คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : One more time (END)
เสียงลมฤดูหนาวหวีดพัดผ่านแก้วหู ปอยผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไสว
กลีบซากุระลอยตัวขึ้นหมุนเป็นเกลียวก่อนจะทิ้งทอดตัวลงบนผิวน้ำ...
นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าจ้องมองออกไปยังสายน้ำสงบนิ่งเบื้องหน้า
มือเล็กๆ บีบเข้าหากันแน่นเพื่อขจัดความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้ามาระหว่างนิ้ว
ทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วง และสีของใบแปะก๊วยยามสะท้อนกับแสงแดดในช่วงหกโมงเย็นชวนให้หวนนึกวันเก่าๆ
ได้อย่างไม่สิ้นสุด
หนาวจัง...
กริ๊ง
เสียงกระดิ่งจักรยานเรียกคนตัวเล็กที่กำลังนั่งจมอยู่กับความรู้สึกให้ขยับตัว
แบคฮยอนหันไปมองเด็กหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตาในชุดนักเรียนกับกระเป๋า Supreme ของเขาก่อนที่จะถอนลมหายใจออกมา
ทั้งๆ ที่บอกไปแล้วว่าไม่ต้องมารับแต่ชานยอลก็ไม่เคยฟังสักที
“กลับบ้านได้แล้ว”
“บอกว่าไม่ต้องมารับ”
“ก็อยากมารับนี่”
เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับระบายยิ้มจางๆ ออกมา
ชานยอลจอดจักรยานเอาไว้บนถนนก่อนจะก้าวเท้าเดินลงเนินหญ้าไปหา ‘พี่ชาย’ ของเขาที่ยังเอาแต่นั่งอยู่ที่เดิม
“เดี๋ยวก็เป็นหวัด”
“ทำไมไม่รีบกลับบ้านไปล่ะ”
“ก็มารับนี่ไง”
ชานยอลถอดผ้าพันคอสีแดงผืนโปรดของเขา แล้วนำมันไปสวมให้กับพี่ชายผู้แสนดื้อด้าน
อากาศที่หนาวเย็นทำมือเล็กๆ แดงไปหมด แต่เขาก็ยังทนนั่งทรมานตัวเองอยู่ได้เป็นชั่วโมง
ความอบอุ่นจากผ้าพันคอที่ถูกสวมลงมา เรียกแบคฮยอนให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองน้องชายของเขาด้วยความซาบซึ้ง
ทั้งกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวและความอบอุ่นจากร่างกายของชานยอล
มันทำให้ผ้าพันคอผืนนี้พิเศษยิ่งกว่าสิ่งใดเสมอ
“กลับกันเถอะ...”
เจ้าของผ้าพันคอโน้มกายลงไปคว้ามือบางที่แสนเย็นเฉียบมากอบกุมไว้พร้อมกับออกแรงฉุดเบาๆ
เพื่อดึงร่างพี่ชายผู้แสนซึมเศร้าให้ลุกยืนขึ้น
ถึงแม้ว่าใบหน้าของแบคฮยอนจะเรียบเฉยและนัยน์ตามีแต่ความว่างเปล่า
แต่ชานยอลก็ยังมองเห็นความอ่อนโยน และความแตกสลายที่ซ่อนอยู่ในนั้น
มือหนายกขึ้นไปปัดเศษดอกซากุระที่ติดอยู่ข้างใบหูเล็กๆ
ออกก่อนที่รอยยิ้มฝืนๆ จะถูกระบายออกมา
ชานยอลจูงมือพี่ชายของเขากลับไปยังรถจักรยานสีน้ำเงินเข้ม
ฝ่ามือทั้งสองข้างสอดประสานกันแน่นจนแม้แต่ความหนาวเย็นก็ไม่สามารถเข้าแทรกซึมได้...
.
.
.
“ชานยอลนี่แบคฮยอน ลูกคุณอาเอง
ฝากเป็นเพื่อนกับแบคฮยอนด้วยนะ”
ในวันหนึ่งกลางฤดูใบไม้ร่วง ชานยอลกำลังนั่งเล่นรถบังคับของเขาอยู่ที่สวนหลังบ้าน
แล้วอยู่ๆ
ก็มีผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับแนะนำเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้ได้รู้จัก ในช่วงเวลานั้นมันเป็นความไม่เข้าใจเหนือความไม่เข้าใจ
เด็กชายวัยหกขวบมองเห็นคุณพ่อของเขายิ้มให้กับคุณอาคนสวยแปลกหน้า
หลังจากที่แม่หายไปหลายเดือน เขาได้แต่ยืนมองการกระทำของผู้เป็นพ่ออย่างไม่ค่อยเข้าใจ
ตรงหน้าของชานยอลมีเด็กผู้ชายที่ถูกแนะนำว่าเป็นแบคฮยอนยืนอยู่
เขาสวมเสื้อสีขาวตัวใหม่ แต่กลับถือหุ่นยนต์ราคาถูกสภาพซอมซ่อ ชานยอลไม่นับว่ามันเป็นหุ่นยนต์ด้วยซ้ำหากเทียบกับกันพลาของเขา
“ชานยอล นี่ไงแบคฮยอน คนที่จะมาเป็นพี่ชายของเรา หลังจากนี้ก็มีพี่แล้วนะ
มีอะไรต้องช่วยเหลือกันนะ เข้าใจไหม”
คุณหมอหนุ่มย่อตัวลงนั่งข้างลูกชายพร้อมกับเอ่ยแนะนำสมาชิกคนใหม่ที่จะมาเป็นครอบครัวเดียวกัน
ท่ามกลางความสับสน ชานยอลไม่อยากยอมรับอะไรทั้งๆ
ที่ไม่เข้าใจ เขากอดรีโมทรถบังคับไว้แน่นด้วยความกลัวว่าของเล่นจะถูกแย่งไป
ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังเด็กชายตัวผอมตรงหน้า ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะขยับเอ่ยคำพูดออกมา
“ผมไม่มีพี่ชาย”
หนุ่มน้อยพูดเพียงเท่านั้นก็หันหลังวิ่งกลับไปเล่นรถบังคับของตัวเองต่อ
ปล่อยให้พี่ชายคนใหม่ได้แต่ยืนเงียบด้วยความไม่เข้าใจ... แบคฮยอนก้มลงมองหุ่นยนต์ตัวเก่าของเขาแล้วใช้นิ้วเช็ดฝุ่นออกจากใบหน้าของมันเพราะคิดว่าชานยอลอาจจะอยากเล่นด้วยมากกว่านี้ถ้าเจ้าบีไม่เขรอะฝุ่น
ของเล่นชิ้นสำคัญของแบคฮยอนที่เตรียมมาโดยกะว่าจะเล่นมันกับน้องชาย
เจ้าหุ่นยนต์ที่แสนเศร้ากับการถูกปฏิเสธมิตรไมตรี...
“ชานยอล ไม่น่ารักเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวสักพักก็คงชินเอง” หญิงสาวระบายยิ้มจางๆ
ขึ้นบนใบหน้า เธอใช้มือตบไหล่ลูกชายเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เขาไปหาเล่นไกลๆ ที่ซึ่งจะไม่รบกวนลูกชายเจ้าของบ้านพร้อมกับพูดออกมา
“แบคฮยอนก็เล่นอยู่แถวนี้นะลูก ยังไม่ต้องไปกวนน้องมาก”
“ครับ”
เด็กชายตัวเล็กได้แต่ต้องรับปากอย่างไม่มีทางเลือก
แบคฮยอนมองดูแม่ของเขาที่เดินหายเข้าไปในบ้านแฟนคนใหม่จนสุดสายตา
ก่อนที่จะเดินไปนั่งเหงาๆ บนชิงช้า
โดยที่สายตาก็ยังจับจ้องไปยังแผ่นหลังของน้องชายคนใหม่ไม่ห่าง...
.
.
.
เพล้ง!
“ผมอยากได้กันดั้ม ฮือ! ผมไม่อยากได้หุ่นกระป๋อง!”
กล่องพลาสติกบรรจุหุ่นยนต์ราคาแพงถูกเขวี้ยงออกไปกระแทกชุดถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะจนตกแตก
เสียงร้องไห้ฮือดังไปทั่วห้อง เด็กชายตัวเล็กเอาแต่โวยวายไม่หยุดและขว้างปาทุกสิ่งที่อยู่ใกล้มือออกไป
เพียงแค่คุณพ่อของเขาซื้อหุ่นยนต์มาได้ไม่ถูกรุ่น
ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันเกิดของชานยอลและเขาควรจะได้เล่นหุ่นตัวใหม่
แต่พ่อที่มัวแต่สนใจแม่เลี้ยงก็ลืม ชานยอลทนไม่ได้และเจ็บช้ำยิ่งกว่าเมื่อว่าเห็นแบคฮยอนได้ของเล่นดินน้ำมัน
เขากอดมันเอาไว้ราวกับต้องการจะเยาะเย้ย
“ชานยอล! รู้ไหมของแต่ละอย่างมันราคาเท่าไหร่ ที่เราได้ของเล่นเยอะกว่าใครก็ถือว่าดีแล้วนะ!” คุณหมอหนุ่มตวาดดุลูกชายเสียงดัง และนั่นยิ่งทำให้เด็กน้อยยิ่งเตลิด
“ฮือ! ผมเกลียดพ่อ!!”
ชานยอลวิ่งเข้าไปผลักคุณพ่อของเขาทั้งที่แรงแทบไม่มีก่อนจะหันหลังวิ่งออกจากบ้านไปทันทีพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่ดังระงม
“ชานยอล! ชานยอล!”
ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด
แบคฮยอนเป็นคนเดียวที่วิ่งตามน้องชายออกไป
เขาทิ้งกล่องดินน้ำมันลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี สาวเท้าวิ่งออกไปนอกบ้าน กางเกงตัวเก่าที่หลวมจนแทบใส่ไม่ได้ก็คอยแต่จะหลุดอยู่ตลอด
จนต้องกำขอบยางยืดเอาไว้แน่น แบคฮยอนวิ่งตามน้องชายของเขาไปติดๆ แผ่นอกบางกระเพื่อมหอบลมหายใจพรั่งพรูออกมาเป็นไอควัน
ภายใต้ร่มเงาของต้นแปะก๊วยเด็กชายตัวเล็กเอาแต่นั่งกอดเข่าร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร
คอเสื้อสีนวลเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาและหยาดเหงื่อ มือเล็กๆ
ทั้งสองข้างจิกกำขากางเกงแน่น เสียงที่น่ารำคาญของพี่ชายตัวจ้อยดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ชานยอลอยากจะซ่อนน้ำตาของเขาแต่ก็ทำไม่ได้เลย
"ฮึก... อึก..."
“ชานยอล... ไม่ต้องร้องไห้หรอกนะ”
คนเป็นพี่วางมือลงบนศีรษะของน้องชายที่กำลังร้องไห้พร้อมกับลูบปลอบเบาๆ
แบคฮยอนขยุ้มคอเสื้อตัวเก่าของเขาไปเช็ดคราบน้ำตาให้กับคนข้างๆ อย่างไม่รังเกียจ
"ฮึก... ฮือ... ฮือ..."
"ไม่ต้องร้องไห้นะ" มือป้อมๆ ตบลงบนบ่าที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง
แบคฮยอนจับศีรษะของน้องชายตัวโตให้เอนซบลงบนลาดไหล่ก่อนจะหันไปกดจูบเบาๆ
ลงบนกลุ่มผมสีดำขลับ
“ฮึก... ฮือ....”
“ชานยอลเอาของเราไปเล่นก็ได้นะ
เดี๋ยวพี่จะไปเอามาให้นะ”
คนตัวเล็กว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปหยิบหุ่นยนต์ตัวเก่าของตัวเองจากในกระบะทรายที่วางอยู่ไม่ไกล
แบคฮยอนเป่าเอาเศษทรายออกจากใบหน้า เขาใช้เสื้อเช็ดมันอย่างดีแล้วนั่งลงจับเจ้าหุ่นยนต์บีไปยัดใส่มือเล็กๆ
ที่เอาแต่กำแน่น โดยหวังว่ามันจะสามารถทดแทนหุ่นกันดั้มของชานยอลได้
“ชานยอลเอาอันนี้ไปเล่นก็ได้”
“ฉันไม่อยากได้หุ่นขยะของแก!”
“ชานยอลอย่านะ!”
ปั่ก!!
หุ่นยนต์พลาสติกสีแดงถูกเขวี้ยงใส่กำแพงอย่างแรง
แบคฮยอนถึงกับร้องเสียงหลง เขารีบวิ่งเข้าไปหาเจ้าหุ่นยนต์ตัวเก่งของตัวเองที่นอนพังอยู่บนพื้นก่อนก้มลงหยิบมันขึ้นมา
คอที่หักออกจากลำตัวและขาที่หลุดออกทำแบคฮยอนใจแตกสลาย หุ่นยนต์ตัวแรกและตัวเดียวที่ได้เป็นของขวัญมาจากพ่อที่หายไปอย่างไม่มีวันกลับมา
ของเล่นที่แบคฮยอนรักมากที่สุด…
ริมฝีปากบางเบะคว่ำ หยดน้ำตาไหลออกจากนัยน์ตาแดงกล่ำ
แบคฮยอนพยายามจะกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเองด้วยการใช้ฟันกัดริมฝีปากแต่ก็ทำไม่ได้
มือเล็กๆ ยกขึ้นเช็ดปาดน้ำตาบนใบหน้า
แบคฮยอนขยุ้มคอเสื้อของเขาขึ้นซับน้ำตาด้วยความเสียใจ ทั้งหุ่นยนต์และหัวใจที่แตกสลายไปพร้อมๆ
กัน
“ฮือ... ฮือ...”
“ฮึก...”
“ทำไมชานยอลทำแบบนี้ ฮือ...”
เสียงร้องไห้ของเด็กชายสองคนดังไปทั่วสวนหลังบ้าน
แบคฮยอนยกเจ้าบีของเขาขึ้นแนบอกพร้อมลุกขึ้นยืนทั้งน้ำตาที่ยังไหลไม่หยุด
ความใจร้ายของน้องชายทำหัวใจแบคฮยอนแตกสลาย... และถึงจะต้องพบเจอบ่อยแค่ไหนก็ทำใจให้ชินไม่ได้สักที
สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่เดินอุ้มหุ่นแสนรักของตัวเองเดินจากไปพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่ดังกว่าเดิม
ชานยอลได้ยินเสียงสะอื้นของพี่ชายชัดเจนดี
เขาได้แต่เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังเล็กๆ ที่เดินห่างออกไปพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตา...
.
.
.
ภายใต้แสงจากโคมไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือ
นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ปาร์ค ชานยอลยังพยายามต่อหุ่นกระป๋องของพี่ชายเขาให้กลับคืนสภาพเดิม
แต่ดูเหมือนว่ายิ่งทำก็ยิ่งแย่ กาวร้อนที่ขโมยมาจากห้องทำงานของพ่อใช้ไม่ได้ผลสักนิด
มันไม่ยอมติดชิ้นส่วนเข้าหากัน
ยิ่งต้องใช้ความพยายามมากขึ้น ความอดทนของเด็กชายก็ยิ่งน้อยลง
น้ำตาแห่งความพยายามหยดแรกร่วงหล่นลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น
ชานยอลยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วลองต่อชิ้นส่วนเข้าด้วยกันอีกครั้งก่อนที่จะเทกาวหยอดลงไป
ช่องโหว่จากพลาสติกเล็กๆ ที่แตกออกถูกแปะทับด้วยกระดาษยับย่น
ก่อนที่สีเทียนสีแดงจะถูกระบายทับลงไปเพื่อให้มันกลืนกับสีผิวเดิม ชานยอลตั้งเจ้าหุ่นกระป๋องไว้ตรงหน้า
และยิ่งเห็นว่าสภาพของมันแย่แค่ไหน น้ำตาเขาก็ยิ่งไหลออกมา
ชานยอลซ่อมมันไม่ได้...
เขาซ่อมหุ่นยนต์ที่พังด้วยความเอาแต่ใจของตัวเองให้กลับคืนเป็นอย่างเดิมไม่ได้...
“อึก...” มือเล็กๆ
ยกขึ้นปาดน้ำตาแห่งความขับข้องใจ ชานยอลเริ่มสะอึกสะอื้น เขาเห็นชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ขาดหายไปของเจ้าบี
มันหายไปที่สนามหลังบ้านและไม่มีใครหาเจออีก เพราะอย่างนั้น ไม่ว่ายังไงชานยอลก็ต่อมันให้กลับไปสมบูรณ์ไม่ได้
ขอลองดูอีกสักครั้ง...
มือเล็กๆ ยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า เด็กชายตัวเล็กลุกขึ้นวิ่งไปหยิบหุ่นกันพลาแสนรักของตัวเองมาวางไว้ข้างเจ้าหุ่นกระป๋อง
ชานยอลหลับตากัดฟันหักส่วนปีกที่ด้านหลังของหุ่นยนต์แสนรักของตัวเองออก เสียงดังกึกของมันช่างบาดจิตบาดใจ
พอแน่ใจแล้วว่าชิ้นส่วนถูกหักเขาก็ลืมตาขึ้น
หุ่นกันดั้มตัวที่แพงและดีที่สุดกลายเป็นหุ่นชำรุดไปแล้ว...
ชานยอลไม่สนใจเขาหยิบเอาเทปใสออกมาจากชั้นแล้วพันปีกที่หักมาจากหุ่นตัวเองเข้ากับส่วนที่ขาดหายของเจ้าบี
ถึงสีขาวของมันจะไม่เข้ากับสีแดงก็ตาม
ชานยอลไม่สามารถซ่อมของที่พังไปแล้วให้กลับคืนอย่างเดิมได้
ถึงจะเหมือนว่าสมบูรณ์แต่ก็ยังมีร่องรอยของความเสียหายหลงเหลืออยู่มากมาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กชายได้เรียนรู้ว่า
ไม่ใช่ของทุกอย่างที่สามารถซ่อมให้กลับคืนดังเดิมได้ และถึงจะซ่อมได้ก็ยังมีร่องรอยของความเสียหายอยู่มาก
และเขาควรคิดให้ดีก่อนที่จะทำมันพัง ...
.
.
.
“นี่ ฉันขอโทษ”
หุ่นกระป๋องชำรุดสีแดงที่ถูกซ่อมเสร็จแล้วถูกยื่นไปตรงหน้า
มือเล็กๆ ของเด็กชายตัวจ้อยสั่นด้วยความประหม่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ตัวเองเคยทำผิดไว้
สีหน้าที่แสนเรียบเฉยของพี่ชายทำหัวใจชานยอลหวิวไปหมด
“ชานยอลซ่อมมันหรอ”
“อื้อ ฉันซ่อมได้แค่นี้”
“..........”
“ขอโทษนะ”
คำพูดที่แสนกล้าหาญถูกเอ่ยออกไป
ถึงจะรู้ว่ามันอาจสายไปที่จะเอ่ยขอโทษ...
คนตัวเล็กเอื้อมมือไปรับหุ่นยนต์ตัวเก่งของตัวเองที่ถูกมาประกอบใหม่อย่างไม่ประณีตมาถือเอาไว้
และถึงสภาพของมันจะดูไม่ดีเท่าไหร่แต่แบคฮยอนก็ดีใจเหลือเกิน...
ไม่ใช่เพราะได้หุ่นยนต์แสนรักกลับคืนมา แต่เป็นเพราะการกระทำและคำขอโทษของชานยอลที่มีค่ามากกว่าสิ่งใด
ถ้าเป็นอย่างนี้
ต่อให้หุ่นยนต์ของแบคฮยอนต้องพังอีกสักกี่ตัวเขาก็คงไม่เสียใจ...
“ขอบคุณนะ” คนตัวเล็กกล่าวขอบคุณพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ก่อนจะโถมตัวเข้ากอดน้องชายเอาไว้แน่น
แบคฮยอนไม่เสียใจเรื่องหุ่นอีกแล้ว และเขายังดีใจที่ได้รับทั้งคำขอโทษและความพยายามของน้องชายเป็นของตอบแทน
มันไม่มีอะไรมีค่าไปมากกว่านี้อีก....
บนชั้นวางของ หุ่นประป๋องชำรุดสองตัวถูกวางไว้คู่กัน...
หุ่นยนต์ตัวสีแดงมีปีกสีขาว และหุ่นยนต์สีขาวมีร่องรอยความเสียหายจากปีกที่ถูกหักออกไป...
หุ่นกระป๋องชำรุดหนึ่งตัว ถูกเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปด้วยชิ้นส่วนจากหุ่นตัวที่สมบูรณ์กว่า
ชานยอลมองดูกันดั้มหักๆ ของเขาด้วยความภาคภูมิใจ และได้ค้นพบว่าคุณค่าของสิ่งของไม่ได้อยู่ที่ร่องรอยความแตกหักหรือสภาพของมันเสมอไป
ชานยอลยินดีที่จะหักขากันดั้มของเขาออกอีกข้างถ้าแบคฮยอนต้องการ
เพราะความสมบูรณ์ของหุ่นสองตัวนี้อยู่ในจิตใจของเขา และมันจะไม่มีวันพังลง...
.
.
.
“คุณจะไปรู้อะไร! วันๆ อยู่แต่บ้านไม่ทำงาน ผมชักจะหมดความอดทนแล้วนะ!”
“เป็นผู้ชายไม่หาเลี้ยงผู้หญิงแล้วจะเกิดมาเป็นผู้ชายทำไม! ทำไม่ได้ก็ไปใส่กระโปรงซะไป!”
เพี๊ยะ!
เสียงตะโกนโหวกเหวกที่ดังมาจากชั้นล่างผสมปนกับเสียงฟ้าทำเด็กชายร่างเล็กตัวสั่นไปหมด
แบคฮยอนที่แอบขึ้นมาหลบเสียงดังอยู่บนห้องใต้หลังคายกมือขึ้นปิดหูตัวเองแต่ทว่าเสียงเหล่านั้นก็ยังตามเข้ามาหลอกหลอน
เมื่อไหร่... มันจะจบลงสักที...
เก๊ง...
เสียงดังเบาๆ จากตู้นาฬิกาชำรุดเรียกคนตัวเล็กให้ต้องหันไปมอง
บางทีมันอาจจะมีหนูหรืออะไรบางอย่างวิ่งอยู่ในนั้น แบคฮยอนค่อยๆ
คลานเข้าไปใกล้ตู้นาฬิกาไม้เยอรมันหลังใหญ่ เขาเปิดบานประตูออกก่อนจะเข้าไปหลบด้านในข้างลูกตุ้มสีเหลืองทองที่ยังมีที่ว่างเหลือพอสำหรับเด็กตัวเล็กๆ
ทันทีที่บานประตูปิดลงเสียงทุกอย่างก็เงียบสนิท ไม่มีแม้กระทั่งเสียงฟ้าร้องหรือเสียงทะเลาะกันของพ่อแม่
มันเงียบจนได้ยินเสียงใจเต้น มือเล็กๆ
เอื้อมไปแตะลูกตุ้มทองเหลือง แบคฮยอนใช้ปลายเล็บเคาะมันเบาๆ
ก่อนที่สองแขนจะเปลี่ยนมาโอบกอดตัวเองไว้แน่น
เมื่อไหร่มันจะจบลงสักที....
.
.
.
“เอาเสื้อน้องไปรีดให้เสร็จ เสื้อพ่อแกด้วย แล้วก็ไสหัวไปไกลๆ”
ชุดนักเรียนในไม้แขวนถูกโยนเข้ามาจนรับแทบไม่ทัน
แบคฮยอนย่อตัวอุ้มชุดนักเรียนของน้องชายไว้
แล้วนำมันไปวางบนโต๊ะรีดผ้าก่อนจะเดินไปหยิบเอาชุดทำงานของพ่อที่แขวนอยู่บนราววางกองรวมกัน
ผ้าที่กองเป็นภูเขาบอกแบคฮยอนว่าคืนนี้คงจะต้องทำการบ้านในห้องซักรีดอีกแล้ว
คนตัวเล็กได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ถึงบ่นไปก็ไม่ได้อะไรสู้รีบทำงานให้เสร็จดีกว่า
เตารีดสีแดงถูกนำออกมาเสียบไฟ แบคฮยอนวางเสื้อนักเรียนตัวแรกของเขาลงกับผืนผ้า
และในขณะที่กำลังจัดระเบียบสาบเสื้อ เสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ทำไรอะ”
คนตัวเล็กหันไปมองน้องชายในชุดลำลองที่เดินหอบเอาเสื้อบอลมาให้ซัก
ชานยอลนำชุดกีฬาของเขาไปใส่ไว้ในเครื่องซักผ้าก่อนจะเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าพี่ชายที่ทำเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆ
มาให้
มือหนายกขึ้นจับปลายคางเรียวพร้อมกับออกแรงบีบแก้มเบาๆ จนริมฝีปากบางยู่ขึ้น
พอได้ยินเสียงเจ้าตัวร้องอู้อี้เด็กหนุ่มก็พอใจ ดวงตากลมโตยังคงจับจ้องไปยังพวงแก้มและปลายจมูกเล็กๆ กับแพรขนตา นัยน์ตาที่มักจะมีความเศร้าเจือปนอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะไม่เคยพูดออกมา…
“ออกไปหาเพื่อนนะ บอกพ่อด้วยว่าคืนนี้ไม่กลับ”
“แล้วพรุ่งนี้จะกลับมาไหม”
“ไม่รู้อะ”
พูดแค่นั้นคนตัวสูงก็เดินออกจากห้องซักรีดไป ทิ้งให้พี่ชายตัวเล็กได้แต่ยืนยิ้มเศร้าอยู่คนเดียว...
ชานยอลคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
เป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ส่วนแบคฮยอนก็เป็นได้แค่เงาและส่วนดำมืด
ไม่ว่าตอนไหนแบคฮยอนก็เป็นได้แค่สิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่า ไม่เคยมีความสำคัญและเป็นมาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เมื่อไหร่...
มันจะจบลงสักที...
ความรู้สึกนี้ เมื่อไหร่จะหายไปสักที...
ขอโอกาสอีกสักครั้ง...
ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว...
บนดาดฟ้าโรงเรียนในช่วงฤดูร้อน
พักกลางวันของแบคฮยอนมีกล่องข้าวเล็กๆ เป็นเพื่อน
ดวงตาเรียวรีจ้องมองลงไปยังพื้นด้านล่างที่ไร้ผู้คน
แบคฮยอนเอาแต่จินตนาการถึงความรู้สึกยามสายลมไหลผ่านร่าง
ในขณะที่ตัวเขากำลังร่วงหล่นลงจากดาดฟ้า
ความรู้สึกว่างเปล่าที่ไม่สามารถเอาออกไปจากใจได้นี้...
ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะหายไป รองเท้าผ้าใบสีขาวก้าวขึ้นไปเหยียบบนขอบกั้น
สองแขนกลางออกรับลมฤดูร้อน กลิ่นไอแดดทำให้รู้สึกโล่งไปถึงในอก แต่ก่อนที่ร่างกายจะได้ปะทะกับความว่างเปล่า
แรงกอดรัดที่เอวก็เรียกให้แบคฮยอนต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“ลงมาได้แล้ว...”
เด็กหนุ่มตัวสูงซุกหน้าลงกับแผ่นหลังที่แสนบอบบางของพี่ชาย
สองแขนแข็งแรงกอดกระชับเอวบางไว้แน่น ชานยอลเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ
เสียงลมฤดูร้อนพัดหวีดหวิวดังก้องในแก้วหู...
ชานยอลดึงร่างพี่ชายของเขาให้กลับลงมาจากขอบกั้น สองแขนยังคงกอดกระชับร่างเล็กๆ
ไว้แน่น ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก มีเพียงความเงียบ
และความเงียบที่ดังยิ่งกว่าสิ่งใด...
“กลับบ้านกันเถอะ”
คำพูดเรียบง่ายถูกกระซิบลงข้างใบหู ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่าเบื้องหน้า
มือหนาเลื่อนลงไปกอบกุมฝ่ามือที่กำลังสั่นเบาๆ ไว้แน่น “กลับบ้านด้วยกันนะ...”
ขออีกสักครั้ง ฤดูกาลเอ๋ย อย่าเพิ่งเปลี่ยนไปเลย
ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว
ที่ได้ย้อนกลับไปตอนที่เรายังได้อยู่ด้วยกัน...
“ชานยอลกลับบ้านด้วยกันไหม”
“ไม่อะ จะไปเตะบอล ฝากกระเป๋าไปเก็บบ้านหน่อยดิ”
เป้หนักๆ ถูกโยนส่งให้พี่ชายต่างสายเลือดที่ยืนรออยู่ตรงหน้าตู้ล็อคเกอร์
ชานยอลหยิบเอาเสื้อบอลของเขาออกมาเปลี่ยนก่อนที่จะส่งชุดนักเรียนให้กับพี่ชายอีกครั้ง
ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาสี่โมงเย็นแล้ว
ชานยอลต้องรีบไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนก่อนที่จะไม่ทันรอบวอร์ม
“แล้ววันนี้จะกินข้าวเย็นไหม”
“ไม่รู้อะ ถ้ากินข้าวแล้วเดี๋ยวโทรบอก”
“อื้อ...”
“บอกพ่อด้วยนะ”
“อื้อ... อย่ากลับบ้านดึกนะ”
“อือ แล้วก็ทำหน้ายิ้มๆ หน่อย”
พูดแล้วก็เอื้อมมือไปบีบแก้มพี่ชายเหมือนอย่างที่ชอบทำ
ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างไม่คิดกล่าวลา
ไม่เคยมีความใส่ใจ...
ไม่มีแม้แต่ความห่วงใยถึงจะรู้ว่าพี่ชายของเขาต้องการมันมากกว่าใคร
ชานยอลเพียงแค่โยนกระเป๋าและเสื้อผ้าใส่แบคฮยอน ก่อนที่จะออกไปสนุกกับเพื่อนๆ เหมือนอย่างทุกที
เขาไม่เคยสนใจมองแววตาที่กำลังร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่าง แววตาที่กำลังบ่งบอกถึงบางอย่างที่กำลังค่อยๆ
แตกสลายอยู่ภายใน
ไม่เคยจะสนใจแบคฮยอนเลยสักครั้ง ถึงจะรู้ว่าไม่มีทำใครให้แบคฮยอนมีความสุขไปได้มากกว่าชานยอลอีกแล้ว...
.
.
.
แบคฮยอนคิดว่ามันคือโชคชะตาที่ว่างเปล่าของเขา...
ถูกลิขิตมาให้มีชีวิตและถูกทอดทิ้งไปอย่างไร้ค่า แต่ว่าเขาก็ไม่รู้สึกเศร้ากับมันหรืออาจจะเศร้าจนชินชา
แบคฮยอนใช้ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์ที่ตื่นมาเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองในทุกๆ วัน
ในขณะที่ความว่างเปล่าเริ่มกัดกินจิตใจจนวิปลาส
บนสะพานข้ามแม่น้ำ สองเท้าก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า
นัยน์ตาที่แสนว่างเปล่าจับจ้องมองลงไปในธารน้ำใส
แบคฮยอนยังคงเอาแต่คิดว่าจะรู้สึกยังไงหากร่างกายของเขาจมอยู่ใต้สายน้ำนิ่งสงบ...
มือบางวางทาบลงบนราวกั้นแสตนเลส คนตัวเล็กยันร่างตัวเองขึ้นไปยืนบนขอบสะพาน
แขนทั้งสองกางออกรับลิ่วลม ริมฝีปากฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่เท้าก็ก้าวเดินไปบนเหล็กกลมมนอย่างเชื่องช้า
ไม่มีความรู้สึกอะไรหรอก...
มีแค่ความสิ้นหวังกับชีวิตที่ไม่มีความหมายเท่านั้น...
เพียงแค่เสียการทรงตัวนิดเดียวร่างของแบคฮยอนก็หงายหลังตกลงจากราวสะพาน
รู้สึกได้ถึงลมที่พัดผ่านร่างก่อนที่แผ่นหลังจะกระแทกลงกับผืนน้ำ
ความหนาวเย็นจากแม่น้ำในช่วงต้นฤดูหนาวไหลลุกลามเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ร่างเล็กๆ ค่อยๆ จมลงสู่ก้นบึ้งลำธารที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด
หนาวจัง...
นั่นเป็นความรู้สึกเดียวที่รับรู้ได้
พอลืมตาขึ้นก็มองเห็นแสงจากท้องฟ้าโปร่งโล่งที่มืดลงเรื่อยๆ
เมื่อร่างกายกำลังจมสู่ก้นแม่น้ำอย่างเชื่องช้า อากาศเฮือกสุดท้ายหลุดออกจากปาก
ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างแข็งจนขยับไม่ได้
มันกำลังจะจบลงแล้ว...
ภายใต้ลำธารสงบนิ่งนี้
ความว่างเปล่าไม่สามารถทำร้ายแบคฮยอนได้อีกต่อไปแล้ว...
“แบคฮยอน!!!”
เสียงดังตู้มกับภาพของร่างพี่ชายที่ร่วงหล่นจากสะพานเรียกชานยอลให้ต้องเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น
ถึงจะมองเห็นเพียงแค่กระเป๋าสีแดงแต่ลักษณะการเดินก็ทำให้เขาจำได้
เด็กหนุ่มตัวสูงวิ่งกระหืดกระหอบไปยังสะพานข้ามแม่น้ำ
แต่ดูเหมือนยิ่งเข้าใกล้มันก็ยิ่งห่างออกไป หัวใจของเขากำลังกู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง
ชานยอลทิ้งกระเป๋าแล้วกระโดดลงแม่น้ำไปทันที ร่างเล็กๆ
ของพี่ชายที่นอนจมนิ่งอยู่ก้นลำธารทำหัวใจของเด็กหนุ่มแทบแตกสลาย
ชานยอลว่ายน้ำเข้าไปอุ้มร่างของพี่ชายเขาไว้ด้วยสองแขน
แล้วดีดตัวกลับขึ้นไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว พอรู้ตัวอีกทีก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายออกมาไม่หยุด
“แบคฮยอน!! แบคฮยอน!! ฮือ!! ฟื้นสิ!!”
.........
ความเงียบทำให้เสียงร้องไห้ของชายหนุ่มดังยิ่งกว่าสิ่งใด
รอบตัวมีแต่เสียงหวีดหวิวของสายลมในหน้าหนาว เหมือนฤดูกาลกำลังหัวเราะเยาะให้กับความโง่เขลาของชานยอล
ถึงจะพยายามตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายมากเท่าไหร่ก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา...
แบคฮยอนยังคงนอนแน่นิ่ง... มือบางเย็นเฉียบ หัวใจของเขาไม่เต้นอีกต่อไป...
ชานยอลมาช้าเกินไป แบคฮยอนไม่หายใจอีกแล้ว...
สองแขนประคองร่างที่กำลังหลับไหลขึ้นกอดแนบอก
หยาดน้ำตามากมายไหลดิ่งอาบพวงแก้ม ชานยอลเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นในขณะที่กอดตระกองร่างเย็นเฉียบของพี่ชายเอาไว้
รักมากเหลือเกิน...
พี่ชายของผม...
.
.
.
เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด...
"ฮึก... ฮึก... ฮือ..."
ภายใต้ร่มเงาของต้นซากุระเด็กชายตัวเล็กเอาแต่นั่งกอดเข่าร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดหลังจากที่ถูกผู้เป็นพ่อสั่งลงโทษ
คอเสื้อสีฟ้าเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาและเหงื่อ มือเล็กๆ
ทั้งสองข้างจิกกำขากางเกงแน่น
"ฮึก... อึก..."
"ชานยอล ชานยอลเป็นอะไรหรอ..."
เสียงเล็กๆ
ที่แสนน่ารำคาญของพี่ชายตัวจ้อยดังเข้ามาใกล้
แบคฮยอนนั่งยองลงข้างน้องชายตัวเล็กของเขาก่อนจะยกชายเสื้อยืดตัวโคร่งขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับคนตรงหน้า
"ฮึก... ฮือ... ฮือ..."
"ไม่ต้องร้องไห้นะ" มือป้อมๆ ตบลงบนบ่าที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง
แบคฮยอนจับศีรษะน้องชายตัวโตของเขาให้เอนซบลงบนลาดไหล่ ก่อนจะหันไปกดจูบเบาๆ
ลงบนกลุ่มผมสีดำขลับเหมือนอย่างที่ชอบทำ
"ฮึก..."
"ไม่ต้องร้องไห้หรอกนะ..."
ไม่รู้หรอกว่าชานยอลร้องไห้ทำไม แต่ไม่ชอบเลย...
ราวกับเรื่องเหล่านั้นเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวานก่อนที่มรสุมจะพัดเราให้แตกสลายกลายเป็นเพียงฝุ่นผงของความทรงจำ
"ฮึก..."
"......"
"ผมขอโทษ..."
"......"
"ขอโทษ..."
"....."
"ยกโทษให้ด้วย ฮือ"
'ไม่ต้องร้องไห้หรอกนะ...'
คำนั้น อยากได้ยินอีกสักครั้ง...
ขอเวลามากกว่านี้
ขอโอกาสอีกสักครั้ง
ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว...
.
.
.
“วันนี้ก็หล่อเหมือนเดิมเลยเนอะ”
“น่ารักจัง”
ระหว่างทางเดินขึ้นชั้นเรียนเสียงพูดคุยของเด็กสาวดังเซ็งแซ่ไปตลอดทาง
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองรอบตัวก่อนจะหลุบตาลงมองพื้นดั่งเดิม สัมผัสที่หลังมือเรียกเขาให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้กับเจ้าของฝ่ามืออบอุ่น
สองพี่น้องจูงมือกันเดินผ่านทางเดินระหว่างชั้นเรียนมัธยมไปจนถึงหน้าประตูโรงเรียน
ชานยอลจับมือพี่ชายของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป
ในช่วงต้นฤดูหนาวอากาศที่เย็นจัดจนทำให้ลมหายใจกลายเป็นไอควัน
ชานยอลจับมือเล็กๆ
ซุกเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเกตของเขาโดยหวังว่ามันจะทำให้แบคฮยอนอุ่นได้บ้าง
“ไปหาอะไรร้อนๆ กินกันไหม” เด็กหนุ่มตัวสูงหันไปถามพี่ชายที่ยังเอาแต่เป่าลมปากใส่ฝ่ามือเย็นเฉียบอีกข้าง
พอเห็นแบบนั้นแล้วเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“วันนี้ไม่ไปเล่นบอลหรอ”
“ไม่ไป ผมออกจากชมรมแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
“ก็แค่เบื่อเฉยๆ” ชานยอลยักไหล่
เขาพาพี่ชายเดินข้ามถนนไปยังอีกฝั่งของโรงเรียนที่มีร้านขายเครื่องดื่มเล็กๆ
เปิดอยู่
คิ้วหนาเอาแต่ขมวดย่นแทบจะตลอดเวลา ชานยอลหันไปส่งยิ้มให้กับคนข้างๆ
ก่อนจะสั่งช็อคโกแลตร้อนสองแก้ว
ในวันที่อากาศหนาวแบบนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ
และนอนซุกตัวอยู่ใต้โต๊ะโคทัตสึ
“บอกแล้วว่าไม่ต้องมารับก็ได้”
“ก็อยากกลับพร้อมกันนี่”
“ช่วงนี้กลับบ้านตรงเวลาทุกวันเลยนะ” คนตัวเล็กได้แต่ระบายยิ้มจางๆ
ขึ้นบนใบหน้า เมื่อได้เห็นท่าทางการเอาใจใส่ของน้องชายที่ไม่ค่อยจะปกติ
แบคฮยอนคงไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง เขาแค่รู้สึกว่าช่วงนี้ได้ใช้เวลากับชานยอลบ่อยๆ
ได้กลับบ้านพร้อมกัน กินข้าว ดูทีวี หรือนอนด้วยกัน แถมเขายังแยกผ้าที่จะซักให้อีกด้วย
“แล้วไม่ดีหรอ”
“เดี๋ยวนี้ใจดีขึ้นนะ”
“ก็ดีแล้วนี่”
ชานยอลว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา
เขาเอื้อมมือไปจับพวงแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะอากาศหนาวของคนตรงหน้าก่อนจะหลุบตาลงมองพื้น
ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่...
เมื่อไหร่ที่ชานยอลเริ่มรู้สึกว่าแววตาของพี่ชายเปลี่ยนไป...
รอยยิ้มของแบคฮยอนค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ จนไม่ทันได้สังเกต
และทุกครั้งที่ชานยอลมองดูใบหน้านี้ก็พบเจอแต่ความเย็นชากับการปั้นหน้ายิ้มแบบฝืนๆ
แบคฮยอนดูเหมือนกับตุ๊กตากลไร้ชีวิต เย็นชา ว่างเปล่า และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่ชานยอลเพิ่งจะเริ่มเอะใจ
ทั้งๆ ที่รู้มาตลอดว่าพี่ชายมักจะถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่เสมอ
ทั้งๆ ที่รู้มาตลอดว่าแบคฮยอนต้องการการเอาใจใส่มากกว่าใคร
แต่ชานยอลก็เลือกที่จะมองข้าม จนกระทั่งวันหนึ่งที่เริ่มรู้สึกตัวว่ารอยยิ้มที่เคยได้รับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
พอเงยหน้าขึ้นมาจากเรื่องของตัวเองอีกทีก็ไม่เจอพี่ชายคนเดิมแล้ว...
แววตาของแบคฮยอนว่างเปล่ามากขึ้นทุกที ถึงจะพยายามทำทุกวิถีทางแต่ก็ไม่สามารถเรียกรอยยิ้มที่จริงใจกลับคืนมาได้
มองไปทางไหนก็ไม่เห็นหนทางที่พอจะทำให้แบคฮยอนมีความสุขได้เลย ทั้งพ่อและแม่ก็ระหองระแหงกันตลอด
ส่วนตัวเขาเองก็เอาแต่อยู่กับเพื่อน...
ชานยอลแค่รู้สึกว่าเขาควรจะทำตัวให้ดีกว่านี้
แค่อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อแบคฮยอนบ้าง... อยากดูแลเอาใจใส่แบคฮยอนให้มากกว่าที่เคยทำ
อยากจะเรียกเอารอยยิ้มของเขากลับคืนมา
อยากกลับไปเป็นเหมือนวันเก่าๆ
ตอนที่ได้สนุกและหัวเราะด้วยกัน อยากได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นอีกสักครั้ง
และกลับไปมีช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกันเหมือนเดิม...
ชานยอลที่โตขึ้นคงจะปกป้องแบคฮยอนได้มากกว่าเมื่อก่อน
หรืออาจจะทำให้แบคฮยอนมีความสุขได้มากกว่า
ไม่รู้ว่ามันสายเกินไปไหมที่จะรักษาจิตใจที่ชำรุด
สุดท้ายถ้าเกิดอะไรขึ้นชานยอลก็คงโทษตัวเองที่ปล่อยปละละเลยมานาน จนไม่รู้เลยว่าตอนนี้หัวใจของพี่ชายเป็นยังไง
“ขอบคุณนะ”
คำพูดเดิมๆ ยังคงถูกเอ่ยออกมาจากคนเดิมๆ
แบคฮยอนได้แต่ระบายยิ้มเศร้าๆ ออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนักแต่ก็อดรู้สึกดีไม่ได้
แบคฮยอนอาจทำใจให้กลับไปอยู่ในจุดเดิมไม่ได้อีกแล้ว
แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รับรู้ถึงความตั้งใจและความพยายามจะเอาใจใส่ของน้องชาย
ซึ่งมันไม่มีสิ่งใดมีค่าไปมากกว่านี้อีกแล้ว...
.
.
.
จะเรียกว่าเป็นความทรมานได้ไหมกับการที่ต้องอยู่อย่างไร้ตัวตน
ไม่ว่าเมื่อไหร่แบคฮยอนก็เป็นคนที่ไม่มีความสำคัญเสมอ
ทุกครั้งที่ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าก็เห็นแต่ความน่าสมเพชและความเศร้าหมองของตัวเอง
ชานยอลอาจเป็นสิ่งเดียวที่สว่างสดใส
เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดเท่าที่แบคฮยอนจะจินตนาการได้
ชีวิตของแบคฮยอนนั้นช่างไร้ค่า
ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนในลำดับความสำคัญ ทุกวันผ่านไปยังไร้ตัวตนเหมือนเดิม
ความเศร้าเริ่มทำให้ตัวเขาสูญสิ้นความเป็นคนไปทีละเล็กละน้อย ไม่มีความปรารถนา
ไม่มีความหวัง และไม่กลัวแม้แต่ความตาย
ทำยังไงความรู้สึกนี้ก็ไม่หายไปจากใจสักที...
บนท้องถนนที่ว่างเปล่า
ความหนาวเย็นไม่อาจกัดกินจิตใจที่ตายด้านให้ทุกข์ทรมานได้
แบคฮยอนก้มลงมองฝ่ามือของเขาที่เคยได้จับมือของน้องชาย ครั้งแรกที่ได้จูงมือกันข้ามถนน
มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยได้ทำในชีวิตนี้ เป็นสิ่งที่เคยทำให้แบคฮยอนมีความสุขมากที่สุดและเขาจะไม่มีวันลืมมัน
จะได้สัมผัสมันอีกสักครั้งไหมนะ...
ความรู้สึกที่ดีมากขนาดนั้น...
ถ้าเป็นไปได้ก็ขออีกเพียงแค่สักครั้งที่จะได้รู้สึกอย่างนั้นก่อนที่ร่างกายจะดับสูญไปตลอดกาล...
สัญญาณไฟข้ามถนนขึ้นสีแดง รถบรรทุกคันใหญ่เลี้ยวโค้งมาจากมุมถนน
หัวใจที่เคยด้านชาปวดหนึบ หยดน้ำตาร่วงหยดลงบนฝ่ามือขาวซีด ตอนนั้นเองที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้
มือบางยกขึ้นจับขอบตาร้อนผ่าน ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา
อย่างน้อยก็มีความรู้สึก...
....
ปี๊นนนนนนนน!!!!
โครม!!!
ไม่ทันจะได้รู้สึกอะไร ทันทีที่สองเท้าวิ่งพุ่งไปกลางถนนทุกอย่างก็ดับวูบลงอย่างรวดเร็ว
มองเห็นเพียงแค่ความมืดที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่ทุกอย่างจะจบสิ้นไปตลอดกาล
มีความสุขจัง...
อยากจะให้มันหายไปให้เร็วที่สุด
ให้มันจบลงสักทีกับความทุกข์ทรมานนี้...
ความว่างเปล่าไม่สามารถทำร้ายแบคฮยอนได้อีกต่อไป...
“แบคฮยอน!!”
เสียงร้องตะโกนดังลั่น
เด็กหนุ่มตัวสูงวิ่งกระหืดกระหอบตรงเข้าไปหาร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของพี่ชาย
ชานยอลตะเบ็งเสียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ เขาก้มลงใช้หน้าผากแตะลงกับใบหน้าอาบเลือด
หยดน้ำตาไหลหยดลงบนพวงแก้มไม่ขาดสาย
“ฮือ!! ไม่ ฮือ!! ไม่นะ!!”
ได้แต่ระล่ำระลักเอาคำพูดออกมาไม่หยุด ริมฝีปากหนาทาบประกบลงบนกลีบปากบาง
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มโพรงปาก...
แบคฮยอนไม่หายใจแล้ว... ชานยอลมาช้าเกินไปอีกแล้ว...
“ฮือ... ฮือ...”
แผ่นหลังกว้างสั่นสะท้านอย่างน่าสงสาร
ท่ามกลางสายตาที่เวทนาของเหล่าผู้คน
ชานยอลพยายามพยุงร่างพี่ชายของเขาขึ้นกอดแนบอกพร้อมกับพึมพำคำขอโทษออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับแผ่นเสียงชำรุด
หยดน้ำตามากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถชะล้างคราบเลือดได้
เหมือนกับของที่พังแล้วต่อให้พยายามซ่อมมันแค่ไหนก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้...
“ฮึก... ผมขอโทษ”
“............”
“ฮือ... ผมขอโทษ....”
จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ หัวใจดวงนี้ถึงจะได้รับการให้อภัย…
จะต้องทุกข์ทรมานอีกสักเท่าไหร่ถึงจะได้พบเธออีกครั้ง…
ขอโอกาสอีกสักครั้ง
ขออีกเพียงครั้งเดียว
หน้าตู้นาฬิกาหลังใหญ่ เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนโชกเลือดยังเอาแต่ร้องให้ไม่หยุด
บานประตูกระจกถูกเปิดออก ปลายนิ้วสั่นเทาเอื้อมแตะไปบนหน้าปัดนาฬิกา เข็มยาวบนเลข
12 ถูกหมุนย้อนกลับไปทิ้งรอยเลือดยาวๆ เอาไว้ มันถูกหมุนย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง
แม้แต่เวลาก็ยังชำรุด...
เข็มนาฬิกาที่เคยหมุนได้มากสุดถึงพันครั้ง
บัดนี้มันหมุนย้อนกลับไปได้เพียงแค่ชั่วโมงเดียว
มือหนาสั่นเทาจนแทบคุมไม่อยู่
ขอโอกาสอีกสักครั้ง...
ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว...
.
.
.
“วันนี้กลับบ้านด้วยกันไหม”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมารับ”
เสียงหวานเอื้อนเอ่ยออกมาภายใต้สีหน้าเย็นชา
แววตาที่แสนว่างเปล่าของแบคฮยอนยังคงจ้องมองหนังสือ
เขาเหลือบตาขึ้นมองน้องชายเพียงครู่ก็หันไปสนใจสิ่งที่อยู่ในมือต่อ
“งั้นจะรอกลับพร้อมกัน” ชานยอลกล่าวอย่างดื้อรั้น
เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงข้างตัวก่อนที่จะเอนตัวลงนอน
ความเฉยชาของแบคฮยอนไม่ได้ปกปิดความเศร้าและความสิ้นหวังในตัวเขา
ชานยอลยังหวังว่าจะได้เห็นมันผ่านแววตาคู่นั้นอยู่เสมอ...
แค่เพียงนิดเดียว... ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความเสียใจหรืออะไรก็ตาม
แค่มันแสดงออกมาผ่านทางนัยน์ตาคู่นั้นชานยอลก็พร้อมจะโอบอุ้มเอาไว้
“เดี๋ยวก็ป่วยหรอก” คนตัวเล็กถอนลมหายใจเฮือกใหญ่
การที่ชานยอลเอาตัวเองเป็นตัวประกันมันไม่ได้ทำให้แบคฮยอนสบายใจนัก
สุดท้ายเขาก็ยังเอาแต่ใจอยู่ดี
“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยยิ้มเลย”
ชานยอลไม่ตอบคำถามแต่กลับเลือกพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาแทน
มือหนายกขึ้นบีบแก้มพี่ชายตัวเล็กจนริมฝีปากบางยู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ทำไมถึงได้เย็นชาจังนะ แบคฮยอนจะรู้หรือเปล่าว่าใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกของเขาไม่ได้ซ่อนความรู้สึกแตกร้าวหรือหัวใจที่แตกสลายได้เลย
มันมีแต่จะโชว์ร่องรอยของความเศร้าและสิ้นหวัง...
ชานยอลน่าจะรู้ตัวเร็วกว่านี้ เขาน่าจะรู้ตัวเร็วกว่านี้ก่อนที่จะเสียพี่ชายไป...
ก่อนที่จะต้องเสียรอยยิ้มและความบริสุทธิ์ไป...
ทำไมไม่เอาใจใส่แบคฮยอนให้มากกว่านี้ ทำไมถึงปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
ทำไมถึงไม่ยอมรู้ตัว...
ถ้าปาฏิหาริย์มีจริงชานยอลก็อยากขอโอกาสอีกเพียงแค่สักครั้ง
แค่ครั้งเดียวที่จะได้ย้อนกลับไปในตอนที่พวกเรายังมีความสุข
และชานยอลได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของแบคฮยอน ย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่ตัวเองได้ทำ
ขอโอกาสอีกเพียงแค่ครั้งเดียว...
ไม่ว่าต้องจะต้องแลกกับอะไร ขอเพียงได้กอดเธอไว้แนบกายอีกครั้ง...
“จะแวะไปร้านหนังสือนะ กลับไปก่อนก็ได้” คนตัวเล็กว่าพร้อมกับปิดหน้าหนังสือลงเมื่อคิดว่าจะไม่มีสมาธิอ่านมันอีกแล้ว
แบคฮยอนเห็นน้องชายของเขาเอาแต่มองมาแล้วก็อมยิ้ม
วันนี้ชานยอลทำตัวแปลกมาตั้งแต่เช้า
เขาไม่ยอมไปเรียนแล้วก็เอาแต่ตามติดแบคฮยอนไปทุกที่อย่างกับเด็กๆ
“อื้อ”
“..........”
“.........”
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ผมขอโทษนะ”
“หื้อ? ขอโทษเรื่องอะไร?”
“ทุกเรื่อง... ขอโทษสำหรับทุกเรื่อง
ถ้าผมรู้ตัวเร็วกว่านี้ก็คงดี...”
คำพูดแปลกๆ ถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มของน้องชายต่างสายเลือด
มันทำหัวใจของแบคฮยอนปวดหน่วง ความรู้สึกบางอย่างฉุดเขาให้ต้องคิดถึงบางเรื่อง
ก่อนที่รอยยิ้มเศร้าๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
แบคฮยอนกำลังยิ้มออกมา
ยิ้มที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ...
มือบางเอื้อมไปจับเส้นผมสีดำขลับของคนข้างตัวพร้อมกับลูบสางเบาๆ
ด้วยความเอ็นดู สำหรับแบคฮยอนแล้วไม่มีอะไรมีค่าไปมากกว่าคำขอโทษและคำขอบคุณของชานยอล
มันทำให้ชีวิตของเขามีค่าขึ้นกว่าเดิมจากตลอดเวลาที่ผ่านมา
“ผมกลัวจะไม่ได้พูด”
“............”
“แต่ผมดีใจนะที่เราได้เจอกัน มันมีค่ากับผมมาก...”
“..........”
“ผมขอบคุณจริงๆ...”
“.........”
ขอโอกาสอีกสักครั้ง
ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว…
ที่หัวมุมถนน แบคฮยอนก้มลงมองฝ่ามือตัวเองด้วยความสับสน สัญญาณไฟข้ามถนนขึ้นเป็นสีแดง ดวงตาเรียวรีมองจ้องไปยังท้องถนนที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า แบคฮยอนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ความเศร้าและความสิ้นหวังชักนำให้เขาทำในสิ่งที่แสนสิ้นคิด
ชีวิตของแบคฮยอนไร้ค่า ไม่เคยมีความสำคัญ
และไม่เป็นที่น่าจดจำสำหรับใคร...
สิ่งเดียวและสิ่งสุดท้ายที่ตัวเขาอยากจะขอบคุณก็คือชานยอลสำหรับทั้งความสุขที่ได้รับตลอดมาและความจริงใจ อย่างน้อยครั้งนึงมันช่วยให้แบคฮยอนผ่านวันที่แสนเลวร้ายไปได้
รถบรรทุกเลี้ยวเข้ามาจากหัวมุมถนน
สองเท้าวิ่งก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว แสงไฟสาดส่องเข้าหน้า เสียงบีบแตรดังลั่น ก่อนที่บางสิ่งบางอย่างจะพุ่งเข้ามากระแทกร่างผลักแบคฮยอนกระเด็นออกจากถนน
ปี๊นนนนนนน!!!!
โครม!!!
……
ภาพของร่างแสนคุ้นตาที่ถูกรถบรรทุกชนกระเด็นไปต่อหน้าฉีกหัวใจแบคฮยอนออกเป็นชิ้นๆ
ภายในชั่วพริบตา ราวกับโลกได้ดับสลายลงคนตัวเล็กกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น
มือบางสั่นระริก ร่างของน้องชายที่นอนอาบเลือดอยู่บนถนนทำแบคฮยอนแทบบ้า
“ไม่!!!”
คนตัวเล็กรีบคลานไปอุ้มร่างที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนพื้นคอนกรีตขึ้นมาวางบนตัก
หยดน้ำตามากมายทะลักพรั่งพรูออกมา แบคฮยอนร้องไห้ราวจะขาดใจ
เขาเอาแต่ตะเบ็งเสียงแล้วบอกให้ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที
“ไม่!! ฮือ!! ไม่!!”
หัวใจที่เคยคิดว่าด้านชาจนไร้ความรู้สึกเจ็บจนหาคำเปรียบเทียบไม่ได้
เจ็บจนแทบจะตายลงไปตามกัน มือบางจับประคองใบหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดเอาไว้
แบคฮยอนเหมือนกำลังมองเห็นรอยยิ้มของชานยอลผ่านม่านน้ำตา
เปลือกตาที่ยังกระพริบบอกเขาว่าคนตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่
“ผม...รัก...”
“ฮือ!!! ไม่นะ!!! ชานยอล!!! อย่าหลับนะ!!!!”
“...........”
“ฮือ!! อย่าตายนะ!!”
“..........”
“ฮือ!!!”
......
ไม่มีอีกแล้วสำหรับโอกาส ไม่มีโอกาสให้ชานยอลได้แก้ไขความผิดของตัวเองอีกแล้ว...
หากปาฏิหาริย์นั้นได้เกิดขึ้น
ไม่ว่าเช้าวันใหม่ หรือนับแต่นี้ต่อไป
และคำว่ารักที่ผมไม่เคยได้เอ่ยออกไป...
ขออีกเพียงสักครั้ง...
อีกเพียงแค่ครั้งเดียว
ย้อนกลับไปในตอนที่เรามีความสุขด้วยกัน…
หากคำอถิษฐานเป็นจริง
ขอให้ผมได้อยู่เคียงข้างเธออีกครั้ง…
ติ๊ด... ติ๊ด...
เสียงดังติ๊ดๆ ปลุกชานยอลให้ต้องลืมตาตื่นขึ้น
ดวงตากลมโตกระพริบถี่ๆ ความเจ็บปวดแล่นำแทั่วร่างกาย กลิ่นยาและผนังห้องสีฟ้าบอกชานยอลว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการรับรู้ว่าตัวเองยังมีสัมผัส..
ยังไม่ตายหรอ...
เกิดอะไรขึ้น...
“ชานยอล ฟื้นแล้วหรอ”
เสียงที่แสนคุ้นเคยเรียกชายหนุ่มให้ต้องกรอกตาไปมองทางเตียงนอนเฝ้าไข้
และเพียงแค่ได้เห็นใครบางคนที่จิตใจห่วงหา หยดน้ำตาก็เอ่อท้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
แบคฮยอนจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ภาพลวงตาใช่ไหม….
“อึก.. ชานยอลเจ็บไหม เดี๋ยวจะเรียกหมอให้นะ ฮือ...
ดีใจจัง”
“ผมเปล่า...”
หยาดน้ำตามากมายไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย
ชานยอลเอื้อมมือที่ถูกเจาะสายน้ำเกลือไปกอบกุมมือบางเอาไว้ พอเห็นว่าคนข้างๆ เริ่มเอาแต่ร้องไห้เขาก็ยิ่งคุมตัวเองไม่อยู่
ชานยอลเอาแต่คิดว่านี่มันคือเรื่องจริงไหม มันจบลงหรือยัง
กี่ครั้งแล้วที่ต้องเห็นแบคฮยอนตายไปต่อหน้า...
กี่ครั้งกับการพยายามแก้ไขความผิดของตัวเอง กี่ครั้งที่ต้องตื่นมาและคิดว่าวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่ได้อยู่กับแบคฮยอน
และไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน หรือจะแก้ไขตัวเองยังไงสุดท้ายจุดจบก็เป็นแบบเดิมทุกที...
แบคฮยอนยังเลือกที่จะจากไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และไม่ว่ายังไงชานยอลก็ทำได้แค่เพียงยื้อเวลาไว้จนกว่าครั้งสุดท้ายจะมาถึง...
ตอนนี้ มันจบลงหรือยัง...
“ทำไมทำแบบนี้ล่ะ ฮือ... ทำไมทำแบบนี้” คนตัวเล็กเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน
แบคฮยอนยังจำภาพนั้นได้ติดตาเหมือนฝันร้าย ความรู้สึกที่หัวใจของเขาถูกฉีกออกจนไม่เหลือชิ้นดี
มันเจ็บปวดทรมานเกินอธิบาย แม้แต่หัวใจที่คิดว่าด้านชาไปแล้วยังต้องจำยอม...
“ถ้าไม่เป็นผม ก็เป็นพี่ใช่ไหม...”
“ฮึก...”
“อย่าทำแบบนี้...”
“ขอโทษนะ ฮือ...”
“ขอโทษ... สำหรับทุกเรื่อง... ที่ผ่านมา” ชานยอลบีบกระชับฝ่ามือของพี่ชายตัวเล็กไว้แน่น มือที่คอยเช็ดน้ำตาให้เขา มือที่คอยผลักดันชีวิตของชานยอล ฝ่ามือที่อยากจะกอบกุมเอาไว้ให้นานแสนนาน อาการเจ็บแน่นในหน้าอกทำชานยอลรู็สึกร้าวไปหมด กว่าจะอ้าปากพ่นคำพูดออกมาได้แต่ละคไช่างยากเย็นเหลือเกิน
“ผมรัก...”
....
“รักพี่...”
....
“อย่าทำแบบนี้... อีกนะ...”
.....
“อยู่ด้วยกัน... ได้ไหม...”
ขอโอกาสอีกสักครั้ง ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว...
หากปาฏิหาริย์นั้นได้เกิดขึ้น ไม่ว่าเช้าวันใหม่ หรือนับแต่นี้ต่อไป
และคำว่ารักที่ผมไม่เคยได้เอ่ยออกไป…
หน้าตู้นาฬิกาเรือนเก่า...
เศษกระจกที่แตกออกและเข็มนาฬิกาที่หายไปบอกชานยอลว่านาฬิกาเรือนนี้ได้พังอย่างสมบูรณ์แล้ว
เหลือไว้เพียงคาบเลือดบนหน้าปัดนาฬิกาสีเหลืองตุ่น
ถึงจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำมันพังแต่ชานยอลก็ไม่คิดหาคำตอบ
เพราะเวลาก็ยังคงล่วงเลยไป
มันผ่านไปหลายเดือนแล้ว หลายเดือนในชีวิตจริงที่ปฏิทินเปลี่ยนไปทุกวัน
ชานยอลหยุดเรียนเป็นเดือนเพราะต้องพักฟื้น กระดูกเขาหักแทบจะทั่วทั้งร่าง
กว่าจะเดินได้ก็หลายสัปดาห์ แต่ถ้าถามว่าคุ้มไหมกับทั้งหมดก็คงต้องตอบว่าคุ้ม
ชานยอลยังมีพี่ชายของเขาอยู่
และแค่นี้มันก็ดีมากพอแล้ว...
“ชานยอล”
“ครับ”
“ลงไปกินข้าวได้แล้ว”
“เดี๋ยวผมลงไป”
คำพูดและรอยยิ้มที่มักจะได้เห็นบนใบหน้าของแบคฮยอนเสมอกลับมาอีกครั้ง
ชานยอลเริ่มเรียนรู้ที่จะทำดีต่อพี่ชายไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกแบบไหน
บทเรียนที่ได้รับถูกเขียนทับฝังใจ ของบางอย่างพังแล้วก็ยากที่จะซ่อมให้กลับคืนดังเดิม
แต่เพื่อรักษาหัวใจที่แตกสลายของแบคฮยอน ชานยอลรู้แล้วว่าเขายอมเสียสละได้มากกว่าปีกหุ่นยนต์ข้างหนึ่ง
รักมากเหลือเกิน...
รักแบคฮยอนมากเหลือเกิน...
ถึงจะรู้ตัวเมื่อเกือบสายไป...
ปาฏิหาริย์นั้นได้เกิดขึ้น
ไม่ว่าเช้าวันใหม่ หรือนับแต่นี้ต่อไป และคำว่ารักที่ผมไม่เคยได้เอ่ยออกไป...
และคำว่ารักที่ผมไม่เคยได้เอ่ยออกไป...
จะยอมเผชิญหน้ากับทุกๆ สิ่ง
ขอเพียงได้กอดเธอไว้แนบกายอีกสักครั้งนึง...
#myfablecb
ความคิดเห็น