ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #30 : CHAP 29

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.84K
      28
      31 ก.ค. 56

     

     

    CHAPTER 29

     

     

    เสียงทุ่มตึงตังเงียบไปทีละเสียงเมื่อร่างสูงของเด็กหนุ่มตาคล้ำจากต่างมหาลัยยืนอยู่หน้าประตูห้องชมรม อันที่จริงถ้าจะเห็นจื่อเทามาที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยสักนิด นักกีฬาวูซูของมหาลัย s มาที่นี่บ่อยเสียจนทุกคนคุ้นเคยด้วยซ้ำ  ถ้าไม่ใช่วันนี้ที่ลู่หานเพิ่งจะลงไปข้างล่างเพื่อไปซื้อน้ำเปล่ามาเพิ่มให้เฉียดกับเวลาที่จื่อเทาปรากฏตัวหน้าห้องชมรมไปนิดเดียว

     

    “ฉิบหาย...ได้สวนกันมั้ยเนี่ย”

     

    “กูว่าไม่” บทสนทนาสั้นๆ เป็นอันเข้าใจตรงกันระหว่างประธานกับรองประธานดังขึ้นระหว่างรันโดริที่ต้องหยุดกลางคัน

     

    จื่อเทาวางถุงที่หิวมาพะรุงพะรังลงบนโต๊ะ คงไม่พ้นเกลือแร่ยี่ห้อหายากมีเฉพาะสาขาที่มหาลัย s รสชาติอร่อยถูกปากน้องเล็กของทีม เจ้าเด็กตาแพนด้าเลยซื้อมาฝากเซฮุนและเผื่อแผ่ถึงทุกคนในทีมด้วยเป็นประจำ หลังจากส่งรอยยิ้มทักทายพี่ๆ อย่างทั่วถึงแล้วเป้าสายตาก็หยุดลงที่คนเดิม

     

    โอเซฮุนกำลังยัดชายเสื้อยูโดใส่ในสาย หอบหายใจในจังหวะที่นับว่าไม่เลวร้ายถ้าเทียบกับการต้องรันโดริติดๆ กัน 3 คน แรงสะกิดไหล่จากแพคฮยอนเรียกเซฮุนให้หันไปมองยังผู้มาเยือน ใบหน้าหวานแต่ยังฉายแววเศร้าหันไปทางข้างเบาะ รอยยิ้มอันแสนเหนื่อยล้าถูกส่งไปให้

     

    “งั้นพักกันก่อนเถอะ”

     

    “ไม่เป็นไรครับพี่จงอิน ผมมาแค่แวะเอาเกลือแร่มาให้แป๊บเดียวเดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ” จื่อเทารีบบอกเมื่อคนอายุมากกว่าสั่งพัก “ขอแค่คุยกับเซฮุนแป๊บเดียวก็พอครับ”

     

    ประธานชมรมพยักหน้าแล้วหันไปส่งสายตากับน้องเล็กเป็นเชิงบอกว่าให้ลงไปคุยกับคนที่อยากจะคุยด้วย เซฮุนหันไปเคารพแพคฮยอน เอ่ยขอบคุณที่อุตส่าห์มาเล่นรันโดริกับตัวเองทั้งๆ ที่แพคฮยอนเองก็เหนื่อยแทบแย่และเขาก็เล่นไม่ใช่เบาๆ หลังจากนั้นจึงเดินมาข้างเบาะ

     

    “เหนื่อยหรือเปล่า?” แทบจะเป็นคำถามเดิมทุกครั้งของจื่อเทาเวลามาหาเขาที่ชมรม ร่างบางส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นเลย

     

    “เซฮุน...เรื่องที่จะลงโอเพ่นน่ะ”

     

    “เราบอกแล้วไงว่าเราตัดสินใจแล้ว อย่าพยายามเปลี่ยนใจเราเลยนะเทา” เสียงเล็กรีบพูดก่อนที่อีกคนจะได้พูดต่อ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จื่อเทาพูดแบบนี้กับเขานับตั้งแต่รู้จากคยองซูว่าเขาลงรุ่นโอเพ่นในกีฬามหาวิทยาลัย

     

    ร่างสูงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า มือหนาเอื้อมไปกุมมือขาวเอาไว้หลวมๆ ไล้ปลายนิ้วโป้งเบาๆ หวังจะส่งผ่านความรู้สึกห่วงใยจากใจจริงให้อีกฝ่ายได้รับรู้ แต่ไม่เลย เซฮุนยังคงส่งยิ้มหมองนั้นมาให้เหมือนเดิม

     

    “เซฮุนอ่า แต่เราเป็นห่วงเซฮุนนะ”

     

    “เรารู้ ก็เทาน่ะคอยอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจเราเสมอนี่นา แถมยังใจดีกับเรามากๆ ด้วย”

     

    “แต่ถึงยังไงเราก็เปลี่ยนใจเซฮุนไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?” น้ำเสียงนั้นช่างเหนื่อยล้าและเจ็บปวดเหลือเกิน

     

    นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่จื่อเทาถามเขา เซฮุนรู้ดีว่าถึงจะพูดไปแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น แต่เขาพูดมันออกมาจากใจจริง จื่อเทาคอยมาหา คอยอยู่ข้างๆ เซฮุนเสมอ คอยให้กำลังใจ ถ้าเจ็บก็จะดูแล ถ้าแพ้ก็คอยปลอบโยน ถ้าร้องไห้ก็เป็นจื่อเทาอีกที่คอยเช็ดน้ำตาให้

     

    มือบางอีกข้างกุมทับมือของอีกฝ่าย พยายามส่งยิ้มไปให้แม้หัวใจจะอ่อนล้าเกินกว่าจะยิ้มให้ใครไหว

     

    “ขอบคุณนะเทา”

     

    “พี่ลู่....”

     

    ทว่าชื่อของใครคนหนึ่งที่ดังออกมาจากปากจงอินซึ่งยืนอยู่บนเบาะเรียกให้ทั้งเซฮุนและจื่อเทาหันกลับไปมอง

     

    ประธานชมรมฟุตบอลมหาลัย s ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องชมรมพร้อมถุงใส่น้ำเปล่าในมือ ตาคู่สวยที่เซฮุนชอบนักหนากำลังมองตรงมาที่สองคนข้างเบาะ ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดทำให้บรรยากาศยิ่งกดดัน

     

    จื่อเทามองผู้มาใหม่ครู่เดียวเท่านั้นแล้วจึงหันกลับมาหาคนตรงหน้า ริมฝีปากคมส่งยิ้มให้คนตัวเล็กก่อนจะปล่อยมือคู่นั้น เซฮุนจึงละสายตาจากลู่หานกลับมามอง

     

    “งั้นเรากลับก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย” พูดแล้วเตรียมจะหมุนตัวกลับ เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวกลับหยุดลงแล้วหันกลับมาหาคนตัวบางอีกครั้ง

     

    “ถ้าอยากร้องไห้อีกเมื่อไหร่ก็โทรมาหาเราเหมือนทุกทีนะ เรารอรับสายเซฮุนได้เสมอ”

     

    เพียงแค่นั้นแล้วหันหลังเดินไปทางประตูห้อง ไม่มีคนพูดใดๆ ออกมาจากปากคนทั้งคู่ในวินาทีที่เดินสวนกัน ไม่มีแม้แต่การสบสายตา เพียงแค่เดินผ่านไปราวกับอีกฝ่ายไม่ได้ยืนอยู่ที่ตรงนั้น

     

    เมื่อเด็กตัวสูงร่วมสถาบันกลับออกไป ลู่หานก็หันกลับมามองร่างบางบนเบาะที่ยังคงใบหน้าเรียบนิ่งมองตรงมาที่เขา สองขาก้าวไปวางถุงน้ำเปล่าไว้ข้างๆ ถุงเกลือแร่บนโต๊ะ ถึงตอนนี้จงอินที่ยืนมองสถานการณ์อยู่ตั้งแต่ต้นเพิ่งจะรู้สึกว่าเสียงทุ่มภายในห้องเงียบไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเสียงลมหวีดหวิวจากทางหน้าต่างเพิ่มความอึดอัดให้ห้องเล็กๆ ห้องนี้เท่านั้น

     

    “จงอิน โทษทีที่มาช้า” แต่เมื่อเดินมาหยุดลงตรงหน้าเซฮุน ลู่หานกลับเลือกจะพูดกับน้องชายที่ยืนกลั้นหายใจลุ้นอยู่บนเบาะแทน

     

    “อ...เออ ไม่เป็นไร ขอบคุณนะพี่ลู่”

     

    “งั้นเดี๋ยวฉันกลับล่ะ วันนี้คงมาผิดเวลา” แม้ประโยคจะชัดเจนว่าพูดกับจงอินแต่ท้ายประโยคกลับสบตากับเซฮุนแทน ใบหน้าน่ารักที่ดูโทรมลงไปไม่น้อยเริ่มแสดงความเสียใจออกมา ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอหยาดน้ำใส

     

    ลู่หานไม่ได้พูดอะไรแต่หมุนตัวหันหลังกลับเดินไปทางประตูห้อง ท่ามกลางความอึดอัดของทุกคนที่นั้นที่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ คนที่พวกเขาคิดว่าสภาพจิตใจคงจะแย่ที่สุดกลับทำลายความอึดอัดนั้นด้วยตัวเอง

     

    “พี่ลู่หาน! อย่าเดินหนีเซฮุนแบบนี้นะ!

     

    เซฮุนร้องเรียกเสียงดังไปทั่วทั้งห้อง หยุดจังหวะก้าวเท้าของคนที่กำลังจะเดินจากไป ลู่หานไม่ได้หันกลับมาหาคนเรียก หยดน้ำใสค่อยๆ กลิ้งผ่านข้างแก้ม

     

    “เซฮุนอุตส่าห์สู้เดินหน้าทั้งๆ ที่รู้ว่าเสี่ยงแค่ไหน พี่คิดว่าเซฮุนแข่งโอเพ่นไปเพื่อใคร? แล้วพี่ยังจะ...” เสียงเล็กนั้นขาดหายเพราะเสียงสะอื้นแผ่วเบา “แล้วพี่จะยังทิ้งเซฮุนไปอีกเหรอ ทำไมพี่ใจร้ายแบบนี้”

     

    ถึงตอนนี้คนที่ทนทำใจแข็งมานานก็เริ่มทนต่อไปไม่ไหว ลู่หานค่อยๆ หันกลับไปหาเด็กน้อยที่ยืนสะอึกสะอื้นอยู่ตรงที่เดิม ท่ามกลางสายตาของพี่ๆ ในทีมที่หยุดซ้อมและทำได้แค่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดวงตาคู่นั้นปิดลงพร้อมน้ำใสไหลหยดลงมาไม่ขาดสาย พร่ามัวจนมองไม่เห็นคนที่ค่อยๆ เดินกลับเข้ามาหา

     

    “ทั้งๆ ที่เซฮุนไม่เคยลังเล แต่พี่อยากให้เซฮุนลังเลเหรอ? ทั้งๆ ที่เซฮุ...น....”

     

    วินาทีต่อมาเสียงเล็กเจือเสียงสะอื้นก็ขาดหาย ร่างทั้งร่างถูกถึงเข้าไปไว้ในอ้อมกอด ใบหน้าชุ่มน้ำตาถูกดึงซบลงบนไหล่อีกฝ่ายแล้วความอบอุ่นก็แผ่ไปทั่วร่างราวกับนี่คือสิ่งที่ขาดหายมานานแสนนาน มือข้างหนึ่งวางบนกลุ่มผมชื้นเหงื่อแล้วลูบแผ่วเบา ลู่หานหลับตา แล้วกระซิบข้างหู

     

    “พอแล้วเซฮุน ไม่ต้องพูดแล้ว พี่ขอโทษ”

     

    “พี่...ลู่หาน”

     

    สองแขนยกขึ้นโอบกอดคนที่แสนคิดถึงกลับไป ไร้คำพูดใดๆ ต่อจากนั้น มีเพียงความอบอุ่นถ่ายทอดให้กันและกันท่ามกลางหยดน้ำตาที่พรั่งพรู

     

    คยองซูเดินมารวมกับชานยอลและจงอินพร้อมกับที่แพคฮยอนก็พาร่างโอนเอนของตัวเองจากมุมเบาะมารวมกันทุกคนด้วย แม้การซ้อมอย่างหนักจะหยุดลงกะทันหันแต่พวกเขาเชื่อเหลือเกินว่ามันคุ้มค่าที่สุดแล้ว

     

    “...โคตรดราม่า ที่มันเบาะยูโดหรือสตูฯถ่ายหนังวะ?”

     

    นักกีฬาชายรุ่น -73 กิโลกรัมพูดออกมาเสียงไม่ดังนัก แล้วซักพักก็ถูกคนลดน้ำหนักจวนเจียนหมดแรงกระแทกศอกเข้าใส่เสียหนึ่งทีข้อหาพูดจากวนประสาทไม่ดูเวล่ำเวลา

     

     

     

    หลังจากวันนั้น ลู่หานก็ปรากฏตัวที่สนามหอ A ซึ่งเป็นสถานที่นัดซ้อมภาคสนามของชมรมยูโดแทบทุกเช้า ไม่ใช่เพียงแค่พายิ้มหวานมาแต่ยังลงทุนสวมรองเท้าผ้าใบมาวิ่งพร้อมกับพวกเขาด้วย จงอินแอบสงสัยและบ่น (ในใจ) อยู่หลายครั้งว่าประธานชมรมฟุตบอลมหาลัย s มีเวลาเหลือมากขนาดนี้ได้ยังไงทั้งๆ ที่จวนเจียนจะถึงวันแข่งกีฬามหาวิทยาลัยอยู่แล้ว

     

    ตารางซ้อมทุกๆ เช้าจะเริ่มจากวิ่งในจังหวะปกติรอบสนาม 5 รอบ แล้ววิ่งสปริ้นท์ (วิ่งเร็ว) รอบสนามอีก 1 รอบ จากนั้นก็วิ่งสปริ้นท์แข่งกันในระยะทางตรงแข่งกันอีก 5 เที่ยว เข้าท่ายกลอยแบบไม่ใช้ชุดยูโดอีกคนละร้อย และจบลงด้วยคูลดาวน์ยืดกล้ามเนื้อ

     

    แน่นอนว่าตารางที่ถูกจัดมาโดยกัปตันทีมสุดโหดนี้มันหนักหน่วงเสียจนไม่ว่าใครก็ต้องอ้าปากค้าง ยิ่งช่วงแรกๆ ต่างคนต่างหอบแฮ่กไม่เว้นกระทั่งคนจัดตารางเอง แต่เมื่อไรที่ใครคนใดในพวกเราทำท่าจะไม่ไหว จงอินก็จะคอยพูดให้ฮึดสู้เสมอ

     

    ถ้าข้ามผ่านขีดจำกัดความเหนื่อยที่สุดของร่างกายได้เราจะไม่เหนื่อยอีก...จงอินพูดอย่างนั้น

     

    ครั้งแรกคยองซูไม่เชื่อ เขาเหนื่อยจนตาพร่าไปหมด เหนื่อยยิ่งกว่าเมื่อครั้งเริ่มฝึก เหนื่อยกว่าอะไรทั้งหมดที่เคยประสบมาในชีวิต แขนขาที่ขยับไปไร้ความรู้สึก ลำคอแห้งผากราวทะเลทราย เหงื่อกาฬไหลท่วมจนเหมือนจะดึงร่างของเขาให้จมดิ่งสู่ก้นบึง อากาศที่หายใจเข้าไปร้อนระอุและเหมือนส่งไปไม่ถึงปอด

     

    ...ไม่ไหวแล้ว ไปต่อไม่ไหวแล้ว...

     

    ในจังหวะที่กำลังจะล้มลงกลางสนาม มือใหญ่ที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ไหนเข้ามาดึงตัวเขาไว้เสียก่อน  คยองซูหันไปมองแล้วพบว่าจงอินเองก็อยู่ในสภาพที่ไม่ได้ต่างจากเขามากนัก ลมหายใจหอบถี่บอกได้เป็นอย่างดีว่าออกซิเจนกำลังลำเลียงสู่ระบบทางเดินหายใจอย่างหนัก

     

    ทว่าจงอินเข้ามาเพียงแค่ดึงเขาไว้ไม่ให้ล้ม ไม่กี่อึดใจมือข้างนั้นก็ปล่อย คยองซูพยายามหยัดขาสั่นๆ ประคองร่างตัวเองยืนให้ไหว ไม่มีการแสดงความห่วงใยใดๆ มีเพียงคำพูดสั้นๆ แต่เพียงว่า

     

    อดทนหน่อย

     

    หลังจากนั้นจงอินก็วิ่งนำหน้าไปอีกครั้งซึ่งมันเร็วจนไม่มีทางที่คยองซูจะตามทัน น่าแปลกที่แทนที่จะรู้สึกเสียใจ น้อยใจ หรืออยากจะยอมแพ้ที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดให้กำลังใจ ถามไถ่ แสดงความห่วงใยใดๆ แต่บอกให้อดทนวิ่งต่อไป คยองซูกลับเร่งจังหวะการก้าวเท้าให้เร็วขึ้นไล่หลังคนข้างหน้า

     

    นี่แหละคิมจงอิน ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ยังนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เด็ดเดี่ยว เด็ดขาด และสมกับเป็น กัปตันจอมโหดของเขา

     

    หลังจากที่คยองซูดึงดันจะวิ่งต่อทั้งๆ ที่ใกล้จะเป็นลมอยู่รอมร่อ จู่ๆ ก็รู้สึกราวกับวิ่งทะลุไปสู่อีกดินแดนหนึ่ง รอบข้างยังคงเป็นบรรยากาศในสนามหอ A แต่สว่างจ้าเสียจนแทบมองอะไรไม่เห็น เสียงหอบหายใจของตัวเองที่ได้ยินค่อยๆ เบาลง แขนขาเบาหวิวเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ ทว่าจังหวะการกลืนน้ำลายสลับกับหายใจเข้าออกบอกได้ดีว่าตนเองกำลังหอบหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดอย่างต่อเนื่อง

     

    รู้สึกตัวอีกทีเมื่อกะพริบตา เขายังวิ่งอยู่เหมือนเดิม สถานที่เดิม และกำลังวิ่งไล่ตามแผ่นหลังกว้างข้างหน้าเช่นเดิม ทว่าน่าแปลกที่คยองซูกลับไม่รู้สึกเหนื่อยแล้วทั้งที่ยังหอบหายใจเร็วถี่ ทุกอย่างดูสวนทางกันไปหมด จากที่เหมือนถูกเหงื่อกาฬดึงให้ดำดิ่งตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนลอยอยู่เหนือปุยเมฆ แขนขาเคลื่อนไหวไปอย่างอิสระ

     

    ร่างเล็กหยุดลงที่จุดเริ่มต้นซึ่งจงอินกำลังยีนยืดตัวหายใจลึกอยู่ก่อนแล้ว คนตัวสูงหันกลับมามองเขาที่เพิ่งจะวิ่งเข้ามาแล้วยกยิ้ม คยองซูหอบหายใจจนไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้ แล้วจู่ๆ ร่างกายที่เบาหวิวเมื่อครู่กลับค่อยๆ หนักอึ้งอีกครั้งราวกับได้ออกจากโลกแห่งความฝันมาสู่ความจริง

     

    คยองซูเพิ่งเข้าใจในตอนนั้นเองว่า เหนื่อยจนเลยจุดเหนื่อย ที่จงอินบอกมันเป็นอย่างไร

     

    ส่วนทางด้านแพคฮยอนที่ยังคงรีดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง ทุกๆ เช้าคนตัวเล็กจะมาพร้อมกับชุดตะกั่วครบชุดทั้งเสื้อและกางเกงสวมทับด้วยเสื้อวอร์มอีกชั้นประหนึ่งเป็นยูนิฟอร์มประจำตัวไปแล้ว การใส่ชุดตะกั่วหรือที่เรียกว่าชุดลดน้ำหนักวิ่งอาจทำให้การหายใจลำบากกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะต้องรูดซิปปิดไปถึงใต้คาง หลายครั้งแพคฮยอนจึงต้องคอยรูดซิปลงมาบ้างในตอนที่เหนื่อยมากๆ

     

    ถึงแม้จะอดข้าวอดน้ำและซ้อมหนักทุกวัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าแพคฮยอนก็ยังมีแรงเหลือตื่นมาวิ่งได้ทุกเช้า ไม่เคยบ่น ไม่เคยอิดออด อาจจะมีช้าไปบ้างแต่ก็ยังทำได้ครบทุกอย่างตามตารางที่วางไว้

     

    ข้างกายซึ่งไร้เรี่ยวแรงจะมีร่างสูงของชานยอลอยู่ด้วยแทบทุกเวลานาที แม้จะไม่ได้ตามติดชนิดที่วิ่งประกบข้างแต่ชานยอลก็คอยระวังดูแลแพคฮยอนเสมอ ไม่ว่าจะวิ่งห่างกันแค่ไหน หรือไกลกันจนคนละฟากสนาม ถ้าแพคฮยอนทำท่าเหมือนจะทรุดไปเมื่อไรชานยอลจะเป็นคนแรกที่ถึงตัวแพคฮยอนก่อน

     

    เพราะมีชานยอลคอยเป็นหูเป็นตาคอยห่วงแพคฮยอนแบบนี้จงอินก็วางใจได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องซ้อมกันแบบห่วงหน้าพะวงหลังว่าใครจะเป็นอะไรไประหว่างซ้อมหรือเปล่า บางทีจงอินคิดว่าชานยอลอาจจะเฝ้าระวังอาการแพคฮยอนได้ดีกว่ากัปตันทีมอย่างเขาด้วยซ้ำ

     

    ตรงกันข้าม ด้านลู่หานกับเซฮุนที่ดูคล้ายจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติกลับแตกต่างจากชานยอลและแพคฮยอนโดยสิ้นเชิง

     

    จริงอยู่ที่ลู่หานมาซ้อมด้วยในฐานะคนนอกแต่ระดับกัปตันทีมฟุตบอลมหาลัยแล้วตารางซ้อมภาคสนามแค่นี้ถือว่าเด็กมากหากเทียบกับตารางของนักฟุตบอลที่ต้องวิ่งในสนามเป็นชั่วโมงๆ คนอายุมากกว่าซ้อมตามตารางที่น้องชายคนสนิทวางไว้ให้ทีมอย่างไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก เป็นเซฮุนเสียอีกที่แทบแย่กับตางรางซ้อมไม่ต่างจากพี่ๆ คนอื่นทั้งๆ ที่คิดว่าสมรรถภาพร่างกานตัวเองอยู่ในระดับดีพอสมควรแล้ว

     

    หลายต่อหลายครั้งที่เซฮุนทรุดลงกลางลู่วิ่งเมื่อสิ้นสุดขีดจำกัดของร่างกาย พยายามจะยันตัวลุกขึ้นมาแต่แขนขาที่สั่นริกกลับดึงร่างบางลงไปนั่งอยู่กับพื้นยางอีกครั้ง เสียงหอบหายใจดังก้องไปทั้งโสตประสาท เหงื่อไหลหยดลงพื้นราวกับน้ำฝน หัวใจเต้นรัวเร็วราวกับจะหลุดออกมาข้างนอกให้ได้

     

    เซฮุนกลืนน้ำลายเหนียวลงคอแห้งผากแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเส้นทางข้างหน้า สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคือร่างของลู่หานซึ่งยืนห่างอยู่ไม่ไกลนัก หนุ่มหน้าหวานจากแดนมังกรมองมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่เอ่ยคำใด และไม่เดินเข้ามาหา

     

    อะไรบางอย่างบอกให้เซฮุนรีบลุกก่อนที่คนตรงหน้าจะขยับหนี ตะเกียกตะกายจนในที่สุดก็ลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง

     

    ทว่าเมื่อเซฮุนลุกขึ้นได้ ลู่หานก็หันกลับไปและวิ่งต่อโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย แต่ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่เซฮุนล้ม ลู่หานก็จะทำเช่นนี้อีก เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเซฮุนลดความถี่ในการล้มลงสวนทางกับความอดทนต่อความเหนื่อยที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ

     

    ตลอดเวลาที่เหมือนจะปั้นปึงใส่กันเช่นนี้ทุกคนยืนยันได้ว่าเซฮุนกับลู่หานไม่ได้โกรธกันหรือไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเหมือนก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนยังคงคุยเล่นและหัวเราะให้กันเมื่อเริ่มคูลดาวน์ เผลอๆ อาจจะเข้าใจกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ

     

    เวลาหมุนผ่านไปไวราวกับใครมาหมุนเข็ม เผลอแป๊บเดียวอีกแค่ 3 วันก็จะถึงวันเดินทางไปมหาลัยเจ้าภาพเพื่อแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแล้ว ถึงตอนนี้ทุกคนดูจะปรับตัวได้กับตารางซ้อมสุดโหดแล้ว เรียกได้ว่าจะให้วิ่งหนักกว่านี้อีกเท่าไรก็ไม่เหนื่อย

     

    คยองซูสูดหายใจลึกก่อนจะเหยียดขาทั้งสองข้างไปข้างหน้าแล้วก้มตัวลงเอามือแตะปลายนิ้วเท้า พยายามยืดกล้ามเนื้อหลังซ้อมครบตามตารางซ้อมเช้าพร้อมๆ กับคนอื่นๆ ที่คูลดาวน์อยู่ละแวกเดียวกัน เมื่อยืดตัวกลับชึ้นมาคยองซูก็เริ่มยู่หน้า พยายามจะหันไปมองแต่ก็ทำได้แค่เอียงชำเลืองมอง

     

    “นี่จงอิน”

     

    “อืม”

     

    “คูลดาวน์สิ”

     

    “ก็ทำอยู่นี่ไง” ตอบพลางเหยียดตัวไปด้านซ้ายแตะปลายนิ้วบนปลายเท้าด้านซ้าย ทว่าเมื่อได้ยินคำตอบนั้นคยองซูกลับยิ่งขมวดคิ้วขัดใจ

     

    “แต่มันจะใกล้ไปมั้ย?”

     

    “หืม...? ก็ไม่นี่”

     

    พูดจบก็เอาคางเกยไหล่ ยิ้มกว้างขวนหมั่นไส้จนคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ต้อง....

     

     

    โครม!!

     

    “โอ้ยยย!! เชี่ยยอล!! ถีบกูทำไม!?

     

    จงอินร้องครางพลางโวยวายลั่นหลังจากถูกฝ่าเท้าของเพื่อนร่วมทีมตัวสูงประเคนให้เสียเต็มรักที่สีข้างด้านขวาจนต้องลงไปนอนกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่บนพื้นหญ้า แทบทุกคนที่คูลดาวน์อยู่ใกล้ๆ หัวเราะคิกยกเว้นก็แต่ลู่หานที่กำลังหัวเราะชนิดที่เรียกว่าสะใจสุดๆ

     

    “กูหมั่นไส้! แหมมมม ขนาดคูลดาวน์มึงก็จะเอานะ นิดหน่อยขอให้ได้เถอะ!

     

    เสียงทุ้มเป็นเอกลักษณ์พ่นคำพูดเจริญหูแต่เช้าให้เพื่อนสนิทที่เพิ่งถูกเขาถีบไปเมื่อครู่ เชื่อเหอะว่าใครเห็นภาพเมื่อกี้ก็ต้องหมั่นไส้มัน คยองซูน่ะคูลดาวน์ปกติ โอเค จงอินก็คูลดาวน์ปกติ เพราะไอ้การยืดกล้ามเนื้อหลังกับเอวไม่ว่าจะเหยียดเท้าคู่ตรงไปข้างหน้าแล้วก้มตัว หรือจะอ้าขากว้างแล้วเหยียดไปแตะปลายเท้าซ้ายและขวาสลับกันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

     

    แต่มันไม่ปกติตรงที่ทำไมจะต้องไปอ้าขากว้างนั่งซ้อนอยู่ข้างหลังคยองซูเนี่ยแหละ!

     

    “ที่ทางมีตั้งบานตะไทมึงยังอุตส่าห์มาวอร์มซะชิดเขาอ่ะเนอะ! ไอ้เชี่ยไค!

     

    “โอ้ยยยย มึงจะโวยวายทำไมนักเนี่ย เจ้าตัวเขายังไม่ว่ากูสักคำ ใช่มั้ยคยองซู?” หันไปทำเสียงเล็กเสียงน้อยตรงท้ายประโยคพร้อมยิ้มกว้างให้คนตัวเล็กข้างๆ

     

    “คยองซูไม่ด่ากูด่ามึงเอง! แหมมม ตอนซ้อมล่ะทำเป็นโหดได้โหดดี ทีงี้ล่ะมาทำเป็นอ้อนงุ้งงิ้งใส่!

     

    “เชี่ยยอล กูถามจริง นี่แพคฮยอนลดน้ำหนักหรือมึงลดเอง? หงุดหงิดแถมพาลไปทั่วเลยนะมึง เอ๊ะ...หรือเมนมึงไม่มาครับ?”

     

    “เออ ไม่มาสามเดือนแล้ว สงสัยจะท้องกับแพคฮยอน ถุย! พอใจมึงยังงงง!!?

     

    เสียงหัวเราะครื้นเครงดังก้องไปสนามกรีฑาขนาดเล็กเมื่อเพื่อนรักเล่นรับส่งมุกกันรัวๆ คนตัวสูงที่เพิ่งตบมุกไปหมาดๆ เตรียมใจแล้วว่าอีกไม่นานคนที่พาดพิงถึงคงจะฟาดมือลงมาไม่ที่ไหล่ก็ที่หลังสักป้าบสองป้าบ แต่สถานการณ์กลับนิ่งสนิท นิ่งมากจนอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง

     

    พอหันกลับไปก็พบกับหน้าตาพะอืดพะอมของแพคฮยอน มือเล็กจะยกขึ้นมาปิดปาก ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดลงไปอีก หลังจากนั้นไม่ถึงวินาทีแพคฮยอนก็ลุกพรวดแล้วรีบวิ่งไปมุมหลังสนามทันที

     

    “อุ๊บ!...แหวะ!

     

    “เฮ้ย! พยอนแพค!

     

    แล้ววินาทีถัดมาคนตัวสูงที่นั่งมองตามอย่างอึ้งๆ อยู่บนพื้นก็ลุกขึ้นวิ่งตามไปนั่งยองข้างๆ ร่างบางที่กำลังโก่งคอส่งเสียงโอ้กอ้าก มือหนาลูบแผ่นหลังเล็กอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ส่วนคนอื่นๆ ยังคงนั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงุนงงอยู่ที่เดิม

     

    “ฉิบหายละ หรือจริงๆ คนที่ท้องจะเป็นแพคฮยอน”

     

    “มันใช่เวลามั้ยเนี่ยจงอิน” คนน่ารักดุยังไงก็ยังน่ารัก แทนที่จะสำนึกจงอินเลยหยิกแก้มนิ่มๆ นั้นแทน

     

    เสียงโอ้กอ้ากดังอยู่ไม่เท่าไหร่ ครู่หนึ่งชานยอลก็ประคองแพคฮยอนที่หน้าซีดเป็นกระดาษกลับมานั่งพัก สมาชิกในทีมคนอื่นๆ ลุกขึ้นเดินไปดูอาการโดยที่ไม่ลืมกระจายวงให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก แพคฮยอนจะได้ไม่เป็นลมไปก่อน

     

    “ออกมาเป็นน้ำย่อยทั้งนั้นเลย” ชานยอลพูดเสียงเครียด ใบหน้าหล่อที่เมื่อครู่ยังเล่นอยู่ก็เครียดไม่แพ้กัน

     

    “ช่วงนี้กินอะไรบ้างหรือเปล่า?” กัปตันทีมถามเสียงจริงจัง คนที่นั่งเอนตัวพิงแสตนข้างหลังพยายามแบ่งจังหวะการหายใจเพื่อตอบคำถาม

     

    “น้ำผลไม้”

     

    “แค่วันละกล่อง” ร่างสูงที่ใช้ผ้าขนหนูซับเหงื่อและคราบน้ำย่อยข้างริมฝีปากซีดเอ่ยเสริมให้

     

    “แค่นั้น?” ชานยอลพยักหน้าทำเอาจงอินต้องถอนหายใจยาว “ไม่ได้นะแพคฮยอน อย่างนี้มันอันตรายเกินไป ถึงจะงดโปรตีนกับคาร์โบไฮเดรตแต่อย่างน้อยกินอะไรที่มีกากใยให้กระเพาะได้ย่อยบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้มันย่อยตัวเองแบบนี้”

     

    “อย่างที่จงอินมันบอกนั่นแหละ ถ้าไม่ได้กากใยช่วยบ้างนายก็ไม่มีอะไรให้ถ่ายออกมานะ ถึงการขับน้ำออกจากร่างกายจะทำให้น้ำหนักลดได้ไว แต่การขับถ่ายจะช่วยลดได้ดีที่สุด” กัปตันทีมฟุตบอลผู้มีประสบการณ์ดูแลนักกีฬานับสิบมาอย่างโชกโชนช่วยเสริมอีกแรง

     

    “งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ 3 วันนี้ใช้เวลาพักผ่อนให้มากๆ  รีดน้ำหนักมากๆ  แบบนี้ระวังจะน็อคตอนแข่ง แล้วฉันสั่งเลยนะ มือเช้ากินผักหรือผลไม้ไปบ้าง แอปเปิลสักลูกก็ยังดี ชานยอลดูแลด้วย” ลองถูกจงอินโหมดนี้ออกคำสั่งไม่ว่าใครก็คงขัดไม่ได้แม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างชานยอล แพคฮยอนพยักหน้าเบาๆ ตอบรับ

     

    หลังจากรอให้แพคฮยอนอาการดีขึ้นก็เริ่มแยกย้ายกันกลับไปพัก เพราะใกล้ช่วงแข่งจงอินเลยให้ซ้อมแค่ภาคสนามคือวิ่งเช้ากับวิ่งเย็นเลยทำให้มีเวลาเตรียมร่างกายกันมากขึ้น

     

    เซฮุนไปกับลู่หาน เห็นว่าจะไปแวะหาอะไรกินกันก่อนแล้วพี่ชายหน้าหวานถึงจะไปส่งน้องที่หอ ก่อนจะเดินไปจงอินส่งสัญญาณบอกคนอายุมากกว่าว่าเดี๋ยวจะโทรไปหาเพื่อปรึกษาบางเรื่องสักหน่อย เช่นเดียวกับชานยอลที่จงอินรั้งไว้ก่อนเจ้าตัวจะเดินไปขึ้นรถเพื่อส่งแพคฮยอน ชานยอลจึงบอกให้แพคฮยอนไปรอก่อนแล้วจะตามไป

     

    “กูรู้ว่ามึงรัก แต่อย่าไปตามใจมากนักเลย ถึงขั้นนี้มันอันตรายมากแล้วนะเว้ย ถ้ามันยังดื้อไม่ยอมกินก็ใช้ไม้แข็งไปเลย เห็นโหดอย่างนั้น แพคฮยอนยอมเชื่อมึงอยู่แล้ว เชื่อกูสิ”

     

    “อืม กูรู้แล้ว ขอบใจมากว่ะเพื่อน” ชานยอลตบไหล่คนตรงหน้าเบาๆ พลางคลี่ยิ้ม อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินแยกตัวออกมา

     

    คยองซูซึ่งยืนรออยู่ไม่ห่างนักมองเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะก้มลงมือโทรศัพท์ในมือที่กำลังบอกว่ามีสายโทรเข้า เลื่อนปลายนิ้วปิดระบบสั่นที่ตั้งไว้เพื่อให้มันนิ่งสงบแล้วใส่กลับลงไปในกระเป๋า ครู่หนึ่งเจ้าของมอเตอร์ไซค์ที่ยืนพิงอยู่ก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

     

    “กลับกันเถอะ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ คยองซูยิ้มตอบแล้วพยักหน้า หลังจากนั้นรถคันเดิม คนซ้อนคนเดิมก็มุ่งสู่สถานที่เดิมเหมือนที่มาส่งทุกเช้าและทุกเย็น (ในกรณีที่ไม่มีนัดพิเศษด้วยกัน)

     

    “ฉันเป็นห่วงแพคฮยอนจัง” พูดขณะที่ส่งหมวกกันน็อคไปให้คนที่คร่อมมอเตอร์ไซค์หลังจากที่จอดสนิทอยู่หน้าหอ ดวงหน้าหวานแสดงความเป็นห่วงออกมาชัดอย่างที่พูด

     

    “แพคฮยอนเข้มแข็งจะตาย หมอนั่นน่ะไม่ใช่คนที่นายต้องเป็นห่วงหรอก แค่ชานยอลห่วงคนเดียวก็พอแล้ว”

     

    “ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยเล่า” คยองซูแกล้งทำหน้าหงอใส่คนที่เพิ่งถอดหมวกกันน็อคมาพูดประโยคกับเขาเมื่อครู่ ไม่ใช่แค่เสียงที่ดุหรอกนะ หน้าหล่อๆ ตอนนี้ก็ยังแสดงออกชัดว่าเริ่มจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา

     

    “หวงเหรอ?” เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างเหมือนจะล้ออีกคนที่หันหน้าไปทางอื่นหลบหนีสายตาของเขา ไม่นานก็มุบมิบปากพูดเสียงเบาแล้วชำเลืองตามอง

     

    “ก็ไม่รู้จะห่วงทำไมบ่อยๆ”

     

    “โธ่...กัปตันครับ ทำไมใจแคบจัง เพื่อนร่วมทีมก็ต้องเป็นห่วงกันสิ ไม่เอาๆ ยิ้มนะครับ~” ไม่พูดเปล่ายังจะเอามือมาดึงหน้าเขาให้ยิ้มตามที่พูดด้วย เสร็จแล้วก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว จนคนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปด้วยจริงๆ

     

    “งั้นเจอกันเย็นนี้นะ”

     

    คยองซูยิ้มกว้างส่งท้ายแล้วหมุนตัวกลับพร้อมจะเดินเข้าหอ แต่ทว่าแรงฉุดที่ข้อมือกลับหยุดจังหวะก้าวขา แถมยังรั้งเขาจนต้องถอยหลังกลับมาอีกต่างหาก ตอนแรกนึกว่าจะล้มไปแล้ว แต่ร่างกลับไปปะทะเข้ากับอกคนดึงแทน ตั้งใจจะหันไปว่าคนที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง แต่ลมหายใจอุ่นๆ ที่ประชิดใบหูก็หยุดทุกคำพูด

     

    “โดคยองซู ถ้าเป็นเรื่องนายฉันยอมถูกหาว่าใจแคบได้อีกเป็นร้อยเป็นพันครั้งเลย รู้หรือเปล่า”

     

    เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอท้ายประโยคทำให้รู้สึกเขินพิลึก คยองซูหมุนตัวหนีคนที่กระซิบอยู่ด้านหลังแล้วผลักไหล่กว้างนั้นเบาๆ โทษฐานที่ชอบทำอะไรให้ตกใจอยู่เรื่อย

     

    แต่เขาควรจะเอะใจสักนิด ว่าคนอย่างคิมจงอินน่ะเป็นผู้ชายที่เอาแต่ใจได้มากกว่านี้อีกไม่รู้กี่เท่า

     

    ยกยิ้มได้ไม่เท่าไหร่ ริมฝีปากหนาจู่โจมประกบจูบคนที่เพิ่งผลักเขาออกมาโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว ราวกับลงโทษที่บังอาจทำร้ายคนที่เป็นถึงกัปตันและประธานชมรมแถมยังเป็นตำนานแห่งวงการยูโดได้อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่เอาเถอะ อย่างไรแล้วจงอินก็ยอมได้แค่คนนี้คนเดียว อีกอย่างถ้าได้ลงโทษแบบนี้บ่อยๆ มันก็คุ้มดีเหมือนกัน

     

    เพียงชั่วครู่ที่สัมผัสความนุ่มของกลีบปากสวยคู่นั้น ก่อนจะละออกมาก็ขอเอาแต่ใจด้วยการเม้มริมฝีปากล่างสีสวยเบาๆ ทิ้งท้าย จงอินยกยิ้มมองดวงหน้าหวานที่ตอนนี้ขึ้นสีเข้มไปทั้งหน้า แผงฟันเล็กขบเม้มริมฝีปากล่างที่เพิ่งถูกเขาฉกชิงพร้อมทำหน้าเหมือนลูกหมาซนๆ ตัวหนึ่งที่พร้อมจะหาเรื่อง แต่จงอินคิดว่ามันดูน่ารักแบบยั่วยวนนิดๆ เสียมากกว่า

     

    “เจอกันเย็นนี้ครับ”  พูดจบก็ใส่หมวกกันน็อคแล้วทะยานออกไปโดยไม่รอให้ใครที่กำลังเขินได้สติแล้วดุเขาทัน

     

    คยองซูจึงได้แต่เม้มริมฝีปากร้อนผ่าวนั้นด้วยความเจ็บใจระคนเขินอาย นึกโทษตัวเองอยู่ในใจว่าโดนแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแต่ก็ยังไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมอีกฝ่ายสักที แต่มาคิดให้ดีคิดให้ลึกแบบไม่หลอกตัวเองแล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีทุกครั้งที่ริมฝีปากคู่นั้นยังคอยหาจังหวะจาบจ้วงเขาอยู่แบบนี้

     

    ความคิดทุกอย่างหยุดลงเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นครืดอีกครั้ง แน่นอนว่าคนโทรเข้าก็ยังเป็นคนเดียวกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ คราวนี้คยองซูกดรับสาย ยกขึ้นแนบหูพร้อมกับเดินกลับขึ้นห้องตัวเอง

     

    “ทำไมรับช้าล่ะ?”

     

    “ซ้อมเช้าอยู่ฮะ จงอินวางตารางซ้อมโหดจะแย่” คยองซูโอดครวญจนปลายสายต้องหัวเราะออกมา

     

    “ก็ตามสูตรไคเขาล่ะนะ ระดับนั้นคงไม่ปล่อยให้ซ้อมธรรมดาอยู่แล้ว”

     

    “อืม เพิ่งมาส่งเมื่อกี้นี้เอง แถมยัง...ช่างมันเหอะ ว่าแต่พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ? โทรมาแต่เช้าแบบนี้” ละในส่วนที่คิดแล้วยังชวนเขินไว้ก่อนจะเข้าคำถามที่คงจะตรงประเด็นมากที่สุด แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนๆ นี้จะโทรหาโดยเฉพาะในระยะหลังมา แต่แปลกก็ที่วันนี้โทรมาผิดเวลาเท่านั้น

     

    “ปกติถ้าพี่จะโทรหาเรา ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอตัวเล็ก?”

     

    ทว่าคำตอบกลับทำให้คนที่กำลังไขประตูห้องต้องชะงักมือ เงียบไปชั่วอึดใจก่อนที่คนพูดจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นเสียเอง แต่ประโยคที่พูดขึ้นก็ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นเท่าไรนัก

     

    “พี่คิดถึงนายนะคยองซู”

     

    “...โทรมาหาแทบจะวันเว้นวันยังจะคิดถึงอะไรอีก”

     

    ตัดสินใจอยู่พักใหญ่กว่าจะพูดออกไปพร้อมกับไขประตูเข้าไปในห้อง คยองซูรีบปิดประตูแล้วลงกลอนราวกับกลัวว่าจะมีใครคนอื่นโผล่เข้ามาในห้องระหว่างที่กำลังสนทนาทางโทรศัพท์ มือเล็กวางสิ่งของที่หิ้วมาด้วยลงบนโต๊ะ รีบหยิบผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อที่จงอินให้ไว้ออกมาตาก

     

    “ได้คุยแต่ไม่ได้เจอหน้านี่นา”

     

    “อีก 3 วันก็จะได้เจออยู่แล้ว” ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วเอนหลังพิงพนักและเงยหน้าพลางหลับตา

     

    “แต่พี่มีเรื่องสำคัญอยากคุยกับนาย”

     

    “ก็แล้วทำไมกีฬามหาลัยถึงจะคุยไม่ได้ล่ะฮะ? หรือว่าเกรงใจใครอยู่” แอบยิ้มเล็กๆ เมื่อนึกถึงใครคนนั้นไปด้วย คยองซูเดาหน้าอู๋ฟานตอนนี้ออกเลยว่ากำลังทำหน้าแบบไหนกัน

     

    คริสแห่งวงการยูโดเงียบไปหลายอึดใจหลังคำถามแทงใจของคู่สนทนา คยองซูได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วๆ ดังลอดมาตามสายก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดประโยคถัดมา

     

    “พรุ่งนี้มาเจอกันหน่อยได้มั้ย?”

     

    คยองซูค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขาทิ้งเวลาเพื่อคิดคำตอบอยู่ไม่เท่าไหร่ ริมฝีปากที่เพิ่งถูกใครคนหนึ่งประทับรอยเอาไว้ก็วาดรอยยิ้มบางก่อนจะกรอกเสียงกลับไป

     

    “...ที่ไหนครับ?”


     

    TBC.

     

    Mirror* talk: ทอล์คสั้นๆ ลงให้อ่านก่อนเรารับปริญญาวันพรุ่งนี้ TTvTT  นี่ลงตอนเช้าก่อนไปทำงาน โฮกกกกก จะฟินหรือจะหน่วงก็เลือกเอากันเองนะคะทุกคน 55555*

    ขอบคุณทุกคำแสดงความยินดีในตอนที่แล้วด้วยนะคะ ใครผ่านไปแถวธรรมศาสตร์แวะไปหาได้นะ ฮา ขอบคุณทุกสายตาที่ไล่กวาดทุกตัวอักษรค่ะ รักทุกคนเลยยยย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×