NC

คำเตือนเนื้อหานิยาย

นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหานิยาย

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิวาห์ใต้อาณัติ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 1 อัยริน (100%) รีไรท์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.35K
      137
      4 ม.ค. 66


    (ต่อ)


    เด็กหญิงนารี วงษ์ศิลป์ คือชื่อของเด็กน้อยผู้น่าเวทนา ทว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็น เด็กหญิงอัยริน เพียงสุวรรณ เรียบร้อยแล้ว คุณหญิงวารีใช้เส้นสาย และอำนาจของนามสกุลตนเองดำเนินการโอนสิทธิ์การเลี้ยงดู รวมถึงทุกอย่างในชีวิตน้อย ๆ ของเด็กหญิงให้เป็นสิทธิ์ของท่านแต่เพียงผู้เดียวโดยเด็ดขาด บิดามารดาที่แท้จริงของอัยรินจะไม่สามารถพบหรือเรียกร้องสิ่งใดกับเด็กหญิงได้อีก คุณหญิงลงมือทำหลายสิ่งด้วยตนเองเพื่อให้การรับอุปการะอัยรินเรียบร้อย และไม่มีช่องโหว่

    หลังจากติดตามหาตัวพ่อแม่ที่แท้จริงของอัยรินมาเซ็นมอบอำนาจทุก ๆ อย่างได้ ท่านก็จัดการให้ทั้งสอง สัญญา ว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเด็กหญิงที่ไม่มีใครต้องการ ให้เด็กหญิงไม่ต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายไม่ว่าอะไรจากผู้ให้กำเนิด คำขู่ของท่านไม่ใช่สิ่งที่จะหลุดออกมาง่าย ๆ หากในครั้งนี้ท่านทำมากกว่าข่มขู่หลายเท่า

    ฉันรวย และมีอำนาจมากพอจะทำให้เธอสองคนไม่มีแม้กระทั่งที่ยืนหายใจ น้ำเสียงยามเอ่ยราบเรียบ แววตาเย็นชาทอดมองชายหญิงสองคนตรงหน้าอย่างไร้เมตตา

    เพราะฉะนั้นอย่าได้กลับมาแตะต้อง เรียกร้อง หรือแม้กระทั่งอ้างสิทธิ์ใด ๆ กับอัยรินอีกเด็ดขาด!”

    หลังจากวันนั้นท่านให้ทนายมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ชายหญิงทั้งคู่ นั่นไม่ใช่การซื้อขายตัวอัยริน หากมันคือค่าตอบแทนที่คนหนึ่งให้กำเนิด อีกคนร่วมให้กำเนิด บุญคุณความเป็นบิดามารดาถือว่าขาดสิ้นกันตั้งแต่วันนั้นแล้ว ที่ท่านต้องทำถึงขนาดนี้ก็เพราะผู้หญิงที่นำเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้ายมาทิ้งเอาไว้หน้าสถานสงเคราะห์พร้อมกระดาษแผ่นเดียว และเสื้อผ้าขาด ๆ ก็คือ มารดา ส่วนบิดาก็ไม่แตกต่างกันนัก ทันทีที่ทนายความประจำตระกูลของท่านติดต่อไป ทางนั้นตอบรับมาทันทีว่าพร้อมจะเซ็นยินยอมในทุก ๆ อย่าง ไม่เรียกร้องสิ่งใด ขอเพียงไม่ให้ตนเป็นผู้อุปการะเด็กหญิงนารีอีกก็พอ

    คุณหญิงวารีจำได้ว่าตอนนั้นท่านโกรธจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน ร่างกายสั่นสะท้านยามมองไปยังร่างผอมบางที่กำลังนั่งแกว่งชิงช้าคนเดียวอย่างเหงาหงอย วินาทีนั้นท่านจึงตัดสินใจได้ทันที

    ทำยังไงก็ได้ให้สองคนนั้นหมดสิ้นทุกสิทธิ์ในตัวของนารี ไม่สิ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปยายหนูจะชื่ออัยริน หนูอัยย์ของฉันจะต้องไม่มีพันธะผูกพันกับสองคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางกฎหมายหรือทางจิตใจอีก!”

    อัยริน แปลว่า ดวงตาที่งดงาม ส่วนชื่อเล่น อัยย์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ ซึ่งมีความหมายในภาษาญี่ปุ่น เมื่อออกเสียงว่า "ไอ" จะแปลว่า "ความรัก"

    ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเด็กหญิงจะมีแต่ความรักโอบล้อมดั่งความหมายแฝงในชื่อที่ท่านมอบให้

    ตอนแรกคุณหญิงตั้งใจจะให้อัยรินใช้นามสกุลเลิศวรานนท์ของท่าน หากแต่ด้วยหลายปัจจัยส่งผลให้ความตั้งใจนี้ไม่ประสบความสำเร็จ รวมไปถึงคุณเพียงรักเจ้าของบ้านเพียงรักซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของท่านขอให้อัยรินใช้นามสกุลของตนเหมือนพี่น้องคนอื่น

    ให้หนูอัยย์เป็นลูกของฉันอีกคนเถอะนะรี

    น้ำเสียง และแววตายามเพื่อนวอนขอส่งผลให้ท่านใจอ่อนในที่สุด

    ก็ได้ ให้อัยย์ใช้นามสกุลเพียงสุวรรณของเธอ

    คุณเพียงรักยิ้มกว้าง พยักหน้าเป็นเชิงขอบใจ ก่อนเอ่ยปลอบอย่างอารมณ์ดีโดยไม่ได้คิดอะไร

    ไม่แน่โตขึ้น หนูอัยย์ของเราอาจได้ใช้นามสกุลของเธอขึ้นมาจริง 

    คนพูดไม่ได้สนใจในประโยคปลอบใจของตนด้วยซ้ำ หากคนฟังกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างวาบผ่านมา

    กลางอกปวดแปลบแล้วจางหายอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    หนูอัยย์ของเราอาจได้ใช้นามสกุลของเธอขึ้นมาจริง 

    อย่างนั้นหรือ

    ก็ดี หากแต่ท่านหวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง มันจะเป็นเรื่องดีมากกว่าร้าย เพราะท่านไม่ประสงค์ให้เด็กหญิงต้องพบเจอความเสียใจ ความเจ็บปวด หรือแม้กระทั่งความอึดอัดใจไม่ว่าเรื่องใดอีก

    แม่จะดูแลหนูให้ดีที่สุดหนูอัยย์

    อัยรินไม่ใช่ตัวแทนของใคร ไม่ใช่เพราะดวงตากลมโศกที่ละม้ายคล้ายใครอีกคนที่ยังปรากฏตัวในความฝันของท่านทุกคืน ท่านจึงตัดสินใจรับอุปการะเด็กหญิง หากแต่สิ่งที่ฉายในแววตาโศกเศร้าคู่นั้นต่างหาก ความเจ็บปวดที่กำลังกัดกร่อนให้ข้างในเย็นชานั่นมากกว่าที่ทำให้ท่านยื่นมือออกไป

    คุณหญิงวารีไม่อยากเห็นอัยรินต้องเผชิญกับความเลวร้ายของโลกใบนี้เพียงลำพัง การอยู่ในบ้านเพียงรักอาจเป็นอีกทางเลือกที่ดี ทว่าบ้านหลังนี้กว้างใหญ่ และเด็กหญิงที่บอบช้ำมาอย่างหนัก ควรได้รับอ้อมกอดมากกว่าที่เป็นอยู่ ท่านรู้สึกเช่นนั้น

    ดวงตาอารีจ้องมองร่างผอมบางที่กำลังนั่งเงียบ ๆ อยู่ใต้ต้นมะม่วงเขียวเสวยด้านหน้าประตูสถานสงเคราะห์ ใกล้ ๆ ทางเข้า ข้างป้อมยามของลุงชม มันเป็นที่ที่เด็กหญิงถูกนำมาทิ้งเอาไว้ในวันแรกของการพบกัน ไม่ต้องบอก ทุกคนก็เข้าใจ ลึก ๆ แล้วเด็กหญิงวัยสามขวบกำลัง นั่งรอ รออย่างมีความหวังในส่วนลึกของหัวใจ รอว่าเมื่อไหร่มารดาจะกลับมารับตน

    น้องร้องไห้ค่ะ หนูเห็น แต่พอหนูถามน้องก็เช็ดน้ำตาแล้วเดินหนี

    นี่คือคำบอกเล่าจากเด็กหญิงอายุมากกว่าอัยรินไม่กี่ปีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลน้อง และช่วยในเรื่องการปรับตัวกับสังคมของสถานที่ใหม่ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายบอกมามันเป็นการกระทำที่ไม่มีใครเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่เด็กสามขวบจะปฏิบัติ

    ตั้งแต่นั้นผู้ใหญ่ทุกคนต่างประชุมปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดพร้อมทั้งเรียกจิตแพทย์เด็กมารักษาอัยรินเป็นการด่วน ไม่มีใครคาดคิดว่าแม้บาดแผลภายนอกจางหาย แต่บาดแผลภายในที่เกิดขึ้นพร้อมกันกลับยังอักเสบรุนแรง

    น้องต้องการเวลา ความรัก ความเอาใจใส่มากกว่าเด็กทั่วไปค่ะ เด็กสามขวบทั่วไปควรร่าเริง สดใส ยิ้มง่าย หัวเราะ สนุกสนานกับเพื่อนได้ แต่น้องอัยย์ไม่ใช่ ข้างในนั้นเต็มไปด้วยหลายสิ่ง มันหนักมากสำหรับเด็กตัวแค่นั้น เด็กสามขวบคนนึงไม่ควรต้องรู้สึกแบกรับขนาดนี้เลย แต่น้องกำลังทำ น้องเป็นทุกอย่างที่เด็กสามขวบไม่ควรเป็น

    หลังจากนั้นอัยรินต้องเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์เด็กที่โรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด

    แบบนี้เรียกว่าเย็นชาได้ไหมคะคุณหญิง

    คำถามของแพรไหม เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากสถานสงเคราะห์เอ่ยขึ้นในวันที่ต้องเดินทางไปส่งเด็กหญิงที่โรงพยาบาลด้วยกัน ส่งผลให้คุณหญิงวารีต้องนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ด้วยท่านก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

    นั่นสินะ

    นั่นเรียกว่าเย็นชาใช่ไหมนะ

    ท่านยังคงสงสัย กระทั่งจิตแพทย์ที่ทำการรักษาอัยรินสร้างความกระจ่างแก่ใจให้ในที่สุด

    เวลาที่บาดเจ็บรุนแรง ไม่ว่าจะร่างกาย หรือจิตใจ เราควรร้องไห้ใช่ไหมคะ แต่หนูอัยย์ไม่ได้ทำแบบนั้น โดยปกติสมองจะสั่งงานไม่แตกต่างกันนัก นั่นคือการสร้างกำแพงความรู้สึกขึ้นมาปกป้องตนเอง แต่นั่นมันก็ควรเกิดขึ้นตอนที่เราเติบโตมากพอจะเข้าใจความหมายของคำว่าเจ็บปวด เสียใจ แต่นี่ ดวงตารีเรียวหลุบมองชาร์ตข้อมูลคนไข้ของตนแล้วถอนหายใจ

    หนูอัยย์อายุแค่สามขวบนะคะ

    อัยรินยังเด็กมาก เด็กขนาดที่ว่าไม่ควรจะประสีประสาในเรื่องอะไรแบบนี้ ทว่าเด็กหญิงกลับทำในสิ่งที่แม้กระทั่งจิตแพทย์ที่ให้การรักษายังเวทนา

    แกไม่ร้องไห้เลย

    คุณหญิงวารีและเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์หันมองหน้ากัน ก่อนคนหลังจะเอ่ยถาม

    ไม่ดีเหรอคะคุณหมอ

    ไม่ค่ะ จิตแพทย์หญิงสูงวัยที่ให้การรักษาส่ายหน้า มันไม่ใช่เรื่องดีเลย

    นั่นทำให้ท่านหวนคิดถึงบุตรชายทั้งสองคน วาคินเงียบขรึมไม่แสดงความรู้สึกราวหิมะในหน้าหนาว ในขณะที่มาวินยิ้มแย้มใจดี อบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ ทว่าใครจะรู้ว่าแท้จริงคนที่นิ่งเงียบกลับไม่น่ากลัวเท่าคนยิ้มหัวตลอดเวลา

    มาวินทำหลายสิ่งที่วาคินไม่มีวันทำ และหนึ่งในเรื่องนั้นยังส่งผลแก่ท่านมาจนถึงทุกวันนี้ หากไม่ว่าบุตรชายคนโตจะทำสิ่งใด มากมายแค่ไหน หัวใจของท่านก็ยังเอนเอียงไปทางฝั่งนั้นเสมอ ไม่เคยมีวันไหนที่ท่านรักบุตรชายคนโตน้อยลงสักนิดเดียว ในทางตรงกันข้ามกับวาคินแล้วนั้นท่านไม่อาจรู้สึกเช่นนั้นได้ เท่าที่ควร

    ท่านรักลูกไม่เท่ากัน  นั่นจริง

    คนหนึ่งเกิดจากความรัก ส่วนอีกคน เกิดจากความผิดพลาด

    วาคินคงรู้สึกไม่แตกต่างจากอัยรินแม้แต่น้อย ทว่าทุกครั้งที่ท่านมองใบหน้า และดวงตาสีเทาเข้มอันละม้ายคล้ายบิดาของอีกฝ่ายมันส่งผลให้ภาพความทรงจำในอดีตหวนกลับมาตอกย้ำ ทุกครั้งที่มองลูกคนเล็กมันจะสะท้อนภาพความผิดพลาดซ้อนทับไปมาจนไม่อาจวางใจรักใคร่ได้อย่างใจนึก

    คุณหญิงวารีถอนหายใจแรง ๆ ลูบอกตนเองเพื่อปลอบประโลมความเจ็บปวดจากข้างในหัวใจคนเป็นแม่

    คุณหญิงครับ ดวงตาที่เหม่อลอยกะพริบปริบ ก่อนหันใบหน้ากลับมายัง คนสนิท ของตน

    เรียบร้อยใช่ไหมวรันย์

    เรียบร้อยครับ ผมส่งคุณทนาย และเดินเรื่องรับตัวหนูอัยย์เรียบร้อยแล้วครับ

    วรันย์ คือเลขานุการคนสนิท บอดีการ์ดวัยกลางคนที่ทำงานกับบิดาของท่านมาก่อน หลังจากคุณรณเกียรติ เลิศวรานนท์เสียชีวิตลง วรันย์ก็ติดตามรับใช้คุณหญิงวารีนับแต่นั้น

    แล้วข้าวของของหนูอัยย์ล่ะ

    คุณเพียงรักเก็บให้เรียบร้อยแล้วครับ ผมขนไปใส่ไว้หลังรถแล้วครับ

    แม้จะมีข้าวของติดกายมาเพียงไม่กี่อย่าง แต่อัยรินก็หวงแหนมันมากทีเดียว โดยเฉพาะตุ๊กตาเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีชมพูซีดเซียวที่เย็บด้วยมือตัวนั้น เด็กหญิงกอดมันไว้ตลอดเวลาตั้งแต่มาถึงที่นี่ ของสิ่งนั้นน่าจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ และลึก ๆ ภายในใจอาจกำลังคิดถึงคนที่เย็บให้ในอดีตมากทีเดียว

    ทว่าท่านไม่ต้องการให้เด็กหญิงต้องหวนคิดถึงอดีตอันขมขื่นอีกต่อไป

    และดูเหมือนเด็กหญิงจะเข้าใจเรื่องยาก ๆ เหล่านี้ หลังจากปรับตัวได้มากขึ้นก็ไม่ได้กอดมันเอาไว้ตลอดเวลา แต่วางมันไว้เคียงหมอนอย่างทะนุถนอม และกอดมันก่อนนอนเท่านั้น ท่านจึงคลายใจไปได้บ้าง

    ดีมาก

    คุณหญิงวารีพยักหน้ารับ ก่อนหันกลับไปมองร่างผอมบางของเด็กหญิงอีกครั้ง ถอนหายใจหนัก ๆ เพราะไม่รู้เลยว่าท่านจะต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาบาดแผลใจหัวใจดวงน้อยนานแค่ไหน ทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็ต้องรักษาบาดแผลในใจของตนเช่นกัน

    ไปเถอะ ไปรับหนูอัยย์กลับบ้านเรา

    ชายวัยกลางคนค้อมศีรษะ ก่อนเดินตามแผ่นหลังบางไปอย่างเงียบเชียบตามอุปนิสัยของตน

    หนูอัยย์

    อัยรินเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตากลมโศกคู่นั้นมีแสงระยิบแวบเดียวก่อนลับหาย ทว่านี่ก็มากแล้วในสายตาของคนที่เคยเห็นเพียงความมืดมนในดวงตาคู่นี้

    กลับบ้านกันค่ะ

    เด็กหญิงลุกขึ้นยืน ย่อกายพนมไหว้อย่างงดงาม จนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้ แม้จะเย็นชาแต่กิริยามารยาทของเด็กหญิงก็งดงามชดช้อยราวกับได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี

    คุณหญิงวารียอบกายลงนั่ง ยิ้มบาง ๆ พร้อมเอื้อมมือไปแตะแก้มนุ่มอย่างอ่อนโยน

    นี่คุณลุงวรันย์ ชายวัยกลางคนขยับตัวเดินออกมาเป็นการแนะนำตัว

    ต่อไปนี้คุณลุงวรันย์จะเป็นลุงรันย์ของหนูนะคะ ส่วนแม่จะเป็นแม่ของหนู

    เด็กหญิงไม่เข้าใจนัก หากใบหน้าอมทุกข์ก็ยังพยักรับเชื่อฟัง

    ต่อไปเวลาผู้ใหญ่พูดด้วยหนูต้องตอบนะคะ ไม่เอาพยักหน้านะเข้าใจไหม

    ไม่รู้เข้าใจหรือเปล่า แต่เด็กหญิงก็ขานตอบอย่างเชื่อฟัง ค่ะ

    คุณหญิงวารียิ้มกว้าง จับจูงมือน้อยเอาไว้ในอุ้งมืออุ่น พาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แม้ท่านจะเป็นแม่ที่ดีให้ลูกทั้งสองคนไม่ได้ ทำหน้าที่แม่ได้ย่ำแย่แค่ไหน แต่นับจากวันนี้ท่านจะเลี้ยงดูอัยรินให้ดีที่สุด มันอาจเหมือนเป็นการแก้ตัว และใช่ ท่านกำลังแก้ตัวกับเรื่องราวในอดีตของตน เพราะท่านไม่อาจฝืนรักวาคินได้ แต่ก็ไม่อาจเข้าใจในตัวมาวินได้เช่นกัน

    เพราะทั้งคู่ต่างมองท่านเป็นมารดาเพียงในนาม ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×