ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Fable -Chanbaek-

    ลำดับตอนที่ #11 : One more time (END)

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 63












    เสียงลมฤดูหนาวหวีดพัดผ่านแก้วหู ปอยผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไสว กลีบซากุระลอยตัวขึ้นหมุนเป็นเกลียวก่อนจะทิ้งทอดตัวลงบนผิวน้ำ...

     

    นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าจ้องมองออกไปยังสายน้ำสงบนิ่งเบื้องหน้า มือเล็กๆ บีบเข้าหากันแน่นเพื่อขจัดความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้ามาระหว่างนิ้ว ทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วง และสีของใบแปะก๊วยยามสะท้อนกับแสงแดดในช่วงหกโมงเย็นชวนให้หวนนึกวันเก่าๆ ได้อย่างไม่สิ้นสุด

     

    หนาวจัง...

     

    กริ๊ง

     

    เสียงกระดิ่งจักรยานเรียกคนตัวเล็กที่กำลังนั่งจมอยู่กับความรู้สึกให้ขยับตัว แบคฮยอนหันไปมองเด็กหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตาในชุดนักเรียนกับกระเป๋า Supreme ของเขาก่อนที่จะถอนลมหายใจออกมา ทั้งๆ ที่บอกไปแล้วว่าไม่ต้องมารับแต่ชานยอลก็ไม่เคยฟังสักที

     

    “กลับบ้านได้แล้ว”

     

    “บอกว่าไม่ต้องมารับ”

     

    “ก็อยากมารับนี่”

     

    เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับระบายยิ้มจางๆ ออกมา ชานยอลจอดจักรยานเอาไว้บนถนนก่อนจะก้าวเท้าเดินลงเนินหญ้าไปหา พี่ชายของเขาที่ยังเอาแต่นั่งอยู่ที่เดิม “เดี๋ยวก็เป็นหวัด”

     

    “ทำไมไม่รีบกลับบ้านไปล่ะ”

     

    “ก็มารับนี่ไง”

     

     ชานยอลถอดผ้าพันคอสีแดงผืนโปรดของเขา แล้วนำมันไปสวมให้กับพี่ชายผู้แสนดื้อด้าน อากาศที่หนาวเย็นทำมือเล็กๆ แดงไปหมด แต่เขาก็ยังทนนั่งทรมานตัวเองอยู่ได้เป็นชั่วโมง

     

    ความอบอุ่นจากผ้าพันคอที่ถูกสวมลงมา เรียกแบคฮยอนให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองน้องชายของเขาด้วยความซาบซึ้ง ทั้งกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวและความอบอุ่นจากร่างกายของชานยอล มันทำให้ผ้าพันคอผืนนี้พิเศษยิ่งกว่าสิ่งใดเสมอ

     

    “กลับกันเถอะ...”

     

    เจ้าของผ้าพันคอโน้มกายลงไปคว้ามือบางที่แสนเย็นเฉียบมากอบกุมไว้พร้อมกับออกแรงฉุดเบาๆ เพื่อดึงร่างพี่ชายผู้แสนซึมเศร้าให้ลุกยืนขึ้น ถึงแม้ว่าใบหน้าของแบคฮยอนจะเรียบเฉยและนัยน์ตามีแต่ความว่างเปล่า แต่ชานยอลก็ยังมองเห็นความอ่อนโยน และความแตกสลายที่ซ่อนอยู่ในนั้น

     

    มือหนายกขึ้นไปปัดเศษดอกซากุระที่ติดอยู่ข้างใบหูเล็กๆ ออกก่อนที่รอยยิ้มฝืนๆ จะถูกระบายออกมา

     

    ชานยอลจูงมือพี่ชายของเขากลับไปยังรถจักรยานสีน้ำเงินเข้ม ฝ่ามือทั้งสองข้างสอดประสานกันแน่นจนแม้แต่ความหนาวเย็นก็ไม่สามารถเข้าแทรกซึมได้...

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    “ชานยอลนี่แบคฮยอน ลูกคุณอาเอง ฝากเป็นเพื่อนกับแบคฮยอนด้วยนะ”

     

    ในวันหนึ่งกลางฤดูใบไม้ร่วง ชานยอลกำลังนั่งเล่นรถบังคับของเขาอยู่ที่สวนหลังบ้าน แล้วอยู่ๆ ก็มีผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับแนะนำเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้ได้รู้จัก ในช่วงเวลานั้นมันเป็นความไม่เข้าใจเหนือความไม่เข้าใจ เด็กชายวัยหกขวบมองเห็นคุณพ่อของเขายิ้มให้กับคุณอาคนสวยแปลกหน้า หลังจากที่แม่หายไปหลายเดือน เขาได้แต่ยืนมองการกระทำของผู้เป็นพ่ออย่างไม่ค่อยเข้าใจ

     

    ตรงหน้าของชานยอลมีเด็กผู้ชายที่ถูกแนะนำว่าเป็นแบคฮยอนยืนอยู่ เขาสวมเสื้อสีขาวตัวใหม่ แต่กลับถือหุ่นยนต์ราคาถูกสภาพซอมซ่อ ชานยอลไม่นับว่ามันเป็นหุ่นยนต์ด้วยซ้ำหากเทียบกับกันพลาของเขา

     

    “ชานยอล นี่ไงแบคฮยอน คนที่จะมาเป็นพี่ชายของเรา หลังจากนี้ก็มีพี่แล้วนะ มีอะไรต้องช่วยเหลือกันนะ เข้าใจไหม” คุณหมอหนุ่มย่อตัวลงนั่งข้างลูกชายพร้อมกับเอ่ยแนะนำสมาชิกคนใหม่ที่จะมาเป็นครอบครัวเดียวกัน

     

    ท่ามกลางความสับสน ชานยอลไม่อยากยอมรับอะไรทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ เขากอดรีโมทรถบังคับไว้แน่นด้วยความกลัวว่าของเล่นจะถูกแย่งไป ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังเด็กชายตัวผอมตรงหน้า ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะขยับเอ่ยคำพูดออกมา

     

    “ผมไม่มีพี่ชาย”

     

    หนุ่มน้อยพูดเพียงเท่านั้นก็หันหลังวิ่งกลับไปเล่นรถบังคับของตัวเองต่อ ปล่อยให้พี่ชายคนใหม่ได้แต่ยืนเงียบด้วยความไม่เข้าใจ... แบคฮยอนก้มลงมองหุ่นยนต์ตัวเก่าของเขาแล้วใช้นิ้วเช็ดฝุ่นออกจากใบหน้าของมันเพราะคิดว่าชานยอลอาจจะอยากเล่นด้วยมากกว่านี้ถ้าเจ้าบีไม่เขรอะฝุ่น ของเล่นชิ้นสำคัญของแบคฮยอนที่เตรียมมาโดยกะว่าจะเล่นมันกับน้องชาย

     

    เจ้าหุ่นยนต์ที่แสนเศร้ากับการถูกปฏิเสธมิตรไมตรี...

     

    “ชานยอล ไม่น่ารักเลย”

     

    “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวสักพักก็คงชินเอง” หญิงสาวระบายยิ้มจางๆ ขึ้นบนใบหน้า เธอใช้มือตบไหล่ลูกชายเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เขาไปหาเล่นไกลๆ ที่ซึ่งจะไม่รบกวนลูกชายเจ้าของบ้านพร้อมกับพูดออกมา “แบคฮยอนก็เล่นอยู่แถวนี้นะลูก ยังไม่ต้องไปกวนน้องมาก”

     

    “ครับ”

     

    เด็กชายตัวเล็กได้แต่ต้องรับปากอย่างไม่มีทางเลือก แบคฮยอนมองดูแม่ของเขาที่เดินหายเข้าไปในบ้านแฟนคนใหม่จนสุดสายตา ก่อนที่จะเดินไปนั่งเหงาๆ บนชิงช้า โดยที่สายตาก็ยังจับจ้องไปยังแผ่นหลังของน้องชายคนใหม่ไม่ห่าง...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    เพล้ง!

     

    “ผมอยากได้กันดั้ม ฮือ! ผมไม่อยากได้หุ่นกระป๋อง!

     

    กล่องพลาสติกบรรจุหุ่นยนต์ราคาแพงถูกเขวี้ยงออกไปกระแทกชุดถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะจนตกแตก เสียงร้องไห้ฮือดังไปทั่วห้อง เด็กชายตัวเล็กเอาแต่โวยวายไม่หยุดและขว้างปาทุกสิ่งที่อยู่ใกล้มือออกไป เพียงแค่คุณพ่อของเขาซื้อหุ่นยนต์มาได้ไม่ถูกรุ่น

     

    ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันเกิดของชานยอลและเขาควรจะได้เล่นหุ่นตัวใหม่ แต่พ่อที่มัวแต่สนใจแม่เลี้ยงก็ลืม ชานยอลทนไม่ได้และเจ็บช้ำยิ่งกว่าเมื่อว่าเห็นแบคฮยอนได้ของเล่นดินน้ำมัน เขากอดมันเอาไว้ราวกับต้องการจะเยาะเย้ย

     

    “ชานยอล! รู้ไหมของแต่ละอย่างมันราคาเท่าไหร่ ที่เราได้ของเล่นเยอะกว่าใครก็ถือว่าดีแล้วนะ!” คุณหมอหนุ่มตวาดดุลูกชายเสียงดัง และนั่นยิ่งทำให้เด็กน้อยยิ่งเตลิด

     

    “ฮือ! ผมเกลียดพ่อ!!

     

    ชานยอลวิ่งเข้าไปผลักคุณพ่อของเขาทั้งที่แรงแทบไม่มีก่อนจะหันหลังวิ่งออกจากบ้านไปทันทีพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่ดังระงม

     

    “ชานยอล! ชานยอล!

     

    ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด แบคฮยอนเป็นคนเดียวที่วิ่งตามน้องชายออกไป เขาทิ้งกล่องดินน้ำมันลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี สาวเท้าวิ่งออกไปนอกบ้าน กางเกงตัวเก่าที่หลวมจนแทบใส่ไม่ได้ก็คอยแต่จะหลุดอยู่ตลอด จนต้องกำขอบยางยืดเอาไว้แน่น แบคฮยอนวิ่งตามน้องชายของเขาไปติดๆ แผ่นอกบางกระเพื่อมหอบลมหายใจพรั่งพรูออกมาเป็นไอควัน

     

     

     

     

     

    ภายใต้ร่มเงาของต้นแปะก๊วยเด็กชายตัวเล็กเอาแต่นั่งกอดเข่าร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร คอเสื้อสีนวลเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาและหยาดเหงื่อ มือเล็กๆ ทั้งสองข้างจิกกำขากางเกงแน่น เสียงที่น่ารำคาญของพี่ชายตัวจ้อยดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ชานยอลอยากจะซ่อนน้ำตาของเขาแต่ก็ทำไม่ได้เลย

     

    "ฮึก... อึก..."

     

    “ชานยอล... ไม่ต้องร้องไห้หรอกนะ”

     

    คนเป็นพี่วางมือลงบนศีรษะของน้องชายที่กำลังร้องไห้พร้อมกับลูบปลอบเบาๆ แบคฮยอนขยุ้มคอเสื้อตัวเก่าของเขาไปเช็ดคราบน้ำตาให้กับคนข้างๆ อย่างไม่รังเกียจ

     

    "ฮึก... ฮือ... ฮือ..."

     

    "ไม่ต้องร้องไห้นะ" มือป้อมๆ ตบลงบนบ่าที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง แบคฮยอนจับศีรษะของน้องชายตัวโตให้เอนซบลงบนลาดไหล่ก่อนจะหันไปกดจูบเบาๆ ลงบนกลุ่มผมสีดำขลับ

     

    “ฮึก... ฮือ....”

     

    “ชานยอลเอาของเราไปเล่นก็ได้นะ เดี๋ยวพี่จะไปเอามาให้นะ”

     

    คนตัวเล็กว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปหยิบหุ่นยนต์ตัวเก่าของตัวเองจากในกระบะทรายที่วางอยู่ไม่ไกล แบคฮยอนเป่าเอาเศษทรายออกจากใบหน้า เขาใช้เสื้อเช็ดมันอย่างดีแล้วนั่งลงจับเจ้าหุ่นยนต์บีไปยัดใส่มือเล็กๆ ที่เอาแต่กำแน่น โดยหวังว่ามันจะสามารถทดแทนหุ่นกันดั้มของชานยอลได้

     

    “ชานยอลเอาอันนี้ไปเล่นก็ได้”

     

    “ฉันไม่อยากได้หุ่นขยะของแก!

     

     “ชานยอลอย่านะ!

     

    ปั่ก!!

     

    หุ่นยนต์พลาสติกสีแดงถูกเขวี้ยงใส่กำแพงอย่างแรง แบคฮยอนถึงกับร้องเสียงหลง เขารีบวิ่งเข้าไปหาเจ้าหุ่นยนต์ตัวเก่งของตัวเองที่นอนพังอยู่บนพื้นก่อนก้มลงหยิบมันขึ้นมา คอที่หักออกจากลำตัวและขาที่หลุดออกทำแบคฮยอนใจแตกสลาย หุ่นยนต์ตัวแรกและตัวเดียวที่ได้เป็นของขวัญมาจากพ่อที่หายไปอย่างไม่มีวันกลับมา ของเล่นที่แบคฮยอนรักมากที่สุด

     

    ริมฝีปากบางเบะคว่ำ หยดน้ำตาไหลออกจากนัยน์ตาแดงกล่ำ แบคฮยอนพยายามจะกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเองด้วยการใช้ฟันกัดริมฝีปากแต่ก็ทำไม่ได้ มือเล็กๆ ยกขึ้นเช็ดปาดน้ำตาบนใบหน้า แบคฮยอนขยุ้มคอเสื้อของเขาขึ้นซับน้ำตาด้วยความเสียใจ ทั้งหุ่นยนต์และหัวใจที่แตกสลายไปพร้อมๆ กัน

     

    “ฮือ... ฮือ...”

     

    “ฮึก...”

     

    “ทำไมชานยอลทำแบบนี้ ฮือ...”

     

    เสียงร้องไห้ของเด็กชายสองคนดังไปทั่วสวนหลังบ้าน แบคฮยอนยกเจ้าบีของเขาขึ้นแนบอกพร้อมลุกขึ้นยืนทั้งน้ำตาที่ยังไหลไม่หยุด ความใจร้ายของน้องชายทำหัวใจแบคฮยอนแตกสลาย... และถึงจะต้องพบเจอบ่อยแค่ไหนก็ทำใจให้ชินไม่ได้สักที

     

    สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่เดินอุ้มหุ่นแสนรักของตัวเองเดินจากไปพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่ดังกว่าเดิม

     

     

     

    ชานยอลได้ยินเสียงสะอื้นของพี่ชายชัดเจนดี เขาได้แต่เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังเล็กๆ ที่เดินห่างออกไปพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตา...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    ภายใต้แสงจากโคมไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือ นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ปาร์ค ชานยอลยังพยายามต่อหุ่นกระป๋องของพี่ชายเขาให้กลับคืนสภาพเดิม แต่ดูเหมือนว่ายิ่งทำก็ยิ่งแย่ กาวร้อนที่ขโมยมาจากห้องทำงานของพ่อใช้ไม่ได้ผลสักนิด มันไม่ยอมติดชิ้นส่วนเข้าหากัน

     

    ยิ่งต้องใช้ความพยายามมากขึ้น ความอดทนของเด็กชายก็ยิ่งน้อยลง น้ำตาแห่งความพยายามหยดแรกร่วงหล่นลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ชานยอลยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วลองต่อชิ้นส่วนเข้าด้วยกันอีกครั้งก่อนที่จะเทกาวหยอดลงไป

     

    ช่องโหว่จากพลาสติกเล็กๆ ที่แตกออกถูกแปะทับด้วยกระดาษยับย่น ก่อนที่สีเทียนสีแดงจะถูกระบายทับลงไปเพื่อให้มันกลืนกับสีผิวเดิม ชานยอลตั้งเจ้าหุ่นกระป๋องไว้ตรงหน้า และยิ่งเห็นว่าสภาพของมันแย่แค่ไหน น้ำตาเขาก็ยิ่งไหลออกมา

     

    ชานยอลซ่อมมันไม่ได้... เขาซ่อมหุ่นยนต์ที่พังด้วยความเอาแต่ใจของตัวเองให้กลับคืนเป็นอย่างเดิมไม่ได้...

     

    “อึก...” มือเล็กๆ ยกขึ้นปาดน้ำตาแห่งความขับข้องใจ ชานยอลเริ่มสะอึกสะอื้น เขาเห็นชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ขาดหายไปของเจ้าบี มันหายไปที่สนามหลังบ้านและไม่มีใครหาเจออีก เพราะอย่างนั้น ไม่ว่ายังไงชานยอลก็ต่อมันให้กลับไปสมบูรณ์ไม่ได้

     

    ขอลองดูอีกสักครั้ง...

     

    มือเล็กๆ ยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า เด็กชายตัวเล็กลุกขึ้นวิ่งไปหยิบหุ่นกันพลาแสนรักของตัวเองมาวางไว้ข้างเจ้าหุ่นกระป๋อง ชานยอลหลับตากัดฟันหักส่วนปีกที่ด้านหลังของหุ่นยนต์แสนรักของตัวเองออก เสียงดังกึกของมันช่างบาดจิตบาดใจ พอแน่ใจแล้วว่าชิ้นส่วนถูกหักเขาก็ลืมตาขึ้น

     

    หุ่นกันดั้มตัวที่แพงและดีที่สุดกลายเป็นหุ่นชำรุดไปแล้ว...

     

    ชานยอลไม่สนใจเขาหยิบเอาเทปใสออกมาจากชั้นแล้วพันปีกที่หักมาจากหุ่นตัวเองเข้ากับส่วนที่ขาดหายของเจ้าบี ถึงสีขาวของมันจะไม่เข้ากับสีแดงก็ตาม

     

    ชานยอลไม่สามารถซ่อมของที่พังไปแล้วให้กลับคืนอย่างเดิมได้ ถึงจะเหมือนว่าสมบูรณ์แต่ก็ยังมีร่องรอยของความเสียหายหลงเหลืออยู่มากมาย

     

     นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กชายได้เรียนรู้ว่า ไม่ใช่ของทุกอย่างที่สามารถซ่อมให้กลับคืนดังเดิมได้ และถึงจะซ่อมได้ก็ยังมีร่องรอยของความเสียหายอยู่มาก และเขาควรคิดให้ดีก่อนที่จะทำมันพัง ...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “นี่ ฉันขอโทษ”

     

    หุ่นกระป๋องชำรุดสีแดงที่ถูกซ่อมเสร็จแล้วถูกยื่นไปตรงหน้า มือเล็กๆ ของเด็กชายตัวจ้อยสั่นด้วยความประหม่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ตัวเองเคยทำผิดไว้ สีหน้าที่แสนเรียบเฉยของพี่ชายทำหัวใจชานยอลหวิวไปหมด

     

    “ชานยอลซ่อมมันหรอ”

     

    “อื้อ ฉันซ่อมได้แค่นี้”

     

    “..........”

     

    “ขอโทษนะ”

     

    คำพูดที่แสนกล้าหาญถูกเอ่ยออกไป ถึงจะรู้ว่ามันอาจสายไปที่จะเอ่ยขอโทษ...

     

    คนตัวเล็กเอื้อมมือไปรับหุ่นยนต์ตัวเก่งของตัวเองที่ถูกมาประกอบใหม่อย่างไม่ประณีตมาถือเอาไว้ และถึงสภาพของมันจะดูไม่ดีเท่าไหร่แต่แบคฮยอนก็ดีใจเหลือเกิน... ไม่ใช่เพราะได้หุ่นยนต์แสนรักกลับคืนมา แต่เป็นเพราะการกระทำและคำขอโทษของชานยอลที่มีค่ามากกว่าสิ่งใด

     

    ถ้าเป็นอย่างนี้ ต่อให้หุ่นยนต์ของแบคฮยอนต้องพังอีกสักกี่ตัวเขาก็คงไม่เสียใจ...

     

    “ขอบคุณนะ” คนตัวเล็กกล่าวขอบคุณพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะโถมตัวเข้ากอดน้องชายเอาไว้แน่น

     

    แบคฮยอนไม่เสียใจเรื่องหุ่นอีกแล้ว และเขายังดีใจที่ได้รับทั้งคำขอโทษและความพยายามของน้องชายเป็นของตอบแทน มันไม่มีอะไรมีค่าไปมากกว่านี้อีก....

     

     

     

    บนชั้นวางของ หุ่นประป๋องชำรุดสองตัวถูกวางไว้คู่กัน... หุ่นยนต์ตัวสีแดงมีปีกสีขาว และหุ่นยนต์สีขาวมีร่องรอยความเสียหายจากปีกที่ถูกหักออกไป...

     

    หุ่นกระป๋องชำรุดหนึ่งตัว ถูกเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปด้วยชิ้นส่วนจากหุ่นตัวที่สมบูรณ์กว่า ชานยอลมองดูกันดั้มหักๆ ของเขาด้วยความภาคภูมิใจ และได้ค้นพบว่าคุณค่าของสิ่งของไม่ได้อยู่ที่ร่องรอยความแตกหักหรือสภาพของมันเสมอไป

     

    ชานยอลยินดีที่จะหักขากันดั้มของเขาออกอีกข้างถ้าแบคฮยอนต้องการ เพราะความสมบูรณ์ของหุ่นสองตัวนี้อยู่ในจิตใจของเขา และมันจะไม่มีวันพังลง...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “คุณจะไปรู้อะไร! วันๆ อยู่แต่บ้านไม่ทำงาน ผมชักจะหมดความอดทนแล้วนะ!

     

    “เป็นผู้ชายไม่หาเลี้ยงผู้หญิงแล้วจะเกิดมาเป็นผู้ชายทำไม! ทำไม่ได้ก็ไปใส่กระโปรงซะไป!

     

    เพี๊ยะ!

     

    เสียงตะโกนโหวกเหวกที่ดังมาจากชั้นล่างผสมปนกับเสียงฟ้าทำเด็กชายร่างเล็กตัวสั่นไปหมด แบคฮยอนที่แอบขึ้นมาหลบเสียงดังอยู่บนห้องใต้หลังคายกมือขึ้นปิดหูตัวเองแต่ทว่าเสียงเหล่านั้นก็ยังตามเข้ามาหลอกหลอน

     

    เมื่อไหร่... มันจะจบลงสักที...

     

    เก๊ง...

     

    เสียงดังเบาๆ จากตู้นาฬิกาชำรุดเรียกคนตัวเล็กให้ต้องหันไปมอง บางทีมันอาจจะมีหนูหรืออะไรบางอย่างวิ่งอยู่ในนั้น แบคฮยอนค่อยๆ คลานเข้าไปใกล้ตู้นาฬิกาไม้เยอรมันหลังใหญ่ เขาเปิดบานประตูออกก่อนจะเข้าไปหลบด้านในข้างลูกตุ้มสีเหลืองทองที่ยังมีที่ว่างเหลือพอสำหรับเด็กตัวเล็กๆ

     

    ทันทีที่บานประตูปิดลงเสียงทุกอย่างก็เงียบสนิท ไม่มีแม้กระทั่งเสียงฟ้าร้องหรือเสียงทะเลาะกันของพ่อแม่  มันเงียบจนได้ยินเสียงใจเต้น มือเล็กๆ เอื้อมไปแตะลูกตุ้มทองเหลือง แบคฮยอนใช้ปลายเล็บเคาะมันเบาๆ ก่อนที่สองแขนจะเปลี่ยนมาโอบกอดตัวเองไว้แน่น

     

    เมื่อไหร่มันจะจบลงสักที....

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “เอาเสื้อน้องไปรีดให้เสร็จ เสื้อพ่อแกด้วย แล้วก็ไสหัวไปไกลๆ”

     

    ชุดนักเรียนในไม้แขวนถูกโยนเข้ามาจนรับแทบไม่ทัน แบคฮยอนย่อตัวอุ้มชุดนักเรียนของน้องชายไว้ แล้วนำมันไปวางบนโต๊ะรีดผ้าก่อนจะเดินไปหยิบเอาชุดทำงานของพ่อที่แขวนอยู่บนราววางกองรวมกัน

     

    ผ้าที่กองเป็นภูเขาบอกแบคฮยอนว่าคืนนี้คงจะต้องทำการบ้านในห้องซักรีดอีกแล้ว คนตัวเล็กได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ถึงบ่นไปก็ไม่ได้อะไรสู้รีบทำงานให้เสร็จดีกว่า

     

    เตารีดสีแดงถูกนำออกมาเสียบไฟ แบคฮยอนวางเสื้อนักเรียนตัวแรกของเขาลงกับผืนผ้า และในขณะที่กำลังจัดระเบียบสาบเสื้อ เสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

     

    “ทำไรอะ”

     

    คนตัวเล็กหันไปมองน้องชายในชุดลำลองที่เดินหอบเอาเสื้อบอลมาให้ซัก ชานยอลนำชุดกีฬาของเขาไปใส่ไว้ในเครื่องซักผ้าก่อนจะเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าพี่ชายที่ทำเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆ มาให้

     

    มือหนายกขึ้นจับปลายคางเรียวพร้อมกับออกแรงบีบแก้มเบาๆ จนริมฝีปากบางยู่ขึ้น พอได้ยินเสียงเจ้าตัวร้องอู้อี้เด็กหนุ่มก็พอใจ ดวงตากลมโตยังคงจับจ้องไปยังพวงแก้มและปลายจมูกเล็กๆ กับแพรขนตา นัยน์ตาที่มักจะมีความเศร้าเจือปนอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะไม่เคยพูดออกมา

     

    “ออกไปหาเพื่อนนะ บอกพ่อด้วยว่าคืนนี้ไม่กลับ”

     

    “แล้วพรุ่งนี้จะกลับมาไหม”

     

    “ไม่รู้อะ”

     

    พูดแค่นั้นคนตัวสูงก็เดินออกจากห้องซักรีดไป ทิ้งให้พี่ชายตัวเล็กได้แต่ยืนยิ้มเศร้าอยู่คนเดียว...

     

    ชานยอลคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก เป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ส่วนแบคฮยอนก็เป็นได้แค่เงาและส่วนดำมืด ไม่ว่าตอนไหนแบคฮยอนก็เป็นได้แค่สิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่า ไม่เคยมีความสำคัญและเป็นมาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

     

    เมื่อไหร่...

     

    มันจะจบลงสักที...

     

    ความรู้สึกนี้ เมื่อไหร่จะหายไปสักที...

     

     

     

     

     

    ขอโอกาสอีกสักครั้ง...

    ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว...

     

     

     

     


    บนดาดฟ้าโรงเรียนในช่วงฤดูร้อน พักกลางวันของแบคฮยอนมีกล่องข้าวเล็กๆ เป็นเพื่อน ดวงตาเรียวรีจ้องมองลงไปยังพื้นด้านล่างที่ไร้ผู้คน แบคฮยอนเอาแต่จินตนาการถึงความรู้สึกยามสายลมไหลผ่านร่าง ในขณะที่ตัวเขากำลังร่วงหล่นลงจากดาดฟ้า

     

    ความรู้สึกว่างเปล่าที่ไม่สามารถเอาออกไปจากใจได้นี้... ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะหายไป รองเท้าผ้าใบสีขาวก้าวขึ้นไปเหยียบบนขอบกั้น สองแขนกลางออกรับลมฤดูร้อน กลิ่นไอแดดทำให้รู้สึกโล่งไปถึงในอก แต่ก่อนที่ร่างกายจะได้ปะทะกับความว่างเปล่า แรงกอดรัดที่เอวก็เรียกให้แบคฮยอนต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง

     

    “ลงมาได้แล้ว...”

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงซุกหน้าลงกับแผ่นหลังที่แสนบอบบางของพี่ชาย สองแขนแข็งแรงกอดกระชับเอวบางไว้แน่น ชานยอลเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

     

    เสียงลมฤดูร้อนพัดหวีดหวิวดังก้องในแก้วหู... ชานยอลดึงร่างพี่ชายของเขาให้กลับลงมาจากขอบกั้น สองแขนยังคงกอดกระชับร่างเล็กๆ ไว้แน่น ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก มีเพียงความเงียบ และความเงียบที่ดังยิ่งกว่าสิ่งใด...

     

    “กลับบ้านกันเถอะ” คำพูดเรียบง่ายถูกกระซิบลงข้างใบหู ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่าเบื้องหน้า มือหนาเลื่อนลงไปกอบกุมฝ่ามือที่กำลังสั่นเบาๆ ไว้แน่น “กลับบ้านด้วยกันนะ...”

     

     

     

    ขออีกสักครั้ง ฤดูกาลเอ๋ย อย่าเพิ่งเปลี่ยนไปเลย

    ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว ที่ได้ย้อนกลับไปตอนที่เรายังได้อยู่ด้วยกัน...

     

     

     

     

     

    “ชานยอลกลับบ้านด้วยกันไหม”

     

    “ไม่อะ จะไปเตะบอล ฝากกระเป๋าไปเก็บบ้านหน่อยดิ”

     

    เป้หนักๆ ถูกโยนส่งให้พี่ชายต่างสายเลือดที่ยืนรออยู่ตรงหน้าตู้ล็อคเกอร์ ชานยอลหยิบเอาเสื้อบอลของเขาออกมาเปลี่ยนก่อนที่จะส่งชุดนักเรียนให้กับพี่ชายอีกครั้ง

     

    ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาสี่โมงเย็นแล้ว ชานยอลต้องรีบไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนก่อนที่จะไม่ทันรอบวอร์ม

     

    “แล้ววันนี้จะกินข้าวเย็นไหม”

     

    “ไม่รู้อะ ถ้ากินข้าวแล้วเดี๋ยวโทรบอก”

     

    “อื้อ...”

     

    “บอกพ่อด้วยนะ”

     

    “อื้อ... อย่ากลับบ้านดึกนะ”

     

    “อือ แล้วก็ทำหน้ายิ้มๆ หน่อย”

     

    พูดแล้วก็เอื้อมมือไปบีบแก้มพี่ชายเหมือนอย่างที่ชอบทำ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างไม่คิดกล่าวลา

     

    ไม่เคยมีความใส่ใจ... ไม่มีแม้แต่ความห่วงใยถึงจะรู้ว่าพี่ชายของเขาต้องการมันมากกว่าใคร ชานยอลเพียงแค่โยนกระเป๋าและเสื้อผ้าใส่แบคฮยอน ก่อนที่จะออกไปสนุกกับเพื่อนๆ เหมือนอย่างทุกที เขาไม่เคยสนใจมองแววตาที่กำลังร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่าง แววตาที่กำลังบ่งบอกถึงบางอย่างที่กำลังค่อยๆ แตกสลายอยู่ภายใน

     

    ไม่เคยจะสนใจแบคฮยอนเลยสักครั้ง ถึงจะรู้ว่าไม่มีทำใครให้แบคฮยอนมีความสุขไปได้มากกว่าชานยอลอีกแล้ว...

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    แบคฮยอนคิดว่ามันคือโชคชะตาที่ว่างเปล่าของเขา... ถูกลิขิตมาให้มีชีวิตและถูกทอดทิ้งไปอย่างไร้ค่า แต่ว่าเขาก็ไม่รู้สึกเศร้ากับมันหรืออาจจะเศร้าจนชินชา แบคฮยอนใช้ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์ที่ตื่นมาเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองในทุกๆ วัน ในขณะที่ความว่างเปล่าเริ่มกัดกินจิตใจจนวิปลาส

     

    บนสะพานข้ามแม่น้ำ สองเท้าก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาที่แสนว่างเปล่าจับจ้องมองลงไปในธารน้ำใส แบคฮยอนยังคงเอาแต่คิดว่าจะรู้สึกยังไงหากร่างกายของเขาจมอยู่ใต้สายน้ำนิ่งสงบ...

     

    มือบางวางทาบลงบนราวกั้นแสตนเลส คนตัวเล็กยันร่างตัวเองขึ้นไปยืนบนขอบสะพาน แขนทั้งสองกางออกรับลิ่วลม ริมฝีปากฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่เท้าก็ก้าวเดินไปบนเหล็กกลมมนอย่างเชื่องช้า

     

    ไม่มีความรู้สึกอะไรหรอก... มีแค่ความสิ้นหวังกับชีวิตที่ไม่มีความหมายเท่านั้น...

     

    เพียงแค่เสียการทรงตัวนิดเดียวร่างของแบคฮยอนก็หงายหลังตกลงจากราวสะพาน รู้สึกได้ถึงลมที่พัดผ่านร่างก่อนที่แผ่นหลังจะกระแทกลงกับผืนน้ำ

     

    ความหนาวเย็นจากแม่น้ำในช่วงต้นฤดูหนาวไหลลุกลามเข้ามาอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กๆ ค่อยๆ จมลงสู่ก้นบึ้งลำธารที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

     

    หนาวจัง...

     

    นั่นเป็นความรู้สึกเดียวที่รับรู้ได้ พอลืมตาขึ้นก็มองเห็นแสงจากท้องฟ้าโปร่งโล่งที่มืดลงเรื่อยๆ เมื่อร่างกายกำลังจมสู่ก้นแม่น้ำอย่างเชื่องช้า อากาศเฮือกสุดท้ายหลุดออกจากปาก ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างแข็งจนขยับไม่ได้

     

    มันกำลังจะจบลงแล้ว...

     

    ภายใต้ลำธารสงบนิ่งนี้ ความว่างเปล่าไม่สามารถทำร้ายแบคฮยอนได้อีกต่อไปแล้ว...

     

     

     

     

     

     

     

    “แบคฮยอน!!!

     

    เสียงดังตู้มกับภาพของร่างพี่ชายที่ร่วงหล่นจากสะพานเรียกชานยอลให้ต้องเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น ถึงจะมองเห็นเพียงแค่กระเป๋าสีแดงแต่ลักษณะการเดินก็ทำให้เขาจำได้

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงวิ่งกระหืดกระหอบไปยังสะพานข้ามแม่น้ำ แต่ดูเหมือนยิ่งเข้าใกล้มันก็ยิ่งห่างออกไป หัวใจของเขากำลังกู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง ชานยอลทิ้งกระเป๋าแล้วกระโดดลงแม่น้ำไปทันที ร่างเล็กๆ ของพี่ชายที่นอนจมนิ่งอยู่ก้นลำธารทำหัวใจของเด็กหนุ่มแทบแตกสลาย

     

    ชานยอลว่ายน้ำเข้าไปอุ้มร่างของพี่ชายเขาไว้ด้วยสองแขน แล้วดีดตัวกลับขึ้นไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว พอรู้ตัวอีกทีก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายออกมาไม่หยุด

     

    “แบคฮยอน!! แบคฮยอน!! ฮือ!! ฟื้นสิ!!

     

    .........

     

    ความเงียบทำให้เสียงร้องไห้ของชายหนุ่มดังยิ่งกว่าสิ่งใด รอบตัวมีแต่เสียงหวีดหวิวของสายลมในหน้าหนาว เหมือนฤดูกาลกำลังหัวเราะเยาะให้กับความโง่เขลาของชานยอล ถึงจะพยายามตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายมากเท่าไหร่ก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา...

     

    แบคฮยอนยังคงนอนแน่นิ่ง... มือบางเย็นเฉียบ หัวใจของเขาไม่เต้นอีกต่อไป...

     

    ชานยอลมาช้าเกินไป แบคฮยอนไม่หายใจอีกแล้ว...

     

    สองแขนประคองร่างที่กำลังหลับไหลขึ้นกอดแนบอก หยาดน้ำตามากมายไหลดิ่งอาบพวงแก้ม ชานยอลเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นในขณะที่กอดตระกองร่างเย็นเฉียบของพี่ชายเอาไว้

     

    รักมากเหลือเกิน...

     

    พี่ชายของผม...

     .


    .


    .


    เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด...

     

     


    "ฮึก... ฮึก... ฮือ..."

     

    ภายใต้ร่มเงาของต้นซากุระเด็กชายตัวเล็กเอาแต่นั่งกอดเข่าร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดหลังจากที่ถูกผู้เป็นพ่อสั่งลงโทษ คอเสื้อสีฟ้าเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาและเหงื่อ มือเล็กๆ ทั้งสองข้างจิกกำขากางเกงแน่น

     

    "ฮึก... อึก..."

     

    "ชานยอล ชานยอลเป็นอะไรหรอ..."

     

    เสียงเล็กๆ ที่แสนน่ารำคาญของพี่ชายตัวจ้อยดังเข้ามาใกล้ แบคฮยอนนั่งยองลงข้างน้องชายตัวเล็กของเขาก่อนจะยกชายเสื้อยืดตัวโคร่งขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับคนตรงหน้า

     

    "ฮึก... ฮือ... ฮือ..."

     

    "ไม่ต้องร้องไห้นะ" มือป้อมๆ ตบลงบนบ่าที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง แบคฮยอนจับศีรษะน้องชายตัวโตของเขาให้เอนซบลงบนลาดไหล่ ก่อนจะหันไปกดจูบเบาๆ ลงบนกลุ่มผมสีดำขลับเหมือนอย่างที่ชอบทำ

     

    "ฮึก..."

     

    "ไม่ต้องร้องไห้หรอกนะ..."

     

    ไม่รู้หรอกว่าชานยอลร้องไห้ทำไม แต่ไม่ชอบเลย...

     

     

    ราวกับเรื่องเหล่านั้นเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวานก่อนที่มรสุมจะพัดเราให้แตกสลายกลายเป็นเพียงฝุ่นผงของความทรงจำ

     

     

    "ฮึก..."

     

    "......"

     

    "ผมขอโทษ..."

     

    "......"

     

    "ขอโทษ..."

     

    "....."

     

    "ยกโทษให้ด้วย ฮือ"

     

    'ไม่ต้องร้องไห้หรอกนะ...'

     

    คำนั้น อยากได้ยินอีกสักครั้ง...

     

     


     

     

     

    ขอเวลามากกว่านี้

     

    ขอโอกาสอีกสักครั้ง

     

    ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว...

     

      

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “วันนี้ก็หล่อเหมือนเดิมเลยเนอะ”

     

    “น่ารักจัง”

     

    ระหว่างทางเดินขึ้นชั้นเรียนเสียงพูดคุยของเด็กสาวดังเซ็งแซ่ไปตลอดทาง แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองรอบตัวก่อนจะหลุบตาลงมองพื้นดั่งเดิม สัมผัสที่หลังมือเรียกเขาให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้กับเจ้าของฝ่ามืออบอุ่น

     

    สองพี่น้องจูงมือกันเดินผ่านทางเดินระหว่างชั้นเรียนมัธยมไปจนถึงหน้าประตูโรงเรียน ชานยอลจับมือพี่ชายของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป

     

    ในช่วงต้นฤดูหนาวอากาศที่เย็นจัดจนทำให้ลมหายใจกลายเป็นไอควัน ชานยอลจับมือเล็กๆ ซุกเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเกตของเขาโดยหวังว่ามันจะทำให้แบคฮยอนอุ่นได้บ้าง

     

    “ไปหาอะไรร้อนๆ กินกันไหม” เด็กหนุ่มตัวสูงหันไปถามพี่ชายที่ยังเอาแต่เป่าลมปากใส่ฝ่ามือเย็นเฉียบอีกข้าง พอเห็นแบบนั้นแล้วเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

     

    “วันนี้ไม่ไปเล่นบอลหรอ”

     

    “ไม่ไป ผมออกจากชมรมแล้ว”

     

     “ทำไมล่ะ”

     

    “ก็แค่เบื่อเฉยๆ” ชานยอลยักไหล่ เขาพาพี่ชายเดินข้ามถนนไปยังอีกฝั่งของโรงเรียนที่มีร้านขายเครื่องดื่มเล็กๆ เปิดอยู่

     

    คิ้วหนาเอาแต่ขมวดย่นแทบจะตลอดเวลา ชานยอลหันไปส่งยิ้มให้กับคนข้างๆ ก่อนจะสั่งช็อคโกแลตร้อนสองแก้ว ในวันที่อากาศหนาวแบบนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ และนอนซุกตัวอยู่ใต้โต๊ะโคทัตสึ

     

    “บอกแล้วว่าไม่ต้องมารับก็ได้”

     

    “ก็อยากกลับพร้อมกันนี่”

     

    “ช่วงนี้กลับบ้านตรงเวลาทุกวันเลยนะ” คนตัวเล็กได้แต่ระบายยิ้มจางๆ ขึ้นบนใบหน้า เมื่อได้เห็นท่าทางการเอาใจใส่ของน้องชายที่ไม่ค่อยจะปกติ

     

    แบคฮยอนคงไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง เขาแค่รู้สึกว่าช่วงนี้ได้ใช้เวลากับชานยอลบ่อยๆ ได้กลับบ้านพร้อมกัน กินข้าว ดูทีวี หรือนอนด้วยกัน แถมเขายังแยกผ้าที่จะซักให้อีกด้วย

     

    “แล้วไม่ดีหรอ”

     

    “เดี๋ยวนี้ใจดีขึ้นนะ”

     

    “ก็ดีแล้วนี่” ชานยอลว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา เขาเอื้อมมือไปจับพวงแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะอากาศหนาวของคนตรงหน้าก่อนจะหลุบตาลงมองพื้น

     

    ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่...

     

    เมื่อไหร่ที่ชานยอลเริ่มรู้สึกว่าแววตาของพี่ชายเปลี่ยนไป... รอยยิ้มของแบคฮยอนค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ จนไม่ทันได้สังเกต และทุกครั้งที่ชานยอลมองดูใบหน้านี้ก็พบเจอแต่ความเย็นชากับการปั้นหน้ายิ้มแบบฝืนๆ แบคฮยอนดูเหมือนกับตุ๊กตากลไร้ชีวิต เย็นชา ว่างเปล่า และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่ชานยอลเพิ่งจะเริ่มเอะใจ

     

    ทั้งๆ ที่รู้มาตลอดว่าพี่ชายมักจะถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่รู้มาตลอดว่าแบคฮยอนต้องการการเอาใจใส่มากกว่าใคร แต่ชานยอลก็เลือกที่จะมองข้าม จนกระทั่งวันหนึ่งที่เริ่มรู้สึกตัวว่ารอยยิ้มที่เคยได้รับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

     

    พอเงยหน้าขึ้นมาจากเรื่องของตัวเองอีกทีก็ไม่เจอพี่ชายคนเดิมแล้ว... แววตาของแบคฮยอนว่างเปล่ามากขึ้นทุกที ถึงจะพยายามทำทุกวิถีทางแต่ก็ไม่สามารถเรียกรอยยิ้มที่จริงใจกลับคืนมาได้ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นหนทางที่พอจะทำให้แบคฮยอนมีความสุขได้เลย ทั้งพ่อและแม่ก็ระหองระแหงกันตลอด ส่วนตัวเขาเองก็เอาแต่อยู่กับเพื่อน...

     

    ชานยอลแค่รู้สึกว่าเขาควรจะทำตัวให้ดีกว่านี้ แค่อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อแบคฮยอนบ้าง... อยากดูแลเอาใจใส่แบคฮยอนให้มากกว่าที่เคยทำ อยากจะเรียกเอารอยยิ้มของเขากลับคืนมา

     

    อยากกลับไปเป็นเหมือนวันเก่าๆ ตอนที่ได้สนุกและหัวเราะด้วยกัน อยากได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นอีกสักครั้ง และกลับไปมีช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกันเหมือนเดิม...

     

    ชานยอลที่โตขึ้นคงจะปกป้องแบคฮยอนได้มากกว่าเมื่อก่อน หรืออาจจะทำให้แบคฮยอนมีความสุขได้มากกว่า

     

     ไม่รู้ว่ามันสายเกินไปไหมที่จะรักษาจิตใจที่ชำรุด สุดท้ายถ้าเกิดอะไรขึ้นชานยอลก็คงโทษตัวเองที่ปล่อยปละละเลยมานาน จนไม่รู้เลยว่าตอนนี้หัวใจของพี่ชายเป็นยังไง

     

    “ขอบคุณนะ”

     

    คำพูดเดิมๆ ยังคงถูกเอ่ยออกมาจากคนเดิมๆ แบคฮยอนได้แต่ระบายยิ้มเศร้าๆ ออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนักแต่ก็อดรู้สึกดีไม่ได้

     

    แบคฮยอนอาจทำใจให้กลับไปอยู่ในจุดเดิมไม่ได้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รับรู้ถึงความตั้งใจและความพยายามจะเอาใจใส่ของน้องชาย ซึ่งมันไม่มีสิ่งใดมีค่าไปมากกว่านี้อีกแล้ว...

     

    . 

    .


    .

     

    จะเรียกว่าเป็นความทรมานได้ไหมกับการที่ต้องอยู่อย่างไร้ตัวตน ไม่ว่าเมื่อไหร่แบคฮยอนก็เป็นคนที่ไม่มีความสำคัญเสมอ ทุกครั้งที่ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าก็เห็นแต่ความน่าสมเพชและความเศร้าหมองของตัวเอง

     

    ชานยอลอาจเป็นสิ่งเดียวที่สว่างสดใส เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดเท่าที่แบคฮยอนจะจินตนาการได้

     

    ชีวิตของแบคฮยอนนั้นช่างไร้ค่า ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนในลำดับความสำคัญ ทุกวันผ่านไปยังไร้ตัวตนเหมือนเดิม ความเศร้าเริ่มทำให้ตัวเขาสูญสิ้นความเป็นคนไปทีละเล็กละน้อย ไม่มีความปรารถนา ไม่มีความหวัง และไม่กลัวแม้แต่ความตาย

     

    ทำยังไงความรู้สึกนี้ก็ไม่หายไปจากใจสักที...

     

    บนท้องถนนที่ว่างเปล่า ความหนาวเย็นไม่อาจกัดกินจิตใจที่ตายด้านให้ทุกข์ทรมานได้ แบคฮยอนก้มลงมองฝ่ามือของเขาที่เคยได้จับมือของน้องชาย ครั้งแรกที่ได้จูงมือกันข้ามถนน มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยได้ทำในชีวิตนี้ เป็นสิ่งที่เคยทำให้แบคฮยอนมีความสุขมากที่สุดและเขาจะไม่มีวันลืมมัน

     

    จะได้สัมผัสมันอีกสักครั้งไหมนะ...

     

    ความรู้สึกที่ดีมากขนาดนั้น...

     

    ถ้าเป็นไปได้ก็ขออีกเพียงแค่สักครั้งที่จะได้รู้สึกอย่างนั้นก่อนที่ร่างกายจะดับสูญไปตลอดกาล...

     

    สัญญาณไฟข้ามถนนขึ้นสีแดง รถบรรทุกคันใหญ่เลี้ยวโค้งมาจากมุมถนน หัวใจที่เคยด้านชาปวดหนึบ หยดน้ำตาร่วงหยดลงบนฝ่ามือขาวซีด ตอนนั้นเองที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้ มือบางยกขึ้นจับขอบตาร้อนผ่าน ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา

     

    อย่างน้อยก็มีความรู้สึก...

     

    ....

     

    ปี๊นนนนนนนน!!!!

     

    โครม!!!

     

    ไม่ทันจะได้รู้สึกอะไร ทันทีที่สองเท้าวิ่งพุ่งไปกลางถนนทุกอย่างก็ดับวูบลงอย่างรวดเร็ว มองเห็นเพียงแค่ความมืดที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่ทุกอย่างจะจบสิ้นไปตลอดกาล

     

    มีความสุขจัง...

     

    อยากจะให้มันหายไปให้เร็วที่สุด ให้มันจบลงสักทีกับความทุกข์ทรมานนี้...

     

    ความว่างเปล่าไม่สามารถทำร้ายแบคฮยอนได้อีกต่อไป...

     

     

     

     

     

     

    “แบคฮยอน!!

     

    เสียงร้องตะโกนดังลั่น เด็กหนุ่มตัวสูงวิ่งกระหืดกระหอบตรงเข้าไปหาร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของพี่ชาย ชานยอลตะเบ็งเสียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ เขาก้มลงใช้หน้าผากแตะลงกับใบหน้าอาบเลือด หยดน้ำตาไหลหยดลงบนพวงแก้มไม่ขาดสาย

     

    “ฮือ!! ไม่ ฮือ!! ไม่นะ!!

     

    ได้แต่ระล่ำระลักเอาคำพูดออกมาไม่หยุด ริมฝีปากหนาทาบประกบลงบนกลีบปากบาง

     

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มโพรงปาก...

     

    แบคฮยอนไม่หายใจแล้ว... ชานยอลมาช้าเกินไปอีกแล้ว...

     

    “ฮือ... ฮือ...”

     

    แผ่นหลังกว้างสั่นสะท้านอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางสายตาที่เวทนาของเหล่าผู้คน ชานยอลพยายามพยุงร่างพี่ชายของเขาขึ้นกอดแนบอกพร้อมกับพึมพำคำขอโทษออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับแผ่นเสียงชำรุด

     

    หยดน้ำตามากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถชะล้างคราบเลือดได้ เหมือนกับของที่พังแล้วต่อให้พยายามซ่อมมันแค่ไหนก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้...

     

    “ฮึก... ผมขอโทษ”

     

    “............”

     

    “ฮือ... ผมขอโทษ....”

     

     

     

     

     

    จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ หัวใจดวงนี้ถึงจะได้รับการให้อภัย

    จะต้องทุกข์ทรมานอีกสักเท่าไหร่ถึงจะได้พบเธออีกครั้ง

     

     

    ขอโอกาสอีกสักครั้ง

    ขออีกเพียงครั้งเดียว

     

     

     

     

    หน้าตู้นาฬิกาหลังใหญ่ เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนโชกเลือดยังเอาแต่ร้องให้ไม่หยุด บานประตูกระจกถูกเปิดออก ปลายนิ้วสั่นเทาเอื้อมแตะไปบนหน้าปัดนาฬิกา เข็มยาวบนเลข 12 ถูกหมุนย้อนกลับไปทิ้งรอยเลือดยาวๆ เอาไว้ มันถูกหมุนย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง

     

    แม้แต่เวลาก็ยังชำรุด... เข็มนาฬิกาที่เคยหมุนได้มากสุดถึงพันครั้ง บัดนี้มันหมุนย้อนกลับไปได้เพียงแค่ชั่วโมงเดียว

     

    มือหนาสั่นเทาจนแทบคุมไม่อยู่

     

     


    ขอโอกาสอีกสักครั้ง...

    ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว...

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “วันนี้กลับบ้านด้วยกันไหม”

     

    “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมารับ”

     

    เสียงหวานเอื้อนเอ่ยออกมาภายใต้สีหน้าเย็นชา แววตาที่แสนว่างเปล่าของแบคฮยอนยังคงจ้องมองหนังสือ เขาเหลือบตาขึ้นมองน้องชายเพียงครู่ก็หันไปสนใจสิ่งที่อยู่ในมือต่อ

     

    “งั้นจะรอกลับพร้อมกัน” ชานยอลกล่าวอย่างดื้อรั้น เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงข้างตัวก่อนที่จะเอนตัวลงนอน ความเฉยชาของแบคฮยอนไม่ได้ปกปิดความเศร้าและความสิ้นหวังในตัวเขา

     

    ชานยอลยังหวังว่าจะได้เห็นมันผ่านแววตาคู่นั้นอยู่เสมอ... แค่เพียงนิดเดียว... ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความเสียใจหรืออะไรก็ตาม แค่มันแสดงออกมาผ่านทางนัยน์ตาคู่นั้นชานยอลก็พร้อมจะโอบอุ้มเอาไว้

     

    “เดี๋ยวก็ป่วยหรอก” คนตัวเล็กถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ การที่ชานยอลเอาตัวเองเป็นตัวประกันมันไม่ได้ทำให้แบคฮยอนสบายใจนัก สุดท้ายเขาก็ยังเอาแต่ใจอยู่ดี

     

     “เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยยิ้มเลย”

     

    ชานยอลไม่ตอบคำถามแต่กลับเลือกพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาแทน มือหนายกขึ้นบีบแก้มพี่ชายตัวเล็กจนริมฝีปากบางยู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งเสียงหัวเราะออกมา

     

    ทำไมถึงได้เย็นชาจังนะ แบคฮยอนจะรู้หรือเปล่าว่าใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกของเขาไม่ได้ซ่อนความรู้สึกแตกร้าวหรือหัวใจที่แตกสลายได้เลย มันมีแต่จะโชว์ร่องรอยของความเศร้าและสิ้นหวัง...

     

    ชานยอลน่าจะรู้ตัวเร็วกว่านี้ เขาน่าจะรู้ตัวเร็วกว่านี้ก่อนที่จะเสียพี่ชายไป... ก่อนที่จะต้องเสียรอยยิ้มและความบริสุทธิ์ไป...

     

    ทำไมไม่เอาใจใส่แบคฮยอนให้มากกว่านี้ ทำไมถึงปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ทำไมถึงไม่ยอมรู้ตัว...

     

    ถ้าปาฏิหาริย์มีจริงชานยอลก็อยากขอโอกาสอีกเพียงแค่สักครั้ง แค่ครั้งเดียวที่จะได้ย้อนกลับไปในตอนที่พวกเรายังมีความสุข และชานยอลได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของแบคฮยอน ย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่ตัวเองได้ทำ

     

    ขอโอกาสอีกเพียงแค่ครั้งเดียว...

     

    ไม่ว่าต้องจะต้องแลกกับอะไร ขอเพียงได้กอดเธอไว้แนบกายอีกครั้ง...

     

    “จะแวะไปร้านหนังสือนะ กลับไปก่อนก็ได้” คนตัวเล็กว่าพร้อมกับปิดหน้าหนังสือลงเมื่อคิดว่าจะไม่มีสมาธิอ่านมันอีกแล้ว แบคฮยอนเห็นน้องชายของเขาเอาแต่มองมาแล้วก็อมยิ้ม

     

    วันนี้ชานยอลทำตัวแปลกมาตั้งแต่เช้า เขาไม่ยอมไปเรียนแล้วก็เอาแต่ตามติดแบคฮยอนไปทุกที่อย่างกับเด็กๆ

     

    “อื้อ”

     

    “..........”

     

    “.........”

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

     

    “ผมขอโทษนะ”

     

    “หื้อ? ขอโทษเรื่องอะไร?”

     

    “ทุกเรื่อง... ขอโทษสำหรับทุกเรื่อง ถ้าผมรู้ตัวเร็วกว่านี้ก็คงดี...”

     

    คำพูดแปลกๆ ถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มของน้องชายต่างสายเลือด มันทำหัวใจของแบคฮยอนปวดหน่วง  ความรู้สึกบางอย่างฉุดเขาให้ต้องคิดถึงบางเรื่อง ก่อนที่รอยยิ้มเศร้าๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

     

    แบคฮยอนกำลังยิ้มออกมา ยิ้มที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ...

     

    มือบางเอื้อมไปจับเส้นผมสีดำขลับของคนข้างตัวพร้อมกับลูบสางเบาๆ ด้วยความเอ็นดู สำหรับแบคฮยอนแล้วไม่มีอะไรมีค่าไปมากกว่าคำขอโทษและคำขอบคุณของชานยอล มันทำให้ชีวิตของเขามีค่าขึ้นกว่าเดิมจากตลอดเวลาที่ผ่านมา

     

    “ผมกลัวจะไม่ได้พูด”

     

    “............”

     

    “แต่ผมดีใจนะที่เราได้เจอกัน มันมีค่ากับผมมาก...”

     

    “..........”

     

    “ผมขอบคุณจริงๆ...”

     

    “.........”

     

     

     

     

    ขอโอกาสอีกสักครั้ง ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว

     

     

     

     


    ที่หัวมุมถนน แบคฮยอนก้มลงมองฝ่ามือตัวเองด้วยความสับสน สัญญาณไฟข้ามถนนขึ้นเป็นสีแดง ดวงตาเรียวรีมองจ้องไปยังท้องถนนที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า แบคฮยอนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ความเศร้าและความสิ้นหวังชักนำให้เขาทำในสิ่งที่แสนสิ้นคิด

     

    ชีวิตของแบคฮยอนไร้ค่า ไม่เคยมีความสำคัญ และไม่เป็นที่น่าจดจำสำหรับใคร...

     

    สิ่งเดียวและสิ่งสุดท้ายที่ตัวเขาอยากจะขอบคุณก็คือชานยอลสำหรับทั้งความสุขที่ได้รับตลอดมาและความจริงใจ อย่างน้อยครั้งนึงมันช่วยให้แบคฮยอนผ่านวันที่แสนเลวร้ายไปได้

     

    รถบรรทุกเลี้ยวเข้ามาจากหัวมุมถนน สองเท้าวิ่งก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว แสงไฟสาดส่องเข้าหน้า เสียงบีบแตรดังลั่น ก่อนที่บางสิ่งบางอย่างจะพุ่งเข้ามากระแทกร่างผลักแบคฮยอนกระเด็นออกจากถนน

     

    ปี๊นนนนนนน!!!!

     

    โครม!!!

     

    ……


    ภาพของร่างแสนคุ้นตาที่ถูกรถบรรทุกชนกระเด็นไปต่อหน้าฉีกหัวใจแบคฮยอนออกเป็นชิ้นๆ ภายในชั่วพริบตา ราวกับโลกได้ดับสลายลงคนตัวเล็กกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น  มือบางสั่นระริก ร่างของน้องชายที่นอนอาบเลือดอยู่บนถนนทำแบคฮยอนแทบบ้า


    “ไม่!!!

     

    คนตัวเล็กรีบคลานไปอุ้มร่างที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนพื้นคอนกรีตขึ้นมาวางบนตัก หยดน้ำตามากมายทะลักพรั่งพรูออกมา แบคฮยอนร้องไห้ราวจะขาดใจ เขาเอาแต่ตะเบ็งเสียงแล้วบอกให้ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที

     

    “ไม่!! ฮือ!! ไม่!!

     

    หัวใจที่เคยคิดว่าด้านชาจนไร้ความรู้สึกเจ็บจนหาคำเปรียบเทียบไม่ได้ เจ็บจนแทบจะตายลงไปตามกัน มือบางจับประคองใบหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดเอาไว้ แบคฮยอนเหมือนกำลังมองเห็นรอยยิ้มของชานยอลผ่านม่านน้ำตา เปลือกตาที่ยังกระพริบบอกเขาว่าคนตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่

     

    “ผม...รัก...”

     

    “ฮือ!!! ไม่นะ!!! ชานยอล!!! อย่าหลับนะ!!!!

     

    “...........”

     

    “ฮือ!! อย่าตายนะ!!

     

    “..........”

     

    “ฮือ!!!

     

    ......

     

    ไม่มีอีกแล้วสำหรับโอกาส ไม่มีโอกาสให้ชานยอลได้แก้ไขความผิดของตัวเองอีกแล้ว...

     

     



    หากปาฏิหาริย์นั้นได้เกิดขึ้น

    ไม่ว่าเช้าวันใหม่ หรือนับแต่นี้ต่อไป

    และคำว่ารักที่ผมไม่เคยได้เอ่ยออกไป...

     

     

    ขออีกเพียงสักครั้ง...

    อีกเพียงแค่ครั้งเดียว

    ย้อนกลับไปในตอนที่เรามีความสุขด้วยกัน

     

     

    หากคำอถิษฐานเป็นจริง ขอให้ผมได้อยู่เคียงข้างเธออีกครั้ง

     


     


     



     

    ติ๊ด... ติ๊ด...

     

    เสียงดังติ๊ดๆ ปลุกชานยอลให้ต้องลืมตาตื่นขึ้น ดวงตากลมโตกระพริบถี่ๆ ความเจ็บปวดแล่นำแทั่วร่างกาย กลิ่นยาและผนังห้องสีฟ้าบอกชานยอลว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการรับรู้ว่าตัวเองยังมีสัมผัส..

     

    ยังไม่ตายหรอ...

     

    เกิดอะไรขึ้น...

     

    “ชานยอล ฟื้นแล้วหรอ”

     

    เสียงที่แสนคุ้นเคยเรียกชายหนุ่มให้ต้องกรอกตาไปมองทางเตียงนอนเฝ้าไข้ และเพียงแค่ได้เห็นใครบางคนที่จิตใจห่วงหา หยดน้ำตาก็เอ่อท้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

     

    แบคฮยอนจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ภาพลวงตาใช่ไหม….

     

    “อึก.. ชานยอลเจ็บไหม เดี๋ยวจะเรียกหมอให้นะ ฮือ... ดีใจจัง”

     

    “ผมเปล่า...”

     

    หยาดน้ำตามากมายไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ชานยอลเอื้อมมือที่ถูกเจาะสายน้ำเกลือไปกอบกุมมือบางเอาไว้ พอเห็นว่าคนข้างๆ เริ่มเอาแต่ร้องไห้เขาก็ยิ่งคุมตัวเองไม่อยู่ ชานยอลเอาแต่คิดว่านี่มันคือเรื่องจริงไหม มันจบลงหรือยัง

     

    กี่ครั้งแล้วที่ต้องเห็นแบคฮยอนตายไปต่อหน้า... กี่ครั้งกับการพยายามแก้ไขความผิดของตัวเอง กี่ครั้งที่ต้องตื่นมาและคิดว่าวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่ได้อยู่กับแบคฮยอน และไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน หรือจะแก้ไขตัวเองยังไงสุดท้ายจุดจบก็เป็นแบบเดิมทุกที...

     

    แบคฮยอนยังเลือกที่จะจากไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่ว่ายังไงชานยอลก็ทำได้แค่เพียงยื้อเวลาไว้จนกว่าครั้งสุดท้ายจะมาถึง...

     

    ตอนนี้ มันจบลงหรือยัง...

     

    “ทำไมทำแบบนี้ล่ะ ฮือ... ทำไมทำแบบนี้” คนตัวเล็กเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน แบคฮยอนยังจำภาพนั้นได้ติดตาเหมือนฝันร้าย ความรู้สึกที่หัวใจของเขาถูกฉีกออกจนไม่เหลือชิ้นดี

     

    มันเจ็บปวดทรมานเกินอธิบาย แม้แต่หัวใจที่คิดว่าด้านชาไปแล้วยังต้องจำยอม...

     

    “ถ้าไม่เป็นผม ก็เป็นพี่ใช่ไหม...”

     

    “ฮึก...”

     

    “อย่าทำแบบนี้...”

     

    “ขอโทษนะ ฮือ...”

     

     “ขอโทษ... สำหรับทุกเรื่อง... ที่ผ่านมา” ชานยอลบีบกระชับฝ่ามือของพี่ชายตัวเล็กไว้แน่น มือที่คอยเช็ดน้ำตาให้เขา มือที่คอยผลักดันชีวิตของชานยอล ฝ่ามือที่อยากจะกอบกุมเอาไว้ให้นานแสนนาน อาการเจ็บแน่นในหน้าอกทำชานยอลรู็สึกร้าวไปหมด กว่าจะอ้าปากพ่นคำพูดออกมาได้แต่ละคไช่างยากเย็นเหลือเกิน

     

    “ผมรัก...”

     

    ....

     

     “รักพี่...”

     

    ....

     

    “อย่าทำแบบนี้... อีกนะ...”

     

    .....

     

    “อยู่ด้วยกัน... ได้ไหม...”

     

     

     

     

     

    ขอโอกาสอีกสักครั้ง ขออีกเพียงแค่ครั้งเดียว...

    หากปาฏิหาริย์นั้นได้เกิดขึ้น ไม่ว่าเช้าวันใหม่ หรือนับแต่นี้ต่อไป

    และคำว่ารักที่ผมไม่เคยได้เอ่ยออกไป

     

     

     

     

     

     

     

    หน้าตู้นาฬิกาเรือนเก่า... เศษกระจกที่แตกออกและเข็มนาฬิกาที่หายไปบอกชานยอลว่านาฬิกาเรือนนี้ได้พังอย่างสมบูรณ์แล้ว เหลือไว้เพียงคาบเลือดบนหน้าปัดนาฬิกาสีเหลืองตุ่น

     

    ถึงจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำมันพังแต่ชานยอลก็ไม่คิดหาคำตอบ เพราะเวลาก็ยังคงล่วงเลยไป

     

    มันผ่านไปหลายเดือนแล้ว หลายเดือนในชีวิตจริงที่ปฏิทินเปลี่ยนไปทุกวัน ชานยอลหยุดเรียนเป็นเดือนเพราะต้องพักฟื้น กระดูกเขาหักแทบจะทั่วทั้งร่าง กว่าจะเดินได้ก็หลายสัปดาห์ แต่ถ้าถามว่าคุ้มไหมกับทั้งหมดก็คงต้องตอบว่าคุ้ม

     

    ชานยอลยังมีพี่ชายของเขาอยู่ และแค่นี้มันก็ดีมากพอแล้ว...

     

    “ชานยอล”

     

    “ครับ”

     

    “ลงไปกินข้าวได้แล้ว”

     

    “เดี๋ยวผมลงไป”

     

    คำพูดและรอยยิ้มที่มักจะได้เห็นบนใบหน้าของแบคฮยอนเสมอกลับมาอีกครั้ง ชานยอลเริ่มเรียนรู้ที่จะทำดีต่อพี่ชายไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกแบบไหน

     

    บทเรียนที่ได้รับถูกเขียนทับฝังใจ ของบางอย่างพังแล้วก็ยากที่จะซ่อมให้กลับคืนดังเดิม แต่เพื่อรักษาหัวใจที่แตกสลายของแบคฮยอน ชานยอลรู้แล้วว่าเขายอมเสียสละได้มากกว่าปีกหุ่นยนต์ข้างหนึ่ง

     

    รักมากเหลือเกิน...

     

    รักแบคฮยอนมากเหลือเกิน... ถึงจะรู้ตัวเมื่อเกือบสายไป...

     

     


     


    ปาฏิหาริย์นั้นได้เกิดขึ้น

    ไม่ว่าเช้าวันใหม่ หรือนับแต่นี้ต่อไป และคำว่ารักที่ผมไม่เคยได้เอ่ยออกไป...

    และคำว่ารักที่ผมไม่เคยได้เอ่ยออกไป...

    จะยอมเผชิญหน้ากับทุกๆ สิ่ง ขอเพียงได้กอดเธอไว้แนบกายอีกสักครั้งนึง...

     

     

     









    #myfablecb














      















     
    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×