คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 อัยริน (50%) รีไรท์
บทที่ 1 อัยริน
“ไป!”
เสียงแหบพร่าไล่ส่งพร้อมผลักแผ่นหลังเล็กให้เดินเซไปข้างหน้า ดวงตากลมโตบวมเป่ง ตาขาวมีเส้นเลือดฝอยสีแดงกระจัดกระจาย
รอบดวงตามีรอยเขียวช้ำ หลายแห่งเริ่มกลายเป็นสีม่วง ริมฝีปากแห้งผากลอกเป็นขุย
มุมปากมีคราบเลือดแห้งติด ลำคอเขียวช้ำ แขน
ขาเก้งก้างมีร่องรอยบาดแผลจากการถูกทำร้ายอย่างหนัก
ทั้งรูปร่างที่ผอมกว่าเด็กทั่วไปยังส่งผลให้เด็กหญิงตัวน้อยดูน่าเวทนายิ่งขึ้นไปอีก
มือข้างซ้ายอุ้มตุ๊กตาเก่า ๆ
เย็บมือที่ผ่านการซ่อมแล้วซ่อมอีก กอดแน่นราวกับนี่คือที่พึ่งเดียวในชีวิต
มือข้างขวาหิ้วถุงพลาสติกขาด ๆ
ที่ข้างในบรรจุเสื้อผ้าข้าวของสภาพเก่าขาดไม่ต่างจากตัวที่เด็กหญิงสวมใส่นัก
เด็กหญิงไม่ได้ขยับตัวหรือหันกลับไปมอง ‘มารดา’
ที่กำลังมองส่งมาด้วยสายตาเกลียดชัง และขยะแขยง ใบหน้าเล็กก้มต่ำ เม้มริมฝีปากพร้อมกอดตุ๊กตาเก่า ๆ ในอ้อมแขนแน่นขึ้น เมื่อเสียงรถจักรยานยนต์ดังขึ้น
น้ำตาที่ขังคลอหน่วยตาก็ไหลรินลงมา
แม่…
ร้องเรียกมารดาด้วยเสียงพร่าแหบในใจ
แม้ไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด หากก็เข้าใจดีว่าเหตุใดจึงต้องยืนอยู่ตรงนี้
เด็กหญิงเม้มปาก กอดตุ๊กตาเก่า ๆ ในอ้อมแขนตัวเองพลางเดินซวนเซไปข้างหน้าตามคำสั่ง
หากก้าวขาไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดนิ่งหันกลับมามองคนที่ยังนั่งอยู่บนเบาะรถจักรยานยนต์
ดวงตาเขียวช้ำไม่ต่างกันมองส่งมาอย่างสับสน แต่ไม่นานร่างคุ้นตาก็ค่อย ๆ ขับเคลื่อนรถจักรยานยนต์ออกไป
น้ำตาร่วงหล่นลงไปบนสองแก้ม
รินไหลราวสายน้ำพร้อมสองขาเล็กลีบที่กำลังก้าวตาม
ทว่า
“เฮ้ย!”
หากเสียงร้องมาจากด้านหลังทำให้สองขาเล็กลีบชะงักงัน
หลังจากนั้นคนที่เคลื่อนรถจักรยานยนต์ออกไปอย่างเชื่องช้าก็เบิกตามอง
ก่อนบิดคันเร่งพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่เหลียวกลับมา ไม่หวนคะนึงหาคนที่ถูก
‘ทิ้ง’
เอาไว้เบื้องหลังอีกเลย
ควันสีขาวขุ่นจางหายไปนานแล้ว
หากดวงตากลมโตติดโศกคู่นี้กลับยังไม่ละไปจากภาพความทรงจำสุดท้ายที่เคยปรากฏอยู่เบื้องหน้า
กระทั่งฝ่ามือใหญ่อุ่นทาบลงบนไหล่เล็กพร้อมเสียงเรียกอย่างอารี
“หนู”
ชายสูงวัยในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยยอบกายลงตรงหน้า
มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างพิจารณาพลางถอนหายใจ
ยกบางสิ่งที่ติดอยู่ที่เอวขึ้นมา กรอกเสียงลงไปในนั้นแล้วเงี่ยหูฟัง
“คุณเพียงครับ เหมือนจะมีคนเอาเด็กมาทิ้งครับ”
วินาทีนั้นเด็กหญิงร่างผอมบางกว่าเด็กวัยเดียวกันยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า
‘ทิ้ง’
อย่างแท้จริง
ทว่า… กระแสเสียงที่คนสูงวัยเอ่ยนั้นมันส่งผลต่อหัวใจดวงน้อยอย่างมหาศาล
เด็กหญิงไม่ได้ร้องไห้โฮ หากนิ่งเงียบ
ปล่อยให้มือใหญ่อุ่นจับจูงพาเข้าไปยังด้านใน ไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน
ทำไมต้องมาอยู่ตรงนี้ และจะมีโอกาสได้เจอหน้าคนที่เพิ่งจากไปอีกหรือไม่…
เสียงวิ่งตึงตังที่ตรงมาหาจากที่ไกล ๆ ทำให้ใบหน้าที่ก้มต่ำต้องเงยขึ้นมอง
ดวงตากลมโศกมองเห็นคนมากมายที่รายล้อม
และหนึ่งในนั้นมีสตรีสูงวัยหน้าตาใจดีเดินเข้ามาหา ยอบกายลงนั่ง
มือเรียวนุ่มเนียนแตะเบา ๆ ที่แก้มบวมช้ำ
“ถูกทำร้ายมาด้วย” น้ำเสียงอารี
ทอดสายตาเวทนาระคนอบอุ่นให้พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
หากคนตัวน้อยยังไม่ประสา
ไม่เข้าใจหรอกว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่กำลังพูดคืออะไร แต่หัวใจที่แห้งผากก็รับรู้ได้ถึงความกรุณาที่ส่งมาพร้อมกัน
“ไหนแม่ขอดูถุงของหนูได้ไหมคะ”
สตรีวัยกลางคนใบหน้าอารีเช่นกัน แต่ยืนเยื้องไปเล็กน้อยเดินตามมาสมทบ ก่อนยิ้มบาง ๆ พร้อมยื่นมือมารับถุงที่เด็กหญิงตัวน้อยถือเอาไว้ในมือ
ใบหน้าบวมช้ำก้มลงมองถุงพลาสติกสีใสขาดวิ่นในมือ
ข้างในมีเสื้อผ้า ข้าวของบางส่วนอยู่ในนั้น
ความเป็นเด็กตัวเล็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ยามถือของมากมายร่างเล็กจ้อยจึงเอียงกะเทเร่ไปด้านซ้าย
“แม่ขอดูหน่อยนะคะ”
เด็กหญิงไม่ได้ตอบอะไร หากก็ไม่ปฏิเสธ
เมื่อมือบางเอื้อมมารับถุงในมือตนก็ยอมส่งให้
หลังจากได้ของไปถือเอาไว้ ทุกคนที่ยืนไม่ไกลออกไปก็เดินเข้ามา
ช่วยกันรื้อค้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ข้างในนั้น กระทั่งพบใบเกิดกับสำเนาทะเบียนบ้าน
และจดหมายหนึ่งฉบับ
“ฝากเด็กคนนี้ด้วย”
“นี่ไม่ควรถูกเรียกว่าจดหมายด้วยซ้ำ!” เสียงห้าวเข้มจากคุณลุงคนแรกที่จูงมือเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามาเอ่ยขึ้น
ตอนที่จับจูงมือน้อยนั้นคนมากวัยย่อมสัมผัสได้ว่าร่างกายที่ผ่ายผอมเช่นนี้ถูกกระทำเช่นไรมาบ้าง
เพียงคิดถึงเรื่องน่าสังเวชเช่นนั้น ใบหน้าเหี่ยวย่นก็ถมึงทึงขึ้น
หากแววตายามมองคนตัวน้อยยังอารีระคนเวทนา
“คุณหญิงครับ พาไปแจ้งความเลยไหมครับ”
‘คุณหญิง’ ที่ยังยอบกายลูบไล้ใบหน้าเล็กบนพื้น
ยังไม่ทันให้คำตอบ สตรีที่รับถุงข้าวของจากเด็กหญิงไปคนแรกก็เอ่ยแทรก
“ในใบเกิดอายุสามขวบ”
ดวงตาเอื้ออารีเป็นนิจกวาดมองร่างเล็กจ้อยกว่าเด็กวัยเดียวกันแล้วขมวดคิ้วเมื่อพบว่าใบหน้า
ลำคอ แขน ขา เรียกได้ว่าส่วนนอกร่มผ้าของเด็กหญิงเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้ายอย่างหนัก
ผู้มีประสบการณ์ด้านนี้ไม่อยากคาดคิดเลยว่าภายในร่มผ้า ร่างกายของเด็กวัยเพียงสามขวบจะซุกซ่อนความจริงอะไรไว้บ้าง
ร่างที่ยอบกายมาได้สักพัก
ขยับกายลุกขึ้นพร้อมรวบร่างเล็กจ้อยขึ้นอุ้มเอาไว้แนบอก
“สามขวบจริงเหรอ ทำไมตัวบางขนาดนี้”
ดวงตาอารีทอดมองดวงหน้าจิ้มลิ้ม หากมอมแมมเพราะไม่ได้รับการดูแล ร่างกายผ่ายผอม
เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผล ทั้งแผลเก่า และแผลใหม่
ก่อนจะหยุดมองดวงตากลมโศกมีประกายบางอย่างอยู่ข้างในละม้ายกับใครอีกคนที่ท่านยังคงฝันถึงตลอดสองปีที่ผ่านมา
ดวงตาคู่นี้อ่อนแสง และสะท้อนเพียงความเจ็บปวดข้างในไม่ต่างกัน
ยิ่งมองหัวใจของคนมีความผิดยิ่งร้าวลึก… หากท่านก็ยังคงไม่ละสายตาไปไหน
“วารีพาไปแจ้งความก่อนดีไหม”
เสียงถามจากคนที่ยืนมองมาตลอดเบาลง เมื่อดวงหน้าเล็กหันมามอง
‘คุณหญิงวารี’ พยักหน้าตอบ
ลูบไล้แผ่นหลังของคนตัวน้อยที่กำลังนิ่งงันไร้การตอบรับในอ้อมแขนตน
หากแต่…
“โอ้ย” เสียงร้องเล็ก ๆ พร้อมห่อไหล่ ยามฝ่ามือนุ่มแตะตรงแผ่นหลัง คุณหญิงวารี และคนอื่น ๆ ต่างเบิกตากว้าง มองเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความตื่นตกใจ
“วางลงก่อนรี”
คุณหญิงวารีวางร่างเล็กจ้อยลงบนพื้น
จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มพร้อมยิ้มให้ ก่อนจับร่างเล็กหันหลัง
มือเรียวเลิกชายเสื้อด้านหลังขึ้น ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มบาง ๆ จางหาย ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งงัน ทั้งเวทนา
และสงสารจนหลั่งน้ำตา
คุณพร้อมรักผู้เป็นเจ้าของ ‘บ้านพร้อมรัก’ เบือนหน้าไปเล็กน้อย
เม้มริมฝีปากอิ่ม รวบรวมสติพักใหญ่จึงหันหน้ากลับมา
“จะ เจ็บมากไหมลูก” เสียงถามพร่าสั่น
ก่อนมือเรียวจะค่อย ๆ
แตะลงบนแผลเหวอะหวะตรงกลางแผ่นหลังอย่างเบามือ สำรวจจากปากแผล
และลักษณะโดยละเอียดแล้วพบว่ามันคือรอยเตารีด
ใช่ รอยเตารีดทั้งอันที่ทาบลงบนแผ่นหลังเล็ก
บาดแผลกว้างเกือบจะเต็มแผ่นหลังของคนตัวน้อย
สร้างความสะเทือนใจให้คนที่เห็นจนไม่สามารถมองภาพนั้นอย่างเต็มสองตา
กระทั่งลุงชมยังทนมองต่อไปไม่ไหว หันหลังจากไปพร้อมไหล่หนาที่ลู่ลง
“แผลเริ่มอักเสบแล้วพร้อม”
คุณหญิงวารีเอ่ยเสียงเบา ดวงตาอารีคู่เดิมเอ่อคลอน้ำตา ก่อนรินไหลลงอาบแก้ม
ความสงสารมีมาก ทว่าที่มากกว่าคือความรู้สึกชื่นชม
แม้จะเจ็บปวด
แต่แววตาคู่โศกของเด็กหญิงก็ไม่ไหวระริกแม้แต่น้อย หากไม่ถูกแตะต้องบาดแผลก็คงไม่ยอมปริปากบอกใครว่าตนเองเจ็บปวดมากเพียงใด
ช่างเป็นเด็กที่เข้มแข็ง แต่ในขณะเดียวกันก็… เย็นชาเหลือเกิน
“ตั้งแต่ทำงานที่นี่มา เคยเจอมาทุกอย่าง
แต่ก็ทำใจให้ชินไม่ได้ คนพวกนี้มันไม่ควรถูกเรียกว่ามนุษย์!”
เสียงของหนึ่งในคนที่ยืนห้อมล้อมเด็กหญิงเอ่ยขึ้น
พร้อมยกมือปาดน้ำตาบนข้างแก้มของตนแรง ๆ
กัดริมฝีปากจนเลือดซิบ สงสาร และเวทนาร่างเล็กตรงหน้าเหลือจะกล่าว
เด็กตัวเล็กนิดเดียว บอบบางไร้ทางต่อสู้ กลับถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส
บาดแผลบนกายรักษาหายได้ แต่บาดแผลในใจรักษาอย่างไรจึงจะหายดี!
คุณหญิงวารีเองก็เช็ดน้ำตาของตนเหมือนกัน
จัดเสื้อผ้าให้เด็กหญิงอย่างทะนุถนอม ก่อนระบายยิ้มบาง ๆ ยามหมุนร่างเล็กกลับมา
“หิวไหมคะ”
น้ำเสียงถามเอื้ออาทรอย่างที่สุด แววตาอบอุ่นอ่อนโยนจนเด็กหญิงสัมผัสได้
ดวงหน้าเล็กจึงพยักตอบเบา ๆ สองที
คุณหญิงวารียิ้มกว้างขึ้น ผละกายลุกยืน กุมมือเล็กเอาไว้แน่น
ก่อนจับจูงพาเข้าไปด้านในโดยไม่พูดอะไรอีก
ถ้าเด็กคนนั้นยังอยู่อายุน่าจะไล่ ๆ กับคนตัวน้อยในมือท่าน…
ทว่าไม่อยู่อีกแล้ว
ในหัวใจกำลังร่ำไห้เสียงโหย
หวนคิดถึงลูกชายของตนเองจับใจ
มาวิน พงษ์ไพบูลย์ บุตรชายคนโตของท่าน และวาคิน เลิศวรานนท์ บุตรชายคนเล็กที่กลายเป็นน้องชายบุญธรรมตามกฎหมาย
หัวใจของแม่…
แบกรับความรู้สึกมากมายเอาไว้ข้างใน หากไม่อาจอธิบายหรือพูดกับใครได้
ท่านหย่าขาดจากอดีตสามีตั้งแต่บุตรชายคนโตอายุหกขวบ
พอโตขึ้นเข้าช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น มาวินก้าวข้ามความเจ็บปวดไปไม่ได้
เด็กชายกลายเป็นคนที่ท่านไม่รู้จัก
หลายอย่างที่ทำส่งผลต่อความรู้สึกที่มารดาอย่างท่านต้องเผชิญมากมายนัก
เรื่องนั้นเป็นอีกเรื่องที่หนักหนาจนแม้กระทั่งท่านเองก็ยังจัดการไม่ได้
กว่าจะคลี่คลาย และจบเรื่องราว ทุกอย่างก็แหลกละเอียดคาฝ่ามือของชายหนุ่ม
แม้จะผ่านมาสองปีเต็มแล้ว แต่หัวใจของท่านก็ยังคงเจ็บปวดยามคิดถึงมัน
“งั้นเราเข้าไปหาอะไรทานกันใน
‘บ้าน’ ดีกว่านะ”
มือนุ่มจูงมือเล็กเดินเข้าไปในอาคารสูงที่อยู่เบื้องหน้า
ใบหน้าอารีประดับรอยยิ้มอ่อนโยน มือที่จับจูงกระชับแน่นขึ้น
ยามร่างเล็กสั่นเทาราวลูกนกถูกฝน
คุณหญิงวารีสะท้อนใจในสิ่งที่ได้สัมผัส
เด็กหญิงตัวเล็กนิดเดียว แบกรับความเจ็บปวดทั้งหมดบนร่างกายได้อย่างไร
ท่านไม่อาจรับรู้ได้
ทว่ามันก็เตือนให้ท่านจดจำความรู้สึกที่เด็กผู้หญิงอีกคนพบเจอเช่นกัน
หากย้อนเวลากลับไปได้
ท่านจะตัดสินใจให้เร็วกว่านั้น แก้ปัญหานั้นให้ดีกว่านี้ และทำทุกอย่างอย่างมีสติมากกว่าที่ควร
ทว่า… ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว
เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่ให้ท่านแก้ตัวอีกต่อไป
ดวงตาอารีแฝงเศร้าก้มลงมองร่างเล็กที่จับจูงมือไว้
เม้มริมฝีปาก ยามก้อนสะอื้นจุกแน่นในอก
ความเจ็บปวดของท่านในวันนี้
เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดของเด็กคนนั้นในวันวาน แม้ทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว
แต่หัวใจของท่านยังคงร่ำร้องขอแก้ไขในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งเมื่อได้พบเจอกับ ‘ดวงตา’ คู่นี้
ซึ่งมันละม้ายคล้ายดวงตาคู่นั้นในความทรงจำราวกับเป็นดวงตาดวงเดียวกันแล้ว
ท่านก็ไม่ต้องหยุดคิดอีกต่อไป
“ไปอยู่ด้วยกันไหมคะ” น้ำเสียงที่ใช้ถามเบาหวิว
หากชัดเจนในหัวใจของคนฟัง
ใบหน้าอารีก้มลงมอง
ยิ้มอ่อนโยนส่งให้พร้อมกระชับมือที่จับจูงเอาไว้ให้แน่นขึ้น
“ไปอยู่กับแม่นะคะ”
ความคิดเห็น