฉันกับตินอยู่ด้วยกันบนเตียง!

             ฉันทั้งกลัวทั้งตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และที่กลัวมากกว่านั้นคือกลัวว่าร็อบจะเข้าใจผิดว่าฉันกับตินเราทำอะไรกัน… พอได้สติฉันก็ทั้งดิ้นรสสะบัดหน้าหนี แต่ก็สู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้

                แต่เหมือนว่าร็อบจะเห็นว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไง เพราะเขาเดินปรี่เข้ามาอย่างไม่ลังเล

                “เอ่อ นายมาได้จังหวะพอดี ยัยนี่บอกว่ากำลังหาเรื่องสนุก…”

                ผลั๊วะ!! ยังไม่ทันจะพูดจบ ตินก็ถูกชกและล้มลงไปอีกทางหนึ่ง ฉันก็ถูกร็อบกระชากให้ลุกขึ้นจากเตียง

                “เฮ้ย ก็แม่นี่บอกเองว่าอยาก” ตินยกมือลูบแก้มของเขา แล้วก็มองฉันกับร็อบเหมือนว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

                สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ช็อกมาก และตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ร่างกายสั่นเทาในอ้อมแขนของร็อบที่กอดรัดเอาไว้แน่นจนเจ็บไปหมด เหมือนว่าร่างจะแหลกสลายคาอกของเขาเสียแล้ว

                “นายก็น่าจะรู้ดีนี่ ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นยังไง เพราะนายก็เคยเจอมาก่อนไม่ใช่เหรอ” ตินหัวเราะ แต่ฉันกับร็อบไม่ได้พูดอะไรเลย ก่อนที่ร็อบจะลากฉันออกมาจากอพาร์ตเม้นต์เงียบๆ

                เมื่อขึ้นมาอยู่บนรถแล้วนั่นแหละ ฉันถึงได้หลุดสะอื้นแล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว ยิ่งร็อบไม่พูดอะไรแบบนี้ฉันก็ยิ่งกลัวมากขึ้นจนพูดอะไรไม่ออก

                ไม่นานรถก็แล่นออกมาเงียบๆ โดยที่เราไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่ช้าก็แล่นมาถึงร้านอาหารของเคลย์ ซึ่งฉันก็ไม่ได้อยากจะมานักหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากห้ามร็อบได้ยังไงด้วย

                เราไม่พูดกันเลยสักคำ และถูกลากแทบจะล้มหัวคะมำหลายครั้งเข้าไปในร้าน ทุกคนมองเราเป็นตาเดียวเพราะว่าร็อบเอาแต่ทำหน้าถมึงทึง ส่วนฉันก็ร้องไห้มาแค่ไกล

                พอนั่งเคลย์ก็เดินเข้ามาใกล้ เขาทักทายอะไรบางอย่างกับร็อบแต่ฉันไม่ทันได้ฟัง มาได้ยินชัดๆ ก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก

                “ไอ้ร็อบ มึงตบหน้าแฟนมึงได้ไงวะ!”

                “เชี่ยเคลย์ กูไม่ได้ทำ!” ร็อบว่าแล้วก็ทำเสียงหงุดหงิด

                “ไปเอาน้ำแข็งกับผ้ามาหน่อยสิ เห็นหน้ายัยนี่แล้วกูของขึ้น…” เขาว่าอย่างหงุดหงิดสุดๆ ซึ่งเคลลย์ก็หันไปสั่งลูกน้องในร้านทันที

                ไม่นานของที่ร็อบอยากได้ก็มาถึง และร็อบก็เป็นคนช่วยประคบน้ำแข็งที่แก้มฉันด้วย ฉันครางเมื่อเขาแตะถูกหน้า และนั่นทำให้เขาสบถลั่น

                “ให้ตายเถอะ ทำไมถึงโง่ปล่อยให้ผู้ชายอื่นเข้าห้อง สมองน่ะไม่มีใช่มั้ย!?” เขายกนิ้วจิ้มขมับฉันแรงๆ จนฉันแทบล้มลงจากเก้าอี้

                “ก็…” ฉันรู้ว่าควรต้องส่งเสียงอะไรบ้าง แต่ก็พูดไม่ออกจนแล้วจนรอด

                “ก็อะไร ทำไม พูดมาเซ่!” เขาเริ่มรุนแรงขึ้นจนฉันแทบหัวหมุน

                “ก็…” ให้ตายเถอะ แค่คำพูดไม่กี่คำทำไมฉันถึงพูดไม่ออกเล่า ฉันได้แต่หงุดหงิดตัวเองอยู่ในใจ

                “พูดไม่ถูก ได้มีเรื่องแน่!”

                “ก็ฉันคิดว่านายนี่… ปกตินายก็ทำตัวเหมือนนินจาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ฉันคิดว่านั่นเป็นนายนี่” สุดท้ายฉันก็หลุดสะอื้นออกไปอย่างห้ามไม่อยู่

                ยิ่งเป็นแบบนั้นร็อบก็ไม่เลิกสบถ เขาเช็ดหน้าฉันออก ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านแต่แววตาอ่อนโยนจนฉันเริ่มหายกลัวและหายตกใจ

                “ยัยโง่ แล้วทำไมหมอนั่นถึงเข้าไปอยู่ในห้องได้ ไม่ได้ถูกทำอะไรใช่มั้ย” ร็อบถามแต่ไม่ถามเปล่า ยังดึงอกเสื้อของฉันลงด้วย

                “ร็อบ!” ฉันอุทานและยกมือตีเขา นั่นแหละเขาถึงได้ยอมปล่อยมือออก

                “ลองมันแตะเธออีกทีสิ ฉันได้หักคอมันแน่ บอกแล้วไงว่าไอ้หอพักนั่นระบบรักษาความปลอดภัยมันไม่ดี เห็นแล้วใช่มั้ย!?” เขาไม่ยอมหยุดจิ้มนิ้วลงกับหัวของฉัน ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นตุ๊กตาล้มลุกก็ไม่ปาน

                “ฉันก็กำลังจะกลับแล้วไง… อ๊า กระเป๋า” ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าลืมเอากระเป๋ามาด้วย ร็อบก็ทำหน้าเซ็งขึ้นมาทันที

                “ฉันขี้เกียจขับรถ” เขาดักคอไว้ทั้งที่ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ

                “ฉันไม่ได้บอกให้นายไปเอาซะหน่อย เดี๋ยวฉันไปเอาเอง” ฉันบอกและดึงเอาผ้ากับน้ำแข็งมาประคบหน้าเอง

                ตินมือหนักมากซึ่งเขาคงไม่รู้แน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำแบบนี้ แต่เดี๋ยวก่อน ลืมไปแล้วเหรออิงเอื้อง ว่าตินคนนั้นพยายามจะทำอะไรเธอ ฉันยกมือเคาะหัวตัวเองแรงๆ เพื่อให้ได้สติคืนมา แต่ร็อบฉวยมือฉันไป

                “ถ้าเธอเคาะหัวตัวเองอีก ฉันจะตีมือเธอ!” เขาว่า ฉันเลยทำหน้าสงสัย แล้วที่เขาจิ้มหัวฉันจนโกไปโยกมานั่นล่ะ หมายความว่ายังไงกัน

                “ฉันไปเอาของก่อนนะ” ฉันบอก เมื่อรู้สึกว่ามีสายตามองมาที่พวกเรามากขึ้นทุกที

                “ไม่ต้อง นั่งรอตรงนี้แหละ” ร็อบทำท่ารำคาญ แล้วก็ยกโทรศัพท์ต่อสายไปหาใครบางคนแทน

                “หิวมั้ย?” เขาถาม ฉันเลยส่ายหน้า บอกตามตรงว่ากลัวจนตกใจอย่างเดียวเท่านั้น

                “ถามไม่ตอบ เดี๋ยวเถอะ” ไม่ว่ายังไงร็อบก็อารมณ์เสียได้ทุกเรื่อง ฉันกำลังจะอ้าปากบอกแต่เขาก็ยกมือปิดปากฉันไว้เหมือนเดิม

                “เฮ้ ช่วย’ไรหน่อยสิ ช่วยไปเอาของให้หน่อย” ฉันดึงมือของร็อบออกจากปากของฉันแล้วก็นวดแก้มต่อ ให้ตายเถอะ มันปวดๆ ยังไงก็ไม่รู้ ฉันทั้งปวดทั้งง่วงอ้าหาวจนน้ำตาไหล รอจนเขาพูดจบอาหารก็วางตรงหน้าแล้ว

                “คลาดสายตาไม่ได้เลยนะ เธอนี่มีแม่เหล็กดูดความซวยรึไง”

                เขาเอาแต่บ่นไม่หยุด ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้หงุดหงิดนักหนา สุดท้ายเราก็ได้นั่งกินข้าวด้วยกัน ซึ่งไม่ได้พูดถึงเรื่องของตินอีกเลย ร็อบไม่เงยหน้าขึ้นด้วย บอกว่าถ้าเห็นรอยนิ้วบนหน้าของฉันแล้วอารมณ์เสีย ฉันเลยพยายามก้มหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

                แล้วกระเป๋าก็ได้มาด้วย ไม่รู้ว่าร็อบไหว้วานใคร ก่อนที่ฉันจะถูกลากให้ออกมาจากร้านอาหารของเคลย์

                พร้อมกับคำซุบซิบนิทนาที่ว่าร็อบเป็นคนตบหน้าฉันล่ะ…

             เพราะงั้นคงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าเขาอารมณ์เสียมากแค่ไหนน่ะ…

     

                เมื่อกลับมาถึงคอนโดฉันก็เหมือนว่ากลายเป็นนักโทษโดยสมบูรณ์เมื่อร็อบเอาแต่ซักว่าทำไมตินถึงเข้าไปอยู่ในห้องได้ ก็อย่างว่านั่นแหละ ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจมาก เอาแต่ใจอย่างสุดๆ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ต้องได้ดั่งใจ ดังนั้นฉันเลยต้องรีบอธิบายให้เขาฟัง

                “ฉันบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าฉันอยู่ที่นั่น มันก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเขาจะพักที่นั่นด้วย แต่ฉันไม่ได้เป็นคนชวนเขามาจริงๆ” ฉันบอกแล้วก็ถอนหายใจ ร็อบยังเอาแต่จ้องเขม็งจนมือไม้อ้อนไปหมด

                “แล้วทำไมยอมให้ไอ้หมอนั่นเข้าห้อง!”

                โอ๊ย! ผู้ชายคนนี้ไม่ยอมเข้าใจอะไรสักทีใช่ไหม ไม่ว่าจะพยายามจะอธิบายยังไงก็ไม่ฟังเลยสักอย่างเดียว เรื่องนี้ฉันบอกไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่ยอมเข้าใจ…

             “ก็บอกแล้วว่าตินมาเคาะห้องแล้ว…”

                ฉันหยุดพูดเมื่อสายตาของเขาจ้องมองมาอย่างหงุดหงิดไม่พอใจ จนต้องรีบตัดชื่อ ‘ติน’ ออกจากคำพูด

                “เขามาเคาะห้อง ฉันเลยเปิดประตูก็เห็นว่าเป็นเขา และยังไม่ทันได้ทำอะไร เขาก็ผลักประตูเข้ามา แล้วก็ นั่นแหละ อย่างที่นายเห็น” ฉันถอนหายใจอย่างหน่วงหนัก บอกแล้วบอกเล่าเขาก็ไม่ยอมเชื่อสักที จนหมดแรงจะอธิบายอยู่แล้ว

                “เธอนี่มันโง่จริงๆ”

                และเขาก็เอาแต่ต่อว่าบอกว่าฉันโง่ไม่รู้กี่ร้อยคำแล้วด้วย!

             “ฉันคิดว่าเป็นนายนี่ ก็มัวแต่คิดว่านายมาเลยเปิดประตู”

                “ทำไมถึงทำแบบนั้น!”

                วะ! ผู้ชายคนนี้ชักจะบ้าไปแล้วนะ ฉันถอนหายใจด้วยความเหนื่อย สุดท้ายก็โพล่งออกไป

                “ฉันคิดถึงนายจนไม่ทันได้คิดว่าจะเป็นคนอื่นมาเคาะประตูน่ะสิ!” ฉันบอกอย่างหอบๆ เสียเวลาและสิ้นเปลืองพลังงานไปตั้งมากมายแต่เขาไม่ยอมฟังเลยจริงๆ

                เมื่อเห็นร็อบทำหน้ากรุ้มกริ่มฉันก็ใจหายวูบ เมื่อกี้ แย่แล้ว ฉันพูดอะไรออกไปก็ไม่รู้…

             “อ้อ อย่างนี้นี่เอง เธอคิดถึงฉันมากเลยเหรอเอื้อง…”

                แล้วกัน นี่ฉันเผลอทำให้เขารู้เข้าจนได้ว่าฉันรู้สึกบางอย่างกับเขา ถึงแม้ว่าการเริ่มต้นของฉันมันจะเลวร้ายและเหมือนฝันร้ายมากแค่ไหน แต่เมื่อได้อยู่ด้วยกันได้นอนด้วยกัน มันก็เริ่มผูกพันเข้าไปแล้ว ฉันมันต้องเป็นโรคจิตมาโซคิสม์แน่ๆ ถึงได้ชอบผู้ชายคนนี้…

             ที่สำคัญ ฉันก็อาจจะมีแม่เหล็กดูดผู้ชายเลวๆ เข้าหาตัวเองก็เป็นได้ ดูอย่างตินสิ ไม่คิดว่าเขาจะเป็นแบบนั้น แต่ก็ร้ายกาจกว่าร็อบเลยด้วยซ้ำไป

                “เอาล่ะ เห็นว่าเพราะฉันไม่ได้อยู่ควบคุมดูแล เพราะงั้นครั้งนี้ฉันจะยกโทษให้…” เขาทำหน้าไว้ท่า

                แต่มุมปากนั่นมันอะไรกันล่ะ รอยยิ้มแบบนั้นมันน่ากลัวนะ

                “แล้วไม่เจอได้เจอมานานแล้วด้วย ตอนนี้ฉันหิวเธอมากเลย…” ร็อบเดินเข้ามาชิด เบียดร่างกายกับร่างของฉันจนรับรู้ถึงไอร้อนที่ส่งต่อมาถึงร่างกายได้อย่างง่ายดาย

                “ร็อบ…” ฉันคราง นี่ในสมองเขาจะมีแต่เรื่องแบบนี้รึไง เพิ่งเจอกันเองนะ

                ฉันกำลังจะแย้ง แต่ก็ถูกริมฝีปากรุ่มร้อนของเขาปิดทับจนไม่สามารถพูดอะไรได้อีกเลย นอกจากคล้อยตามเขาอย่างง่ายดาย

                ร็อบเล่าให้ฟังว่าเขาไปออกทัวร์ต่างจังหวัดมาแล้วสนุกมากด้วย ดูเหมือนว่าความสุขของเขาจะเป็นเรื่องการเล่นดนตรีนี่แหละ แล้วก็ถามว่าฉันเป็นยังไงบ้าง

                ฉันยังไม่แน่ใจและไม่กล้าจะบอกเรื่องของตินที่ฉันได้รับรู้มาให้เขาฟัง

                เพราะฉันยังกลัวและยังไม่ไว้ใจในร็อบเท่าไหร่ ประสบการณ์หลายอย่างที่ได้รับมาในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ นั้นมันทำให้ฉันกลายเป็นคนกลัวและหวาดระแวงไปหมดทุกเรื่อง ขอให้มั่นใจมากกว่านี้ และมีความกล้าอีกสักหน่อย ฉันคงกล้าถามว่าระหว่างเขากับตินมีเรื่องอะไรกันแน่

                “เธอเจอกับหมอนั่นได้ไง เจอกันนานรึยัง” แล้วจู่ๆ ร็อบก็ชวนคุยเรื่องของติน ฉันเลยท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด

                “ไง เล่าได้มั้ย” คำขอเหมือนจะเป็นคำขู่ซะมากกว่า ฉันเลยมองเขาอย่างอ้อนวอน

                เดาไม่ออกว่าพูดออกไปแล้วเขาจะอารมณ์เสียมากแค่ไหน เอาใจเขาไม่เคยถูกอยู่แล้วด้วย ยิ่งทำฉันต้องทบทวนทุกอย่างอย่างระมัดระวัง

                “นายอยากรู้จริงเหรอ ถ้าบอกนายแล้วนายจะโกรธฉันรึเปล่า” ฉันต้องถามไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นคนที่จะถูกเล่นงานก็คืออิงเอื้องคนนี้นี่แหละ

                “เอ่อ…” ร็อบทำหน้าครุ่นคิด ฉันเลยถอนหายใจ

                “เห็นมั้ยล่ะ ถ้าแบบนั้นไม่ต้องพูดถึงดีกว่าเนอะ…” ฉันปะเหลาะ อยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งเลยพอจะรู้ว่าเขามีนิสัยยังไง

                “ใช่ ไม่ต้องบอก แต่ฉันก็ยังอยากรู้อยู่ดี เฮ้ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”

                เฮ้อ ยังไงก็ตามใจผู้ชายคนนี้ไม่เคยได้เลยจริงๆ

     

                ฉันไม่รู้แน่ชัดว่าร็อบโกรธ ไม่พอใจ หรือหงุดหงิดอะไรหรือเปล่า

                เมื่อวานฉันจำต้องเล่าเรื่องของตินให้เขาฟัง ว่าเราเจอกันยังไงและคบกันได้ยังไง ก็บอกแล้วว่าผู้ชายคนนี้บ้า ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะหงุดหงิด แต่ก็ยังบังคับฉันให้พูดออกไปจนได้

                ฉันเองก็อยากรู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับตินเป็นยังไงบ้าง แต่ก็เลือกที่จะปิดปากเงียบก่อนไปเรียนตามปกติ

                ก่อนที่อาจารย์จะเข้าสอน ฉันก็ต้องพบเจอกับความยุ่งยากอีกหน เมื่อ ‘แฟนตัวจริง’ ของตินปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า

                เธอยิ้มพรายและนั่งลงที่นั่งข้างๆ กับฉัน และแน่นอนว่าเธอสวยจนตาพร่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตินถึงหวงไม่อยากให้ร็อบรู้จักกับเธอ

                “ฉันชื่อเจนิส… เอ่อ ดูเหมือนว่าช่วงหนึ่งเราจะมีแฟนคนเดียวกัน ใช่มั้ย?” เธอทักทายแนะนำตัว ขณะที่ฉันทำเป็นไม่สนใจ ในเมื่อได้ตินไปแล้ว แล้วเธอจะมาระรานฉันอีกทำไม ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ

             “ตินบอกว่าให้เธอออกหน้าเป็นแฟนเพราะไม่อยากให้ร็อบมาวุ่นวายกับฉัน เพราะเขาต้องชอบฉันแน่ ถ้าหากว่าเห็นหน้าฉัน” เธอยังพูดไม่หยุด ถึงฉันจะเห็นด้วยอย่างนั้นก็เถอะ เพราะเธอทั้งสวยและเซ็กซี่ แต่มันเรื่องอะไรกันล่ะที่เธอจะมาพูดแบบนี้ให้ได้ยินน่ะ

                “แล้ววันก่อนฉันเลยพยายามหาว่าร็อบเป็นใคร ให้ตาย เขาหล่อมาก สเป็กฉันเลย!” เจนิสทำเสียงเพ้อฝัน จนในที่สุดฉันต้องหันไปมองเธออย่างไม่เขาใจ

                “เธอจะบอกอะไรเหรอ พูดมาตรงๆ เถอะ…”

                “ก็แค่อยากบอกว่า ฉันยกตินคืนให้เธอแล้วกัน แล้วร็อบน่ะ ฉันจะแย่งมาจากเธอไงล่ะ…” เจนิสยิ้มหวาน ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เมื่ออาจารย์ประจำวิชาเดินเข้าห้องมาพอดี

                ทิ้งให้ฉันอ้าปากค้างกับความตรงไปตรงมาของหล่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจพวกนั้นมาจากไหน ว่าจะชิงหัวใจของร็อบได้ง่ายๆ ฉันไม่ได้ดูถูกเธอหรอกนะ แต่ผู้ชายที่ชื่อร็อบน่ะรับมือได้ง่ายแค่ไหนกันล่ะ

                ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นแต่ในใจก็สั่นคลอนไม่น้อย ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ร็อบเดาใจไม่เคยได้ ไม่รู้ว่าความชอบของเขาจะเปลี่ยนแปลงตอนไหนยังไง…

             แย่จัง ตอนนี้ฉันเสียใจและกังวลมากกับสิ่งที่เจนิสพูดไว้เมื่อกี้

                ใช่ ฉันกลัวว่าร็อบจะชอบเธอและทิ้งฉัน บ้าที่สุด ฉันไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ว่าทำไมถึงได้แคร์ร็อบซะจนตัวเองก็ยังแปลกใจอย่างนี้ด้วย

                “แล้วกันสิ… บ้าจริง…”

     

                คนที่บอกว่าอยากจะแย่งร็อบไปจากฉันและคืนตินกลับมาให้ได้ตอนนี้…

             กำลังทะเลาะกับตินอย่างรุนแรงอยู่ตรงลานจอดรถของคณะ ซึ่งฉันกำลังเดินตรงถนนที่ตัดผ่านพอดี ครั้นจะเดินกลับไปเลยก็รู้สึกแปลกๆ ทางออกข้างหน้าอีกไม่กี่เมตรมันเป็นทางออกที่ใกล้ที่สุดแล้ว จะให้หนีไปทางอื่นก็ต้องเดินอีกไกล สุดท้ายฉันก็จำต้องเดินผ่านทั้งสองคนอย่างช่วยไม่ได้

                ตินและเจนิสกำลังทะเลาะกันวุ่นวาย แน่นอนว่าหลายคนยังไม่รู้ว่าฉันกับตินเลิกกันแล้ว ดังนั้นเลยมีสายตาแปลกๆ มองมา

             แน่ล่ะ ทุกคนคงกำลังคิดว่าทำไมฉันไม่เข้าไปร่วมวงด้วยกันสองคนนั้น ซึ่งไม่มีวันที่ฉันจะเข้าไปยุ่งกับผู้ชายที่ชื่อตินอีกเป็นอันขาด

                “เฮ้ เธอน่ะ ยัยผู้หญิงหน้าจืด!” เสียงแว้ดๆ ของเจนิสทำให้ฉันปวดขมับอย่างรุนแรง เพราะรู้ว่าเธอเรียกฉันอยู่

                ถึงจะไม่เต็มใจและอยากจะคุยด้วย แต่ฉันก็ยอมหันไปมองทั้งสองคนนั่นจนได้ ใบหน้าหล่อเหลาของตินมีรอยช้ำปรากฏที่มุมปากและแก้ม เมื่อวานร็อบรุนแรงมากขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันคิดแล้วก็สลัดหน้าไล่ความคิดพวกนั้นออกไป ตอนนี้เราเป็นคนนอกกันแล้ว เลยไม่จำเป็นที่ฉันต้องห่วงตินอีกต่อไป

                “ฉันขอผิดคำพูดนะ!” เจนิสยังตะโกนลั่น ฉันเลยทำหน้าเหลอหลาไม่เข้าใจว่าหล่อนต้องการจะบอกอะไร

                “ไม่เอาเจนิส เราตกลงกันแล้วนี่” ตินก้มหน้าคุยกับเจนิสด้วยเสียงดุๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ

                “ไม่ ตอนนี้ฉันไม่ตกลงกับนายแล้ว” แต่เจนิสเองก็ไม่ได้กลัว เธอจ้องหน้าสบตากับตินอย่างไม่ลดละ

                “เจนิส!”

                “ฉันไม่สน ยัยผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดีงั้นเหรอ!?” เจนิสชี้นิ้วที่มาที่ฉัน แต่ยังจ้องหน้าตินอย่างเกรี้ยวกราด

                ถึงตอนนี้ฉันเริ่มสงสัยว่าหล่อนเรียกฉันไว้ทำไม ฉันขมวดคิ้วแล้วก็พยายามที่จะใจเย็นอย่างถึงที่สุด

                “เธอก็เลือกหมอนั่นไปสิ แล้วจะมายุ่งกับฉันทำไมอีก!?” ตินขึ้นเสียง ตะโกนจนหน้าแดงก่ำ

                อะไรกันนะ ฉันคิดในใจด้วยความสงสัย ถอนหายใจหลายครั้งและหมดอารมณ์จะยืนตรงนี้อีกแล้ว เลยเลือกที่จะเดินออกมาเงียบๆ แทน

                แล้วก็เหมือนเดิม… เจนิสตะโกนกลับมาเสียงดัง เสียงนั่นดังพอที่จะทำให้ทุกคนหันไปมองได้อย่างไม่ยากเย็น

                “นี่ยัยช่อเอื้อง! บอกเลยนะว่าฉันจะไม่ยอมยกใครให้เธอทั้งนั้น ไม่ว่าจะตินหรือร็อบ พวกเขาเป็นของฉัน!” เธอตะโกน และนั่นทำให้หลายคนหัวเราะออกมา

                ฉันเองก็ครางออกมาคำหนึ่ง หยุดเดินและหมุนตัวไปมองเธอก่อนจะเอียงคอ

                เอาจริงดิ… ฉันคิดก่อนส่ายหน้าและเดินออกมาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ยิ่งเห็นแบบนี้ฉันยิ่งรู้สึกว่าไม่ควรเข้าใกล้พวกเขาเลยจริงๆ

                “ฟังนะยัยช่อเอื้อง ฉันจะไม่ยกตินให้เธอเด็ดขาด ร็อบด้วย” เสียงของเจนิสตะโกนตามหลังมา ฉันก็เอาแต่ส่ายหน้าพลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเท่านั้น

             “หยุดเดี๋ยวนี้เจนิส!”

                “ไม่หยุด ฉันไม่หยุดแล้วนายจะทำไม นายบอกเองว่านายรักฉันมาก รักจนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ร็อบไม่เจอฉันไม่ใช่เหรอ แล้วนายจะกลับไปหายัยช่ออะไรนั่นฉันไม่ยอมหรอกนะ”

                ตินกับเจนิสแผดเสียงใส่กันไม่ลดละ ฉันรู้สึกอับอายแทนยังไงชอบกล และดีที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำท่าทางแบบนี้มาก่อน ตินเองก็ไม่เคยตะคอกใส่แบบนี้ด้วย เสียงหัวเราะพวกนั้นก็ยังดังไม่หยุด ไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองคนไม่อายมากที่มาทะเลาะกันในที่สาธารณะอย่างนี้น่ะ

                “ก็เราตกลงกันแล้ว ฉันก็ยอมปล่อยเธอไปแล้วไง เธอยังจะเอาอะไรจากฉันอีก”

                “ฉันจะเอานายคืนมาจากยัยช่อนั่นยังไงเล่า บอกแล้วไงว่าฉันจะไม่ยอมปล่อยนายไปกับยัยนั่น!” เจนิสตะเบ็งเสียงแหลมแบบไม่กลัวว่าจะเจ็บคอเลย

                “ชื่อฉันยังเรียกไม่ถูกเลย” ฉันถอนหายใจและเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ ตั้งใจจะรีบหนีให้พ้นจากสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

                และขอบคุณมากที่เจนิสมัวแต่กรี๊ดๆ ใส่หน้าติน ดังนั้นเธอเลยไม่ได้เรียกชื่อของฉันอีก แต่ถึงจะเรียกก็ไม่เป็นไร เพราะช่อเอื้องนั่นไม่ใช่ชื่อของฉัน…

             “น่ากลัวชะมัด” ฉันพึมพำ ก่อนจะพาตัวเองเลี้ยวออกมาจากหน้าประตูมหาวิทยาลัยได้ในที่สุด

                แล้วฉันก็ต้องก่นด่าตัวเองอีกหน เมื่อชนกับอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงหน้าเข้าอย่างจังจนแทบจะล้ม ถ้าไม่มีมือของคนคนนั้นช่วยจับข้อศอกเอาไว้ฉันก็คงล้มลงกับพื้นไปแล้ว

                “ขอโทษค่ะ…” ฉันละล่ำละลักขอโทษ แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะข้างหู

                “เธอนี่ซุ่มซ่ามนะ ประจำเลย”

                “ร็อบ…” ฉันทำเสียงแผ่วแล้วก็ถอนหายใจ พยายามจะดึงแขนออกจากมือของเขา

                แต่ก็น่าจะรู้จักนิสัยของผู้ชายคนนี้กันอยู่แล้ว เขาไม่ยอมปล่อยแล้วก็ยังโอบไหล่ฉันเดินออกมาจากตรงนั้นอีกสองสามก้าว และเจอกับรถสปอร์ตที่จอดรออยู่แล้ว

                “หน้าตื่นเชียว หนีอะไรมาเหรอครับ…” เขาถามตอนที่เปิดประตูรถให้ และผลักหัวให้ฉันเข้าไปนั่งเบาๆ

                หนีผู้หญิงที่คิดจะจับนายไง ฉันตอบเขาในใจไม่ยอมพูดอะไรออกมา

                “ยัยนั่นตลกดี ใครกันน่ะ” ช่องท้องฉันร้อนวาบเมื่อได้ยินร็อบถามถึงผู้หญิงคนนั้น ซึ่งก็คือเจนิส ที่ฉันยังได้ยินเสียงของเธอแว่วๆ มาอยู่ คิดเอาแล้วกันว่าเธอเสียงดังและกำลังคลุ้มคลั่งมากแค่ไหน

                “อิงเอื้อง ฉันถามว่ายัยนั่นใคร?” ร็อบโน้มหน้าลงมาใกล้ไม่ยอมปิดประตู จนปลายจมูกของเขาเฉียดแก้มฉันแผ่วๆ และร้อนวูบวาบเพราะลมหายใจร้อนผ่าวนั่น

                “ไม่รู้สิ เห็นว่าเป็นแฟนจริงๆ ของตินมั้ง” ฉันบอกแล้วก็นิ่ง ไม่อยากแสดงออกมากไป เดี๋ยวร็อบก็หาเรื่องให้ฉันเหนื่อยอีก เขาเองก็เลิกคิ้วสูงยกยิ้มที่มุมปากก่อนถอยออกไปพลางปิดประตูรถให้ ก่อนอ้อมกลับมาตรงที่นั่งคนขับ

                ฉันเม้มปากแน่น รู้สึกไม่สบายใจและไม่ชอบใจเลยที่อ่านท่าทีของร็อบไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร

                ถ้าจริงอย่างที่ตินบอก แสดงว่าร็อบน่ะชอบสาวๆ ที่เป็นแฟนของเพื่อน เอ่อ ไม่สิ ต้องบอกว่าร็อบน่ะชอบแฟนของติน ต้องการแย่งเพื่อแก้แค้นกันอะไรทำนองนี้นี่แหละ

                แล้วเจนิสสวยเซ็กซี่ขนาดนั้น เทียบกับผู้หญิงหน้าจืดแบบฉัน คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าร็อบจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน

                แค่คิดขึ้นมาฉันก็อยากร้องไห้ ปั่นป่วนไปหมดแล้ว ฉันไม่ชอบแบบนี้เลยจริงๆ

                “ไปไหนกันดี หาอะไรกิน หรือว่าจะแวะซื้ออะไรก่อนกลับห้อง” ร็อบถาม หลังจากที่ติดเครื่องยนต์แล้วก็ขับออกมาอย่างเงียบๆ ฉันยังคิดคำตอบไม่ทัน ยอมรับว่าสมองทำงานช้าไปหมด มัวแต่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้จนแทบไม่ได้ฟังว่าเขาถามอะไร

                จนกระทั่งมือหนาของร็อบเอื้อมมาจับแก้มของฉัน แล้วก็ดึงให้หันไปสบตากัน

                “ทำหน้างอแบบนี้หมายความว่าไง” ปลายนิ้วอุ่นร้อนนั่นไล้ริมฝีปากล่างไปมาเหมือนหยอกเย้า และแวบหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่าเจนิสไม่ได้มีอิทธิพลหรือต้องกังวลเรื่องของผู้หญิงคนนี้เลย เพียงแค่สบตากับร็อบแล้วเห็นเงาสะท้อนของตัวเองผ่านม่านตาของเขา

                “ไง…”

                “เอ่อ…” ฉันร้อนวาบไปทั้งตัว เบี่ยงหน้าหนีออกจากมือของเขาแล้วก็ตอบเสียงอุบอิบ

                “แล้วแต่นายแล้วกัน” ก็ตอนนี้ฉันสับสนอยู่นี่ อีกอย่างร็อบเอาแต่ใจตัวเองปานนั้น เขาคงจะฟังคำพูดของฉันหรอก

                “ไม่เจอกันมาหลายวัน กล้าขึ้นนะ…”

                “ฉันเปล่าซะหน่อย” ฉันบอกเสียงแผ่วแล้วก็แกล้งทำเป็นหลับตาลงเหมือนกำลังจะหลับ ดังนั้นร็อบเลยไม่เซ้าซี้อะไรอีก

                “งั้นไปกินที่ร้านไอ้เคลย์แล้วกัน แล้วค่อยกลับห้อง อ้อ ฉันแวะไปย้ายออกจากอพาร์ตเม้นต์แล้วนะ คราวหลังไม่ต้องกลับไปที่นั่นแล้ว ถ้ายังเสร่อไปอีกเธอได้ตายจริงๆ แน่”

                ฉันลอบถอนหายใจ บอกแล้วไง ผู้ชายคนนี้เอาแต่ใจไม่มีใครเกินจริงๆ

     

    Rob`s talking…

             หลังจากเลิกจากไลฟ์ผมก็วางกีตาร์ลง ยกมือเสยผมและสะบัดผมที่เปียกชื้นหน่อยๆ จากทั้งเหงื่อแล้วก็น้ำที่ไอ้บ้าเท็ดมันสาดเหมือนอะไรเข้าสิงบนเวทีก่อนหน้านี้ ผู้หญิงคนหนึ่งส่งผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้ แต่ผมส่ายหน้าและเดินผ่านออกมาอย่างเงียบเชียบ ไปนั่งที่เดิมของพวกเราและให้วงดนตรีอื่นขึ้นไปแสดงฝีมือบ้าง

                “ยังใจหินเหมือนเดิมนะร็อบ…”

                “ไรของมึงวะเท็ด กูอุตส่าห์อยู่เฉยๆ ของกูละ มึงมาพูดบ้าบออะไรอีกเนี่ย” ผมด่าไอ้หมีบ้าอย่างไม่จริงจัง ขณะที่มันหัวเราะแล้วทิ้งตัวนั่งลงใกล้ๆ

                “ก็ทำไมไม่รับน้ำใจจากสาวๆ หน่อย บางคนมาเฝ้าตามทุกไลฟ์เลยนะเว้ย” เท็ดพูด ผมเลยหรี่ตามองเพื่อน สบตาเพื่อบอกว่าจะไม่ทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด

                “เออ เข้าใจ เข้าใจว่ามึงมีเมียละ เลยไม่อยากทำแบบนั้น”

                “แล้วจะถามทำไมวะ” ผมถามด้วยความแปลกใจ บางทีก็ไม่เข้าใจตรรกะความคิดของเพื่อนบ้าคนนี้เลย

                “ก็แหม อิงเอื้องที่มึงหวงนักหวงหนาน่ะก็แย่งมาจากคนอื่นไม่ใช่รึไง… ก็คิดว่าอยากจะได้คนอื่นอีก…” เสียงเท็ดค่อยๆ เบาลง สีหน้าก็เจื่อนลงตามไปด้วย

                “มีเมียพระราชทานจากไอ้ตินคนเดียวก็พอละ ตอนนี้ก็เลื่อนขั้นเป็นเมียหลวงไปแล้ว เมียนงเมียน้อยมันไม่สนใจแล้วล่ะ” ไอ้ซิมม์เป็นคนพูด และแน่นอนปากมันหมากว่าคนอื่นในกลุ่มจริงๆ

                “กูว่าเป็นราชินีแล้วเหอะ…” เดมอนก็ช่วยพูดเสริมอีกคน จากนั้นพวกมันก็พากันหัวเราะ ขอบคุณเพื่อนๆ ผู้มีพระคุณอย่างมาก

                “แล้วไม่อยากได้เมียพระราชทานจากไอ้ตินอีกคนรึไง เห็นว่าคนนั้นสะเด็ดสะเด่าร้อนน่าดูเลยนี่…”

    End Rob talk…

     

    Janis`s talk…

             “แล้วไม่อยากได้เมียพระราชทานจากไอ้ตินอีกคนรึไง เห็นว่าคนนั้นสะเด็ดสะเด่าร้อนน่าดูเลยนี่…” ผู้ชายคนหนึ่งน่าจะเป็นเพื่อนในกลุ่มของร็อบพูด ทำให้ฉันใจเต้นแรงอย่างรุนแรง

                บอกแล้วไงว่าผู้ชายคนนั้นน่ะทั้งเถื่อนทั้งเร้าใจ เขาคงชอบแย่งผู้หญิงมาจากคนอื่น ก็ดูอย่างยัยช่อเอื้องนั่นไงล่ะ หน้าจืดปานนั้นยังได้เป็นเมียพระราชทาน เอ๊ย บ้าที่สุด ยังได้เป็นแฟนของร็อบเลย ดังนั้นฉันคิดว่ามันไม่ยากสำหรับเจนิสคนนี้หรอก ร้อยทั้งร้อยทุกคนก็ต้องยอมสยบเพราะฉันคนนี้แน่

                และแน่นอน ฉันทั้งสะเด็ดสะเด่าและเร่าร้อน ได้ One night stand กันสักครั้งรับรองไม่รอดหรอก ต่อให้เป็นร็อบก็เถอะ แต่ไม่สิ สำหรับผู้ชายคนนี้ฉันจะไม่คืนเดียวจบเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงต้องเอาชนะยัยช่อเอื้องหน้าจืดเหมือนปลาตายนั่นให้ได้ ฉันหันไปถามเพื่อนเพื่อเช็กความสวย จากนั้นก็ยกแก้วมาร์ตินี่ขึ้นมา

                “ลุยเลย…”

                เมื่อได้กำลังใจจากเพื่อนๆ ฉันก็ลุกจากโซฟาที่นั่งวีไอพีในคลับเดินตรงไปยังโต๊ะของหนุ่มๆ  The Moxie อย่างมั่นใจ

                “สวัสดีค่ะ ขอนั่งด้วยได้มั้ย?” ฉันทักทายเสียงหวาน แต่ผู้ชายทุกคนตรงนั้นทำหน้างุนงงเหมือนว่าเจอนางฟ้าที่หล่นปุลงมาตรงหน้า ดูพวกเขาไม่ยินดียินร้ายโดยเฉพาะร็อบทำให้ฉันเสียหน้านิดหน่อย แต่เรื่องอะไรฉันจะยอมถอย รีบนั่งเบียดกับร็อบที่เพิ่งวางแก้วเปล่าลงกับโต๊ะพอดี

                “ฉันชื่อเจนิส ชอบเพลงที่พวกคุณเล่นมากเลย ขอเป็นแฟนคลับด้วยอีกคนนะคะ…” ฉันพูดพลางเอนกายเข้าหา ใช้หน้าอกแอบเบียดกับท่อนแขนแข็งแรงของเขาอย่างแนบเนียน มือก็ส่งแก้วมาร์ตินี่ให้ไปด้วย และภาวนาให้เขารับมันไป

                เพราะในนั้นจะมียาที่ช่วยทำให้เราสนุกขึ้นอีกมากเจืออยู่ด้วย เชื่อสิ ร้อยทั้งร้อยฉันหมายตาใครไว้ไม่พลาดหรอก

                “ฉันชอบคุณจริงๆ นะ” ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมา ลอบยิ้มเมื่อร็อบเลื่อนสายตามองหน้าอกของฉันสลับกับหน้าฉันไปมา เห็นไหม บอกว่าว่ายังไงก็ได้ผล

                “ฉันให้ค่ะ รับหน่อยเถอะนะคะ” ฉันบอกและคะยั้นคะยอให้เขารับ เป็นนานกว่าริมฝีปากหยักได้รูปที่ยิ้มได้อย่างเย็นชาบาดใจนั้นจะเอ่ยพูด

                “ใส่อะไรไว้รึเปล่า” คำถามของร็อบทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเขายิ้มก็สบายใจขึ้น

                “ฉันไม่ชอบคนโกหก มีอะไรก็บอกมาตรงๆ ไม่อย่างนั้น…” เขาเว้นคำพูดเอาไว้ ฉันเลยใจเต้นแรง ถ้าคิดไม่ผิด เราน่าจะมีใจตรงกันล่ะนะ

                “ก็นิดนึง มันจะช่วยให้เราสนุกกันมากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เป็นยาอันตราย” ฉันบอก และภาวนาให้เขายกมันดื่มซะที แล้วเราจะได้แวบไปหาที่ที่สนุกๆ กันเสียที ตอนนี้ฉันรุ่มร้อนไปหมดทั้งตัวทั้งใจจนแทบจะทนไม่ไหว อยากกระโจนเข้าหาให้รู้แล้วรู้รอดไป

                “แน่ใจได้ยังไงว่ามันจะไม่อันตราย” ร็อบพูดเสียงเจ้าเล่ห์ แล้วก็เทเหล้ามาร์ตินี่จากแก้วทรงสูงรินใส่แก้วเปล่าที่เขาเพิ่งวางลงก่อนหน้านี้ครึ่งหนึ่ง และส่งมาที่เหลือมาให้ฉัน

                ฉันรับมันมาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย สายตาของเขาน่ากลัว แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเร่าร้อนที่ทำให้ฉันตื่นเต้นอยากกระโดดทับเขาซะที่นี่ให้ได้

                “ดื่มให้ดูก่อนสิ” เขาบอกแบบนั้น ฉันก็มือไม้สั่นแทบทำเหล้าหกหมด ยิ่งสายตาน่ากลัวจ้องมองมาก็ยิ่งสั่น และสุดท้ายฉันก็ยอมดื่มมัน เพราะแน่ใจว่าคนที่ชอบเอาชนะอย่างร็อบต้องดื่มตามแน่

                แล้วก็จริง เมื่อฉันดื่มแล้ว ร็อบก็ยกแก้วของเขาดื่มด้วย ฉันใจเต้นแรง วางมือที่หน้าขาแข็งแรงของเขาแล้วก็ชวนเสียงสั่นพร่า

                “ออกไปข้างนอกด้วยกันเถอะ ไปหาอะไรสนุกๆ ทำกันนะ…”

    End Janis talk…

     


     

      ขอฝากผลงานไว้ด้่วยนะคะ ทั้งแบบรูปเล่ม และ E-Book เลยค่ะ


     


     


     

    Rob`s Eyes จะเจ็บแค่ไหน หัวใจก็ให้เธอ

    (Story of Rob & Ing-Ueang)

     

    ISBN 978-16- 468-166-8 ราคา 300 บาท

    วางขาย พฤษภาคม 2018 ตามร้านหนังสือทั่วไป

    Meb ➡ https://goo.gl/2uLvup

    Naiin ➡ https://goo.gl/swcqPg

    สั่งซื้อสอบถามโดยตรงได้ที่ https://m.me/meejairakpublishing

     

    เคยนอกใจแฟนกันมั้ย?

    ไม่สิ ฉันไม่ได้นอกใจ ไม่เคยคิด แต่เรื่องแบบนี้พูดไปใครเขาจะเชื่อ

    ฉันชื่อ อิงเอื้อง ค่ะ คบกับตินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

    ความรักของเราเรียบง่าย ถึงจะไม่ได้หวือหวา แต่ก็ไม่เคยทะเลาะกัน

    จนกระทั่ง… ฉันได้เจอกับ ร็อบ

    เขาเป็นเพื่อนของติน แต่เท่าที่ฉันเห็น… พวกเขาไม่น่าจะใช่มิตรที่ดีต่อกันเท่าไหร่

    ทำไมน่ะเหรอ?

    เพราะฉันถูกดึงเข้าไปเป็นหมากในเกมของพวกเขายังไงล่ะ

    ฉันกลายเป็นผู้หญิงหลายใจ เป็นคนที่นอกใจแฟนตัวเอง

    จนสุดท้ายฉันก็ต้องพลาดครั้งใหญ่… กับตราบาปที่ร็อบสร้างไว้

     

    ส่วนความรักน่ะเหรอ… มันก็แค่เรื่องโกหกยังไงล่ะ


     

     


     

    http://40.media.tumblr.com/96680cb1356b043761da3fc210e80d25/tumblr_niq87wAK9I1qbetfwo4_r1_1280.jpg
    http://40.media.tumblr.com/1067c57ca2e2e2d8bed4fca56e89f453/tumblr_niq87wAK9I1qbetfwo5_r1_1280.jpg

     


     

     


     

    Talk 1...

    Song :: Boyce Avenue - Every Breath

    ติน นายเอาตัวร้ายได้โล่ไปเลย

    นิยายของมู่ไม่ค่อยมีนางร้ายนะ

    มีแต่ผู้ชายร้ายๆ ที่แบบว่า ฟหกดสว มากimageimage

    ร็อบจะทำยังไง และจะคิดยังไงล่ะ สงสารเอื้องได้เลยค่ะ

    ป่ะ เข้าสู่โลกดราม่าที่แสนหม่นหมองกันเถอะค่ะimageimage


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×