(MAMAMOO - MoonSun) ปิศาจ - นิยาย (MAMAMOO - MoonSun) ปิศาจ : Dek-D.com - Writer
×

    (MAMAMOO - MoonSun) ปิศาจ

    หรือเป็นเพราะเธอ ที่ทำให้ความฝันซ้ำๆ ซากๆ ตั้งแต่เด็กของฉันเปลี่ยนไป

    ผู้เข้าชมรวม

    5,685

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    11

    ผู้เข้าชมรวม


    5.68K

    ความคิดเห็น


    121

    คนติดตาม


    296
    จำนวนตอน :  33 ตอน (จบแล้ว)
    อัปเดตล่าสุด :  9 ก.พ. 60 / 12:30 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

         สวัสดีค่ะ นักเขียนมือใหม่ค่ะ พอดีอยู่ดีๆ ก็มีความคิดอะไรพุ่งเข้ามาในหัวก็เลยเอามาแต่งเป็นเรื่องเป็นราวซะหน่อยละกัน เรื่อยนี้ออกแนวแฟนตาซีนะคะ คือปกติอ่านนิยายแฟนตาซีเป็นส่วนมาก ไม่รู้ว่าทุกคนจะว่ายังไงบ้าง เพราะเอาจริงๆ ไม่เคยอ่านแฟนฟิคไทยที่เป็นแฟนตาซีเลย เคยอ่านแต่ของนอก ใครมีคำแนะนำอะไรก็ว่ามาได้เลยนะคะ มาโปรยอินโทรไว้ก่อน จริงๆ คิดอยู่ว่าจะ Tag wheesa ด้วยดีไหม แต่คิดไปคิดมาไม่แทกละกัน 55555555

    ------------------------------------------------------------
    ปิศาจ




    บทนำ


    “ฮึก ฮีก แง~”

    เสียงใครร้องไห้น่ะ มาจากไหนกันนะ ทางนี้งั้นหรอ

    ร่างของหญิงที่ใส่ชุดคลุมปิดปังทั้งส่วนศีรษะและตัวเอาไว้ได้ยินเสียงร้องไห้ของใครบางคนดังขึ้นมา ถึงแม้จะถูกคลุมด้วยชุดนั่น แต่ก็ไม่อาจปิดบังผมสีฟ้าประหลาดตาที่โผล่พ้นออกมาจากชุดคลุมได้ ร่างนั้นเดินไปยังตำแหน่งที่ตนคิดว่าเป็นต้นตอของเสียงสะอื้นไห้นั่น เธอคือผู้คุ้มครองป่านี้ บางคนเรียกเธอว่าปิศาจ หรือบางคนก็เรียกเธอว่า ยักษ์ แต่ที่จริงเธอก็มีร่างกายขนาดเท่ามนุษย์ทั่วๆ ไปเนี่ยแหละ แถมก็ยังกินอาหารเหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไปอีก ทำไมคนถึงเรียกเธอว่ายักษ์กันนะ อ่า...อาจเป็นเพราะเขาสองเขาบนหัวที่ตอนนี้ถูกคลุมไว้นี่ล่ะมั้ง


    ในที่สุดเธอก็เดินมาจนถึงต้นตอของเสียง เธอพบเด็กผูหญิงผมสีน้ำตาลเข้มอมแดงคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ เด็กคนนั้นหน้าตามอมแมม ชุดกระโปรงลูกไม้ที่คนโง่ที่ไหนดูก็รู้ว่าเด็กนี่มาจากตระกูลผู้ดีนั่นก็เปื้อนเศษดินเศษใบไม้เต็มไปหมด แถมยังมีรอยขาดรุ่ยที่มีเศษกิ่งไม้ติดเกาะมาด้วยอีกต่างหาก แต่ที่ดึงดูดความสนใจของเธอก็คือ เด็กนี่เข้ามาในป่านี้ทำไมคนเดียว เธออยู่ในป่านี้มาก็เนิ่นนาน ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนกล้าเข้ามาในป่านี้คนเดียว แถมเด็กนี่ก็ไม่มีกลิ่นปิศาจซะด้วย

    “นี่ เจ้าเด็กน้อย เจ้าเข้ามาในป่านี้ทำไมกัน”

    “อย่าเรียกข้าว่าเด็กน้อยนะ แล้วอีกอย่าง เจ้าเห็นคนร้องไห้อยู่ ไม่คิดจะถามข้าหน่อยหรือ ว่าทำไมข้าถึงร้องไห้” เด็กนั่นหยุดสะอื้นแล้วหันหน้ามาจ้องตาเขม็งใส่เธอด้วยหน้าตาที่ถึงจะรู้ว่าอีกคนโกรธยังไง แต่ก็ดูไม่น่ากลัวสำหรับเธออยู่ดี ตากลมๆ กับแก้มป่องๆ แล้วก็ลักยิ้มนั่น ไม่น่ากลัวเลยสักนิด แต่มัน... น่าสนใจดีนี่

    “ก็ได้ งั้นเจ้ามาร้องไห้อะไรตรงนี้”

    “หึ จริงๆ ข้าไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย ข้าก็แค่ส่งเสียงร้องเรียกบริวารเท่านั้นเอง แต่บังเอิญเจ้าดันมาเจอข้าเข้าซะ-”

    “เจ้าร้องไห้ชัดๆ อย่ามากลบเกลี่อน เมื่อกี้ยังพูดเองเลยว่าตัวเองร้องไห้” ไม่รอให้เจ้าตัวเล็กพูดจบ เธอก็ตัดสินใจพูดขัดขึ้นมาซะก่อน

    “อย่าขัดข้าสิ เจ้ารู้จักไหม คำว่า “มารยาท” น่ะ หัดฟังคนอื่นพูดให้จบซะก่อนสิ เอาล่ะ ข้าไม่มีเวลามาเถียงอะไรกับเจ้า ไหนๆ เจ้าก็อยู่ตรงนี้แล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ทำประโยชน์ต่อตระกูลผู้สูงศักดิ์อย่างข้าโดยการพาข้าไปส่งที่ปราสาทของข้าซะ” หลงทางนี่เอง หึ ตระกูลใหญ่ตระกูลโตนี่ชอบเลี้ยงลูกให้โอหังดีซะจริงๆ

    “ก็เอาสิ ข้าก็ว่างๆ ไม่มีอะไรทำพอดี แต่ข้ามีเงื่อนไข 3 ข้อ”

    “งะ… เงื่อนไขอะไร ข้าให้โอกาสเจ้าทำความดีต่อข้าแล้ว ยังจะมาเรียกร้องอะไรอีก” โอโห ก็รู้ว่าชอบให้ท้ายลูก แต่นี่มันไม่สุดโต่งไปหน่อยเหรอ

    “ดูจากกริยามารยาท แล้วก็การแต่งกาย เจ้าคงเป็นลูกคนมีตระกูลสูงศักดิ์สินะ ข้าไม่รู้หรอกนะ ว่าที่ๆ เจ้ามาสอนอะไรเจ้า แต่สำหรับข้า การที่เจ้ามาขอความช่วยเหลือคนอื่น เจ้าก็ควรทำอะไรตอบแทนผู้มีพระคุณบ้าง”

    “ข้าบอกแล้วไง ว่าข้าไม่ได้ขอ-”

    “งั้นข้าไปละ ขอให้เจ้าร้องเรียกบริวารของเจ้าต่อไปละกัน ยังไงข้าก็ไม่ใช่บริวารของเจ้าซะหน่อยหนิ จริงมะ” เธอพูดพร้อมทำท่าโบกมือลา ขาทั้งสองก็พร้อมจะก้าวกลับไปในป่าลึกที่เดิมที่เธอจากมาในตอนแรก

    “เดี๋ยวสิ!” เธอหยุดชะงักแล้วหันหน้ามามองเจ้าเด็กที่ทำท่าทุกลักทุเล หน้าตาเหมือนจะเบะปากร้องไห้ออกมาอีกรอบ จากนั้นเธอก็ทำท่าเอียงคอเป็นเชิงถาม

    “ว่ามาสิ เงื่อนไข 3 ข้อน่ะ” เด็กนั่นไม่กล้าสบตาเธอ ได้แต่เขี่ยนิ้วตัวเองเล่นแล้วก้มหน้ามองพื้นขณะรอฟังคำตอบจากเธอ

    เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับเด็กคนนั้น หรือจะเรียกว่าเผชิญหัวดีนะ เพราะหน้าของเด็กนั่นเอาแต่ก้มงุดมองพื้นท่าเดียว

    “หนึ่ง ข้าขอให้เจ้ามาหาข้าทุกวันในป่านี้”

    “ท...ทุกวัน? ข้าไม่คิดว่าข้าจะว่างทุกวันหรอกนะ ข้าเกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์ ดังนั้นข้าต้องเข้าร่วมกิจกรรมอันแสนน่าเบื่อที่เรียกว่า “เรียนหนังสือ” ทุกวัน จันทร์-ศุกร์ แล้วบางวันก็เลิกช้าด้วย ข้าคงมาหาเจ้าทุกวันไม่ได้”

    “ตกลง งั้นเอาเป็นว่าถ้าเจ้าว่าง เจ้าต้องมาหาข้า อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งละกัน” เด็กผมน้ำตาลแดงพยักหน้าเป็นเชิงตกลงก่อนส่งสายตาที่เธออ่านได้ว่าให้บอกเงื่อนไขที่เหลือออกมา

    “สอง บอกชื่อของเจ้ามา”

    “หึ ข้อนี้ง่ายมาก ข้าชื่อ อีฮวีอิน”

    “ข้อสุดท้า-” ก่อนเธอจะได้พูดเงื่อนไขข้อสุดท้ายเสียงของเด็กที่เธอพึ่งได้รับรู้ว่าชื่อ ฮวีอิน นั่นก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

    “เดี๋ยวสิ! คนไม่มีมารยาทนี่ช่างไม่มีมารยาทซะจริงๆ ข้าบอกชื่อข้าแล้ว แล้วเจ้าไม่คิดจะบอกชื่อเจ้ารึยังไง”

    “อ่า ชื่อข้าสินะ…” เราชื่ออะไรกันนะ นานแล้วสินะที่ไม่มีใครถามคำถามนี้ นานแค่ไหนกันนะ 50 ปี? 100 ปี? 500 ปี? กี่ปีกันแน่ ตัวเราก็ไม่แน่ใจ แต่มันนานจนแทบจะลืมชื่อนั้นไปซะสนิท

    “ว่าไง เจ้าชื่ออะไร เจ้าคงไม่ใช่ว่าอยู่ในป่าโดดเดี่ยวเดียวดายไร้เพื่อนไร้ชื่อหรอกนะ” เสียงเล็กๆ ของฮวีอินมาหยุดความคิดของเธอเอาไว้ ก่อนที่เธอจะเอ่ยตอบออกไป

    “ฮเยจิน ชื่อของข้า อันฮเยจิน”


    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    “มุนบยอล ไหนบอกว่าวันนี้มีนัดทำงานส่งอาจารย์กับเพื่อนไม่ใช่หรอ แล้วยังจะนอนอยู่อีกเหรอ” เสียงทุ้มของชายมีอายุดังเข้ามาในหูของมุนบยอล เธอค่อยๆ ตื่นจากความฝัน ลุกขึ้นนั่งบนเตียง บิดขี้เกียจแล้วขยี้ตาเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงสลึมสลือปนหาวถามกลับไป

    “ห้าว~ กี่โมงแล้วอะพ่อ”

    “จะ 7 โมงแล้ว แล้วนี่นัดกับเพื่อนกี่-”

    “ห๊ะ!!!”

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น